ให้หัวใจได้นำทาง บทที่ 1 : คนสองคนผู้บังเอิญมาพบกัน

ให้หัวใจได้นำทาง บทที่ 1 : คนสองคนผู้บังเอิญมาพบกัน

โดย : ปรียนันทนา

Loading

ให้หัวใจนำทาง นวนิยายรักโรแมนติกโดย ปรียนันทนา เรื่องราวของปารัณ ชายหนุ่มที่ไปทำงานยังเมืองแบรสต์ ประเทศฝรั่งเศส และได้พบกับถนนสยาม ซึ่งราชฑูตโกษาปานเคยไปถวายพระราชสาส์น และเรื่องเหลือเชื่อก็เกิดขึ้น เมื่อเขานิมิตว่าเคยเป็นหนึ่งในคณะราชฑูต และได้พบรักกับสาวฝรั่งเศส นิยายออนไลน์ ที่ อ่านเอา อยากให้คุณได้ อ่านออนไลน์  ได้ลงจนจบบริบูรณ์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทางผู้เขียนใจดีมอบ 5 บทแรกไว้ให้อ่านกันที่อ่านเอาและหากติดใจอยากอ่านต่อ คุณผู้อ่านสามารถสั่งซื้อได้ที่เพจ มีน พงษ์ไพบูลย์

……………………………………………………..

-1-

 

ตารางเที่ยวบินแสดงเวลาเดินทางและประตูทางออกสายการบินต่างๆ ณ สนามบินสุวรรณภูมิปรากฏตรงหน้าชายหนุ่มร่างสูงใหญ่  หญิงสาวสวยเก๋ที่เดินตามหลังมาพูดสิ่งที่เธอต้องการทันที

“รัณ  เราขอกุญแจรถด้วย”

ปารัณมองหญิงสาวผู้เพิ่งเป็นอดีตคนรักได้เพียงไม่กี่ชั่วโมงด้วยความไม่เข้าใจ  เขากับนรียาหรือรียาคบกันมาตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย  ทั้งคู่เรียนคนละคณะแต่คงเป็นโชคชะตาที่นำพาให้เขาและเธอมาเจอกันในวิชาเลือกที่ทั้งคู่ลงเรียน  จากนั้นเพื่อนของทั้งสองฝ่ายก็เป็นกองเชียร์ให้ทั้งคู่รักกัน  ความรักของเขาและนรียาดำเนินไปแบบเรียบง่ายเพราะพัฒนามาจากความเป็นเพื่อน    แม้ว่านรียามักมีคนมาคอยตามจีบอยู่เสมอด้วยความสวยของเธอที่ลือกันไปทั่ว  แต่ปารัณก็เป็นผู้ชายที่ไม่หึงหวงคนรักเพราะเขาเชื่อใจเธอ  บางครั้งนรียาอาจหายไปเที่ยวกับเพื่อนหลายวันโดยที่ไม่ติดต่อเขา  แต่ชายหนุ่มก็ไม่กังวลเพราะเมื่อกลับมาเจอกันอีกครั้งนรียาก็ร่าเริงและทำให้เขาหัวเราะได้เสมอ

“เอาไปสิ  จะรีบไปงานไม่ใช่เหรอ”  ชายหนุ่มส่งกุญแจรถให้นรียา  รถคันนี้เขาและเธอซื้อร่วมกันโดยมีชื่อของฝ่ายหญิงเป็นเจ้าของ

“โชคดีนะรัณ”  นรียายิ้มให้อดีตคนรักอย่างจริงใจก่อนเดินลับไปในฝูงชน  ปารัณมองตามหญิงสาวไปจนสุดสายตาด้วยความรู้สึกทั้งเศร้าและโล่งใจ  อย่างน้อยเขากับเธอก็จากกันด้วยดี

อุณหภูมิที่ลดลงภายในอาคารทำให้เขาหยิบแจ็คเก็ตในเป้มาสวมและด้วยความรีบจึงทำให้หันไปชนกับชาวต่างชาติที่ทางเข้าเคาน์เตอร์เช็คอิน  เขาหันไปขอโทษก่อนจะเดินไปเข้าแถวแล้วก็พบว่าชาวต่างชาติคนเมื่อครู่ก็คงจะเดินทางเที่ยวบินเดียวกับเขาด้วย  เพราะชายสูงวัยท่าทางกระฉับกระเฉงมากับหญิงสาวคนหนึ่ง  ทั้งคู่เพิ่งเดินเข้ามาต่อแถวข้างเขานั่นเอง  เขาลอบมองรอยยิ้มหญิงสาวตามประสาช่างภาพที่ชอบถ่ายรูปพอร์ทเทรต  จมูกที่งามได้สัดส่วนไม่โด่งจนเกินไปเยี่ยงชาวยุโรปบางคน  ริมฝีปากกระจับมีสีชมพูอย่างเป็นธรรมชาติ  ส่วนใบหน้ารูปไข่นั้นมองดูเก๋ด้วยโหนกแก้มเล็กน้อยรับกับคางเรียวและหน้าผากโค้งมน  ผมหยักศกดำเงางามของเธอถูกรวบหางม้าไว้เผยให้เห็นรูปศีรษะที่สวยงาม  เขาเกือบคิดว่าเธออาจเป็นคนไทยเพราะผิวสีน้ำผึ้งที่คล้ายคนอาบแดดกับดวงตาสีน้ำผึ้งและคิ้วงามที่มีสีน้ำตาลเข้ม  หากแต่เมื่อเธอเอ่ยปากสนทนากับผู้ชายที่มาด้วยก็ทำให้เขากลับเข้าสู่ความเป็นจริงตรงหน้าที่เคาน์เตอร์นั่นเอง

“สวัสดีค่ะ”  เจ้าหน้าที่หญิงสาวทักทายผู้โดยสารเมื่อปารัณส่งพาสปอร์ตให้เธอก่อนจะย้ำอย่างหนักแน่นว่า

“ช่วยติดป้ายระวังแตกให้ผมด้วยนะครับ  อ้อ  ขอที่ริมทางเดินด้วยครับ”

“ได้ค่ะ  ไม่ทราบในนี้อะไรคะ”  หล่อนหมายถึงของในกระเป๋าสองใบของเขานั่นเอง

“รูปภาพกับอุปกรณ์สำหรับติดตั้งนิทรรศการครับ”  ปารัณตอบเสียงดังฟังชัดอย่างภาคภูมิ  แม้ว่ารอบกายชายหนุ่มไม่มีใครเข้าใจนอกจากเขากับพนักงานของสายการบินเพราะผู้เดินทางร่วมสายการบินเดียวกับเขานั้นคงมีแต่ชาวฝรั่งเศสเป็นแน่

ปารัณเดินเข้าด่านตรวจก่อนตรงไปยังประตูทางออกที่ซึ่งเครื่องบินจะพาเขาไปสู่จุดหมายปลายทางในอีกสิบสองชั่วโมงข้างหน้า  “ปารีส”  เมืองในฝันของศิลปินและคู่รักทั้งหลาย  แต่สำหรับเขามีเพียงข้อแรกเท่านั้นเพราะองค์ประกอบในข้อหลังได้เดินจากไปเรียบร้อยแล้ว  ชายหนุ่มนั่งหลับตารอเวลาเพื่อต้องการจะลืมโลกวุ่นวายเสียครู่หนึ่ง  โชคดีที่เขาฟังภาษาสนทนารอบกายไม่เข้าใจจึงทำให้คิดฆ่าเวลาได้ว่านี่คือเสียงเพลงอันไพเราะ  ปารัณไม่แน่ใจว่าทำสิ่งใดไม่ถูกใจอดีตคนรัก  เขาและเธอแทบไม่เคยทะเลาะกันเลย  เขามุ่งทำแต่งานเพราะนอกจากความใฝ่ฝันจะเป็นช่างภาพระดับโลกที่จัดแสดงงานอย่างน้อยปีละครั้งแล้ว  ความเป็นช่างภาพพอร์ตเทรตหรือภาพเหมือนบุคคลก็ทำให้เลื่องลือในวงการนิตยสารพอประมาณ  แม้ว่าเมื่อปลายปีที่แล้วสื่อสิ่งพิมพ์เริ่มปิดตัวกันไปหลายเล่มและทำให้ตารางเวลางานที่ได้รับการว่าจ้างน้อยลง  แต่โชคดีที่ครอบครัวของเขาไม่เดือดร้อนเรื่องเงินทอง  ชายหนุ่มมีที่ดินมรดกจากคุณยายผู้เป็นเศรษฐีนีเขาจึงยังคงทำงานตามใจปรารถนาได้ซึ่งข้อนี้เป็นเรื่องที่ไม่เกินความคาดหมายของพ่อแม่ผู้เกษียณจากตำแหน่งในระดับสูงแห่งกระทรวงหนึ่งในเมืองไทยนัก

การเดินทางไปฝรั่งเศสครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกของปารัณเพราะก่อนหน้านั้นเขามากับนรียาซึ่งเดินทางไปเยี่ยมญาติที่นั่น  ปารัณชอบความมีเสน่ห์ของเมืองหลวงอันโรแมนติกแห่งนั้นมาก  เขาถ่ายรูปไปมากพอประมาณสำหรับจัดนิทรรศการเดี่ยวในปลายปี  และเมื่อญาติของอดีตคนรักทราบว่าเขาเป็นช่างภาพที่เมืองไทยจึงแจ้งไปที่นรียาว่ามีแกลเลอรี่แห่งหนึ่งในปารีสจะจัดนิทรรศการเกี่ยวกับภาพที่ถ่ายด้วยฟิล์ม  หากเขาสนใจก็สามารถส่งประวัติและผลงานไปได้  ชายหนุ่มจึงไม่ลังเลที่จะคว้าโอกาสนี้  ช่วงเวลาหลายเดือนระหว่างการเตรียมงานที่เมืองไทยเขาต้องประสานงานเองทั้งหมดเนื่องจากไม่มีผู้ช่วย  ปกตินรียาเคยช่วยเขาบ้างแต่เวลานั้นหญิงสาวกลับปล่อยให้เขาทำงานอยูคนเดียวโดยที่เธอเตรียมตัวสำหรับการสอบเข้าเรียนปริญญาโท

“รียาไม่ค่อยว่างหรอกรัณ  เราต้องเตรียมสอบนะ”

“แต่งานนี้สำคัญมากนะรียาเราไม่อยากพลาด”  เขาจำได้ว่าบอกอดีตคนรักด้วยความหงุดหงิด  การเตรียมสอบเข้าเรียนจะไปสำคัญกว่างานของเขาที่ต่างประเทศได้อย่างไร

“ยังไงทางนั้นก็ตอบรับงานรัณแล้วนะ  ไม่น่ามีปัญหาหรอก  ขอเวลาเราอ่านหนังสือหน่อยนะรัณจะสอบเดือนหน้าอยู่แล้วจ้ะ”  เสียงหวานตอบกลับอย่างอ่อนใจ

“ก็ได้  ถ้ารียาไม่ช่วยเราก็คงว่าอะไรไม่ได้”  เขาจำได้ว่าวางสายใส่หญิงสาวอย่างหัวเสีย  แต่เมื่ออารมณ์เย็นลงก็เข้าใจได้ว่าตนเองอาจใจร้อนจนลืมคิดถึงความรู้สึกของอีกฝ่ายไป จากนั้นเขาจึงติดต่อไปที่รุ่นน้องคนหนึ่งให้ช่วยอ่านเอกสารภาษาอังกฤษที่ทางแกลเลอรี่ส่งมาให้โดยละเอียด  เขาและนรียาแทบไม่ได้คุยกันเลย  จนเวลาผ่านไปครบสามเดือนในวันนี้  ชายหนุ่มจึงได้ทราบทั้งข่าวดีและข่าวร้ายในเวลาเดียวกันคือนรียาสอบเข้าเรียนปริญญาโทได้แล้ว

“ดีใจด้วยนะรียา  ไว้เรากลับมาค่อยไปฉลองกันนะ”  เขาแสดงความดีใจอย่างจริงใจโดยลืมความขุ่นเคืองก่อนหน้านี้ไปแล้ว

“ขอบใจนะรัณ  เดี๋ยวเรารับรัณไปส่งที่สนามบินนะ”  หญิงสาวพูดก่อนวางสายไป  และสีหน้าเธอเมื่อมารับเขาที่บ้านนั้นทำให้ปารัณรู้ได้ว่ามีสิ่งผิดปกติแน่แล้ว

“รัณ  เราขอคุยด้วยก่อนไปสนามบินได้มั้ย”  หน้าหวานๆของหญิงสาวขรึมลงอย่างที่ปารัณไม่ค่อยได้เห็นนัก

“ได้สิ”  เขานั่งลงตรงโซฟาสีครามที่ตั้งตระหง่านกลางบ้านเบื้องหลังคือผนังสีเหลืองจำปาซึ่งมีภาพขาวดำของหญิงสาวโดยฝีมือการถ่ายภาพของเขาประดับอยู่

“ช่วงนี้เราแทบไม่ได้คุยกันเลยนะรัณ”   หญิงสาวพูดขณะนั่งลงตรงข้ามปารัณ

“ยุ่งๆกันทั้งคู่เนอะ”  เขาพูดพร้อมพยักหน้าขณะที่ภายในใจเริ่มรู้สึกถึงความตึงเครียดที่ก่อตัว

“เราคบกันมานานแล้วนะรัณ”  นรียาบอกชายหนุ่มด้วยสีหน้าเคร่งขรึม  “แต่ที่ผ่านมาเหมือนไปกันคนละทางเลย”

“อือ”  ชายหนุ่มตอบรับเสียงเบา

“เราว่าที่เราทั้งสองคนคบกันมาได้นานขนาดนี้เพราะว่าเรารักกันแบบเพื่อนด้วยเนอะ  รัณคิดเหมือนเรามั้ย”

“ก็คงใช่  รียามีอะไรก็พูดมาตรงๆเหอะ  เราเข้าใจ”  ปารัณมองหน้าหญิงสาวคนรักอย่างสุขุม

“ช่วงนี้รียาว่าเราห่างกันสักพักก็ดีนะรัณ  จะได้มีเวลาทบทวนเรื่องที่ผ่านมา  รียาคงจะต้องเรียนหนักส่วนรัณก็ต้องจริงจังกับงานมากขึ้นใช่มั้ย”  ปารัณมองนรียาผู้ซึ่งพูดจบก็ส่งยิ้มให้เขาด้วยความเศร้าแกมโล่งใจ

“เราเข้าใจนะรียา  แล้วแต่รียาละกัน”

ปารัณไม่ทักท้วง  ไม่อ้อนวอนร้องขอรวมทั้งถามถึงสาเหตุและขอแก้ไขปรับปรุงตัวอย่างที่ควรจะทำ  คำว่าห่างกันสักพักของหญิงสาวก็ไม่ได้ต่างจากการบอกเลิกเลย  เพียงแต่เจ้าตัวอาจไม่อยากพูดตรงๆเท่านั้น  น่าแปลกที่ลึกลงไปแล้วเขาไม่ได้รู้สึกผิดหวังกับบทสรุปเช่นนี้นัก  มีแค่เพียงรู้สึกเสียดายที่ความรักไปไม่สุดทาง  แต่หากจะให้เขาตอบคำถามถึงปลายทางเขาก็ไม่มีภาพนั้นในหัวเช่นกัน

“แล้วรัณจะกลับเมื่อไหร่ล่ะ  เดี๋ยวเรามารับเอง”  นรียารู้สึกว่าอย่างน้อยเธอกับเขาก็ยังมีความเป็นเพื่อนที่แน่นแฟ้นมาแทนที่

“ก็เสร็จจากปารีสเราจะไปเมืองแบรสต์  ไปหาณฐด้วย”  เขาหมายถึงรุ่นน้องนามว่าณฐผู้ที่อยู่อยู่ชมรมเดียวกันสมัยมหาวิทยาลัย

“อ้าวเหรอ  แต่ก็ดีนะ  เที่ยวให้สนุกนะรัณ”

“ไปเถอะ  เดี๋ยวรียาต้องไปงานต่อนี่”

“จ้ะ”

เสียงประกาศเรียกผู้โดยสารขึ้นเครื่องดังขึ้น  ปารัณลุกขึ้นสะพายเป้คู่ใจก่อนจะเดินไปต่อแถวก่อนคนอื่น  ตอนนี้เขาสังเกตเห็นหญิงสาวคนนั้นอีกครั้งเพราะเธอลุกมาต่อแถวข้างเขาด้วย  ชายสูงวัยที่มาด้วยกันคงเป็นพ่อของเธอแน่แล้วเพราะเขาได้ยินเธอเรียกว่า “ปาป้า” แม้เป็นภาษาฝรั่งเศสที่เขาฟังไม่เข้าใจหากแต่คำว่าพ่อและแม่ค่อนข้างจะเป็นคำที่เข้าใจง่ายและเป็นสากลทั่วโลก

เวลาผ่านไปครู่หนึ่งกระทั่งผู้โดยสารขึ้นเครื่องเรียบร้อย แอร์โฮสเตสสาวแห่งสายการบินประเทศปลายทางของเขาก็เริ่มเดินสำรวจความเรียบร้อยระดับเก้าอี้และเปิดหน้าต่าง  ปารัณนั่งริมทางเดินจึงสามารถมองอย่างเพลิดเพลินไปได้รอบๆ  เขาเห็นว่าหญิงสาวต่างชาติคนนั้นนั่งอยู่ริมทางเดินตรงข้างเขานั่นเอง  เมื่อเธอหันมาสบตาเขาจึงก้มศีรษะพร้อมกับส่งยิ้มสยามไปให้อย่างจริงใจ

จากนั้นชายหนุ่มก็หยิบไอแพดมาเล่นเกมส์อย่างไม่สนใจสิ่งรอบตัว  แม้ว่าเขามีอาชีพช่างภาพที่ยังใช้ฟิล์มอยู่แต่ชายหนุ่มก็ไม่ได้ปฏิเสธเทคโนโลยีที่อำนวยความสะดวกเหล่านี้  เขาเล่นเฟซบุ๊ค  มีไลน์  มีโทรศัพท์มือถือที่สามารถถ่ายภาพได้เป็นทางเลือกที่สะดวกสบายสำหรับเวลาพักผ่อนเช่นกัน

 

มนสิชาหรือมนมีอีกชื่อหนึ่งว่าโมนีค  เธอเป็นสาวสวยลูกครึ่งไทย-ฝรั่งเศสผู้พูดภาษาฝรั่งเศสได้ชัดเจนส่วนภาษาไทยก็ชัดแจ๋วเนื่องจากมารดาจะไม่ยอมคุยด้วยหากเธอไม่พูดภาษาไทย  ส่วนบิดาผู้กล่าวเสมอว่าตนอาจมีบรรพบุรุษเป็นชาวสยามแต่มนสิชาคิดว่าคงจางไปหมดแล้วเพราะพ่อของเธอมีดวงตากลมลึกแบบฉบับชาวยุโรป  รวมถึงสีผมและสีผิวของพ่อไม่มีสิ่งใดบ่งบอกว่ามีเชื้อสายชาวเอเชียอยู่เลย  ถึงอย่างไรก็ดีมนสิชาก็รู้สึกว่าตนเองมีความเป็นคนไทยมากกว่าฝรั่งแม้ขณะที่เธอสื่อสารออกมาจะเป็นภาษาอื่นก็ตาม

พนักงานต้อนรับบนเครื่องทำหน้าที่อย่างขยันขันแข็ง  มนสิชาหันไปขอบคุณเมื่อได้รับการขอร้องจากเจ้าหน้าที่ให้ปรับพนักเก้าอี้ตั้งตรง    เมื่อเงยหน้าขึ้นมาเธอจึงเห็นว่ามีชายหนุ่มมองอยู่  เขาคงมองหล่อนมาสักครู่แล้วหญิงสาวจึงส่งยิ้มให้อย่างจริงใจเพราะอย่างน้อยก็เป็นคนไทยด้วยกัน

“มน เจ้าหนุ่มคนนั้นมองลูกไม่วางตาเลยนะ”  ฟร็องซัวพ่อของเธอบอกพร้อมยิ้มให้ลูกสาวอย่างเอ็นดู

“ไม่มีอะไรหรอกมั้งคะ  คงคิดว่าหนูเป็นฝรั่งอีกตามเคย”  มนสิชาชินแล้วกับสายตาของชายไทยที่มักคิดว่าหล่อนคือหญิงต่างชาติ

“ไม่เกี่ยวหรอกน่าว่าจะเป็นคนไทยหรือฝรั่งเศส  ที่สำคัญคือเขาคงมองว่าลูกพ่อสวย”  พูดจบสองพ่อลูกก็หัวเราะออกมาด้วยความชอบใจ

“ที่แม่เราเค้ายังไม่กลับมาคราวนี้คงมีเรื่องอีกตามเคยนะ”

“ไม่หรอกมั้งคะ  อาจจะแค่ช่วยจัดการบางอย่างให้เรียบร้อยก็ได้ค่ะ”  สองพ่อลูกคุยกันถึงหญิงอีกคนผู้เป็นที่รัก  มนสิชามองพ่ออย่างเข้าใจเพราะแม่อยู่จัดการเรื่องของพี่ชายต่างบิดาของเธอจึงทำให้ไม่เดินทางกลับมาพร้อมกัน

“ถ้าแม่เราเค้าจะอยู่ต่อพ่อก็ไม่ได้ว่าอะไร  ก่อนหน้านี้พ่อก็บอกให้พาพี่ของมนมาอยู่ด้วย  แม่ของลูกก็ไม่ยอม”

“คงเพราะพี่อยากอยู่กับยายด้วยมั้งคะ”  พี่ชายของหล่อนชื่อธาตรีเป็นลูกชายคนแรกของแม่กับสามีเก่า  ความจริงแล้วพี่ชายเธอเป็นคนดีไม่ได้มีปัญหามากมายเหมือนที่คนนอกรวมทั้งพ่อของหล่อนเข้าใจ  แต่คนที่มีปัญหาจริงๆคือพี่สะใภ้ต่างหาก  กลับไปเมืองไทยครั้งนี้มนสิชาก็ได้เห็นจริงดังที่แม่เคยเล่าว่าพี่สะใภ้เป็นคนฟุ้งเฟ้อ  เงินเดือนของพี่ธาเกือบครึ่งแสนไม่เคยพอ  ไม่ใช่เพราะมีลูกยังเล็ก  หากแต่เป็นแม่ของเด็กที่คอยแต่หารายจ่ายโดยไม่มีรายรับเลย  แม้ว่าแม่ส่งเงินไปสำหรับเป็นค่าเลี้ยงดูหลานย่าคนแรกเป็นประจำ  แต่พี่สะใภ้ของมนสิชามักหาเรื่องอ้างภาระเลี้ยงดูอันหนักหนาและหน้าที่ของความเป็นแม่และหลานสะใภ้ที่ต้องคอยดูแลยายของหล่อนเสมอ

“เรื่องนั้นพ่อก็เข้าใจ  วัฒนธรรมของคนไทยมักอยู่กับพ่อแม่ซึ่งเป็นเรื่องที่พ่อชอบนะถึงได้แต่งงานกับแม่เค้าไง  แต่ว่าอยู่แล้วก็ต้องไม่เป็นภาระกันสิ  นี่พี่สะใภ้เราน่ะหาเรื่องอ้างใช้เงินไปเรื่อย  แต่ของไม่มีถึงหลานสักนิด  มนไม่เห็นหรือ”

“เห็นสิคะ”  มนสิชาจำภาพที่แม่และตนเองส่งของฝากให้หลานสาวอายุสามขวบได้ดี  เสื้อผ้าเด็กแสนน่ารักที่แม้ว่าเป็นสินค้าลดราคา  หากก็มียี่ห้อเป็นที่รู้จักทำให้พี่สะใภ้ของเธอหยิบมาดูอย่างพอใจแต่ก็ไม่ได้มีท่าทีพอใจที่ลูกของตนได้รับของฝาก  ความรู้สึกยินดีนั้นดูเหมือนมีนัยยะซ่อนอยู่  มนสิชาเพิ่งรู้เพียงไม่กี่วันก่อนเดินทางกลับว่าพี่สะใภ้เป็นคนชอบเล่นการพนันและสังสรรค์กับกลุ่มเพื่อนเสมอ  หากวันไหนที่เธออ้างว่าจะออกไปซื้อของให้ลูกนั่นหมายความว่าเธอจะกลับบ้านดึก  ทิ้งภาระให้พี่ชายของมนสิชาต้องดูแลลูกคนเดียว  ยังดีที่มียายคอยช่วยดูอยู่ห่างๆ

“พ่อว่าไม่น่ารอด”

“หนูไม่มีความเห็นนะคะ  แม้จะรู้สึกว่าพ่อพูดมีเหตุผลก็ตาม”  มนสิชามองผู้เป็นบิดาอย่างเข้าใจจากนั้นเป็นเวลาที่พนักงานบนเครื่องกำลังเตรียมเสิร์ฟอาหาร  ความสนใจของสองพ่อลูกจึงเปลี่ยนไปสู่สิ่งที่อยู่ตรงหน้าแทน

“พ่อเอาอะไรดีคะ  ไก่หรือปลา”

“ปลาดีกว่า”  หญิงสาวหันไปบอกแอร์โฮสเตสสาวสวยที่ส่งยิ้มให้  มนสิชาคอยดูแลใส่ใจผู้เป็นบิดาอย่างเต็มใจแม้เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยแต่เธอก็ยินดี

“ขอให้เจริญอาหารนะคะ”

“ขอบคุณค่ะ”  มนสิชาเอ่ยขอบคุณแอร์โฮสเตสในขณะที่รู้สึกว่ากำลังถูกมองอีกครั้ง  ก่อนหน้านี้เธอเห็นเขาขะมักเขม้นเล่นเกมส์ในไอแพดอย่างเอาจริงเอาจังจนรู้สึกว่าเขาคงเป็นพวกหลงใหลเทคโนโลยีมากมาย  หากไม่บังเอิญได้ยินเสียก่อนตอนที่ชายหนุ่มเช็คอินว่าเขากำลังเดินทางไปแสดงงานนิทรรศการภาพถ่ายที่ปารีส  มนสิชาคิดว่าอย่างน้อยเขาก็น่าจะมีความละเอียดอ่อนพอสมควร  แต่ถึงอย่างไรก็ไม่ได้เกี่ยวกับเธอ  เพราะอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้านี้ผู้โดยสารภายในเที่ยวบินเดียวกันนี้ก็ต้องแยกย้ายกันไปคนละทางตามแต่เงื่อนไขในชีวิตของตนเอง  เขาก็คงเป็นคนไทยคนหนึ่งที่เธอเคยเจอที่สนามบิน  ส่วนเธอก็คงเป็นหญิงสาวต่างชาติที่เขาเคยจ้องมองแล้วผ่านไป  ทุกเหตุการณ์ในวันนี้จะเป็นเพียงอดีตที่หากโชคดีว่าใครสักคนจำได้ก็คงเพียงแค่เป็นเสี้ยวหนึ่งในชีวิตเท่านั้น  หญิงสาวยิ้มตอบกลับไปอีกครั้งแล้วหันไปทางผู้เป็นพ่อ

“ลูกไม่คิดจะคุยกับเค้าหน่อยเหรอ  อย่างน้อยก็แสดงตัวว่าเป็นคนไทย”

“อย่าเลยค่ะพ่อ  คงไม่ได้เจอกันอีกหรอก  แต่ถ้าเค้าอยากรู้จักหนูจริงๆเค้าก็ต้องกล้าเข้ามาทักสิคะ”

“ดีจริงลูกสาวพ่อ  แบบนี้เมื่อไหร่จะมีแฟนกับเค้าสักทีล่ะ”

“ไม่มีนี่ไม่ดีเหรอคะ  อยู่กับพ่อกับแม่ดีจะตาย”

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า”

สองพ่อลูกหัวเราะครื้นเครงพร้อมกันอย่างอารมณ์ดี  เสียงหัวเราะช่วยชูรสให้มื้อค่ำบนเที่ยวบินยาวนานออกรสมากขึ้น

 

แสงไฟเจิดจ้ารบกวนเวลานิทรารมย์ของใครหลายคนรวมทั้งชายหนุ่มด้วย  ปารัณหันไปมองรอบกายก็เห็นผู้ร่วมทางอีกจำนวนหนึ่งกำลังหลับสนิท  เขาพลิกนาฬิกาข้อมือดูเวลาที่ยังเป็นเวลาประเทศไทยก็พบว่าใกล้จุดหมายปลายทางแล้ว  คู่รักที่นั่งข้างซ้ายเขาเริ่มตื่น  ส่วนทางด้านขวามือเขาก็เห็นหญิงสาวคนนั้นตื่นแล้วเช่นกัน  ครั้งนี้เขาไม่กล้ามองเธอตรงๆจึงทำได้เพียงลอบมองและเห็นว่าผมยาวสลวยได้รับการรวบขึ้นไปหลวมๆเผยให้เห็นเสี้ยวหน้าด้านข้างที่งดงามราวรูปสลัก  แม้ผ่านเวลาหลายชั่วโมงบนเครื่องที่แม้แต่ตัวเขาซึ่งเป็นชายหนุ่มผู้ไม่ใส่ใจเรื่องของตนเองมากนักยังรู้สึกว่าริมฝีปากและในตาแห้ง  แต่สำหรับเธอนั้นดูเหมือนจะคงความงามไว้ได้อย่างสม่ำเสมอเพราะริมฝีปากกระจับคู่นั้นยังมีสีชมพูระเรื่ออย่างเป็นธรรมชาติ  อีกทั้งใบหน้าไม่ปรากฏร่องรอยความเหนื่อยอ่อนเลย  เขารีบลุกไปห้องน้ำเมื่อเห็นว่าไม่มีคนต่อแถวแล้วเพื่อที่่ขากลับจะได้ประทับดวงหน้างดงามนี้ไว้ในใจอีกครั้ง  ก่อนที่ทั้งสองคนต่างที่มาผู้บังเอิญมาพบกันจะจากกันไกลในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า



Don`t copy text!