มะงุมมะงาหรา บทที่ 3 : โฉมฉายกำสรดโศกี

มะงุมมะงาหรา บทที่ 3 : โฉมฉายกำสรดโศกี

โดย : ภาณิณ

Loading

มะงุมมะงาหรา โดย ภาณิณ ผู้ชนะเลิศจากโครงการอ่านเอาก้าวแรก…นิยายทะลุมิติที่เล่าถึงนิสิตปริญญาโทด้านวรรณคดีไทยที่หลุดเข้าไปในวรรณคดีเรื่องอิเหนา และพยายามจะเปลี่ยนเรื่องตามวิธีคิดในแบบของตัวเองที่เป็นเด็กยุคใหม่ จึงเกิดเป็นเรื่องวุ่นวายต้องตามแก้ปัญหา ได้ลงจนจบบริบูรณ์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทางผู้เขียนใจดีมอบ 5 บทแรกไว้ให้อ่านกันที่อ่านเอา

และหากติดใจอยากอ่านต่อ อดใจรออีกนิด เนื่องจาก “มะงุมมะงา…หรา” อยู่ในขั้นตอนการรวมเล่มกับสำนักพิมพ์กรู๊ฟพับลิชชิ่ง www.groovebooks.com และสามารถติดตามข่าวได้ทางแฟนเพจของสำนักพิมพ์ @Groove publishing ค่ะ

……………………………………………………………….

-3-

Puangbu-nga Homshuen

10 mins

“เหมือนฝันเลือนลาง เคว้งคว้างลอยไป ไม่เหลืออะไรสักอย่าง

ที่ทุ่มเทไป คืนมาเพียงความว่างเปล่า…”

Krissada Yan and 2 others

 

พวงบุหงาอัพเดทสเตตัสของหล่อนขึ้นแอพลิเคชั่นเฟสบุ๊คด้วยจิตใจที่บอบช้ำ ขณะเดินทางไปรับสมุดข่อยเล่มนั้นที่สนามบินดอนเมือง

แผลใหญ่ในหัวใจหล่อน ที่อาจารย์ปริตตาก่อไว้เมื่อเธอไม่อนุมัติหัวข้อวิทยานิพนธ์ให้ก็เจ็บปวดแสนสาหัสเพียงพอแล้ว แต่การที่อาจารย์มนตรีมาย้ำอีกแผลหนึ่งนั้น ยิ่งกรีดลึกซ้ำลงไป ทำเอาแผลยิ่งพุพองกลัดหนองจนเกินขอบเขตจะเยียวยารักษาได้ง่าย ตลอดเวลา 9 ปีที่ทุ่มเทแรงกายแรงใจให้อาจารย์หนุ่มมาดเท่ ไม่ได้ก่อให้เกิดผลดีอะไรกับหล่อนทั้งนั้น ความรักและสนิทสนมไม่ทำให้เขาช่วยหล่อนในห้องเสนอหัวข้อ ซ้ำยังทิ้งให้หล่อนปวดใจด้วยการเทกระจาดไปหาคนอื่น แถมคนอื่นนั้นยังเป็นผู้ชายด้วยกันนี่สิ!

นี่ละที่เขาว่า อย่าพยายามเพื่อเป็นคนที่ใช่ เพราะคนที่ใช่ไม่ต้องพยายาม หล่อนอยากโทรไปหาพี่อ้อยพี่ฉอดเสียเหลือเกิน แต่ตอนนั้นยังไม่ถึงช่วงจัดรายการ จึงทำได้แต่ตั้งสถานะบนเฟสบุ๊คระบายอารมณ์

พวงบุหงาขึ้นรถไฟฟ้าใกล้มหาวิทยาลัยของหล่อนมุ่งหน้าไปสถานีจตุจักรเพื่อต่อแท็กซี่ไปรับเอกสารคืนที่สนามบินดอนเมือง กว่าจะเอาตัวรอดจากระบบรถที่ขัดข้องจนต้องรอบนสถานีนานกว่าครึ่งชั่วโมง และเมื่อลงรถไฟฟ้ามาโบกแท็กซี่ ท้องฟ้าก็เริ่มโพล้เพล้เสียแล้ว

หลังถูกแท็กซี่ปฏิเสธ ไปหลายคัน พวงบุหงาก็ได้รถเก่าคร่ำคร่าคันหนึ่ง ซึ่งคนขับมีกลิ่นตัวแรงฉุนกึก แถมยังขับไปโทรศัพท์ไป เบียดแทรกคันอื่น เปลี่ยนเลนไปมาจนหวาดเสียวว่าจะจบชีวิตลงบนถนน ท้ายที่สุดหล่อนก็มาติดแหง็กอยู่บนถนนวิภาวดี-รังสิต นานอีกเกือบครึ่งชั่วโมง แสงอาทิตย์สลัวลงจนท้องฟ้าเป็นสีซีดให้อารมณ์อ้างว้างซ้ำเติมสภาพจิตใจที่แย่พออยู่แล้ว ไม่นานอนธกาลก็ปกคลุมทั่วกรุงเทพมหานครช่วยขับความมืดมนในจิตใจให้มากขึ้นกว่าเดิม มีเพียงแสงถนนขาวๆ และแสงท้ายรถหนาแน่นสีแดง ย้อมไปทั้งบริเวณ เท่านั้นยังไม่พอฝนยังตกพรำลงมาไม่ต่างน้ำตาที่อาบหัวใจอีก

มันเศร้าจังวะ ทุกอย่างพร้อมใจกันชวนหดหู่ไปหมด อย่างกะฉันอยู่ในหนังรางวัลของพี่นุชชี่-อนุชา! ถ้ายังหดหู่อยู่อย่างนี้ไปเรื่อยๆ จะปลงอสุภะตัวเองแล้วนะ!

ในจังหวะนั้นเอง เสียงสัญญาณแจ้งเตือนจากเฟสบุ๊คก็ดังขึ้น

ยกสมาร์ทโฟนขึ้นมามองก็เห็นชื่อปรากฏหราอยู่บนหน้าจอ Montree Kulvanich mentioned you in a comment อาจารย์มนตรีกล่าวถึงเรา?… พวงบุหงาใจกระตุกเต้น หรือเขาจะเห็นสเตตัสแล้วเข้ามาง้อ? นิ้วโป้งขวาสไลด์แถบคำแจ้งเตือน หล่อนไม่ได้ตั้งรหัสล็อคเครื่อง ดังนั้นเพียงไม่กี่วินาที แอพลิเคชั่นเฟสบุคก็ปรากฏคอมเมนต์ที่อาจารย์มนตรีกล่าวถึงหล่อนทันที

Montree Kulvanich

@Puangbu-nga Homshuen เซื่อในสิ่งที่เฮ็ด เฮ็ดในสิ่งที่เซื่อ อย่าลืมไปโพนพิสัย ไปพระธาตุกลางน้ำ และอื่นๆด้วยนะครับ! หนองคายมีอะไรมากกว่าที่คุณคิด

Just now

          เหลือบตามองโพสที่ถูกกล่าวถึง ก็พบว่าเป็นเพจท่องเที่ยวแห่งหนึ่ง รวบรวมสถานที่ยอดนิยม 9 แห่งในหนองคายเอาไว้! โธ่ อาจารย์คะ ไม่รู้จริงๆเหรอว่าหนูเสียใจอ้ะ… ไม่ต้องย้ำก็ได้นะว่าหนูต้องถูกส่งไปเฝ้ารูปปั้นพญานาคที่นั่น! พวงบุหงาคิ้วตก แววเศร้าสร้อยสะท้อนกลับมาจากฟิลม์กระจกที่แปะบนโทรศัพท์ อาจารย์มนตรีผู้อ่อนหวานใจดี และสนิทสนมกับหล่อนมานานหลายปี ทำไมถึงไม่เห็นใจ หรือแม้แต่จะเข้าใจหล่อนบ้างเลย… หรือหล่อนคิดไปเองคนเดียว ว่าหล่อนสนิทกับเขาแต่จริงๆเขาไม่สนิทด้วย

หล่อนหลับตาลงเพราะไม่อยากเห็นอะไรอีกแล้ว ประสาทหูจึงดีขึ้น เสียงเพลงจากวิทยุที่เปิดเบาๆอยู่ในแท็กซี่กลับดังฟังได้ชัดทันที ราวจู่ๆหล่อนก็มีสกอร์เพลงในภาพยนตร์ดราม่าของตัวเองเข้า!

“ขนาดก้อนหินยังแหลกเป็นเม็ดทราย นับประสาอะไรกับหัวใจ…”

เพลงก็มาบิวด์อารมณ์ฉันอีก! พวงบุหงาทนนั่งกระสับกระส่ายไปพักหนึ่ง รถก็ติดจนดูว่าไม่น่าถึงสนามบินในอนาคตอันใกล้แน่ๆ จึงรวบรวมความกล้า พูดขึ้นกับลุงคนขับแท็กซี่

“อ่า… ลุงคะ… ขอโทษนะคะ ชะ…ช่วยเปลี่ยนคลื่นหน่อย ดะ…ได้ไหมคะ?” เสียงกระท่อนกระแท่นด้วยความกล้าๆกลัวๆ บวกใบหน้าแดงก่ำราวน้ำตาจะปะทุออกมาเมื่อไรก็ได้ ทำเอาตาลุงที่ไว้หนวดเครารุงรังกลิ่นตัวฉุนกึก นึกสงสารหรืออย่างไรก็ไม่รู้ได้ กลับเปลี่ยนคลื่นให้ทันที

เพลงอิสานเร้าอารมณ์ทำหน้าที่ฉุดพวงบุหงาขึ้นจากภวังค์โศกได้อย่างดี หญิงสาวจึงเอนหลังพิงพนัก ตามองออกนอกหน้าต่าง ไม่รู้เพราะฝนตกกระหน่ำ หรือเพราะน้ำเอ่อในคลองตากันแน่ที่ทำพวงบุหงามองทัศนียภาพตรงหน้าแทบไม่เห็น มันดูขาวโพลนไปหมดจนน่ากลัวว่าน้ำที่ท่วมตา จะกลายเป็นท่วมกรุงไปด้วย แท็กซี่คันนั้นยังไม่เคลื่อนตัวไปไหน พวงบุหงาจึงกลับเข้าเฟสบุ๊คอีกที

ใครบางคนมาตอบสเตตัสของหล่อน… ไม่ใช่อาจารย์มนตรีดังที่ใจอยากให้เป็น แต่เป็นคุณยอดบุตรคนที่อาจารย์รัก! พวงบุหงาปราดตามองคอมเมนต์ก็ฉุนกึก

Yautchbutr Yautch

‘ไม่ว่างเปล่าหรอกฮะคุณพวง ยังไงคุณพวงก็ยังมีคนรอบข้างอยู่นะฮะ ลองมองไปรอบๆสิฮะ’

3 mins ago

หึ! มองรอบจนคอจะหมุน 360 องศาฉันก็ยังไม่เห็นใครเลยย่ะ ใครมันจะป๊อบเหมือนเธอล่ะ มีแต่คนรายรอบอยู่ตลอดเวลาน่ะฮะ?! ความพาลพาโลทำเอาหล่อนเลื่อนเข้าไปกดดูหน้าเฟสบุ๊คของเจ้าของชื่อ Yautchbutr Yautch แทบในทันที นิ้วหล่อนเลื่อนจอขึ้นจนตาไปสะดุดที่โพสหนึ่งที่น่าจะโพสไว้เมื่อเช้า

12 hrs

Now my bed sheet smells like you…

ข้อความบรรยายนั้นมาพร้อมภาพชายหนุ่มนอนเอกเขนกกึ่งเปลือยอยู่บนเตียง มีแสงแดดลอดหน้าต่างห้องนอนเข้ามา ดูเป็นภาพที่สวยงามน่าอิจฉา ใต้ภาพมีคอมเมนต์ประเภท หุ่นดีจังครับ น่ารักจัง และอะไรทำนองนั้นหลายๆข้อความ จนกระทั่งถึงคอมเมนต์สุดท้าย… กลิ่นใครติดเตียงกันน้าาา… พวงบุหงาใจเต้นระรัว ไอ้เจ้ายอดบุตรนอนกับใครกัน เมื่อ 12 ชั่วโมงที่แล้ว!

สายตาว่องไวเหลือบเห็นบางสิ่งที่หัวเตียง… หล่อนรีบกดเข้าไปดูที่รูป นิ้วโป้งและนิ้วชี้จิ้มไปที่มุมนั้นก่อนถ่างออกเพื่อขยายภาพ… ที่โต๊ะหัวเตียงมีขวดใสทรงกลมสีเขียวอมน้ำเงินอยู่! ถึงไม่เห็นชื่อยี่ห้อ แต่พวงบุหงาจำได้ดี ก็น้ำหอมขวดนี้อาจารย์มนตรีต้องพกติดตัวตลอด!

หล่อนเพิ่งเห็นมันอยู่ในกระเป๋าของเขาเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน แล้วมันไปอยู่ที่ห้องนายยอดบุตรได้ไง?!

โถ่พระเจ้าคะ เขาไม่ใช่แค่จีบกันอยู่ เขาได้กันแล้ว! เมื่อคืน! พระเจ้าจะเอายังไงกับหนู จะให้หนูกลั้นใจตายไปตรงนี้เลยหรือยังไงกันคะ!

ไม่ทันจะได้ตีอกชกหัวอย่างไรต่อ จู่ๆเพลงอิสานครึกครื้นเมื่อครู่ ก็เปลี่ยนเป็นทำนองโศกบาดหัวใจ

“บ่มีวันที่เฮาสิคู่ควร อย่าไปกวนใจเจ้าให้หมองเส้า ส่ำก้อนขี้ดินมาสิสมกับดาว มันเป็นไปบ่ได้…”

คล้ายว่าเพลงเมื่อครู่จะเจ็บปวดไม่พอ เพลงลูกทุ่งอิสานเพลงนี้ยิ่งบาดใจพวงบุหงาจนแทบจะด่าวดิ้น ยิ่งเสียงนักร้องโอดครวญเอื้อนลงลูกคอ ยิ่งไม่ต่างการกลั้นก้อนสะอื้นทำเอาพวงบุหงาอินจัด น้ำตายิ่งไหลพรากร้องฮักจนตัวโยกโยน

“…แค่บักหมาจรจัดบ่มีเจ้าของ มีสิทธิ์แค่ได้หมายปองแต่ครอบครองบ่ได้”

ฝนเริ่มซา มองข้างทางเห็นหมาจรจัดวิ่งเปียกฝนเคียงกัน ขนาดหมายังมีคู่ ถึงเปียกฝนก็ดูเป็นสุข แล้วทำไมสุดท้ายหล่อนจะต้องมาอยู่ตัวคนเดียว ทั้งที่ทำดีให้เขามาเป็นปีๆ แต่เขาก็ไม่เคยเห็นความดีนั้น!

“อิหล่า… ไหวบ่น้อนี่?” แรงสะอื้นฮักของหญิงสาวคงดังเกินไปจนคุณลุงคนขับมองลอดกระจกหลังมาเห็น แล้วเอ่ยทัก… ตามหลักการแสดงละครโทรทัศน์ หากร้องไห้แล้วมีคนเห็น ให้เช็ดน้ำตา แล้วทำตัวปกติ คนที่เห็นจะไม่รู้เลยว่าเมื่อครู่กำลังร้องไห้! พวงบุหงาทำเช่นนั้น ทว่าชีวิตจริงไม่ใช่ละคร หน้าแดงๆ จมูกมีน้ำมูกใสไหลย้อย ไม่อาจกลบความจริงว่าหล่อนนั่งร้องไห้ขี้มูกโป่งอยู่ได้ “ไห่เฮ็ดหยัง ผัวถิ่มบ่?”

พวงบุหงาไม่อยากเล่าอะไรออกมาตอนนี้ เพราะเพียงแต่คิดถึงอาจารย์มนตรี ก็จะเห็นภาพพ่อยอดบุตรนั่นโผล่แทรกขึ้นมาย้ำว่าหล่อนเป็นผู้แพ้

“หนูแปลเพลงไม่ออก! หนูไม่เข้าใจ เปลี่ยนคลื่นให้หนูเถอะค่ะ!”

คุณลุงคนขับไม่ ซื้อ เหตุผลหล่อนสักนิด แอบกลั้นหัวเราะจนหน้าสั่น แต่ก็ยอมเอื้อมมือไปเปลี่ยนคลื่นให้หล่อนตามที่ขอ คราวนี้เป็นคลื่นที่เปิดแต่เพลงฝรั่งทั้งวัน พวงบุหงาถอนใจโล่งอก คราวนี้ล่ะฟังไม่ออกหนักกว่าเพลงอิสานแน่ๆ ถ้าไม่เข้าใจความหมาย ก็คงไม่เจ็บนักกระมัง

เวลานั้นเอง สัญญาณแจ้งเตือนจากเฟสบุ๊คก็ดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้เป็นน้องสาวของหล่อนผู้เพอร์เฟค เพียบพร้อมมาคอมเมนต์ตอบใต้สเตตัส

Wilismalai Homshuen

พี่หงา คืนนี้แม่ตำน้ำพริก… กลับบ้านมากินข้าวมั้ย? ไม่เจอแม่นาน แม่เขาเป็นห่วง

Just now

เพียงอ่านจบประโยคเท่านั้น น้ำตาที่ไหลเอื่อยๆกลับทะลักล้นจนหน้าตาดูไม่ได้หนักกว่าเก่า ก้อนสะอื้นที่ติดคออยู่ก็ปะทุระเบิดออกเป็นเสียงโฮสุดปอด

แม่จ๋า หนูจะกลับบ้านไปหาแม่ ตอนนี้หนูรู้แล้วว่าไม่มีที่ไหนสุขใจเท่าบ้านเราจริงๆ พวงบุหงาสะอื้นตัวโยน ถึงกับข้าวแม่จะไม่ได้อร่อยนัก แต่หล่อนอยากเจอหน้าแม่ อยากให้ท่านปลอบหล่อนเสียเหลือเกิน เสียงเพลงจากคลื่นฝรั่งดังกรอกเข้าหู ทั้งที่คิดว่าจะแปลไม่ออก แต่กลับฟังเข้าใจทุกคำ จนร่ำไห้หนักกว่าเดิมเป็นเท่าทวีคูณจนถึงสนามบินดอนเมือง

“…I’m not meant to live alone, turn this house into a home. When I climb the stairs and turn the key, oh, please be there, sayin’ that you’re still in love with me…

 

ของบางอย่าง เรื่องบางเรื่อง หนีอย่างไรก็ไม่พ้น เช่นส้วมนี่เป็นต้น หลังจากพวงบุหงาต้องประสบเหตุวุ่นวายเหนือจริงในห้องน้ำมาสองครั้งแล้วทั้งที่สนามบินเชียงใหม่ และบนเครื่องบิน คล้ายฟ้าส่งสัญญาณมาบอกว่าอย่างไรก็หนีส้วมไม่พ้น หล่อนก็ต้องกลับมาเจอกับส้วมที่บ้านอีก

บ้านของหล่อนทำกิจการขายสุขภัณฑ์มาตั้งแต่รุ่นปู่ สืบมาถึงพ่อ และพ่อก็เสียไปตั้งแต่หล่อนอยู่ประถมปลาย แม่จึงเลี้ยงหล่อนมาแบบซิงเกิ้ลมัม แถมยังบริหารกิจการขายส้วมต่อจากพ่อด้วย จนมาไม่กี่ปีนี้เอง นับแต่น้องสาวหล่อนเรียนจบ ในขณะที่หล่อนยังทำงานอะไรไม่ได้เป็นชิ้นเป็นอัน คุณสุรีย์ มารดาของหล่อนก็เริ่มมาป่วยกระเสาะกระแสะ บ่นเจ็บเมื่อยเนื้อตัว และอยากจะลาจากการบริหารร้านส้วมเสียเร็วๆ

“…ซึ่งแกควรจะมาช่วยฉันดูงานได้แล้ว ยัยพวง” บ่นเหนื่อยคราใด ก็จะปรารภเช่นนี้ขึ้นตบท้ายทุกที

“โถ่แม่ หนูเรียนสายศิลป์มาทั้งชีวิตจะไปบริหารงานอะไรได้ล่ะ ทำไมไม่ให้ยัยลิศทำ?” หล่อนหมายถึงวิลิศมาลัย ลูกสาวคนโปรดของคุณสุรีย์ ดูความอาภัพเอาเถิด ในขณะที่หล่อนสวยก็ไม่สวย ชื่อก็แปลกประหลาด น้องสาวสวยคล่องกลับมีชื่อเลิศหรูอย่างนางเอกนิยายว่า วิลิศมาลัย!

“ก็ลิศเขาเป็นหมอนี่ยะ จะเอาเวลาที่ไหนมาขายของ แกน่ะงานการก็ไม่มี แล้วจบเอกไทยจะไปหางานที่ไหนทำ บ้านเรามีกิจการอยู่แล้วก็มาทำซะไม่เห็นเสียหายตรงไหน”

“ก็หนูไม่อยากอยู่กับส้วมไปทั้งชีวิตนี่” พวงบุหงาบ่นอุบ แต่มารดาก็ยังยืนกรานความคิดเดิมเรื่อยมา พวงบุหงาพยายามหลีกเลี่ยงภาระที่แม่ลิขิตให้มาแล้วทุกรูปแบบก็ยังไม่พ้น กระทั่งตัดสินใจไปเรียนปริญญาโท เพื่อเป็นข้ออ้างให้ไม่ต้องลงมาคลุกคลีกับงานที่บ้าน!

“เรียนโทแทนที่จะเรียนบริหาร ก็ไปเรียนวรรณคดี เอากับแกสิ!” ถึงอย่างไรคุณสุรีย์ก็ยังรำพึง แต่แผนของพวงบุหงาก็ถือว่าใช้ได้ หล่อนหนีแม่มาได้ถึง 2 ปี จวบจนตอนนี้เองที่วิทยานิพนธ์ถูกปฏิเสธ นัยหนึ่งคุณสุรีย์ก็อาจยืนกรานให้หล่อนเลิกเรียนแล้วมาทำงานที่บ้าน แต่หัวข้อของหล่อนก็ไม่ใช่ตกไปเสียทีเดียว อาจารย์ปริตตายังให้เวลาแก้ไขและเสนอซ่อมในเดือนหน้า เท่ากับมีลุ้นยื้อเวลาหนีจากการขายส้วมไปได้อีกหน่อย นี่แหละเขาเรียกพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส

ถึงอยากหนีหน้าเช่นไร หากในจังหวะและเวลาที่ทุกสิ่งพังภิณท์ไม่เหลือดีเช่นนี้ แม่และน้องสาวกลับเป็นดั่งขอนไม้ให้ยึดเหนี่ยวในทะเลที่หล่อนได้แต่ลอยคอฝ่ามรสุมมาจนร่างแทบจะจมหาย ดังนั้น เมื่อได้รับเอกสารโบราณจากสนามบินดอนเมืองคืนมาแล้ว พร้อมสายตาดูหมิ่น ระคนระอาที่ยัยป้าพนักงานตอนรับคนนั้นส่งมาให้ หล่อนก็โบกแท็กซี่นั่งมาหาแม่ที่บ้านต่อทันที

บ้านของหล่อนไม่ใช่บ้านจริงๆ แต่เป็นตึกแถวตั้งอยู่บนถนนมหาพฤฒารามเรียบคลองผดุงกรุงเกษม ตัวบ้านอยู่หัวมุมติดถนนตัดกับซอยหนึ่ง ทำให้มีพื้นที่กว้างกว่าห้องแถวปกติ ชั้นล่างสุดเป็นโชว์รูมขายสุขภัณฑ์ ทอยเล็ต แคปิทอล เมื่อเปิดเฟี้ยมเหล็กเข้าบ้านมาก็จะพบชักโครกหลายหลายรูปแบบวางรายรอบ ขึ้นมาชั้นลอยมีห้องเล็กที่พ่อเคยนั่งบริหารร้านแต่บัดนี้ทิ้งไว้เป็นห้องเก็บของ ขึ้นบันไดแคบๆมาได้ถึงชั้นสองเป็นออฟฟิศ ซึ่งเวลาย่ำค่ำเช่นนี้พนักงานก็กลับบ้านกันไปหมดแล้ว ชั้นสามเป็นห้องประชุมพร้อมครัว และโต๊ะกินข้าวอยู่อีกมุมหนึ่ง ตรงนั้นเองที่บ้านหล่อนใช้ทานข้าวก่อนแยกย้ายขึ้นห้องนอนที่ชั้น 4

เพียงเปิดตัวพ้นธรณีประตู น้องสาวผมยาวดำขลับหน้าตาจิ้มลิ้มที่ได้พ่อผู้มีเลือดจีนมา ต่างจากหล่อนที่คมเข้มอย่างสาวใต้เพราะได้แม่ ก็เอ่ยทัก

“เป็นไงบ้างพี่หงา สเตตัสไม่ค่อยดีเลยนะ” เสียงเล็กน่าทะนุถนอมดังลอดจากปากบางน่ารัก

“เรื่องผู้ชาย หรือเรื่องงานล่ะพวง”

แม่และน้องสาวเรียกหล่อนด้วยสองชื่อที่ต่างกัน เพราะน้องสาวรู้ว่าหล่อนไม่ชอบให้เรียกว่า พวง ทว่าชื่อที่น้องเรียกก็ไม่ได้ต่างจากชื่อแม่เรียก ถูกเรียกทีไรใบหน้าคุณสุรชัย จันทิมาธร พร้อมเสียงเพลง คนกับควาย ก็จะปรากฏขึ้นมาในความคิดทุกครั้ง

“ทั้งสองเรื่อง” หล่อนตอบทั้งสองห้วนๆ เหวี่ยงกระเป๋าเป้ใหญ่เทอะทะลงเก้าอี้อย่างไม่ใส่ใจนัก ก่อนบรรจงวางถุงผ้าที่ใส่ต้นฉบับโบราณนั้นลงบนโต๊ะ ถึงอย่างไรเจ้าสมุดข่อยเล่มนั้นก็ยังโผล่แลบออกจากถุง

“เอ๊าตาย สรุปขายไม่ออกแล้วยังจะเรียนไม่จบอีกเหรอแก?” คุณสุรีย์ไม่วางตาจากไข่เจียวชะอมที่กำลังพองฟูเป็นสีเหลืองทองอยู่ในกะทะ แต่พูดเสียงแข็งกระโชกกระชากกลับมา สตรีวัยกลางคนคงยังไม่หายโกรธที่ลูกวางสายใส่เมื่อคืนบนเครื่องบิน “ยังไงล่ะ พักสักปีไหม แล้วมาช่วยงานแม่ก่อน”

พวงบุหงาหย่อนตัวนั่ง กลิ่นไข่เจียวหอมฟุ้งพอจะเจืออารมณ์หงุดหงิดให้จางไปได้บ้าง ทั้งที่ปกติคงโพล่งสวนแม่ไป แต่ครั้งนี้กลับพูดงุบงิบพยายามสะกดความไม่พอใจไว้ ก็เราตั้งใจมาทำดีกับแม่นี่นะ

“ไม่ใช่ว่าไม่จบ เขาให้กลับมาเขียนใหม่ให้ชัดขึ้น” พวงบุหงาว่า “ทิ้งไปเลยคงไม่ได้หรอกแม่ หนูต้องทำต่อไปให้สำเร็จ แม่ไม่อยากมีมหาบัณฑิตไว้ประดับบ้านสักคนรึไง?”

“ก็ไม่ได้อยากนะ” นางสวนทันควัน ก่อนตักไข่เจียวขึ้นมาพักไว้บนตะแกรงข้างเตาแก๊ส “เรียนมากไปผู้ชายมันจะไปชอบได้ไงล่ะยะ ฉันอยากให้ลูกเป็นฝั่งเป็นฝา มีเงินของตัวเองใช้มากกว่า”

อารมณ์หงุดหงิดที่พยายามสะกด ค่อยๆคุกรุ่นอยู่ในใจของพวงบุหงาพร้อมที่จะปะทุออกมาเต็มที

“ก็ถ้าเรียนจบได้ปริญญา ก็จะได้หางานดีๆทำ มีเงินไว้ใช้มากๆไงแม่” หญิงสาวเถียงกลับ “แล้วเงินที่ยืมยัยลิศไปก็บอกว่าเดี๋ยวจะคืน แม่ไม่ต้องกระทบกระเทียบหนูหรอก”

“เป็นหมื่นเนี่ยนะ แกจะหาจากไหนมาคืน?” มารดาของหล่อนสวนเข้าทันที เสียงเริ่มกร้าวขึ้นเรื่อย ขณะผละจากเตาเข้ามาที่โต๊ะกินข้าว “แล้วที่เสียไปน่ะ เสียให้ไอ้กระดาษเก่าๆแค่นี้น่ะเหรอ?”

คุณสุรีย์ไม่ว่าเปล่า ล้วงมือเข้ากระเป๋าไปหยิบสมุดข่อยตัวเขียนที่พวงบุหงารักและเทิดทูนเยี่ยงชีวิตขึ้นมาโบกโบย กระดาษเก่าคร่ำคร่าที่แทบจะพังภิณฑ์ลงไปทุกเมื่อแม้พลิกหน้าแรงเกินไปนิด แทบจะถูกขยำขยี้ทิ้งในอุ้งมือของมารดาที่จับมันเสียแน่น

“แม่! วางลงเลยนะ นั่นมันเก่าร้อยกว่าปีเชียว เดี๋ยวก็ขาดหมด! แม่ไม่รู้หรอกว่ามันมีค่าแค่ไหน”

“เออมีค่า ค่าของมันตั้งสามหมื่นไงยะ! ยัยพวงเอ๊ย ฉันเอากระดาษมาชุบกาแฟตั้งทิ้งไว้ไม่กี่ชั่วโมงมันก็เก่าเหลืองเป็นแบบนี้ได้ล่ะวะ!”

“แม่จะไปรู้อะไร นี่มันเรื่องอิเหนาเวอร์ชั่นต้นฉบับเลยนะแม่!” หญิงสาวพุ่งเข้าไปหามารดา ผู้โยนต้นฉบับตัวเขียนลงโต๊ะ พวงบุหงารีบเก็บเข้ากระเป๋าอย่างทะนุถนอม ไม่สนคุณนายสุรีย์ที่โวยขึ้นอีก

“เหอะ ฉันล่ะจะคอยดู ถ้ามันเป็นของปลอมขึ้นมานะ ฉันจะหัวเราะให้คอแตกเลย เสียเวลาไร้สาระอะไรไปกับของพรรค์นี้นะพวง แกไม่รู้รึไงว่าตอนนี้ บ้านเราน่ะ…”

“แม่ขา ใจเย็นก่อนนะคะ” วิลิศมาลัยพยายามเอาน้ำเย็นเข้าลูบ เข้าไปกอดแม่เอาไว้ก่อนค่อยๆลากหล่อนออกไปจากตรงนั้น พวงบุหงาหายใจตัวโยน ไม่เข้าใจแม่แม้แต่น้อยว่าเป็นอะไรกันนักกันหนาถึงจะต้องมาระบายอารมณ์ใส่หล่อนเช่นนี้ “พี่หงาเขารับงานแปล งานเขียนบทความอยู่เรื่อยๆ ก็ค่อยๆผ่อนใช้ไป ไม่เป็นไรหรอกค่ะพี่น้องช่วยกันเล็กๆน้อยๆได้ก็ช่วย”

“แกน่ะมันสปอยล์พี่” คุณสุรีย์ค้อนขวับ เสียงกร้าวเริ่มแผ่วลง แต่ถ้อยยังคงสร้างความเจ็บปวดให้ผู้ฟังได้ดังเดิม “มันต่างหากที่ต้องช่วยแก ช่วยดูแลทุกคน มันเป็นพี่โตนะ แกจะปล่อยมันงอมืองอเท้าอยู่อย่างนี้ไปถึงไหน”

“รู้แล้วน่าแม่ แค่นี้หนูก็เกลียดตัวเองจะตายอยู่แล้วที่เป็นพี่แล้วต้องไปพึ่งน้องน่ะ!” ในที่สุด คลื่นอารมณ์เสียที่คุกรุ่นอยู่ในอกก็ปะทุออกมาจนได้ “หนูเหนื่อย หนูอุตส่าห์กลับบ้านมาเจอแม่ ก็เพราะคิดถึงแท้ๆ ทำไมแม่ต้องหาเรื่องหนูทุกครั้งเลยอ่ะ เพราะอย่างนี้แหละหนูถึงไม่อยากจะมาที่นี่!”

“พี่หงา อย่าขึ้นเสียงกับแม่เลย น่านะ” น้องสาวคนสวยของพวงบุหงาเร่งห้ามทัพทันที พวงบุหงาอยากจะร้องไห้ให้ดูน่าสงสารเต็มแก่ แต่เพราะร้องมาทั้งวันน้ำตาจึงไหลไม่ออก พยายามสูดหายใจลึกสะกดกลั้นอารมณ์ไม่ให้ปรี๊ดขึ้นมาอีกระลอก ขณะน้องสาวยังเอาน้ำเย็นเข้าลูบ “มาช่วยแม่ทำกับข้าวดีกว่า แม่คะแม่ไปหั่นไข่เจียวชะอมเถอะ เดี๋ยวหนูกับพี่หงาช่วยทอดมะเขือ กับปลาทูเอง…”

เท่านั้น ทัพคุณสุรีย์ก็ถอยร่นไปสุดสมรภูมิที่ปลายเคาน์เตอร์ นั่งหั่นไข่เจียวก่อนล้างผักสดเตรียมจิ้มกินกับน้ำพริก ในระหว่างที่สองศรีพี่น้องช่วยกันทอดมะเขือยาวชุบไข่ และปลาทูพลางพูดคุยกันไปด้วย

“เรื่องสเตตัสน่ะ มันยังไง? ระบายกับลิศได้นะพี่” วิลิศมาลัยเอ่ยถาม

พวงบุหงาไม่เชิงว่าเกลียดน้อง หรือแม้แต่ไม่ถูกกัน แต่เพราะลึกๆแล้วแอบอิจฉาที่ฝ่ายนั้นไม่ได้เก่งเท่าหล่อนเลย แถมยังจบแพทย์ด้วยคะแนนน้อย แต่ก็ยังได้เป็นแพทย์มีเงินเข้ามาจุนเจือครอบครัวตลอดเวลา แล้วก็ยังสวยพอจะมีผู้ชายมาตามจีบครั้งละหลายต่อหลายคน ขณะที่หล่อนเองถึงได้เกียรตินิยมเหรียญทอง แต่ก็เป็นเหรียญทองจากสาขาที่ที่บ้านมองว่าไร้ประโยชน์สิ้นดี

พูดง่ายๆความเก่งไม่เป็นผล เพราะหล่อนเก่งแต่เรื่องไม่เป็นเรื่อง ไม่เหมือนลูกสาวคนโปรดของแม่

ที่จริงความคิดนี้ไม่ควรมีอยู่ในหัวพวงบุหงาด้วยซ้ำ เพราะแม้จะไม่พอใจในตัวเองเพียงใด แต่หล่อนก็ไม่เชิงว่าเป็นคนขี้อิจฉาตาร้อนหรือชอบคิดร้ายต่อใคร นอกจากจะคิดทับถมตัวเอง แต่เพราะคำพูดกรอกหูจากคุณนายสุรีย์ที่กระแหนะกระแหนกระทบหล่อนอยู่ทุกวันว่าด้อยกว่าน้องสาวอย่างไรบ้างนี่ละ จึงทำให้หล่อนไม่เคยพูดดีๆกับน้องสักครั้ง ทุกอย่างที่ยัยลิศทำมันดีงามไปหมดจนหล่อนหมั่นไส้ไปทุกสิ่ง

แม้แต่มาห้ามทัพ หล่อนก็ยังคิดว่าน้องพยายามเอาหน้าแม่ หรือแค่ถามเรื่องทั่วไปดังที่เพิ่งถามมา พวงบุหงาก็คิดแต่เพียงว่าเธอต้องการเยาะเย้ย หรือโยนหินถามทางเพื่อสมน้ำหน้าหล่อนต่อไปด้วยซ้ำ

“พูดไปแกก็ไม่เข้าใจหรอก แกไม่เคยอกหักนี่” หญิงสาวจึงตอบไปเช่นนี้

“โถ พี่หงา ลิศน่ะโดนหลอกมาแทบทั้งชีวิตจ้า ผู้ชายเข้าหาน่ะก็ใช่ว่าจะดี จะรักเราทุกคนนะ” หล่อนอธิบาย ก่อนว่า “พี่หงาเอาทิชชูมารองจานหน่อย หนูจะตักมะเขือขึ้นพัก”

พวงบุหงาทำตามประโยคหลังเสียก่อนตรองประโยคแรก คำน้องสาวทำเอาหล่อนชั่งใจว่าจะเล่าดีหรือไม่เล่าดี แต่เพราะเรื่องที่อัดอั้นในใจนั้นไม่ต่างหนองที่เกิดขึ้นใต้แผล ถ้าไม่บ่งออก ก็คงจะไม่หายดีได้ โอเคยัยลิศ เป็นพี่อ้อยพี่ฉอดให้ฉันหน่อยเถอะ! หญิงสาวเล่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นให้น้องฟัง ฝ่ายนั้นก็พยักหน้ารับคำไปทุกประโยค กระทั่งจบก็พูดขึ้นเลียนแบบดีเจรายการปรึกษาปัญหาความรัก

“คุณหงาคะ จุดนี้พี่อ้อยว่า… เรื่องเขาจะเป็นเกย์ แล้วไปมีแฟนน่ะไม่ใช่ความผิดอะไรเขาเลย เพราะคุณหงาไม่ได้เป็นอะไรกับเขาด้วยซ้ำ แล้วคุณจะไปโกรธเขาได้ไง จริงไหมคะ” คำพูดน้องสาวกระแทกใจหล่อนปังจนสะดุ้งโหยง เหมือนคนที่หลับลึกอยู่แล้วถูกตะคอกใส่หูแรงๆจนตื่นขึ้น ทว่าวิลิศมาลัยยังว่าต่อไปโดยเปลี่ยนคาแรกเตอร์เป็นพิธีกรอีกคน “พี่ฉอดว่า ต่อให้คุณหงาจะดีกับเขาแค่ไหน แต่เขาชอบผู้ชายนะคะ แล้วเขาจะมาเลือกคุณหงาได้ไงอ่ะคะ คุณหงาคะ… ตัดผมต้องใช้ช่าง แต่ตัดใจซะบ้างต้องใช้สติค่ะ”

จริงของมัน… ต่อให้ฉันดีกว่านี้ สวยกว่านี้ ถ้าฉันไม่ใช่ผู้ชายเขาก็คงไม่รักฉันขึ้นมา!

“แต่เอาจริงนะ” จู่ๆน้องสาวก็หลุดออกจากคาแรกเตอร์ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังแทน “ลิศว่าที่ควรคิดดีๆเนี่ย คือเรื่องที่เขาเป็นที่ปรึกษาพี่แท้ๆ แต่ยอมให้พี่ทำหัวข้อนี้ ทั้งๆที่รู้ทั้งรู้ว่าภาคจะไม่ให้ผ่านอะ พี่ไม่แปลกใจอะไรบ้างเลยเหรอ?”

“หืม ต้องแปลกใจอะไรอ้ะ?”

“ก็พี่เป็นผู้ช่วยเขียนบทความให้เขามาหลายชิ้นแล้วไม่ใช่เหรอ?” วิลิศมาลัยทัก “นอกจากจะไม่ได้เงินแล้ว พี่ยังไม่เคยได้ชื่อเลยนี่?”

“ก็ใช่น่ะสิ แต่เขาก็เขียนขอบคุณฉันทุกครั้งนะ”

“เขียนขอบคุณทั้งๆที่ควรพ่วงชื่อไปเลยว่า เขียนโดย มนตรีและพวงบุหงาเนี่ยนะ?” หญิงผู้พี่เริ่มเอียงเอนคล้อยตามคำพูดของน้องไปเรื่อย ยัยลิศกำลังหมายความว่า… อาจารย์มนตรีหลอกฉันเหรอ? “แล้วพวกคำหวานๆ ท่าทางอบอุ่นๆที่เขาทำให้น่ะ พี่ไม่คิดเลยเหรอว่าจริงๆแล้ว เขาน่ะ…”

“ยัยลิศ กลิ่นอะไรน่ะ?” จู่ๆแม่ของหล่อนก็พูดแทรก ทั้งยังปรึกษาเรื่องรักกันไม่จบ

กลิ่นไหม้! พวงบุหงาหันซ้ายแลขวา ก็เห็นว่าหล่อนวางจานปูทิชชูไว้ใกล้กับเตาเกินไป จนเศษทิชชูที่ยาวเกินขอบจานออกมานั้น ดันไปติดไฟเข้า! สองสาวพี่น้องมัวแต่ปรึกษาปัญหาความรัก ลืมมองไปเสียสนิทว่า มะเขือทอดที่วางพักไว้บนทิชชูกำลังจะไหม้เกรียมเป็นจุณ ไม่ต่างเมืองดาหาที่อิเหนาจุดไฟเผา! พวงบุหงาไม่ใช่คนตัดสินใจได้ดีนักเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน ความต้องการเดียวที่มีตอนนั้น คือดับไฟเสีย!

ในช่วงไม่กี่วินาที สายตาของหญิงสาว ก็เห็นอ่างสแตนเลสที่ใส่น้ำและผักที่คุณสุรีย์ล้างแล้ววางทิ้งไว้ในอ่างล้างจาน มือขวาของหล่อนไปไวกว่าความคิด หยิบเอาอ่างนั้น สาดน้ำใส่ทิชชูจนไฟดับทันที!

เยส! ไฟดับแล้ว

ใช่… ไฟดับ ทว่ามะเขือทอดและทิชชูในจานนั้นชุ่มน้ำเปียกไปหมด ผักสดที่ล้างไว้หล่นร่วงลงไปบนเตา ขณะที่กะทะที่ทอดปลาทูยังวางอยู่บนไฟของอีกเตาข้างๆ พอน้ำกับน้ำมันเจอกันก็ปะทุฟู่ขึ้น จนกระเด็นไปถูกแขนน้องสาว ผู้ร้องหวีด ผงะตกใจถอยพรวดไปชนเคาน์เตอร์ มือพยายามคว้ายึดขอบโต๊ะจนปัดจานใส่ไข่เจียวชะอมและน้ำพริกกะปิถ้วยใหญ่ที่คุณนายสุรีย์วางเอาไว้ตกลงมาหกเลอะพื้น

ทุกองค์ประกอบของมื้อเย็นมื้อนั้น ทั้งน้ำพริก ผักสด ปลาทูทอด ไข่เจียวชะอม และมะเขือทอด ต่างก็เสียหายพังทลายไปหมด ด้วยน้ำมือของหล่อนเอง

“ยัยพวง!!! แกนี่มันตัวซวยจริงๆ หยิบจับอะไรก็ฉิบหายไปหมดเลยนะ!”

เจ็บใจ ฉันไม่เคยมีอะไรดีในสายตาแม่เลย ทว่าคราวนี้ไม่มีอาการสะอื้นฮักหรือระเบิดโฮ แต่จุกไปเสียจนสีหน้าไม่แสดงอาการอะไรทั้งสิ้น ถ้าน้ำตาจะไหล ก็ไหลรินอยู่ในใจเท่านั้น มื้อนั้นจบลงที่มาม่าใส่ไข่

หญิงสาวปิดประตูห้องพักที่อพาร์ตเมนท์ของตน สไลด์ตัวลงนั่งกองกับพื้นดั่งพวกผู้หญิงอกหักในมิวสิควิดีโอ ขาดก็แต่ลุกไปเปิดฝักบัวให้น้ำรดตัวเองแล้วร้องไห้ในห้องน้ำเท่านั้น!

ด้านนอกมืดสนิท ประตูกระจกเลื่อน ตรงทางออกไปนอกระเบียงจึงทำหน้าที่คล้ายกระจกเงาให้ หล่อนได้เห็นตัวเองเป็นครั้งแรกหลังจากที่ผ่านทุกอย่างมาในวันนี้

ใบหน้าที่ควรคล้ำเป็นสีชอกโกแลตอย่างสาวใต้ของหล่อน ซีดเผือดจนน่ากลัว ซีดพอๆกับใบเสนอหัวข้อวิทยานิพนธ์ที่ไม่ผ่านของหล่อน ผมประบ่าที่ร้านดัดผิดเป็นลอนเล็กหยิกขอดพองฟูไม่เป็นทรง บวกกับชุดเดรสผ้าพริ้วพรินท์ลายเสือดาวที่เลือกมาใส่ให้ดูแข็งแกร่งมั่นใจ กลับทำให้หล่อนดูคล้ายอาจุมม่า มากกว่านางเอกซีรีส์เกาหลี สภาพที่ทั้งผิดหวังเรื่องงาน ทั้งอกหักเรื่องอาจารย์มนตรี ทั้งโกรธแม่ รวมทั้งฤทธิแอลกอฮอลที่ซื้อนั่งกินหน้าเซเว่นเมื่อครู่ ทำให้ดูรวมๆแล้วเหมือนหญิงวิกลจริตเสียเหลือเกิน!

ไม่แปลกที่ก่อนขึ้นหอจะมีเด็กวัยรุ่น รีบเดินถอยห่างจากหล่อนไปคล้ายเห็นผี

ไม่แปลกถ้าฉันจะสู้นายยอดบุตรนั่นไม่ได้สักอย่าง ไม่แปลกถ้าจะดูไม่เป็นผู้เป็นคนในสายตาแม่

ทั้งที่นั่งหมดอาลัยตายอยากกองอยู่หน้าประตู สภาพเละเทะน่ารังเกียจจนรับตัวเองไม่ได้ สองตาของพวงบุหงากลับส่องส่ายหาสิ่งสุดท้ายที่ทำให้หล่อนอยากมีชีวิตอยู่ในตอนนั้น… เจ้าแมวอ้วนของหล่อน ถ้าแค่ได้กอดมันสักครั้ง ลูบหัวมันทีสองทีก็อาจทำให้หล่อนกลับฮึดสู้ขึ้นมาได้อีกครั้ง

“ฟัวกราส์” นั่นคือชื่อแมวของหล่อน เจ้าสกอตติช โฟลด์ขนสีน้ำตาลอ่อน แซมประปรายด้วยน้ำตาลเข้มจนเหมือนชิ้นฟัวกราส์ที่เอาไปเซียร์กับกะทะ “ฟัวกราส์อยู่ไหนลูก?”

สิ้นเสียง แมวอ้วนตาแป๋ว ก็คลานออกมาจากใต้เตียง ค่อยๆย่องเข้ามาหาอย่างระแวดระวัง มือหญิงสาวยื่นเอื้อมไปจะต้องตัว แต่เจ้าฟัวกราส์กลับเลี้ยวหลบจากการจับกุม เอาหน้ามุดเข้ากระเป๋าผ้าหล่อน ตามนิสัยแมวสายพันธุ์นี้ที่ชอบเข้าไปอยู่ในกล่อง หรือถุงอะไรก็ตามแต่ที่มีโพรงให้มันรู้สึกปลอดภัย ทว่า เพราะในกระเป๋ามีหนังสือตัวเขียนของเจ้าฟ้าหญิงมงกุฎใส่ไว้ หญิงสาวจึงจำต้องรีบช้อนตัวเจ้าฟัวกราส์ขึ้น ก่อนที่มันจะเลียหรือกัดแทะสมุดข่อยโบราณของหล่อนจนฉีกขาดยับเยิน!

ทว่าในวินาทีที่จับเจ้าแมวยก มันกลับกระโดดหนีไป วิ่งโร่ขึ้นนั่งบนโซฟานวมนิ่มที่มุมห้อง ดูเอาเถอะ ขนาดแมวยังเทฉันเลย!

ทว่าเมื่อมองหน้าเจ้าฟัวกราส์ สายตาของเจ้าแมวกลับยังมองที่กระเป๋าใส่เอกสารอันนั้นเขม็ง พวงบุหงามองกระเป๋า สลับกับเจ้าอ้วน อาจเพราะไม่เคยดื่มแอลกอฮอลมาก่อน จนยามนี้เมามายเลื่อนลอยไม่ได้สติ หญิงสาวจึงเห็นเจ้าฟัวกราส์ยกเท้าหน้าขึ้นกวักเลีย และขยิบตา ราวจะเรียกหล่อนเข้าไปหา!

เหมือนมันจะสั่งให้เราถือต้นฉบับของเจ้าฟ้าหญิงไปอ่านบนโซฟาอย่างไรอย่างนั้นแน่ะ…

หญิงเจ้าของแมว เดินเข้าไปหาฟัวกราส์ลูกรัก หย่อนก้นนั่งจนตัวจมลงเบาะ หล่อนก้มลงตามองสมุดข่อยเล่มนั้นจดจ่อ มือหยิบรีโมทเปิดทีวีอย่างไม่ใส่ใจ คล้ายว่าแค่ให้ได้มีเสียงอะไรดังอยู่เป็นเพื่อนเท่านั้น ในพลันนั้นเอง ราวกับอยู่ในหนังแฟนตาซี จู่ๆพวงบุหงาก็เห็นแสงสีทองส่องสว่างออกมาจากแต่ละตัวอักษรบนหน้าสมุดไทยนั้น! แหม่ ถ้าเมาแล้วเห็นทุกอย่างเป็นหนังสามมิติอย่างนี้ก็ดีสิ! หญิงสาวนึกในใจ ถ้าสติยังสมบูรณ์แล้วมาเห็นอะไรแบบนี้ หล่อนคงกรีดร้องสิ้นสติไปแล้ว

ฤทธิ์แอลกอฮอลในตัวทำเอาหล่อนยิ้มแก้มปริ ตาฉ่ำเยิ้มเปี่ยมสุข ช่างมัน! ช่างทั้งอีตามนตรี ช่างแม่ด้วย! ยังไงฉันก็ยังมีอิเหนาของเจ้าฟ้าหญิงมงกุฎ ฉันจะถอดรหัสมันให้ได้ แล้วก็เขียนวิทยานิพนธ์ปังๆจนโด่งดัง แล้วคราวนั้นแหละ ทั้งอาจารย์มนตรีแล้วก็แม่ จะเสียดายที่ไม่รักฉัน! เอาล่ะ จะอ่านแล้วนะ หล่อนพลิกหน้ากระดาษเปิด สาธุ ขอให้มันช่วยพิสูจน์สมมติฐานการวิจัยของฉันได้ด้วยเถอะ!

“…มาต่อกันที่ข่าวต่อไปเลยนะคะ… จับ ทุจ-เจ้า เชียงใหม่ฐานปลอมแปลงเอกสารและวัตถุโบราณหลายชนิด หลอกเสนอประมูลในงานประชุมที่จัดโดยมหาวิทยาลัยเชียงใหม่เมื่อสองวันที่ผ่านมานี้ค่ะ โดยผู้ที่ประมูลของไปได้นั้น ได้ตรวจสอบกับผู้เชี่ยวชาญพบว่าของดังกล่าวเป็นของที่สร้างขึ้นใหม่ จึงได้ดำเนินการแจ้งความนำจับ…”

พวงบุหงาอ้าปากค้าง เบิกตาโพลงแทบจะถลนออกมาจากเบ้า หล่อนมองผู้สื่อข่าวจากโทรทัศน์ที่เปิดทิ้งไว้ที จ้องสมุดข่อยในมือตัวเองที อย่างไม่เชื่อหู เจ็บช้ำราวจะด่าวดิ้นตาย… ของปลอม!

คำเตือนของอาจารย์หม่อมป้าผ่านเข้ามาในสมอง “ถ้าดิฉันอนุมัติ แล้วเกิดกลายเป็นว่ามันเป็นของปลอมขึ้นมา คุณจะเสียเวลาแค่ไหน?” ตามด้วยคำลังเลของอาจารย์มนตรี “มันจะไม่ปังน่ะสิ ผมกลัวจะพังมากกว่า” ปิดท้ายด้วยคำปรามาสจากแม่ “ฉันล่ะจะคอยดู ถ้ามันเป็นของปลอมขึ้นมานะ ฉันจะหัวเราะให้คอแตกเลย” ท้ายที่สุดแล้ว มันก็เป็นของปลอมจริงๆ และหล่อนก็พังจริงๆด้วย!

โธ่เอ๋ย ที่อยากทำงานให้ปังเช่นนี้ ที่พยายามสู้เพื่อให้ได้เป็นนักวิชาการสายวรรณคดี พยายามเสาะหาจนไปได้ต้นฉบับเล่มนี้มาก็เพื่อให้ที่ปรึกษาของหล่อนได้ภาคภูมิใจ จะได้พิสูจน์ให้เห็นว่าหล่อนดีพอจะยืนข้างเขา ไม่ใช่ในฐานะ ผู้ช่วย อีกต่อไป แต่ในฐานะคู่ชีวิตที่เหมาะสมกันในทุกๆแง่มุม แล้วในเมื่อต้นฉบับนี้เป็นของปลอม หล่อนจะทำงานอื่นให้ปังจนควรคู่เขาได้อย่างไร?

แล้วแม่ล่ะ? หล่อนควรได้เป็นอาจารย์ เป็นที่ยอมรับ มีทั้งเงินมาใช้ดูแลที่บ้าน ทั้งชื่อเสียงเกียรติยศให้ท่านได้ภูมิใจ พิสูจน์กับแม่ได้ว่า ไม่จำเป็นต้องขายส้วมหล่อนก็หาเลี้ยงท่านได้ด้วยวิธีอื่น แถมเป็นวิธีที่ทรงเกียรติ แม่จะได้ไม่เหน็บแหนมกระแหนะกระแหนหล่อนทุกครั้งที่กลับบ้านเช่นนี้! หล่อนอาจไม่ต้องหนีจากบ้านมาทนอยู่เหงาๆในอพาร์ทเมนท์เล็กๆนี่ หล่อน แม่ และลิศ จะอยู่บ้านเดียวกันอย่างอบอุ่นและเป็นสุข ทว่ามันจะไม่เกิดขึ้น หล่อนถูกหลอกจริงๆ ล้มเหลวจริงๆ ดังที่แม่ปรามาสไว้!

บัดนี้ทุกอย่างที่วาดหวังไว้ มันเป็นจริงไปไม่ได้อีกแล้ว…

กระดาษสีน้ำตาลปึกนั้นสั่นระริกอยู่ในมือของหล่อน ไอ้กระดาษบ้านี่ไม่มีประโยชน์อะไรอีกต่อไป หล่อนไม่อาจใช้มันในวิทยานิพนธ์ ไม่มีวันทำให้อาจารย์มนตรีปรายตามามองหล่อนได้ และไม่มีวันให้แม่เห็นหล่อนในฐานะ ลูกที่แม่ภูมิใจ ได้อีกแล้ว!

ความคิดหนึ่งก่อขึ้นในหัว เท เทมันทั้งวิทยานิพนธ์ ทั้งไอ้สมุดข่อยปลอมๆนี่!

โธ่ ทำไมโชคชะตาต้องให้ความหวังแล้วกลับกลอกหักหลังกันเช่นนี้ เหนื่อยว่ะ ไม่อยากพิสูจน์ตัวเองให้ใครอีกแล้ว เพราะไอ้ต้นฉบับนี่แท้ๆเชียว ทุกอย่างถึงพังไปหมด… ได้! ทิ้งแม่ง เรื่องจะได้จบๆไป!

นึกได้อย่างนั้นพวงบุหงาก็พยายามแบกร่างไร้วิญญาณลุกขึ้น เดินไปเข้าห้องน้ำ โยนต้นฉบับสีน้ำตาลคร่ำคร่านั่นลงชักโครก พร้อมจะกดน้ำทิ้งไป… ทว่าโทรศัพท์มือถือในมือกลับพลาดร่วงลงไปด้วย!

“ว้าย” อารามตกใจ หญิงสาวรีบล้วงมือขวาลงคอห่าน ในขณะที่มือซ้ายเผลอกดชักโครกไปแล้วอย่างไม่ตั้งใจ แล้วสิ่งประหลาดที่สุดในชีวิตก็บังเกิด! ในชั่วไม่กี่วินาทีนั้นเอง แสงสีทองอร่ามก็เรืองขึ้นจากคอห่าน ในขณะที่มือขวามีแรงบางอย่างฉุดกระชาก แล้วหน้าหล่อนก็คะมำลงไปหมุนวนพร้อมน้ำชักโครก ทิ่มไถลลงท่อไปอย่างน่าอัศจรรย์ และน่าสังเวชใจในพลันเดียวไม่ต่างสิ่งปฏิกูล!



Don`t copy text!