การเดินทางของเด็กน้อยหัวใจครึ่งดวง ตอนที่ 5 : การผ่าตัดครั้งแรก

การเดินทางของเด็กน้อยหัวใจครึ่งดวง ตอนที่ 5 : การผ่าตัดครั้งแรก

โดย : อลิสา กัลยา

Loading

อ่านเอา มี นิยายออนไลน์ ให้คุณได้อ่านเพลิดเพลิน มีคอลัมน์หลากหลายให้ได้เปิดโลก และ “การเดินทางของเด็กน้อยหัวใจครึ่งดวง” เรื่องราวของคุณแม่ชาวไทยในโอซาก้าที่พบว่าลูกน้อยที่กำลังจะลืมตาออกมาดูโลกนี้มีเพียงหัวใจแค่ครึ่งดวง จะเต็มไปด้วยความสุข ความทุกข์และความรู้สึกต่างๆ ที่ถาโถมจนทำให้การเดินทางครั้งนี้ประทับใจไม่รู้ลืม

…………………………………………………

-5-

 

หลังวันเกิดมิอุได้เพียง ๒ วัน เธอก็ต้องเข้ารับการสวนหัวใจ วันถัดมา คุณหมอเรียวนัดให้ฉันกับสามีมารับฟังผลการตรวจ จากการวินิจฉัย โรคหัวใจของมิอุเป็นแบบ Tricuspid Atresia เป็นโรคหัวใจชนิดหายาก อัตราการเกิดหนึ่งต่อหนึ่งหมื่นคน โดยระหว่างหัวใจห้องซ้ายขวาและล่างนั้น มีกำแพงกั้นหัวใจขึ้นมาแทนที่จะมีลิ้นหัวใจอย่างปกติ เลือดเสียจึงไม่สามารถถูกส่งไปฟอกที่ปอด เพื่อให้กลายเป็นเลือดดีที่จะถูกส่งไปเลี้ยงทั่วร่างกายได้ ด้วยการไหลเวียนของเลือดที่ผิดปกตินี้ทำให้เลือดดีและเลือดสีไหลเวียนผสมกันอยู่ภายในร่างกาย เกิดภาวะตัวเขียว เนื่องจากออกซิเจนที่ต่ำกว่าปกติ ซึ่งระดับความเขียวนั้นก็ขึ้นอยู่ความรุนแรงของความผิดปกติของหัวใจด้วย

ในขณะที่ระดับออกซิเจนของร่างกายปกติจะอยู่ที่ ๙๘-๙๙ เปอร์เซ็นต์ มิอุมีปริมาณออกซิเจนในร่างกายอยู่ที่ประมาณ ๘๐-๘๕ เปอร์เซ็นต์ ตามคำอธิบายของหมอเรียว ระดับออกซิเจนของมิอุตอนนี้ถือเป็นระดับที่ไม่ได้แย่มาก แต่ถ้าไม่ผ่าตัด ยิ่งเด็กโตขึ้น ประมาณออกซิเจนก็จะต่ำลงเรื่อยๆ และทำให้เสียชีวิตได้

ในเคสของมิอุนั้น โครงสร้างของหัวใจมีความปกติแบบที่ไม่สามารถผ่าตัดเพื่อให้โครงสร้างเป็นปกติได้ การผ่าตัดจึงมีเพื่อแก้ไขการไหลเวียนโลหิตใหม่ โดยสร้างทางเชื่อมส่งเลือดดำไปที่ปอดโดยตรง ไม่ต้องผ่านไปยังหัวใจ แต่ระบบการไหลเวียนเช่นนี้ไม่สามารถทำได้ในการผ่าตัดครั้งเดียว แรงดันของเลือดดำที่สูงจะทำให้ปอดเสียหายอย่างหนัก การผ่าตัดจึงต้องแบ่งออกเป็น ๓ ครั้ง ตามช่วงอายุและสภาพร่างกายที่พร้อมกับการผ่าตัดในแต่ละครั้ง

ครั้งแรกคือ การผ่าตัด Blarock-Taussing Shunt หรือที่เรียกย่อๆ กันว่า BT Shunt เป็นการผ่าตัดเพื่อประคับประคองอาการขาดออกซิเจนเพราะเลือดไปฟอกที่ปอดน้อย โดยนำหลอดเลือดเทียมเชื่อมหลอดเลือดแดงที่ต้นแขนไว้กับหลอดเลือด Pulmonary  (หลอดเลือดที่ส่งต่อเลือดดำไปฟอกที่ปอด)

หลังจากผ่าตัด BT Shunt ได้สักระยะ ประมาณ ๑-๓ ขวบ ก็จะเริ่มการรักษาโดยการผ่าตัด Glenn Shunt ซึ่งแพทย์จะเชื่อมต่อเส้นเลือดดำจากส่วนหัวและแขน (Superior Vena Cava) เข้ากับเส้นเลือด Pulmonart เป็นการเปลี่ยนระบบไหลเวียนเลือดดำของส่วนบนของร่างกาย

Fontana Operation คือการผ่าตัดสุดท้าย โดยจะรอให้มิอุอายุประมาณ ๓ ขวบขึ้นไปเสียก่อน เป็นการผ่าตัดเพื่อนำเส้นเลือดดำจากส่วนล่างของร่างกายต่อกับเส้นเลือดดำปอด จบขั้นตอนนี้ร่างกายจะมีระบบไหลเวียนของเลือดดำใหม่ โดยทั้งหมดจะเข้าสู่ปอดโดยตรง

“สำหรับมิอุจัง อาจไม่จำเป็นต้องผ่าตัด BT Shunt ก็ได้นะครับ ถ้าระดับออกซิเจนไม่ต่ำไปกว่านี้ไปจนถึงอายุ ๖ เดือน จะได้ข้ามไปผ่าตัด Glenn ได้เลย” หมอเรียวพูดขึ้นมาให้ใจฉันชื้นขึ้นมาเล็กน้อย

ด้วยระดับออกซิเจนที่ไม่ต่ำมากนัก หลังจากอยู่โรงพยาบาลได้ ๑ เดือน ปลายฤดูหนาวปีเฮเซที่ ๒๒ มิอุออกจากโรงพยาบาล ได้กลับมาบ้านเป็นครั้งแรก ถือเป็นความโชคดีเล็กน้อย เพราะอากาศเริ่มจะอุ่นขึ้นมานิดหน่อยแล้ว ก่อนออกจากโรงพยาบาล ฉันถามหมอเรียวว่าต้องดูแลมิอุเป็นพิเศษอย่างไรบ้าง คุณหมอบอกแค่ว่า

“เลี้ยงเหมือนเด็กทารกปกติแหละครับ เพียงแต่อย่าให้เด็กร้องไห้หนักเป็นเวลานาน”

ปกติเวลาคนเราร้องไห้หนัก ออกซิเจนในร่างกายจะลดต่ำลงอยู่แล้ว ซึ่งหากเป็นเด็กโรคหัวใจอย่างมิอุที่ระดับออกซิเจนน้อยมาตั้งแต่เกิด การร้องไห้อย่างหนักติดต่อกันเป็นเวลานานจะทำให้เกิดอาการตัวเขียวขึ้นได้ง่าย

“นอกจากนี้แล้ว คอยดูริมฝีปากกับเล็บเอาไว้ด้วยนะครับ ถ้ามีสีม่วงมาก ขอให้โทรมาที่โรงพยาบาลทันที”

การเป็นคุณแม่มือใหม่นั้นเต็มไปด้วยความเครียดไม่มากก็น้อยอยู่แล้ว ในกรณีฉัน ความรู้สึกที่ได้เดินทางกลับบ้านพร้อมมิอุครั้งแรกผสมปนเปกันทั้งความยินดีและความกังวลใจ

ฉันเลี้ยงมิอุตามปกติ ให้นม เปลี่ยนผ้าอ้อม คอยหยอกเล่นกับเธอ แต่ด้วยข้อระวังอย่าให้เด็กร้องไห้นาน ทำให้พอมิอุร้องปุ๊บ ฉันต้องกระวีกระวาดอุ้มขึ้นมาทันที แม้จะยังไม่คุ้นและเหนื่อยล้ากับการเลี้ยงลูกแบบนี้มาก แต่ความเคยชินก็เข้ามาแทนที่ เมื่อเข้าสู่สัปดาห์ที่ ๒ ความเครียดที่ก่อตัวอยู่รอบๆ ก็พอจะลดลงไปได้ ก่อนที่ชีวิตคุณแม่มือใหม่แบบปกติที่คนอื่นๆ เขาเป็นกันนี้จะจบลงในสัปดาห์ที่ ๓ เมื่อพามิอุไปตรวจตามนัดที่แผนกผู้ป่วยนอก

“อืม ระดับออกซิเจนลดน้อยลงนะครับ” คุณหมอคายาทานิ หัวหน้าแผนกโรคหัวใจเด็ก ซึ่งเป็นหมอหลักในการตรวจผู้ป่วยนอก บอกฉันหลังจากพยาบาลจัดแจงนำที่วัดออกซิเจนมาตรวจมิอุที่ปลายนิ้ว “คงต้องให้กลับมาอยู่ที่โรงพยาบาลจะดีกว่านะครับคุณแม่”

จะว่าใจหายก็ไม่เชิง เพราะฉันสังเกตเห็นริมฝีปากของมิอุที่เริ่มม่วงขึ้นมากเมื่อเทียบกับตอนกลับบ้านมาสองสามวันแรกได้สักพักแล้ว แต่พอฉันได้รับเอกสารอธิบายความจำเป็นและแผนการรักษาในการเข้าโรงพยาบาลของมิอุครั้งนี้ เลื่อนตาอ่านไปยังบรรทัดที่บอกระยะเวลาการเข้าโรงพยาบาลที่ถูกเขียนไว้ว่า ‘ไม่ระบุวันออกจากโรงพยาบาล’ ใจฉันก็เริ่มว้าวุ่นขึ้นมา

เนื่องจากมิอุยังเป็นเด็กทารกอยู่ ความรู้สึกห่างแม่จึงยังไม่เกิดขึ้น ทางโรงพยาบาลแนะนำว่า ฉันไม่จำเป็นต้องอาศัยอยู่ในโรงพยาบาลเหมือนมิอุ ฉันเลยกลายเป็นคุณแม่ประจำวันไปเสีย ชีวิตประจำวันวนเวียนอยู่กับการเทียวไปเทียวมาระหว่างบ้านกับโรงพยาบาล ถึงโรงพยาบาล ๙ โมงเช้า และออกจากโรงพยาบาลประมาณ​ ๕-๖ โมงเย็น (ถ้ามีบัตรตอกเข้าทำงาน ก็คงเป็นเจ้าหน้าที่ของโบะชิเซ็นเตอร์ได้เลย)

ฉันดำเนินชีวิตแบบนี้ไปเรื่อยๆ พร้อมกับคำอธิษฐานในใจ ขอให้ระดับออกซิเจนในร่างกายมิอุไม่ลดน้อยลงไปกว่านี้ แต่ก็นั่นแหละ ชีวิตคนเรามันจะเป็นไปตามที่เราต้องการได้ตลอดเวลาได้อย่างไรกัน แม้ว่าเราจะเฝ้าอธิษฐาน ร้องขอ วิงวอนเท่าไรก็ตาม

บ่ายแก่วันหนึ่ง หมอเรียวเดินเข้ามาคุยกับฉัน ทางทีมแพทย์ได้กำหนดวันผ่าตัดครั้งแรกของมิอุแล้ว

การผ่าตัด BT Shunt จะมีขึ้นอาทิตย์ถัดไป เมื่อมิอุอายุได้เกือบ ๓ เดือน

ต้นเดือนพฤษภาคม ปีเฮเซที่ ๒๓ มิอุก็เข้ารับการผ่าตัดครั้งแรก เธอยังเล็กเกินกว่าจะจดจำสิ่งที่เกิดขึ้นวันนั้นได้ ตรงกันข้ามกับคนเป็นแม่อย่างฉันที่มีความทรงจำที่เกิดขึ้น ณ วันนี้ได้อย่างละเอียด หลังการรอคอยเกือบ ๔ ชั่วโมงสิ้นสุดลง ฉันเดินเข้าไปหามิอุในห้องไอซียู หน้ามิอุบวมเป่ง มีท่อจากเครื่องช่วยหายใจใส่ในปาก หมอเรียวยืนอยู่ข้างเตียง บอกฉันด้วยเสียงอ่อนโยนกว่าทุกครั้งว่าการผ่าตัดเรียบร้อยดี พรุ่งนี้เราจะลองถอดเครื่องช่วยหายใจดูว่ามิอุสามารถหายใจด้วยตัวเองได้หรือไม่ ฉันเฝ้ามิอุอยู่ในไอซียูอีกพักใหญ่ สามีก็เดินมาสะกิดว่า กลับบ้านไปพักผ่อนเถอะ

ระหว่างตึกที่มีห้องไอซียูกับทางออกของโรงพยาบาลเพื่อจะไปที่จอดรถ มีทางเดินค่อนข้างยาวทีเดียวเชื่อมอยู่ ฉันเดินบนทางเดินนี้มานับครั้งไม่ถ้วน บางครั้งรู้สึกว่าทางเดินไม่ได้ยาวเท่าไรนัก ด้วยความรีบเร่งของผู้คนรอบข้าง รวมถึงตัวฉันเองที่เร่งฝีเท้าอยากเจอหน้ามิอุเร็วๆ แต่บางครั้งกลับเดินบนทางเดินนี้ด้วยความเหนื่อยล้าทั้งกายและใจ

เย็นวันผ่าตัดครั้งแรกในชีวิตของมิอุ ระหว่างเดินไปที่จอดรถ แม้ว่าฉันจะพยายามก้าวเท้าให้เร็วขึ้น แต่ฝีเท้าตัวเองกลับสั้นไม่เท่าที่ใจต้องการ ฉันเดินไปเรื่อยๆ มือพยายามปัดน้ำตาออกจากสองแก้ม พร้อมถามตัวเองอยู่หลายรอบ

“มันจะผ่านไปใช่มั้ย?”

ฉันพูดกับตัวเองซ้ำๆ วนไปวนมา บนทางเดินที่รู้สึกว่าวันนี้ช่างยาวเสียเหลือเกิน

 

Don`t copy text!