ล่ารักสุดขอบฟ้า บทที่ 4 : เทพีแสงจันทร์

ล่ารักสุดขอบฟ้า บทที่ 4 : เทพีแสงจันทร์

โดย : พิมพ์อักษรา

Loading

ล่ารักสุดขอบฟ้า นิยายออนไลน์ โดย พิมพ์อักษรา หญิงสาวชาวเชียงใหม่ผู้หลงใหลในความงามของอักษร แม้เธอจะเคยมีผลงานวนิยายมาแล้วหลายเรื่อง หาก ล่ารักสุดขอบฟ้า เป็นผลงานในแนวจินตนิยายที่ อ่านเอา ภาคภูมิใจนำเสนอ และเป็นหนึ่งในนิยายได้รับรางวัลชมเชยจากโครงการอ่านเอาก้าวแรกรุ่นที่ ๑ ที่เราอยากให้คุณได้ อ่านออนไลน์

——————————–

ภาคต้น : นาวาแห่งดินแดนอันเหน็บหนาว

– 4 –

 

เรือโคลงเคลง เสียงลมหวีดหวิวอยู่ภายนอก พายุขนาดย่อมคงกำลังเคลื่อนเข้ามา เป็นเหตุปกติเมื่อเรือเดินทางผ่านมหาสมุทรกว้างใหญ่มาสู่อีกน่านน้ำที่มีภูมิอากาศแตกต่างกัน

นี่คงจะเข้าสู่เขตอบอุ่นขึ้นมากระมัง นางถึงไม่รู้สึกหนาวยะเยือกเหมือนเคย ไม้ที่ปิดช่องแสงเริ่มแตกกร่อน ไอชื้นทำให้ไม้เริ่มพองบวม รอยแยกน้อย ๆ เริ่มขยายขึ้นพอให้เห็นลำแสงตะวันเจิดจ้า หากมิมากพอให้สัมผัสแสงจันทร์

“พวกอาวุธ เครื่องมือนั้นนายเรือจะระมัดระวังเป็นพิเศษ ป้องกันคนในเรือใช้เป็นอาวุธยึดเรือ ไม่เหมือนพวกเสื้อผ้าหรืออาหารที่หยิบมาเท่าไรใช่จะมีใครสน”  บุรุษที่อ้างตัวว่าชื่อโรอันบอกนางเช่นนั้น เขากลายเป็นความเคยชินของนางไปเสียแล้ว คอยเข้ามาพบเยี่ยมเยียนทุกราตรี มีผลไม้ อาหาร แลน้ำดื่มมาให้เสมอ

ครั้งนี้เขาลอบนำถังน้ำเข้ามาให้ชำระร่างกาย

“ท่านคงเหม็นข้าเต็มที” หญิงสาวพูดกลั้วหัวเราะ “แต่ข้าชำระร่างกายมิได้หรอกนะโรอัน มิเช่นนั้นตุ่มอัปลักษณ์นี้จะพลอยถูกชะล้างหายไปด้วย เกิดวันดีคืนดีโปนินหรือคนอื่นมาพบเข้าความจะแตกเสียก่อน”

เขาเคยจุมพิตมือนางอย่างไร้รังเกียจ เข้าใกล้นางอย่างอ่อนโยน ย่อมแสดงว่าเขารู้ดีว่านางใช้ยางไม้พรางตา จึงไม่ต้องปกปิดอันใดกับเขาในเรื่องนี้…

ชายหนุ่มฉลาดรอบรู้ถึงเพียงนี้ หญิงสาวจึงมั่นใจว่าเขาไม่ใช่กุลีรับใช้ทั่วไปเป็นแน่

“ยางไม้นี้ทิ้งได้ไม่เกินเดือนจะคันยุบยิบ ท่านทนได้อีกไม่นานหรอก”

“ข้าพกยางไม้ติดตัวไว้ แต่มีไม่มาก รอจนทนไม่ไหวจริง ๆ ก่อนก็แล้วกัน”

“งั้นข้าจะสระผมให้แทน”

ทาวีญไม่มีกุญแจไขพันธนาการที่มือนาง จึงจัดแจงให้นอนราบแล้วค่อย ๆ บรรจงราดน้ำลงบนกลุ่มผมยาวสลวยสีน้ำตาล เขารอบคอบกระทั่งหาสมุนไพรเครื่องหอมต่าง ๆ มาในการชำระเส้นผม

สัมผัสจากมือเขานุ่มนวล อ่อนโยนชนิดที่ไม่น่าใช่มือของชนชั้นกรรมาชีพ นวดเข้าที่หนังศีรษะอย่างตั้งใจให้ผ่อนคลาย ตักน้ำรดแล้วลูบถนอมเส้นผมอย่างเบามือ

“ไม่เคยมีบุรุษใดเข้าใกล้ข้าถึงเพียงนี้มาก่อน” ซีมายน์เปรยขึ้น ดวงตาคมสีเขียวกับจมูกโด่งคมสันที่ลอยอยู่แค่คืบบนใบหน้าชวนให้ใจไหวระทึก  “ท่านดีกับข้าเหลือเกินโรอัน ดีจนข้าไม่สนอีกแล้วว่าท่านจะเป็นใครมาจากไหน หรือต้องการอะไรจากข้า”

มือเขายังคงลูบรดทำความสะอาดเส้นผมนางอย่างถนอม ริมฝีปากหยักหนาอยู่ใกล้ใบหน้านางแค่ช่วงฝ่ามือ เขายิ้มให้อย่างอ่อนโยน

“ข้าไม่ได้ต้องการอะไรจากท่านเลย ข้าอยากเพียงช่วยท่านให้รอดพ้นจากความตายเท่านั้น”

“พวกเขาจะปล่อยข้าที่เกาะคนคุกเดนตาย ท่านเคยได้ยินหรือไม่”

“เคย… ที่นั่นมีแต่นักโทษโหดร้าย หากไม่เหี้ยมไม่แกร่งจริง ยากนักที่จะรอดตายได้”

ซีมายน์ขนลุกเกรียว ใจฝ่อขึ้นมาเมื่อได้ยิน

“ข้าจะโดดลงทะเลหนีไปเสียตั้งแต่ถึงเกาะแล้วไปตายเอาดาบหน้าก็ไม่รู้จะมีโอกาสหรือเปล่า”

“ข้าเกรงแต่ว่าท่านจะถูกฆ่าเสียตั้งแต่ยังไม่ทันถึงเกาะเสียด้วยซ้ำ เพราะไม่ค่อยมีใครอยากเสี่ยงล่องเรือไปถึงที่นั่น กลัวจะถูกไอ้พวกนักโทษบ้าเลือดมันจับเป็นตัวประกันแล้วบังคับพากลับฝั่งเอา ที่พอจะเป็นไปได้คือพวกมันอาจจะปล่อยท่านลงเรือเล็กเมื่อเข้าใกล้น่านน้ำเกาะให้ไปเผชิญชะตากรรมตามลำพัง แถวนั้นลือกันว่ามีน้ำวน อันตรายรอบด้าน หรือไม่อย่างนั้นก็ฆ่าทิ้งตอนถึงเวลต้าเพราะเห็นว่าท่านเป็นโรคร้าย มิควรคลุกคลีอยู่ใกล้ เวลต้าเป็นเมืองอ่าวเปลี่ยวร้าง กระทำการได้สะดวก”

“ถ้าอย่างนั้นสู้มันฆ่าเสียตั้งแต่บนเรือตอนนี้แล้วโยนลงทะเลไปไม่ง่ายกว่าหรือ”

“ผู้ที่สั่งให้ท่านมากับเรือนี้คงมีคำสั่งพิเศษบางประการ หรือมิเช่นนั้น การฆ่าท่านบนเรือแล้วโยนทิ้งทะเลไปนั้นค่อนข้างเอิกเกริก อย่าลืมว่าเรื่องการลอบขนนักโทษมากับเรือสินค้ายังเป็นความลับ”

“ไม่ว่าอย่างไรข้าก็คงต้องตายอยู่ดี” ซีมายน์เสียงแผ่วลงเมื่อนึกถึง ‘คนที่สั่งให้มากับเรือนี้’ เป็นไปได้อย่างไรว่าพี่หญิงเนริซาจะคิดการร้ายซับซ้อนเพียงนั้น ถ้าพระนางอยากสังหารจริงคงลงมือไปนานแล้ว

“เล่าเรื่องเมืองไฟให้ข้าฟังอีกซีโรอัน ข้าชอบฟัง มันช่างเกินกว่าที่ข้าสามารถจินตนาการได้ เมืองที่เต็มไปด้วยภูเขาไฟและดินสีดำแดง หินร้อนหลอมเหลวที่เรียกว่าลาวานั้นเป็นอย่างไรข้าก็นึกไม่ออก มันร้อนถึงขนาดไหนกันหนอ ข้าอยู่แต่กับน้ำแข็ง หิมะ ไม่ค่อยรู้เรื่องดินแดนอื่นนอกเหนือจากที่ร่ำเรียน อ่านหนังสือเท่านั้นหรอก”

“มันร้อนเกินกว่าจะเรียกว่าน่าสนุกนะไลแลค”  เขาเรียกชื่อนางตามสีดวงตาและกลิ่นหอมจากเรือนกาย และแม้จะสงสัยว่าเขารู้ชื่อเสียงเรียงนามที่แท้จริงของนาง หากซีมายน์ก็ยังไม่อยากพูดมากเกินจำเป็น กลับพอใจกับชื่อไลแลคที่เขาเรียกเสียด้วยซ้ำ

“คนเมืองไฟก็เลยใจร้อน อารมณ์แรง และค่อนข้างทรหดอดทน พวกเราจึงมองหาดินแดนใหม่ ๆ ที่อุดมสมบูรณ์ อากาศอบอุ่น ปลูกพืชพันธุ์ธัญญาหารได้ดี”

“ท่านดูแสนจะใจเย็น มิได้อารมณ์ร้อนสักนิด”

“ข้าต้องรอนแรมหลายแห่งหน ต้องปรับตัว” บุรุษผิวสีน้ำตาลละเอียดหัวเราะ เห็นฟันขาวซี่เล็กเรียงกันเป็นระเบียบดูสดชื่น ดวงตาเขียวอ่อนสบดวงตาสีไลแลคของซีมายน์เข้าพอดิบพอดี

“ภูมิประเทศอาจกำหนดนิสัยส่วนหนึ่ง แต่อย่างไรเสียก็มาจากพื้นเพ สันดานเดิม ดูอย่างเอียโลสิโรอัน ท่านคงได้ยินมาบ้าง พระราชาองค์ใหม่ทรงดุร้ายเหลือเกิน ทั้งกระหายเลือด ทั้งโปรดการทำสงครามขยายดินแดน ทั้งที่เอียโลเป็นเมืองน้ำแข็ง หนาวเย็น คนเมืองเราควรจะรักสงบ รักสันโดษ เก็บเนื้อเก็บตัวแท้ ๆ”

บุรุษแปลกหน้าจากเมืองฟูโอโคบรรจงซับผมนางอย่างเบามือ ซีมายน์นึกสงสัยและอบอุ่นใจไปในคราวเดียวกัน เขาเป็นใครกันหนอแล้วเหตุใดจึงดีกับนางถึงเพียงนี้…

เขาไม่ใช่ชาวเรือสามัญธรรมดา เขารอบรู้และท่องโลกกว้างอย่างเจนจัด และที่สำคัญเขาสัญญาจะช่วยนางให้รอดจากเงื้อมมัจจุราช

โรอันทำให้นางมีความหวัง และไม่อยากตาย…

ความอบอุ่นก่อตัวขึ้นกลางท้องเรืออันชื้นอับและมืดมิด มีเพียงแสงอันน้อยนิดจากตะเกียงให้พอมองเห็นกันและกัน เขาเล่าไปถึงการผจญภัยออกจากเมืองไฟอันร้อนระอุเรื่อยมาจนถึงดินแดนอันหนาวเย็นอย่างเอียโล ทุกคืนจะเล่าทิ้งท้ายให้นางตื่นเต้น รอคอยที่จะได้ฟังเรื่องราวโลดโผนนั้น

เขาแกร่งและเก่งเกินกว่าจะเป็นแค่พ่อค้าหรือพรานป่าอย่างที่เล่า ชะรอยเขาคงเป็นคนสำคัญของฟูโอโค

ชายหนุ่มกลับออกไปเมื่อใกล้รุ่ง และหายไปอีกเกือบสองวัน เขาหายไปยาวนานเช่นนี้ทุกครั้งที่เรือแวะเมืองท่าต่างๆ เพื่อขายสินค้า รวมถึงซื้อหาของกลับมาด้วย  แต่ละครั้งก็จะมีอาหารแปลก ๆ และข้าวของใหม่ ๆ ติดมาฝากนางด้วยเสมอ

“ข้าไปเจอยางไม้กับสีที่ท่านใช้ทำตุ่มหนองน่าเกลียดนั่นที่ตลาดเมืองฟีรา” โรอันชูห่อผ้าด้วยหน้าตาตื่นเต้น “น่าแปลกที่ของพวกนี้ไม่ขึ้นในอากาศหนาวเย็นอย่างเอียโล และมิใช่ทุกคนจะรู้วิธีพรางตัวเช่นนี้”

ซีมายน์นิ่งไปหากในใจระทึก… ฟีรา เมืองหลวงแห่งซาร์กอน เมืองมาตุภูมิแห่งเจ้าหญิงอาเมเลียผู้เป็นพระมารดา!

ไม่แปลกใจที่โรอันจะเจอยางไม้สมุนไพรที่นั่นเพราะสมัยที่พระมารดายังมีพระชนม์อยู่นั้น มักทรงสั่งสินค้าพวกเครื่องหอมแลสมุนไพรจากซาร์กอนเป็นประจำ รวมถึงถ่ายทอดสั่งสอนพระธิดาถึงวิธีอำพรางตัวให้อัปลักษณ์ป้องกันภัย

“แล้วข้ายังไปได้กล่องเครื่องมือมาอีกนะ เล็ก ๆ เท่านั้นละไม่ได้ใหญ่อะไร แต่ลองดูว่าจะช่วยได้หรือไม่” เขาใช้ปลายเหล็กแหลมเล็กที่ได้จากกล่องเครื่องมือสะเดาะกุญแจให้นาง ชายหนุ่มทำได้อย่างรวดเร็วและชำนาญจนซีมายน์นึกสงสัยในประวัติของเขาอีกครั้ง

หญิงสาวบิดข้อมือด้วยความยินดี

“ข้าเป็นอิสระแล้ว อย่างน้อยก็พอจะช่วยเหลือตัวเองได้บ้างเวลาพ้นไปจากเรือ”

“เอากุญแจมือติดไว้ใกล้ตัวก่อนเถิด เผื่อเจ้าพวกนั้นมันเกิดอยากตรวจดูขึ้นมา ความจะแตกเอา”

เมื่อมือเป็นอิสระ ซีมายน์นึกอยากอาบน้ำขึ้นมาทันที โรอันแอบนำถังน้ำมาเตรียมไว้ให้ตั้งแต่ก่อนจะแวะเมืองท่า เขารู้ว่านางคงเริ่มคันจนทนไม่ไหวในอีกไม่ช้า

“แล้วท่านจะยืนมองให้ข้าเปลือยชำระร่างกายให้ท่านชมเช่นนั้นน่ะหรือ หยิบตะเกียงและเดินไปมุมนู่นซี สุภาพบุรุษย่อมไม่แอบมองสตรีทำธุระส่วนตัว”

เลือดฉีดจนผิวหน้าสีน้ำตาลละเอียดนั้นกลายเป็นสีแดง เขาดูเก้อเขินก้มหน้าก้มตาหยิบตะเกียงเดินไปสุดขอบห้องใต้ท้องเรือ หันหน้าเข้าชิดผนัง

ซีมายน์ถอดผ้ากระสอบเนื้อหยาบอย่างรวดเร็ว พร่างพรมน้ำขัดถูร่างให้สมกับที่เหนียวเหนอะ ทนคันคะเยอมาเป็นเวลานาน กลิ่นหอมอ่อนจางของสมุนไพรค่อยเคลือบร่างแทนกลิ่นยางไม้เก่าหืน ชำระคราบเหนียวตุ่มหนองจอมปลอมนั้นไปหมดสิ้น

มิรู้เลยว่า ‘สุภาพบุรุษ’ นั้นแทบจะซ่อนเสียงหัวใจเต้นโครมครามเอาไว้ไม่มิด เมื่อเผลอหันหน้าออกจากฝาเรือ เห็นร่างขาวผ่องวอมแวมใต้แสงตะเกียง จนเมื่อเรือโคลงเข้าทีหนึ่งจึงได้สติหันกลับเข้าฝาเช่นเดิม

ห้าราตรีถัดมา จันทราดวงโตลอยเคลื่อนไปถึงกึ่งกลางนภากาศ ทอแสงทองกระจ่างตัดกับความมืดมิดเวิ้งว้างรอบด้าน คืนวันเพ็ญเช่นนี้ชาวฟูโอโคไม่ได้ให้ความสำคัญเท่าไรนักเพราะในเมืองไฟนั้นเถ้าควันภูเขาไฟมักบดบังจันทรายามราตรีอยู่เสมอ เทพีจันทราอาร์เมเดียของฟูโอโคจึงไม่เป็นที่นับถือบูชาเท่าเทพองค์อื่น ต่างจากชาวเมืองเอียโลที่มีการเฉลิมฉลองแลบูชาสักการะเทพีจันทราเดเนียของพวกเขาด้วยเครื่องเคราอาหารชั้นดี สวดบริกรรมบำเพ็ญกันเป็นเรื่องเป็นราว ราตรีบนเรือสินค้าแห่งนี้จึงมีทั้งความสงัดเงียบและเสียงสรวลเสเฮฮาสลับกันไป

เมื่อย่ำค่ำเป็นช่วงสวดบริกรรมเมื่อเทพีจันทราเริ่มเยี่ยมหน้าทักทายราตรี เสียงสวดมนต์ดังกระหึ่มขึ้นพร้อมเพรียงก่อนจะเงียบลงเมื่อเข้าสู่ภวังค์แห่งการสงบสำรวมสมาธิ จากนั้นจึงเป็นการเลี้ยงเฉลิมฉลองด้วยเหล้ายาปลาปิ้งยาวนานไปจนกระทั่งเดือนเต็มดวงเคลื่อนสู่ใจกลางโพยม ทอรัศมีกระจ่างสว่างจ้าจึงได้ทำการเซ่นสรวงด้วยอาหารหวาน น้ำผึ้ง แลดอกไม้หอม บังเกิดความเงียบเข้าครอบงำอีกครั้งไปจนหมดโมงยาม

แม้มิมีผู้ใดสงสัย หากทาวีญก็ไม่ต้องการให้ผิดสังเกตจึงเข้าไปรวมกลุ่มกับบรรดาผู้คุมนายเรือ และจับกังแรงงานเหล่านั้นด้วยลักษณาการบุรุษต่างเมือง ผู้ดูซื่อ เซ่อ และไร้พิษสง ทั้งที่จิตใจแล่นโลดไปถึงสตรีใต้ท้องเรือ

“เมืองไฟของเจ้าเขาไม่บูชาเทพีจันทราเดเนียหรือ แล้วเขาบูชาเทพองค์ใดบ้างเล่า” ดรุณีงามนางหนึ่งอาศัยช่วงชุลมุนก่อนเข้าช่วงสำรวมที่เครื่องเซ่นพลีถูกยกขึ้นไปวางบนแท่นไม้สูงอาบแสงจันทร์เข้ากระซิบถามพลางช้อนสายตาวิบวับ เบียดกายเข้ามาใกล้อย่างจงใจ

ทาวีญขยับกายอย่างอึดอัด ท่าทางอาญญ่าโจ่งแจ้งเสียจนเขากลัวบรรดาชาวเรือจะนึกขวาง อย่างไรเขาก็เป็นคนต่างเผ่า ถูกมองเป็นคนนอกเสมอสำหรับลูกเรือทุกคน ไม่มีใครอยากเห็นสาวน้อยหน้าตาจิ้มลิ้มอันเป็นขวัญใจและอาหารตาชาวเรือมาสนใจหนุ่มต่างถิ่นไม่มีหัวนอนปลายเท้ามากกว่าคนเผ่าพันธุ์เดียวกัน

“เทพีจันทราเราก็เคารพกันอยู่บ้างตามนอกเมือง แต่มิได้มีพิธีกรรมสำคัญมากเท่าเทพสุริยัน ที่นั่นเราเรียกสุริยเทพว่าอาพัล มิใช่เทพโซลุมอย่างคนที่นี่ (1) ” เขาตอบอย่างประหยัดถ้อยคำ พยายามเลือกเฟ้นถ้อยคำที่ไม่ดูทรงภูมิเกินความรู้จับกังแรงงาน ไม่ได้อธิบายต่อว่าผู้คนในดินแดนบาราไนอัสมีความคิด ความเชื่อเรื่องเทพเจ้าแตกต่างจากนอร์เดนโดยสิ้นเชิง และแม้ฟูโอโคเองก็มีความเชื่อบางประการที่แตกต่างจากอาณาจักรเพื่อนบ้าน

“แต่ข้าก็เป็นเพียงแรงงานเรือร่อนเร่ อยู่กับคลื่นลมทะเลจนแทบมิได้บำบวงอยู่บ่อยครั้ง ต้องปรับตัวตามเมืองที่ไป” กล่าวจบก็ตัดบท “นี่แน่ะ เรามาสงบเงียบ สงวนถ้อยคำเป็นพลีถวายเทพีจันทราเสียเถิด อย่าเพิ่งพูดจายามนี้เลย”

อาญญ่าค้อนให้อย่างมีจริตหากก็ยอมเงียบไปเมื่อภายในเรือเงียบสงัด ชาวเรือนิ่งสงบกลางทะเลราตรีอันมีแสงจันทร์สุกสว่างอาบไล้ทุกชีวิตบนเรืออย่างทั่วถ้วน สีหน้าทุกคนล้วนเปี่ยมสุข… ดูชาวเอียโลจะนิยมบูชาแสงจันทร์อย่างยิ่งยวด ตลอดเวลาร่วมสองปีในเอียโลทำให้ทาวีญตระหนักว่าชาวน้ำแข็งนับถือบูชาเทพีเดเนียไม่แพ้เทพโอดินาร์ แลอาจจะมากกว่าเทพีไฟรกาเสียด้วยซ้ำ โดยเฉพาะคนเดินทางยามราตรี

ลมพัดหวีดหวิว เกลียวคลื่นกระเพื่อมไหวน้อย ๆ ก่อให้เกิดเส้นแสงและรูปเงาประหลาดตาใต้แสงศศิธร

ทาวีญนึกถึงนักโทษสาวใต้ท้องเรือ… นางเอ่ยเป็นทำนองว่าอยากเห็นแสงจันทร์ยามค่ำคืนแต่ถูกปิดช่องแสงเอาไว้หมดสิ้น เขานึกเห็นใจ… การอยู่อย่างโดดเดี่ยวในที่มืดมิดอับทึบมิรู้วันคืนเช่นนั้นย่อมเป็นที่น่าหวาดหวั่นสำหรับผู้หญิงสาวสวยบอบบาง หากขณะเดียวกันก็ประหลาดใจ เพราะอันที่จริงหญิงสาวดูเข้มแข็งกว่าที่คาดไว้ มิได้มีอาการตระหนกขวัญหนีดีฝ่ออย่างที่เขาคิด ทั้งที่ใต้ท้องเรือนั้นไร้แสง มืดมิดและเยียบเย็น

และก็น่าแปลกอีกเช่นกันที่นางไม่เอ่ยถึงแสงตะวัน ทั้งที่น่าจะให้ไออุ่นและขับไล่ความมืดมิดได้ดีกว่าแสงจันทร์ แต่ก็คงเพราะคนเอียโลนับถือจันทรามากกว่าดวงตะวัน ตามความเชื่อเก่าแก่ดั้งเดิมว่าโซลุมโกรธเกลียดมนุษย์จึงสาปให้พบกับความหนาวเย็นชั่วนาตาปี ต่างจากเดเนียทีปลอบประโลมมนุษย์และนำทางสว่าง คุ้มภัยในความมืด อีกทั้งยังอ้อนวอนโซลุมให้ปรานีมนุษย์ สุริยเทพจึงยอมปรากฏให้คนนอร์เดนเห็นอยู่เพียงไม่กี่เดือนในหนึ่งปี

‘แล้วข้าจะหาทางเอาอุปกรณ์มางัดเปิดช่องแสง ช่องลมให้ท่าน’ เขาให้สัญญานางไปเช่นนั้นเมื่อกลับเข้าไปหานางอีกครั้ง และอีกครั้ง ‘กล่องเครื่องมือที่ได้มาจากตลาดนั้นใช้เปิดไม่ได้’

ในคืนที่แสงจันทร์เพ็ญสุกสกาวกระจ่างเช่นนี้เขาอยากให้นางเห็นนักแล…

ขุนพลเมืองไฟรีบสลัดศีรษะเมื่อรู้สึกว่าตัวเองชักจะเผลอคิดถึงแต่นักโทษสาวเอียโลนางนั้นอยู่บ่อยครั้ง นับตั้งแต่ได้เข้าไปพบนางใต้ท้องเรือครั้งแรกเขาก็ลบภาพนางไม่ได้สักนาที คอยแอบเข้าไปส่งข้าวส่งน้ำและหาเสื้อผ้าใหม่ให้นางเปลี่ยน คอยนั่งเป็นเพื่อนคุย เล่าเรื่องเมืองไฟและการผจญภัยในดินแดนต่าง ๆ อาศัยความกลัวเชื้อโรคและความเกียจคร้านของพวกผู้คุมโดยขันอาสาทำหน้าที่น่ารังเกียจนั้นแทน แรก ๆ พวกมันก็ไม่ค่อยวางใจเท่าไร แต่ทาวีญทำตัวขยันขันแข็ง คอยช่วยเหลือทำตัวเหมือนข้ารับใช้เจ้าแรงงานพวกนั้นอีกทีพวกมันจึงชอบใจที่ได้แสดงอำนาจเหนือกว่าผู้อื่นบ้าง จนค่อย ๆ คลายใจให้เขาทำหน้าที่ส่งข้าว ส่งน้ำให้นักโทษแทน

บุรุษเมืองไฟซ่อนยิ้ม… เจ้าพวกนั้นแสนเขลาดูไม่ออกว่าหญิงสาวผู้นั้นซ่อนเนื้อตัวอันโสภาไว้ใต้โรคร้ายปลอม ๆ… สายลับที่พรางตัวเจนจัดอย่างเขารู้จักไอ้ยางไม้เหนียว ๆ เคี่ยวสมุนไพรนั้นเป็นอย่างดี มันทั้งเหนียว ทั้งเหม็นหืนชวนคลื่นเหียน และทำให้เกิดสีกะดำกะด่างดูพุพองไปทั้งตัว มิแปลกที่เจ้าพวกคนคุมถึงได้บ่ายเบี่ยงรังเกียจจะเข้าใกล้ดูแลนักโทษ

ด้วยความที่ไม่เคยมีใครเข้าใกล้นางนอกจากเขา จึงไม่มีผู้ใดได้กลิ่นหวานหอมเย็นดุจดอกไม้ป่ายามอรุณจากกายนักโทษสาวผู้นั้น มันโชยแทรกกลิ่นยางเหม็นหืนนั้นอย่างแยบยล และยิ่งนานวันเข้ากลิ่นนั้นยิ่งหอมแรงจัดขึ้นจนเขากลัวนางจะปิดความลับไว้มิได้หากผู้คุมอื่นมาเจอเข้า

ผู้หญิงแบบไหนกันถึงมีกลิ่นกายหอมจรุงทั้งที่เนื้อตัวสกปรกเปรอะเปื้อน… นางมิใช่ผู้หญิงธรรมดาสามัญนั้นเขาทราบดี

แต่ความ ‘พิเศษ’ ของนางคงเป็นภัยที่ทำให้ตกอยู่ในชะตากรรมเช่นนี้

 

เชิงอรรถ : 

(1) เทพอาพัล หรือ เทพสุริยันเป็นโอรสของเทพีซีนาแห่งแสงสว่างตามความเชื่อในแถบบาราไนอัส และเป็นเทพที่ชาวฟูโอโคนับถือบูชาอย่างมาก ขณะที่ชาวนอร์เดนเรียกว่าเทพโซลุม เป็นบุตรของเทพแห่งความร้อนซีครันกับลูกครึ่งยักษ์ และเป็นหลานโอดินาร์



Don`t copy text!