เรามีเวลาในการใช้ชีวิตไม่เท่ากัน

เรามีเวลาในการใช้ชีวิตไม่เท่ากัน

โดย : Writer from Mars

Loading

นิยายออนไลน์ หลากหลายสไตล์ที่มอบความสนุกๆ ให้กับผู้อ่าน ‘อ่านเอา’ ยังมีคอลัมน์ ‘Opinion เขียนขำๆ’ โดย Writer from Mars นักคิด นักเดินทาง ผู้ที่อยากจะร่วมแชร์ประสบการณ์และมุมมองของเรื่องราวต่างๆ สารพัดสารพัน ตั้งแต่เรื่องเล็กๆ ยันเรื่องใหญ่ๆ ให้คุณได้ อ่านออนไลน์

…………………………………………………………………………

 

คนเรามีเวลา 24 ชั่วโมงเท่ากัน เป็นคำกล่าวที่มักจะได้ยินมาเสมอตั้งแต่เป็นเด็ก ทำให้เรามีกำลังใจทำอะไรก็แล้วแต่ คนโน้นเขายังทำได้เลย คนนี้เขาก็ยังทำได้ มีเวลาต่อวันเท่ากันแท้ๆ พอโตขึ้นมาเวลาต่อวันมันก็เท่าเดิมนั่นแหละ 24 ชั่วโมง แต่ผมกลับมานั่งคิดเล่นๆ ดูว่าจริงๆ แล้วเรามีเวลาเท่ากันจริงๆ หรือเปล่า

ที่ฉุกคิดประเด็นนี้ขึ้นมาเป็นเพราะว่าผมรู้สึกว่าทุกวันนี้เราใช้เวลาต่อวันไม่คุ้มกับเวลาที่ธรรมชาติให้มา วันหนึ่งทำอะไรได้น้อยมาก แล้วเวลาเราหายไปกับอะไร การใช้ชีวิตในเมืองหลวงอย่างกรุงเทพฯ เวลาส่วนใหญ่หายไปกับการเดินทาง เนื่องจากมีการก่อสร้างรถไฟฟ้าหลายสายพร้อมกันและแต่จุดนี่คือพีกเลย เป็นศูนย์รวมความรถติดอยู่แล้ว พอเส้นเลือดใหญ่ติด มันก็ลามกระจายกันไปทั่วร่างกาย ทำให้ประเทศไทยติดอันดับต้นๆ ประเทศที่มีการจราจรแย่ที่สุดในโลก ซึ่งไม่แปลกใจเลย มันแย่มากจริงๆ

เพื่อนผมที่เป็นคนสิงคโปร์เคยมาเที่ยวเมืองไทย บอกว่า โห ทำไมเมืองไทยบ้านยู รถมันติดแบบนี้วะ โ-ค-ต-รแย่เลยนะเนี่ย ก็อยากจะบอกว่า ตอนนั้นแค่อินโทร ลองมาใหม่ตอนนี้สิเพื่อน ท่อนฮุกเลยครับ ติดหนักกว่าเดิมเป็นไม่รู้กี่เท่า มีอยู่วันหนึ่งผมวางแผนนัดคุยงานกับเพื่อนไว้ตอนสามทุ่ม แถวงามวงศ์วาน และผมเดินทางจากแถวสะพานควายตอนประมาณสองทุ่ม เผื่อเวลาไว้แล้วเกือบชั่วโมงกับระยะทางแค่นั้น คิดว่าน่าจะพอเหลือๆ สำหรับวันศุกร์ ปรากฏว่าเป็นวันศุกร์พิเศษอีกต่างหาก ชั่วโมงเดียวยังไม่พอครับ  สามทุ่มครึ่งผมยังติดแหลกอยู่กลางวิภาวดี เปิดดู Google Maps… โห การจราจรสีเลือดหมูยาวเหยียด จบไป ยกเลิกการคุยงาน

สำหรับการดูการจราจรใน Google Maps นะครับ สมัยนี้มันสามารถเช็กได้เลยว่าเส้นทางที่เรากำลังจะไปนั้นการจราจรติดมากน้อยแค่ไหน เปิดแอป Google Maps อย่าลืมกดติ๊กให้โชว์ Traffic ระบบจะแบ่งความหายนะตามสี ถ้าบนถนนมีเส้นสีเขียวนั่นคือสวรรค์ เราจะขับกันแบบสบาย ชิลๆ เหยียบเท่าไหร่เหยียบ รถไหลลื่นคล่องตัวสุดๆ เป็นสีระดับ rare คือหายากมากกกกในตัวเมือง สีต่อมาคือสีเหลือง อันนี้ก็คือยังชิลอยู่ เริ่มมีรถมากขึ้น แต่ก็ไม่อะไรมาก เรียกว่าแทบไม่ติดเลยก็ว่าได้  สีส้ม อันนี้รถชะลอตัวละ มีรถอยู่เต็มพื้นที่แต่ก็ยังเดินทางได้อยู่ ไม่แย่มาก สีแดง อันนี้คือติดแล้ว รถแน่นเอี้ยด ความคล่องตัวต่ำ แต่มันก็ยังเคลื่อนที่ในแบบช้าๆ ไปเรื่อยๆ ของมัน ความเร็วรถเท่าคนเดินเท้า แต่ก็นั่นแหละครับ เหนือฟ้ายังมีฟ้า สีแดงเลือดหมู อันนี้คือนรกอเวจีขนานแท้ รถติดแหง็กแบบหยุดนิ่งเลย ขยับไม่ได้ แน่นเป็นปลากระป๋อง มีเลือดหมูแค่นิดเดียวก็วุ่นวายแล้ว แต่คืนวันศุกร์นี่ขอบอก ว่าเลือดหมูยาวๆ ทั้งเมืองไป แล้วเราสามารถกดปักหมุดไปในที่ที่เราจะไปแล้วให้ระบบคำนวณระยะเวลาให้ได้ ผมบอกได้เลยว่ามันใกล้เคียง ใช้ประเมินต้นๆ ได้เลย ถ้ากูเกิลบอกว่าใช้เวลาประมาณ 40 นาที เราก็จะใช้เวลาประมาณนั้นจริงๆ บวกลบ ประมาณ 5-10 นาที อยากให้ลองใช้กันดู

นั่นคือการเดินทางในเมืองที่การจราจรแย่เป็นอันดับต้นๆ ของโลก แล้วเมืองที่การจราจรดีๆ คนเขาใช้ชีวิตยังไง ก็คือดีมาก ตื่นเจ็ดโมง ใช้เวลา 15 นาทีเดินทางไปวิ่งตอนเช้าได้ 30 นาที กลับมาอาบน้ำกินข้าว ออกจากบ้านแปดโมง บ้านอยู่นอกเมืองนั่งรถไฟเข้าเมืองเดินทาง 1 ชั่วโมงถึงที่ทำงาน เลิกงานห้าโมงเย็น 15 นาทีถึงสวนสาธารณะเดินเล่นได้ หกโมงหาอะไรกิน หกโมงครึ่งนั่งรถไฟกลับบ้าน ด้วยเวลา 1 ชั่วโมงเท่าเดิม  เวลามี 24 ชั่วโมงเท่ากัน เขาใช้ชีวิตได้คุ้มกว่าเราเยอะเลย และที่สำคัญคือมันบริหารจัดการได้ 1 ชั่วโมง คือ 1 ชั่วโมงเท่ากันทุกวันเป๊ะๆ

การเดินทางไปทำงาน 2 ชั่วโมง กลับอีก 2 ชั่วโมง กลายเป็นเรื่องปกติไปสำหรับทุกวันในกรุงเทพฯ แต่พอมานึกว่าวันหนึ่งเวลาเราหายไป 4 ชั่วโมง เท่ากับว่าเรามีเวลาเหลือแค่ 20 ชั่วโมงต่อวันเอง ช่วงเวลาที่ขับรถไปทำงาน มันก็ทำอะไรไม่ได้ไง นอกจากนั่งมองถนน มองรถติดๆ ไป เอาหนังสือมาอ่านก็ไม่ได้ เอามือถือมาเล่นก็ไม่ได้ ถึงแม้จะแอบทำบ้าง แต่มันก็ไม่ดีหรอก เพลงวิทยุเปิดฟังทุกวันเช้าเย็น จากเพลงไม่เคยได้ยินก็ร้องได้คล่องไปเลยภายในเวลาไม่กี่วัน

คือผมก็พยายามหาทางออก แก้สิ่งรอบข้างไม่ได้ก็ต้องเริ่มที่ตัวเอง หาอะไรทำให้มันเป็นประโยชน์ระหว่างรถติดๆ ในตอนเช้า ระยะหลังมานี่ผมเริ่มหาหนังสือเสียงมาฟัง คือมันก็ช่วยได้ดีเลยนะและผมว่ามันตอบโจทย์วิถีชีวิตของคนเมือง วันหนึ่งๆ เรามีเวลาที่ต้องเผาทิ้งบนรถเยอะอยู่แล้วก็เปิดหนังสือเสียงหรือพอดแคสต์ทำให้เป็นเวลาเรียนรู้ไปในตัว ครึ่งปีหลังมานี้ผมอ่านหนังสือจบไปหลายเล่มเลยนะ โดยที่ไม่ได้แตะหนังสือเลย ใช้แอปของ Amazon ชื่อว่า Audible เป็นคลังแสงหนังสือเสียงของต่างประเทศ จ่ายรายเดือนไม่กี่ร้อยบาท ได้หนังสือมาฟังเดือนละเล่ม สะดวกมากๆ ฟังรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง แต่ก็ดีกว่านั่งจ้องว่ามอเตอร์ไซค์คันไหนจะมาเฉี่ยวกระจกข้างของเราบ้าง ถ้าไม่ถนัดภาษาอังกฤษ หนังสือเสียงของไทยสมัยนี้มีเยอะมาก ตามร้านก็มีขายกันเกลื่อน หรือจะเป็นพอดแคสต์ดีๆ ก็มีให้ฟังเยอะแม้กระทั่งในเว็บอ่านเอาของเราก็มี ลองหาเรื่องที่ชอบกันดูได้ครับ นอกจากที่เว็บนี้ ใน Soundcloud หรือ Podbean ก็ยังมี

จากข้างต้นเหมือนผมจะแนะนำวิธีการฆ่าเวลาที่ดูมีประโยชน์ แต่จริงๆ ผมรู้สึกว่าเวลาเป็นสิ่งที่ล้ำค่ามาก เราไม่ควรไปฆ่ามัน ไม่ว่าในกรณีใดๆ ทั้งสิ้น การจราจรที่เผาเวลาของคนเมืองไปวันละมากๆ มันแก้ไขได้แหละ แต่ไม่ใช่ในสองสามวันแน่นอน หวังว่าเมื่อรถไฟฟ้าทั้งหมดเสร็จสิ้น ทุกอย่างจะค่อยๆ ดีขึ้น แต่ในจุดที่ยังไม่ถึงวันนั้น เรามาหาทางบริหารเวลาที่มีอยู่อย่างคุ้มค่ากันดีกว่า ผมได้ลองแชร์วิธีใช้เวลาอย่างคุ้มค่าตอนช่วงรถติดของผมไปแล้ว เราลองมาแชร์กันดีไหมครับ ว่าแต่ละคนมีวิธีจัดการเศษเวลาตรงนี้กันอย่างไรบ้าง เผื่อจะได้ลองเอาไปปรับใช้กันดู หลังๆ มานี่ผมก็เริ่มเบื่อฟังหนังสือเสียงแล้วนะ

Don`t copy text!