ฤทัยยักษ์ บทที่ 7.2 : บทตัวร้ายที่ข้าไม่อยากเป็น

ฤทัยยักษ์ บทที่ 7.2 : บทตัวร้ายที่ข้าไม่อยากเป็น

โดย : เวฬุวลี

Loading

ฤทัยยักษ์ โดย เวฬุวลี นวนิยายที่อ่านเอานำมาให้อ่านออนไลน์ที่ anowl.co กับเรื่องราวของ ‘ฤทัยมาศ’ ตำรวจสาวที่้องเข้าไปสืบคดีที่เชื่อมโยงกับอดีตของเธอที่มีร่วมกับยักษ์หนุ่มจากวัดโพธิ์นามว่า ‘แสงอาทิตย์’ และยังไปเกี่ยวพันกับเบื้องลึกเบื้องหลังของศึกยักษ์วัดโพธิ์กับยักษ์วัดแจ้งที่เล่าขานกันมาเนิ่นนาน

ปี พ.ศ.2400 ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

การเปลี่ยนผ่านแผ่นดินเมื่อหลายปีก่อน ไม่ค่อยมีผลใดต่อยักษ์ในวัดโพธิ์เท่าใดนัก วัดพระเชตุพนฯ เป็นวัดหลวงที่ได้รับการทำนุบำรุงในทุกรัชสมัย แสงอาทิตย์จึงไม่รู้สึกว่าชีวิตของเขาเปลี่ยนไปไม่กี่มากน้อย

ถ้าจะมีความเปลี่ยนแปลงก็ตรงที่โขนและละครที่เคยซบเซาไปในช่วงของแผ่นดินก่อน ได้กลับมาฟื้นฟูอีกครั้งในแผ่นดินนี้ เพื่อนยักษ์อย่างมัยราพณ์เคยแอบลอบออกไปดูการแสดงในวัง และมาเล่าให้ฟังถึงรูปโฉมงดงามของนางละครทั้งหลาย จนคืนหนึ่งแสงอาทิตย์ก็ตัดสินใจที่จะลอบออกไปดูบ้าง

โขนวันนี้จัดแสดงที่วังของเจ้านายองค์หนึ่งที่ก็อยู่ไม่ไกลจากวัดโพธิ์ หลายปีมานี้ บริเวณริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาที่ใกล้วัดโพธิ์ก็กลายเป็นวังของเจ้านายหลายพระองค์ ซึ่งอุปถัมภ์คณะโขนที่จัดแสดงเป็นประจำ

โขนที่แสงอาทิตย์ไปดูในวันนี้มาจากเรื่องรามเกียรติ์และแถมยังเป็นตอนที่เขามีบทบาทอยู่ด้วย

เมื่อคนดูที่มีทั้งชาววังและชาวบ้านมานั่งกันอยู่แล้ว คณะโขนก็ประกาศว่าจะเริ่มแสดงเรื่องศึกแสงอาทิตย์ ซึ่งเป็นตอนที่พระรามยกทัพไปปราบแสงอาทิตย์ พญายักษ์ญาติของทศกัณฐ์

แสงอาทิตย์คิดว่าเขาน่าจะสนุกเพลิดเพลินไปกับเนื้อหาเรื่องราวที่สร้างมาจากชีวิตของเขา แต่เอาเข้าจริง ยักษ์หนุ่มกลับยิ่งรู้สึกเจ็บใจเมื่อเนื้อเรื่องดำเนินไป องคตทหารของพระรามได้แปลงกายเป็นจิตรไพรีพี่เลี้ยงของเขาเพื่อไปหลอกเอาแว่นแก้วสุรกานต์จากพระพรหม

๏ ครั้นถึงบรมพรหเมศ                        ยอกรเหนือเกศเกศี

ทูลท้าวธาดาธิบดี                                      บัดนี้เกิดศึกในลงกา

แสงอาทิตย์ใช้ข้าขึ้นมาเฝ้า                            พระปิ่นเกล้าสามภพนาถา

ขอเอาแว่นแก้วอันศักดา                               ลงไปเข่นฆ่าปัจจามิตร

ให้สิ้นมนุษย์กับวานร                                   ตามพรพระองค์ประกาศิต

อสุรีจะได้รอดชีวิต                                      ทรงฤทธิ์จงโปรดปรานี ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

 

๏ เมื่อนั้น                                      องค์ท้าวธาดาเรืองศรี

ไม่แจ้งกลบุตรพาลี                                     คิดว่าอสุรีใช้มา

จึ่งหยิบแว่นแก้วสุรกานต์                               อันชัชวาลร้อนแรงแสงกล้า

จากพานทิพย์รัตน์อลงการ์                            เอามาส่งให้ทันใด ฯ (1)

ฯ ๔ คำ ฯ

เมื่อแสงอาทิตย์ไม่มีอาวุธวิเศษที่จะใช้ต่อสู้กับพระราม ตัวละครของเขาเองก็ไม่พ้นชะตากรรมที่จะต้องศรของพระรามจนตายตกไปตามญาติยักษ์ตนอื่นๆ

๏ เมื่อนั้น                                      เทวานางฟ้าในสวรรค์

เห็นแสงอาทิตย์กุมภัณฑ์                              สุดสิ้นชีวันวายปราณ

ต่างองค์ชื่นชมโสมนัส                                 แซ่ซ้องตบหัตถ์ฉัดฉาน

บ้างเผยแกลทิพย์วิมาน                                โปรยบุษบาบานลงมา

กลิ่นสุคนธ์หอมหวนอวลอบ                           ตลบซาบซ่านนาสา

บ้างดีดสีตีเป่าเป็นโกลา                                เทวาอวยชัยถวายพร

พระองค์จงทรงศักดายศ                               ปรากฏพระเกียรติด้วยแสงศร

ศัตรูอย่ารอต่อกร                                       ให้ถาวรจำเริญสวัสดี ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ สาธุการ

แสงอาทิตย์ได้ยินเสียงตะโกนโห่ร้องจากผู้ชมอย่างยินดีที่ตัวละครพระเอกอย่างพระรามสามารถปราบตัวละครผู้ร้ายอย่างเขาได้ ยักษ์หนุ่มรู้สึกในใจไหวกระเพื่อมจนไม่อาจทนดูโขนถึงฉากสุดท้ายได้ เขาหลบออกมาจากวังนั้น และไปนั่งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาพลางครุ่นคิดถึงอดีตนับร้อยนับพันปีที่ผ่านมา ที่เขาและเพื่อนยักษ์ตนอื่นๆ ก็ไม่อาจพ้นชะตากรรมของการเป็นตัวร้ายอยู่ดี

ไม่มีใครสนใจเลยใช่ไหมว่าสิ่งที่ผู้ร้ายได้รับ…เป็นสิ่งที่ยุติธรรมหรือไม่ เพียงเพราะเป็นผู้ร้าย…จะฆ่าจะแกงอย่างไร ด้วยกลโกงแค่ไหน ก็ไม่มีใครคิดจะใส่ใจ

ระหว่างที่เขากำลังทอดอาลัยอยู่นั้นเอง เขาก็ได้ยินเสียงสะอื้นเบาๆ

แสงอาทิตย์ชะงัก หันไปเห็นสตรีนางหนึ่งที่กำลังยืนอยู่ไม่ห่างจากเขามากนัก ผู้หญิงคนนั้นหันมามองเขา เอามือปาดน้ำตาที่คลอเบ้า แล้วต่างคนต่างมองกัน แต่ก็ไม่มีใครที่เอ่ยปากอะไรออกมา

ยักษ์หนุ่มหันหลังเดินจากไป แต่อีกสักพัก พอแสงอาทิตย์หันกลับมา ก็เห็นว่าหญิงสาวคนนั้นยังเดินตามเขามาอยู่ห่างๆ เขาทำท่าจะเดินไปอีกทาง แต่แล้วหญิงสาวคนนั้นกลับทักเขาขึ้นมาก่อน

“พอจะรู้ทางไปตลาดน้อยไหมจ๊ะ”

แสงอาทิตย์หันไปมอง ไม่แน่ใจว่าหล่อนพูดกับเขาหรือไม่ แต่รอบข้างก็ไม่ได้มีคนอื่นอีก

“ฉันมาดูโขน…” สตรีนางนั้นเอ่ยต่อ “เพิ่งเคยมาไกลบ้านขนาดนี้ กลับไม่ถูก”

แสงอาทิตย์รู้แน่แล้วว่าหล่อนพูดกับเขา ปกติเขาจะไม่ปฏิสัมพันธ์กับมนุษย์คนไหน แต่ผู้หญิงคนนี้ทำให้ยักษ์หนุ่มอย่างเขาอยากจะช่วยเหลืออย่างประหลาด “ข้า…เอ่อ…ฉันก็มาดูโขนเหมือนกัน”

หญิงสาวตาโตเมื่อได้ฟังคำตอบ เหมือนได้พบคนคอเดียวกัน “ศึกแสงอาทิตย์ใช่ไหมจ๊ะ ฉันก็ดู วันนี้โขนสนุกมาก น่าเสียดายที่จบเศร้า”

“เศร้ากระนั้นหรือ” แสงอาทิตย์ทวนคำอย่างแปลกใจ

หญิงสาวพยักหน้า “ก็ยักษ์ถูกฆ่าตายจนหมดทั้งกองทัพแบบกระนั้น ไม่เรียกว่าเศร้าดอกหรือ ฉันเองยังเผลอร้องไห้ออกมา”

ยักษ์หนุ่มประหลาดใจในคำตอบจนอดถามต่อไม่ได้ “ไม่ดีใจกระนั้นหรือ เห็นคนอื่นปรบมือกันเกรียว”

หญิงสาวส่ายหน้า “ฉันเศร้ามากกว่า แสงอาทิตย์ยังไม่ทันได้ใช้แว่นแก้วสุรกานต์ก็ต้องตายเสียแล้ว”

ยักษ์หนุ่มมองดวงหน้าของหญิงสาวที่ยืนอยู่ด้วยความรู้สึกประหลาด

ร้อยปี…พันปี…ที่ผ่านมา…เพิ่งจะมีหล่อนเสียละมั้งที่เศร้าโศกกับความสูญเสียของเขา

ยักษ์หนุ่มจึงตัดสินใจทำในสิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อนในหลายร้อยปีที่ผ่านมา

เขาตัดสินใจจะเดินเป็นเพื่อนเพื่อไปส่งหล่อนที่บ้าน

ระหว่างที่เดินด้วยกัน แสงอาทิตย์กวาดตามองร่างของหญิงสาว หล่อนแต่งกายแตกต่างจากชาวสยามทั่วไป ใส่เสื้อคล้ายชุดของจีน แต่ชายเสื้อยาวกว่า และเมื่อหล่อนบอกว่าหล่อนมาจากตลาดน้อยก็ทำให้เขาพอจะเดาเผ่าพันธุ์ของหล่อนได้

“แม่เป็นญวนดอกหรือ”

หญิงสาวคนนั้นพยักหน้า “ปู่ฉันติดทัพขององเชียงสือ (2) เข้ามาในสยามตั้งแต่แผ่นดินพระพุทธยอดฟ้า ตอนนี้พ่อฉันก็รับราชการอยู่ที่กรมปืนใหญ่”

ในสมัยนั้น การพบเห็นชาวต่างชาติในพระนครไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาด ละแวกใกล้เคียงนั้น มีทั้งชุมชนชาวจีนที่ตั้งอยู่แถวตลาดน้อย ชุมชนชาวลาวบริเวณบางไส้ไก่ เฉพาะชุมชนของชาวญวน ก็มีทั้งบ้านญวนที่ปากคลองตลาดที่อพยพมาตั้งแต่สมัยพระเจ้าตากสิน บ้านญวนที่ตลาดน้อยที่นับถือพุทธอนัมนิกาย (3) และบ้านญวนที่สามเสนที่นับถือคริสต์

เขาเคยเห็นคนญวนเหล่านี้อยู่ ส่วนใหญ่ก็จะอยู่ในพื้นที่ของตนเอง ไม่มีใครที่ข้ามมาดูโขนแบบหญิงญวนคนนี้ที่บอกชื่อกับเขาว่าหล่อนชื่อ เฟืองมาย ส่วนเขาก็แนะนำตนเองว่าเขาชื่อแสง

เฟืองมายเกิดในแผ่นดินสยามหลังจากที่ปู่อพยพมาอยู่ในพระนคร แต่เธอไม่ค่อยได้ออกจากบริเวณชุมชนของตนเอง

ในสมัยนั้น การปกครองคนต่างชาติจะใช้วิธีให้คนที่ชาติพันธุ์เดียวกัน นับถือศาสนาเดียวกัน อยู่ในที่แห่งเดียวกัน ไม่ค่อยมีการผสมปนเปนัก แต่นั่นก็ทำให้เฟืองมายรู้สึกแปลกแยก

“วันนี้ตอนที่ไปดูโขน คนมองฉันเป็นตาเดียว” เฟืองมายระบาย “ฉันเป็นญวน แล้วมาดูโขนไม่ได้ดอกหรือ บางคนก็กระไรมาไล่ฉันให้ฉันไปดูญวนรำกระถาง (4) หรือไม่ก็ไปดูงิ้วแทน”

แสงอาทิตย์เข้าใจ ความรู้สึกไม่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับสิ่งที่ตนเองเป็นอย่างที่เฟืองมายมี ก็ไม่ได้ต่างจากที่เขามี

“วันหลัง…” แสงอาทิตย์ตัดสินใจพูดขึ้น “ถ้าอยากมาดูโขนอีก ฉันมาดูเป็นเพื่อนได้”

เฟืองมายหันขวับมาทางเขา ดวงตาเปล่งประกายอย่างสมหวัง “จริงนะจ๊ะพี่แสง ฉันอยากมาดู พี่แสงมาดูเป็นเพื่อนฉันนะจ๊ะ”

เพราะคำพูดนั้นของเฟืองมาย เลยทำให้ยักษ์หนุ่มที่คิดว่าจะลาขาดจากการดูโขนแล้ว ย้อนกลับมาดูครั้งแล้วครั้งเล่ากับหล่อน

 

เชิงอรรถ :

(1) บทละครที่เอ่ยถึงทั้งหมดมาจาก บทละครเรื่องรามเกียรติ์ฉบับพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช

(2) องเชียงสือ หรือ เหวงียน แอ๋ญ เป็นเจ้าชายที่ถูกกบฏเต็ยเซินไล่ต้อน จนหนีเข้ามาในสยามในรัชสมัยของพระบามสมเด็จพระพุทธยอดฟ้า หลังจากนั้นในราวปี พ.ศ.2329 องเชียงสือก็กลับไปรบที่เวียดนามจนชนะและได้ขึ้นเป็นกษัตริย์ กองกำลังส่วนหนึ่งขององเชียงสือถูกทิ้งไว้ที่พระนคร และกลายเป็นส่วนหนึ่งของต้นตระกูลชาวไทยเชื้อสายญวน

(3) พุทธนิกายมหายานที่สืบทอดมาจากเวียดนาม ปัจจุบันวัดแบบอนัมนิกายก็ยังคงอยู่หลายแห่ง เช่น วัดอุภัยราชบำรุง หรือ วัดญวนตลาดน้อย ที่ตลาดน้อย กรุงเทพฯ

(4) ญวนรำกระถางเป็นการแสดงชนิดหนึ่งของชาวญวนที่อพยพมาในสยาม

 



Don`t copy text!