ล่ารักสุดขอบฟ้า บทที่ 5 : หอมรัก

ล่ารักสุดขอบฟ้า บทที่ 5 : หอมรัก

โดย : พิมพ์อักษรา

ล่ารักสุดขอบฟ้า นิยายออนไลน์ โดย พิมพ์อักษรา หญิงสาวชาวเชียงใหม่ผู้หลงใหลในความงามของอักษร แม้เธอจะเคยมีผลงานวนิยายมาแล้วหลายเรื่อง หาก ล่ารักสุดขอบฟ้า เป็นผลงานในแนวจินตนิยายที่ อ่านเอา ภาคภูมิใจนำเสนอ และเป็นหนึ่งในนิยายได้รับรางวัลชมเชยจากโครงการอ่านเอาก้าวแรกรุ่นที่ ๑ ที่เราอยากให้คุณได้ อ่านออนไลน์

——————————–

ภาคต้น : นาวาแห่งดินแดนอันเหน็บหนาว

– 5 –

 

แสงสว่างยังคงอาบไล้ผืนฟ้าสีน้ำหมึกอยู่อีกหลายโมงยาม กลิ่นอายเค็มคาวแห่งผืนน้ำโชยมาเป็นระยะ เสียงสรวลเสเฮฮาดังกระหึ่มขึ้นอีกครั้งหลังจากการบวงสรวงเทพีจันทราจบลง

“แน่ใจหรือว่าจะมิอยู่ร่วมวงสนทนากับพวกเราต่อ” โปนิน หัวหน้าผู้คุมพิเศษถามขึ้นเมื่อเห็นทาวีญเตรียมขอตัวไปนอน “มีเมรัยและนารีเพียบพร้อมถึงเพียงนี้แต่เจ้ากลับเมิน”

“โรอันเพิ่งท้วงข้าว่าตามประเพณีนั้น พิธีบูชาเทพีจันทราไม่ควรร่ำสุรายาเมา เขาคงไม่อยากผิดบาปแบบพวกเรา อย่าไปบังคับเขาเลย” จาร์ล หัวหน้านายเรือใหญ่ผู้คุมสินค้าออกตัวแทน นึกเอ็นดูแรงงานชาวฟูโอโคในความซื่อและเรียบร้อย

โปนินยักไหล่

“ตามใจซี ข้ามิได้บังคับเสียหน่อย เพียงแต่ชวนดูเท่านั้น พวกเราออกทะเลกันมาหลายราตรี และต้องอยู่ไปอีกหลายเดือน สิ่งบันเทิงเริงรมย์บนเรือไม่มีอะไรมากนอกจากสุราและนารี หากไม่มีสองสิ่งนี้เห็นทีจะเบื่อตายไปเสียก่อน ข้าแค่เป็นห่วงพ่อหนุ่มเมืองไฟก็เท่านั้น”

“ขอบพระคุณท่านโปนินที่เมตตา” ทาวีญเอ่ยอย่างนอบน้อม ยกผู้คุมขึ้นสูงกว่าที่จำเป็น “บ้านเมืองข้าถือวัตรปฏิบัติเคร่งครัดในช่วงพิธีกรรมบำบวงทั้งหลาย ข้าชินเสียแล้วกับการงดเว้นความบันเทิงเริงรมย์ เชิญพวกท่านสนุกสำราญกันเถิด” เขาหันมาโค้งศีรษะให้จาร์ลอีกครั้งเพื่อแสดงความซาบซึ้ง

“เจ้าไม่อยู่ก็ดีเหมือนกัน โรอัน” นายเรืออีกคนแทรกขึ้นอย่างเห็นขัน “มิเช่นนั้นนางพวกนั้นคงเอาแต่ชม้อยชม้ายชายตา เฝ้าอยากปรนนิบัติเจ้ากันหมด มิไยดีพวกเรา”

“ก็มันเป็นของแปลก หน้าตาก็คมสันไม่เหมือนพวกเรา ผิวพรรณแปลกตา สาว ๆ ก็ย่อมสนใจ” จาร์ลเสริมขึ้น มองไปที่แรงงานเมืองไฟอย่างนิยมชมชอบ โรอันมารยาทงาม ขยันขันแข็ง ไม่เกี่ยงงาน หนักเอาเบาสู้ รูปร่างหน้าตาดีจนแม้เป็นชายด้วยกันก็ต้องเหลียวมองซ้ำ เขาแลดูเหมือนนักรบมากกว่ากุลีรับจ้าง

หนุ่มเมืองไฟเคยเล่าที่มาของตนเองไว้ว่า

‘ข้ามากับขบวนสินค้าของฟูโอโค แต่โชคร้ายโดนโจรปล้นกระเส็นกระสายไปคนละทิศละทาง รอนแรมอยู่นานจนมาถึงเมืองเอียโล โชคดีได้พ่อเฒ่าเบงคาแห่งโรงหนังหมีรับไว้ทำงานให้เป็นคนเดินส่งสินค้าพ่อเฒ่ามากับเรือ’

โรอันไม่เพียงสนใจเฉพาะหนังหมีที่ได้รับมอบหมายอย่างเดียว หากยังเอื้อเฟื้อดูแลแทนคนอื่นให้ได้รับความสะดวกสบาย ท่าทางองอาจเกินกุลีขนสินค้าจึงถูกมองข้ามไปด้วยอุปนิสัยเหล่านี้

“แล้วเจ้าคิดจะกลับฟูโอโคบ้างหรือไม่เล่า” อีกคนถามขึ้นอย่างใคร่รู้

“หากมีโอกาสก็คงได้กลับ แต่กลับไปก็ต้องเริ่มต้นใหม่ ข้าตัวคนเดียว ไร้ญาติขาดมิตรเสียแล้ว”

“น่าเสียดายที่ฟูโอโคไม่ติดทะเล อีกทั้งมิใกล้เมืองท่าที่เรือเราจะจอดขนส่งสินค้า มิเช่นนั้นคงจะส่งท่านกลับเมืองไฟได้ เอ้า ท่าทางง่วงนอนเสียเต็มแก่แล้ว ไปนอนเถอะพ่อหนุ่ม”

 

เสียงหัวเราะครื้นเครงดังไล่หลังมาขณะที่ทาวีญเดินเลี่ยงไปยังห้องเครื่องด้านล่าง ถอนหายใจยาวโล่งอกเมื่อไม่เห็นบรรดาหญิงรับใช้ อีกทั้งยังไม่เห็น อาญญ่า ทิลด้า และฮันน่า สามสาวดาวเด่นที่คอยให้ความสุขแก่ ‘กลุ่มพวกหัวหน้า’ ทั้งหลายบนเรืออยู่ที่นั่น พวกนางคงจะวุ่นอยู่กับการปรนนิบัติพะเน้าพะนอหัวหน้านายเรือพวกนั้น ยามราตรีนั้นเป็นช่วงสำเริงสำราญและเวรยามความระแวดระวังหละหลวม

บุรุษเมืองไฟอาศัยความว่องไวค่อย ๆ บรรจุน้ำใส่ถุงหนัง คว้าผลไม้และอาหารแห้งใส่กระสอบ เรือสินค้าเอียโลเป็นเรือลำยักษ์ พื้นที่กว้างขวางใหญ่โต ห้องหับมากมาย บรรทุกทั้งผู้คนและสินค้าจำนวนมากจึงมีห้องเครื่องขนาดมหึมา มีเสบียงล้นเหลือเพียงพอสำหรับทำอาหารไปได้จนเข้าฝั่ง การที่ทาวีญลอบนำเสบียงอาหารบางส่วนไปให้นักโทษสาวใต้ท้องเรือจึงไม่ก่อให้เกิดความผิดปกติใด ๆ

ขุนพลเมืองไฟค่อย ๆ ย่างเท้าลงบันไดไปสู่ใต้ท้องเรืออย่างระแวดระวัง ฝีเท้าเขาเบาเสมอแม้รู้ว่าปลอดคน หากชายหนุ่มไม่เคยวางใจ การเป็นสายลับทำให้เขาระมัดระวังไปทุกฝีก้าว

ยิ่งเหยียบย่างลงบันไดลึกไปเท่าไรกลิ่นหอมหวนคล้ายดอกไลแลคเจือน้ำผึ้งหวานก็เริ่มแรงจัด แรงกว่าทุกครั้งที่ได้เคยกลิ่น เพราะครั้งนี้มันแทรกลอยผ่านบานประตูไม้และเหล็กกล้าออกมาถึงบันได…

เคาะประตูสองครั้ง สลับสามครั้งเป็นสัญญาณจึงเปิดเข้าไป สาวงามใต้คราบอัปลักษณ์มองตรงมาด้วยประกายตายินดี

“นึกว่าจะไม่มาเสียแล้ว ข้ารอฟังเรื่องเล่าจากเมืองไฟต่อแทบมิไหว อยากไปเห็นสักครั้งหนึ่ง”

ทาวีญใจเต้นแรงดั่งกลองรัวเมื่อหญิงสาวคว้ามือเขาเขย่าเหมือนเด็กน้อย กลิ่นหอมรัญจวนนั้นยิ่งทำหัวใจเขาเตลิดเพริด

“ก่อนจะเล่าต่อ… ข้าขอถามอะไรบางอย่าง”

“อะไรหรือ บอกไว้ก่อนนะโรอัน ข้าไม่มีเรื่องเล่าสนุกๆ  อย่างท่านหรอก”

ดวงตาสีม่วงของนางเป็นประกาย ริมฝีปากอิ่มสีแดงเรื่อไม่แตกแห้งเหมือนเมื่อแรก ท่าทางเป็นมิตรและไว้วางใจเขาขึ้นเรื่อย ๆ แม้จะยังระมัดระวังเนื้อตัวอยู่บ้างหากก็คลายกลัวเกรงไปมาก ยิ้มและหัวเราะให้เขามากขึ้นอันยิ่งทำให้หัวใจชายหนุ่มปั่นป่วน และเมื่อผสานกับกลิ่นหอมหวานที่ระเหยจากเรือนกายยิ่งทำให้ใจเต้นรัว

“ยิ่งใกล้วันเพ็ญ ตัวท่านจะมีกลิ่นบุปผาหอมขจรขจาย และพอถึงวันเทพีจันทราเยี่ยมฟ้า วันนั้นกลิ่นหอมนั้นจะฟุ้งกำจรแรงที่สุด ข้าพูดถูกหรือไม่”

ร่างอรชรในชุดผ้ากระสอบชะงักไปอึดใจ ก้มลงดมกลิ่นตามแขนขาตนเองแล้วอ้ำอึ้งก่อนถอนใจยาว

“ข้าไม่ได้กลิ่นหรอก”

“เป็นไปได้อย่างไร กลิ่นหอมแรงถึงเพียงนี้ แรก ๆ ข้าก็ไม่ค่อยได้กลิ่นชัดเท่าไร แต่นับวันกลิ่นยิ่งหอมฟุ้งทวีจนวันนี้ ท่านจะไม่ได้กลิ่นได้อย่างไร” ทาวีญท้วง

“ข้าไม่ได้กลิ่น… จริง ๆ” หญิงสาวยืนยัน ตาสีม่วงระยับสบตาเขาแน่วนิ่ง “มันก็เป็นเช่นนี้แลโรอัน ข้าไม่ได้กลิ่นหอมของตัวข้าเอง รู้แต่ว่าถ้าได้อาบแสงเดือนบ้างกลิ่นนั้นจะค่อยบรรเทาลง”

ทาวีญรู้สึกวูบวาบ ดวงตาพร่าลายเมื่อกลิ่นหอมหวานรบกวนประสาทสัมผัสทุกส่วน ดวงตาวาววามใต้แพขนตาหนาและริมฝีปากระเรื่อชวนให้หวามไหว

ขุนพลเช่นเขาไม่เคยหวั่นไหวเพลี่ยงพล้ำ เขาทนต่ออุปสรรค ชนะศัตรูมาทุกรูปแบบ แล้วกับแค่กลิ่นรัญจวน นัยน์ตาสีลูกหว้า และผิวละเอียดละมุนอ่อนใสของสตรีตรงหน้าเขากลับแทบต้านทานไม่อยู่

คงเป็นเพราะเขานึกรักนางตั้งแต่ที่เห็นครั้งแรกบนหลังม้าสีดำพ่วงพีตัวนั้นกระมัง

แว่วเสียงหญิงสาวอธิบายเรื่องแสงจันทร์กับกลิ่นกายอยู่แว่ว ๆ จากนั้นก็เงียบหายไปเมื่อกลีบปากสีเรื่อดุจกุหลาบถูกปิดสนิทด้วยริมฝีปากร้อนผะผ่าวของเขา ความละมุนแทรกซ่านบนกายที่เริ่มรุมร้อน หากใต้กลีบปากบอบบางนั้นช่างหวานหอมไม่มีทีสิ้นสุด

นานเท่านาน เมื่อหญิงสาวผละออกจากจุมพิตหวานล้ำอันมิทันตั้งตัว เขาเห็นนางสะท้านไปทั้งร่าง ดวงหน้าใต้แสงไฟสลัวแดงก่ำ มองเขาอย่างโกรธระคนสับสน

“ท่านฉวยโอกาสกับข้า” นางยกมือริมฝีปากอย่างตระหนก “ท่านนี่มัน… ไม่น่าไว้ใจจริง ๆ ด้วย”

“ขอโทษเถิด ข้ามิได้ตั้งใจล่วงเกิน” บุรุษเมืองไฟอึกอักเมื่อได้สติ “ข้าไม่ขอแก้ตัวใด ๆ ข้าห้ามใจมิได้จริง ๆ มันจะไม่เกิดขึ้นอีก ข้ามิอาจเสี่ยงต่อความไว้ใจของท่าน”

นักโทษสาวนิ่งอึ้ง มองบุรุษตรงหน้าอย่างค้นคว้า ทาวีญยืนนิ่งไม่หลบตา

“ท่านห้ามใจมิได้เพราะตัวข้า หรือเพราะกลิ่นหอมของข้ากันเล่าโรอัน”

ขุนพลเมืองไฟนิ่งทั้งที่คำตอบผุดขึ้นมาง่ายดาย

“ส่วนข้า…” นางสืบเท้าเข้ามา ผมสีน้ำตาลอ่อนละเอียดราวกลุ่มไหมปรกหน้ารุ่ยร่าย “ห้ามใจมิได้เพราะตัวท่าน โรอัน”

จุมพิตผะแผ่วบนริมฝีปากหนาทำให้ทาวีญสะท้าน คล้ายดอกไม้แย้มกลีบบางล่อหลอกแมลงเข้าไปดูดชิมน้ำหวานเสียเอง ทั้งยั่วเย้าแลหวานละมุน จนเมื่อภมรหนุ่มเพลิดเพลินได้ที่ บุปผางามก็หวงเกสรเอาเสียดื้อ ๆ ผละออกจากร่างบึกบึนแข็งแรงแล้วกลับไปนั่งนิ่ง ๆ คล้ายไม่มีอะไรเกิดขึ้น

บอกแล้วอย่างไรเล่า ว่านาง ‘ธรรมดา’ เสียที่ไหนกัน

ซีมายน์ลอบมองบุรุษเมืองไฟผู้มีสายตาว้าวุ่นจ้องมองอยู่ตรงบานหน้าต่างที่ถูกปิดสนิทประหนึ่งว่าแผ่นไม้ที่ตอกปิดนั้นน่าสนใจเสียเต็มประดา ก่อนจะง่วนกับการงัดแงะมันอย่างเอาจริงเอาจัง หญิงสาวอมยิ้มทั้งที่ในใจก็ว้าวุ่นสับสนไม่แพ้กัน หัวใจยังระทึกไหวราวกับจะโลดออกมานอกอก สัมผัสอ่อนหวานเมื่อสักครู่นั้นช่างยวนเย้าดึงดูดยิ่งนัก คลื่นบางอย่างที่ก่อตัวมาตั้งแต่แรกพบจนวันนี้เริ่มทรงพลังมหาศาล จุมพิตและสายตาที่สบประสานกันบอกความรู้สึกนั้นได้ชัดเจน

นางไม่คิดว่าจะไว้ใจคนแปลกหน้าได้ง่ายดายเช่นนี้ หากก็ยอมรับว่าอบอุ่นใจอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน…รู้สึกไม่เกรงกลัวสิ่งใดอีกแล้ว

“ข้าชื่อซีมายน์ที่แปลว่าเทพีแห่งจันทรา” อดีตเจ้าหญิงแห่งเมืองน้ำแข็งเริ่มต้นประโยคที่ตั้งใจไว้

“ท่านจะเรียกข้าว่าไลแลคเช่นเดิมก็ได้ มานั่งข้าง ๆ ข้าเถิดโรอัน ข้าไม่มีสิ่งใดปิดบังท่านอีกต่อไป” นางยื่นเรียวแขนทั้งสองให้เขาไขกุญแจมือออก

ร่างสูงสง่าหันมาแววตาประหลาดใจวูบหนึ่ง เขาเดินมานั่งข้างนางอย่างว่าง่าย ไขพันธนาการข้อมือนางออกให้อย่างชำนาญมากขึ้น ความว้าวุ่นในดวงตาเลือนหายไป มีแต่ความจริงจังและมั่นคง

“ท่านรู้อยู่แล้วว่าข้าเป็นใคร” ซีมายน์ยิ้มน้อย ๆ “แต่ท่านก็รอให้ข้าเป็นผู้เปิดเผยด้วยตนเอง”

“ท่านพร้อมแล้วหรือ”

“พร้อมสิ ไม่มีอะไรที่ข้าต้องกลัวอีกแล้ว” นางตอบเด็ดเดี่ยวอย่างตัดสินใจได้ “ความเป็นหรือความตายนั้นใกล้กันนิดเดียว ประโยชน์อันใดที่ต้องปิดบัง ยามนี้ข้ามีเพียงท่านเท่านั้น”

“ข้าเป็นธิดาของอดีตพระราชาเวอร์มอนนิคัสแห่งเอียโลกับเจ้าหญิงอาเมเลียแห่งซาร์กอน อาณาจักรอันเกรียงไกรแห่งคาบสมุทรอนาโตเลีย”

เรื่องราวลื่นไหลจากปากนางอย่างง่ายดาย ตั้งแต่พระมารดาถูกส่งมาเป็นบรรณาการอภิเษกกับกษัตริย์เฒ่าเวอร์มอนนิคัสแห่งเอียโล แม้เป็นของแปลกในราชสำนัก แต่ก็ได้รับความรักความเอาใจใส่จากพระราชาอย่างดี ถึงกระนั้นเจ้าหญิงอาเมเลียก็ยังคิดถึงซาร์กอนอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน และพร่ำบอกธิดาเสมอว่าสักวันจะพากลับซาร์กอนให้ได้ ตัวนางนั้นเกิดในเอียโล เห็นแต่ผลึกน้ำแข็งและหิมะขาวโพลนตั้งแต่จำความได้จึงตื่นเต้นใฝ่ฝันจะไปเยือนซาร์กอนให้ได้สักครั้งในชีวิต หญิงสาวเล่าเรื่อยมาจนถึงความรักใคร่กลมเกลียวกันในหมู่พี่น้องโดยเฉพาะนางกับเจ้าหญิงเนริซาที่แม้ว่าเป็นพี่น้องต่างมารดาก็ไม่เคยทะเลาะเบาะแว้งให้ขัดเคืองใจ และถึงราชินีบลังก้าจะดูไม่ค่อยโปรดนางกับเจ้าหญิงอาเมเลียมากนัก หากก็ต่างคนต่างอยู่ไม่ได้สุงสิงกันเท่าไร

เมื่อเจ้าหญิงอาเมเลียสิ้นพระชนม์ เนริซาก็ยิ่งทรงเอาใจใส่ดูแลนางเป็นอย่างดี จนกระทั่งเมื่อพระราชบิดาสิ้นพระชนม์ในสนามรบนั้นเองที่ชีวิตซีมายน์ถึงจุดพลิกผัน เจ้าหญิงเนริซาขึ้นครองบัลลังก์เป็นราชินีแห่งเอียโล หลงใหลได้ปลื้มแม่ทัพอลันจนอภิเษกและสถาปนาเขาขึ้นเป็นกษัตริย์ ราชันองค์ใหม่บ้าอำนาจ เที่ยวก่อศึกระรานเมืองใหญ่น้อยไปทั่ว ราชินีเนริซาเองก็ทรงดูเปลี่ยนไปมาก โอนอ่อนเชื่อตามพระสวามีไปทุกเรื่อง และยังดูเย็นชาขึ้นกว่าเก่า แทบไม่เหลือเค้าพี่สาวใจดีคนเดิม

“พี่หญิงอาจจะหึงหวงข้ากับอลันก็เป็นได้ เพราะอลันอยากแต่งตั้งข้าเป็นสนมเอกมานานแต่พี่หญิงไม่ยอม” ซีมายน์ถอนหายใจยาว “ข้าเองก็ปฏิเสธตลอด ไม่ได้นึกรักคนพรรค์นั้นเลยสักนิด และไม่อยากผิดใจกับพี่หญิงด้วย”

“แต่อลันเองก็พยายามเข้าหาข้าเสมอ คอยส่งข้าวของมากำนัลบ้าง หรือยกให้ข้าเป็นผู้ควบคุมดูแลนางในของเขาบ้าง หรือแม้แต่คอยให้ถวายงานใกล้ชิด แต่ข้าก็บ่ายเบี่ยงเอาตัวรอดมาได้ทุกครั้ง จนกระทั่งคืนนั้นที่มีคนพบยากำหนัดในสุธารสชาที่ข้าเป็นผู้ถวายอลัน และยาพิษในโอสถที่ข้าถวายพี่หญิง”

“บังเอิญเกินไป” บุรุษเมืองไฟครุ่นคิด “ท่านมีศัตรูอื่นใดในปราสาทอีกหรือไม่”

เจ้าหญิงนักโทษส่ายหน้า

“ข้านึกไม่ออกเลยจริง ๆ ตั้งแต่เกิดมาใช่จะเคยมีเรื่องมีราวกับใคร… อยู่ดี ๆ ก็มีคนมาใส่ความว่าข้าเป็นผู้ลงมือ พวกเขาพบกริชสั้นประจำตัวแม่ข้าตกอยู่ข้าง ๆ เป็นหลักฐานว่าข้าเป็นคนเข้าไปในห้องพี่หญิง” ซีมายน์ถอนใจยาวก่อนจะหันมามองหน้าเขา รอยยิ้มบาง ๆ ระบายทั่วหน้า

“ข้าต้องถูกประหาร แต่พี่หญิงลอบส่งข้ามากับเรือ หวังให้ข้าหาทางรอดเองด้วยมนตร์จันทร์เพ็ญ ข้าจะใช้มนตร์นี้ได้ก็ต่อเมื่อได้อาบแสงจันทร์วันเทพีจันทราเยี่ยมฟ้า พอช่องแสงถูกปิดหมดข้าก็แทบหมดหวังที่จะมีชีวิตรอดจนมาเจอท่าน ข้าไม่สนใจอะไรอีกแล้วโรอัน อยู่เป็นอยู่ ตายเป็นตายเถิด อย่างน้อยชีวิตนี้ได้รู้จักท่าน ข้าก็มีความสุขแล้ว”

“เราจะต้องรอดไปด้วยกัน” ชายหนุ่มเน้นหนักแน่น “ไปอยู่เมืองไฟกับข้า เว้นแต่ว่าท่านอยากจะกลับไปทวงความยุติธรรมที่เอียโล”

“ข้าไม่กลับเอียโลแล้วละ ถือเสียว่าตัวเองได้ตายจากเมืองน้ำแข็งไปแล้ว แม่ข้าก็ไม่อยู่แล้ว ไม่มีอะไรต้องห่วง ข้ายินดีจะไปทุกแห่งหนกับท่าน… โรอัน” หญิงสาวสบตาบุรุษเมืองฟูโอโคแน่วแน่ มองเห็นประกายไหวระริกในดวงตาสีเขียวสะท้อนความรู้สึกเฉกเช่นเดียวกันกลับมา

“อันที่จริง ข้ามีนามว่า…”

“นามใดไม่สำคัญหรอก ท่านไม่จำเป็นต้องบอกข้าหากมันเป็นความลับแสนสำคัญ” นิ้วเรียวยื่นมาปิดปากเขา  “ข้าไม่อยากรู้อะไรมากไปกว่าว่าเรารู้สึกตรงกัน และจะอยู่ด้วยกันตลอดไป”

“ซีมายน์ หัวใจข้าเป็นของท่านตั้งแต่วันแรกที่เห็นท่านบนหลังม้านั้นแล้ว” เขากระซิบเสียงแผ่ว ดวงตาวาววามหวามไหวสะกดกันและกันราวต้องมนตร์ สวมกอดกันแนบแน่นราวถูกดูดดึงด้วยพลังมหาศาล จุมพิตทั้งอ่อนหวานและรุ่มร้อนในคราเดียว

“โรอัน” เจ้าหญิงน้อยแห่งเอียโลร้องครางเมื่ออีกฝ่ายถอนริมฝีปากออกช้า ๆ ตาต่อตาสบกันอย่างดื่มด่ำ ซีมายน์หลับตา รู้สึกคล้ายก้าวล่วงจากผาสูงไปในเวิ้งอากาศ ดิ่งวูบลงสู่หุบเหวเบื้องล่างแล้วมีปุยเมฆมารองรับเอาไว้เสียก่อน และค่อย ๆ เคลื่อนพากลับขึ้นมาอีกครั้ง

แผ่นไม้ค่อย ๆ เคลื่อนตัวลงทีละนิด แสงจันทร์ลอดมาได้ลำน้อยผ่านรอยแยกอาบไล้สองร่างในความมืด หากชายฟูโอโคและหญิงเอียโลมิได้รู้สึกเสียแล้ว พายุรักได้พัดโหมจนมิเห็นสิ่งใด

“ซีมายน์… ยอดรัก” เขากระซิบนามแท้จริงอยู่ริมหูนาง กล่าวจากหัวใจเมื่อเห็นดวงตาหรี่ปรืออย่างหวามหวาน “ข้ารักท่านที่สุด”

“ข้าก็รักท่านเหลือเกิน”

ซีมายน์กระซิบตอบ ในจังหวะที่หูตาพร่าพรายด้วยรสหวานล้ำนั้นเองที่นางเพิ่งเห็นว่าแผ่นไม้เล็ก ๆ ได้หลุดตกลงมา จันทร์ทอลำแสงเข้มข้นลอดผ่านช่องแคบเข้ามาพอดิบพอดี ในห้วงหฤหรรษ์อันแสนหวานนั้น ซีมายน์ไม่ได้นึกถึงพรอื่นใด นอกจาก

ขอบคุณจันทราที่ทำให้ข้าได้เจอเขา… ขอให้เราสองคนได้ครองรักกันตลอดไป

คล้ายเทพีจันทราเป็นพยานรับรู้ กะพริบแสงให้ประหนึ่งคำสัญญา



Don`t copy text!