คุยกับตัวเองในอดีต

คุยกับตัวเองในอดีต

โดย : Writer from Mars

Loading

นิยายออนไลน์ หลากหลายสไตล์ที่มอบความสนุกๆ ให้กับผู้อ่าน ‘อ่านเอา’ ยังมีคอลัมน์ ‘Opinion เขียนขำๆ’ โดย Writer from Mars นักคิด นักเดินทาง ผู้ที่อยากจะร่วมแชร์ประสบการณ์และมุมมองของเรื่องราวต่างๆ สารพัดสารพัน ตั้งแต่เรื่องเล็กๆ ยันเรื่องใหญ่ๆ ให้คุณได้ อ่านออนไลน์

…………………………………………………………………………

“กาลเวลาทำให้คนเราเปลี่ยนไป…

…อ่านไปแล้วก็รู้สึกว่าเหมือนเป็นการค้นพบที่ยิ่งใหญ่ก็ไม่ปาน

นี่ผมกำลังนั่งคุยกับตัวเองตอนเด็กอยู่”

 

เคยคิดเล่นๆ กันไหมครับ ว่าถ้าย้อนเวลากลับไปในอดีต แล้วสามารถพูดคุยกับตัวเองได้ มีอะไรอยากจะบอกกับตัวเองในเวลานั้นบ้าง จะเป็นการพูดคุยกันในรูปแบบไหน มันจะออกมาดีหรือไม่ดี

ผมเคยนั่งคิดนะครับ ว่าถ้าผมย้อนเวลากลับไปได้ผมอยากจะพูดอะไรกับตัวเองตอนที่ยังเด็ก เราก็มีเรื่องที่พร้อมจะแนะนำ ว่าแบบนี้ดี แบบนี้ไม่ดี อย่าไปทำ ให้ทำอย่างนี้ ให้เดินชีวิตแบบนี้ ไม่ต้องไปทุ่มเทเล่นเกมอะไรเยอะขนาดนั้น เรียนก็ไม่ต้องมากมาย ออกไปใช้ชีวิตนอกห้องสี่เหลี่ยมบ้าง อันนี้คงเป็นเรื่องคร่าวๆ ที่ผมคิดไว้ แต่ผมก็รู้ตัวดีกว่า ต่อให้มันมีโอกาสแบบนั้น ตัวผมตอนที่เป็นเด็กมันไม่ฟังแน่นอนครับ คงนึกว่าไอ้ลุงนี่อะไรของมัน พูดจาเลอะเทอะ แล้วก็ดำเนินชีวิตตามแบบเดิมนั่นแหละ

ผมได้เห็นการเปลี่ยนผ่านทางเทคโนโลยีมาทุกรูปแบบตั้งแต่ยุคสมัยที่ส่งจดหมายหากันจนมาถึงยุคนี้ที่ทุกคนคุยกันได้แบบเห็นหน้าถึงแม้จะอยู่คนละซีกโลก

สมัยเรียนชั้นประถม ครูจะให้ส่งจดหมายไปหานักเรียนที่เลขที่เดียวกับตัวเองชั้นปีเดียวกัน ที่อยู่อีกโรงเรียน คนละจังหวัด จริงๆ ก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าเป็นแค่การให้นักเรียนหัดเขียนจดหมาย ที่ต้องพับกระดาษเป็นสามส่วน มีคำขึ้นต้นและคำลงท้าย ซึ่งในชีวิตจริงก็คงไม่มีใครทำแบบนั้นเวลาเขียนจดหมายหาเพื่อน แต่ครูให้ทำอะไรก็ทำไปเถอะ อย่าคิดเยอะ

ผมจำได้ว่าผมเขียนหาเด็กคนหนึ่ง อยู่ที่จังหวัดพิจิตร เนื้อหาไม่มีอะไร ก็เขียนตามบนกระดานที่ครูเขียนนั่นแหละ แต่ผมเขียนถามเพิ่มไปด้วยว่า “ที่พิจิตรจระเข้ดุจริงป่าว” จำคำตอบแน่ชัดไม่ได้ แต่ประมาณว่า “มันไม่มีสักตัวโว้ย” ฮ่า ฮ่า ก็ไม่รู้ไงครับ เรียนมาว่าเป็นเมืองชาละวัน เลยนึกว่าจะเยอะ เดินกันเกลื่อนเหมือนริมบึงที่แคลิฟอร์เนีย

จนมากระทั่งยุคที่คอมพิวเตอร์เข้ามามีบทบาทมากขึ้น ตอนแรกๆ ยังเป็นแค่ไว้ใช้ทำงานเล็กๆ น้อยๆ และเล่นเกม แต่พอมีอินเทอร์เน็ตเข้ามาเท่านั้นแหละ เรียกว่าโลกเปลี่ยนเลยก็ว่าได้ เราติดต่อกันได้แบบสุดขั้ว ก่อนหน้าที่เฟซบุ๊กกับไลน์จะนิยมกันอย่างทุกวันนี้ โปรแกรมแชตรุ่นเดอะผมผ่านมาหมด เริ่มตั้งแต่ ICQ เลย อันนี้คือโปรแกรมยุคแรกๆ ที่เราต้องได้รหัสของเพื่อนเรามาก่อนแล้วก็แอดเหมือนแอดไลน์นั่นแหละ แล้วก็คุยกันได้ แต่ต้องผ่าน PC เท่านั้น ต้องนั่งอยู่หน้าคอมพ์ ซึ่ง ID มันไม่ได้จำง่ายเหมือน ID ไลน์นะ มันเป็นชุดตัวเลขที่โคตรยาว จดผิดไปตัวเดียวก็ได้คุยกับคนอื่นเลยล่ะ

ช่วงนั้นยังมีโปรแกรมฮิตอีกโปรแกรมนั่นคือ Pirch98 อันนี้ไม่รู้จะเรียกว่าโปรแกรมแชตได้ไหม เพราะเราไม่รู้ว่าอีกฝั่งที่เราสนทนาคือใคร โหดมากครับ เห็นกันแค่ชื่อ จะมีห้องรวมที่คนเข้าไปรวมกัน แล้วก็ตะเบ็งเซ็งแซ่เลยล่ะ ใครอยากพูดอะไรก็พูด ใครอยากประกาศอะไรก็ลุยได้เลย หาเพื่อนคุยไม่จำกัดอายุและหน้าตาครับ สมัยนั้นมีแต่ข้อความขึ้นมา ไม่มีสติกเกอร์ ส่งรูปอะไรทั้งสิ้น นั่นหมายความว่าอีกฝั่งจะหน้าตาเป็นแบบไหน ความเป็นไปได้ที่จะรู้คือศูนย์จริงๆ นอกจากจะวัดใจนัดเจอกัน ซึ่งส่วนตัวผมไม่ชอบเล่นแบบนี้ แต่ตอนนั้นไม่รู้ทำไมคนฮิตกันจังนะ

ยุคถัดมาจะเป็นโปรแกรมที่ชื่อว่า MSN อันนี้แหละตัวทีเด็ดเลย เรียกว่าคนใช้เยอะมาก นิยมกันสุดๆ เอาจริงๆมันเหมือน ICQ แต่เปลี่ยนเบอร์จำยากๆ ยาวๆ เป็นอีเมลซึ่งง่ายกว่า ทำให้นิยมแพร่หลายมาก เพื่อนผมทุกคนเกินกว่า 80% เล่น MSN หมดเลย จะจีบสาวตอนนั้นก็ผ่าน MSN นี่แหละ นั่งแชตมันไปทั้งวัน มีการใส่รูปดิสเพลย์ ตั้งสเตตัสกันได้ด้วย ทันสมัยเข้าไปอีก

จนกระทั่งยุคสมัยของเฟซบุ๊กเข้ามา คนนิยม MSN น้อยลง จนกระทั่งปิดตัวในที่สุด ปิดไปก่อนที่จะถึงยุคที่มือถือเฟื่องฟู ทำให้ MSN มีอยู่แค่ในเครื่องคอมพ์เท่านั้น ซึ่งก็คือเครื่องคอมพ์ที่ผมใช้มาตั้งแต่เด็ก ทุกวันนี้ไม่ได้ใช้แล้ว เก็บเอาไว้ในกรุ ฝุ่นจับ แต่อยู่มาวันหนึ่ง ผมเอาคอมพ์นั้นมาเปิด ลองดูว่ามันใช้งานได้รึเปล่า ผมเจออะไรบางอย่างที่ทำให้ผมรู้สึกเหมือนได้คุยกับตัวเองในวัยเด็กจริงๆ

โปรแกรม MSN ที่ว่านั้นยังอยู่ในเครื่อง ผมไม่ได้ลบมันไปนะ เพียงแต่มันกด Sign in ไม่ได้อีกแล้วเพราะมันปิดให้บริการไปแล้ว ผมก็นั่งกดๆ ดูอะไรไปเรื่อยๆ ปรากฏว่าใน MSN บันทึกข้อความสนทนาที่เราคุยกับเพื่อนเอาไว้ด้วย แม้จะไม่ได้เก็บไว้ทั้งหมด แต่ก็พอมีอยู่บ้าง เป็นไฟล์ text แบบง่ายๆ

ผมนั่งเปิดอ่านดูเพราะอยากจะรู้ว่าตอนนั้นเราพูดจายังไง คิดยังไง โต้ตอบกับอีกฝั่งยังไง ได้พบว่าเป็นอีกมิติหนึ่งเลยครับ ต่างจากการเขียนไดอะรีที่เป็นการเล่าเรื่องราวของเราออกไปแบบทางเดียว แต่นี่คือบทสนทนาของเราตอนนั้นกับเพื่อน โต้ตอบกันไปมา เออ สนุกดี ตอนนั้นเราจีบสาวยังไง ก็อ่านตรงนี้รู้เลย ฮ่า ฮ่า

ผมนั่งอ่านไปได้สักพักก็ต้องกุมขมับ …โอย คือไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจว่าตัวเองต้องการจะสื่ออะไร ตอนนั้นผมพูดอะไรนี่ ทำไมตอบแบบนั้น คุณมึงต้องการอะไรกันแน่ ทำไมไม่พูดตรงๆ เร็วๆ กระชับ จะลีลาทำไม หยอดอะไรนี่ไร้สาระ โอ้โฮ เด็กมาก แบบนี้จะไปจีบติดได้ไง คือขำสุด ตรงที่อีกฝั่งก็พยายามโต้ตอบกลับมาแบบเข้าใจด้วยนะ หรือว่าจริงๆ แล้วมันเป็นการสนทนาที่ปกติในระดับวัยตอนนั้น คือเราโตขึ้น ความคิดเปลี่ยนไป มุมมองเปลี่ยนไป นิสัยเปลี่ยนไปด้วย เอาง่ายๆ เป็นคนละคนกันเลยก็ว่าได้

กาลเวลาทำให้คนเราเปลี่ยนไป อันนี้ของจริงเลย ผมนั่งอ่านไปแล้วก็รู้สึกว่าเหมือนเป็นการค้นพบที่ยิ่งใหญ่ก็ไม่ปาน นี่ผมกำลังนั่งคุยกับตัวเองตอนเด็กอยู่ ทำให้รู้ได้เลยว่า ที่เคยคิดว่าถ้าย้อนเวลากลับไปจะพูดอะไรกับตัวเองตอนนั้น มันไร้สาระสิ้นดีครับ เพราะเราไม่มีทางสื่อสารกับตัวเองตอนนั้นได้อย่างเข้าใจแน่นอน เหมือนพูดคนละภาษา

ฉะนั้น ลองดูครับ ใครมีเครื่องคอมพิวเตอร์เก่าๆ ลองเอามาเปิดดู เผื่อไฟล์นั้นจะยังแอบซ่อนอยู่ในเครื่อง ลองอ่านบทสนทนาแล้วจะพบกับความฮาของตัวเองในวัยเด็ก จริงๆ

Don`t copy text!