MESSY BUDDY คุณบัดเดอร์ ใช่เธอหรือเปล่า? บทที่ 2 : บัดดี้ บัดเดอร์

MESSY BUDDY คุณบัดเดอร์ ใช่เธอหรือเปล่า? บทที่ 2 : บัดดี้ บัดเดอร์

โดย : แสนแก้ว

MESSY BUDDY คุณบัดเดอร์ ใช่เธอหรือเปล่า?  โดย แสนแก้ว หญิงสาวผู้มีความฝันอยากเป็นนักเขียน จึงตัดสินใจเข้าอบรมในโครงการ อ่านเอา ก้าวแรกรุ่นที่ ๑ ทำให้เกิดแรงบันดาลใจกลับไปเขียนนวนิยายจนจบเป็นเรื่องแรกและได้รับรางวัลรองชนะเลิศจากการประกวดในครั้งนี้ และนี่คือ นิยายออนไลน์ ที่เราอยากให้คุณได้ อ่านออนไลน์

– 2 –

 

“เชิญครับ”

เสียงเยียบเย็นลอยมา เอกอักษรรู้โดยสัญชาตญาณว่า ต้องรีบไปถึงโต๊ะนั้นให้เร็วที่สุด ก่อนที่เสียงเย็นๆ จะกลายเป็นร้อน

เมื่อมาถึง ท่านประธานไม่ได้เชิญให้นั่งเหมือนทุกครั้ง เขากอดอกมองหน้าเธออยู่อึดใจหนึ่ง ด้วยสายตาแบบที่เธอเองก็ไม่กล้ามองตอบ

“ผมคงไม่อ้อมค้อมละนะ ขอพูดตรงๆ เลยว่า ความผิดของคุณครั้งนี้ทำให้บริษัทเสียหายมาก มากเกินกว่าที่ผมจะชดเชยให้กับผู้ถือหุ้นได้ ตอนนี้ผมก็ตอบบรรดาผู้ถือหุ้นไม่ได้ด้วยซ้ำว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไง  เราพลาดงานประมูลสำคัญที่สุดไปเพียงเพราะแค่พนักงานเอกสารจำวันส่งงานผิด มันแสดงถึงความไม่ใส่ใจ สะเพร่า ไม่รับผิดชอบ มันไม่เป็นมืออาชีพน่ะ คุณเข้าใจไหม”

“ค่ะ ดิฉันขอโทษค่ะ” เธอก้มหน้าพูดพร้อมบีบมือแน่น ทว่าคนตรงหน้ากลับตบโต๊ะดังปังจนเธอสะดุ้ง

“ขอโทษแล้วยังไง! คำว่าขอโทษคำเดียวมันชดเชยกับเงินร้อยล้านที่หายไปได้งั้นเหรอ! การกระทำของคุณมันยิ่งกว่าปล้นบริษัทซะอีก ทุกคนต้องเหนื่อยขนาดไหนเพื่อโปรเจกต์นี้ แล้วทุกอย่างมันก็ฟาวล์ไปหมด แค่เพราะความไร้จิตสำนึกของคุณ อย่างนี้คุณคิดว่าผมต้องจัดการคุณยังไงดี ฮึ…คุณเอกอักษร”

เหมือนกันไม่มีผิดกับพี่เติ้ง แม้แต่คำว่าขอโทษของเธอก็ไร้ความหมาย ไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นเลย

“ดิฉัน ดิฉัน…ยินดีรับผิดชอบด้วยการลาออกค่ะ”

“ลาออกแล้วยังไง เงินร้อยล้านมันกลับมางั้นเหรอ!” คราวนี้ชายหนุ่มลุกขึ้นยืน ก่อนจะก้าวเข้ามาเกือบประชิดตัว พูดลอดไรฟันด้วยเสียงเบาทว่าเย็นเยียบ

“คุณต้องชดใช้! ผมไม่ให้คุณลาออกหรอกเพราะมันง่ายเกินไป ก่อเรื่องไว้แล้วจะลอยหน้าลอยตาหนีไปง่ายๆ งั้นเหรอ”

หญิงสาวขยับถอยหลังทั้งที่ขายังสั่น “ท่านประธาน…จะให้ทำอะไรคะ”

“คุณต้องหาเงินมาชดใช้ให้เร็วที่สุด ต้องทำงานแบบไม่ได้เงินเดือนจนกว่าจะใช้หนี้ก้อนนี้หมด ผมจะคิดดอกเบี้ยค่าเสียเวลาห้าเปอร์เซ็นต์ต่อปี แล้วถ้าคุณเบี้ยวหรือว่าทำไม่ได้ละก็ ผมจะฟ้องร้องให้คุณเป็นบุคคลล้มละลาย และจำคุกตลอดชีวิตไม่ออกมาสร้างความเดือดร้อนให้ใครอีก”

หญิงสาวรู้สึกถึงคลื่นเย็นเยือกที่ไล่ไปตั้งแต่โคนผมจนถึงไขสันหลัง คำนวณไม่ออกเลยว่าพนักงานเอกสารเงินเดือนหมื่นกว่าบาทอย่างเธอจะต้องทำงานกี่ปีกี่ชาติ ถึงจะมีเงินร้อยล้านมาคืนได้

“เข้าใจไหม คุณเอกอักษร” เสียงเข้มดังข่มอยู่ใกล้ตัว เธอเผลอขยับก้าวถอยหลังอีก และการขยับตัวคราวนี้ก็ทำให้รู้สึกว่าพื้นโลกมันช่างอ่อนยวบจนแทบยืนไม่อยู่  เธอล้มลงไปนั่งกระแทกเก้าอี้ เงยหน้าเบิกตากว้างมองท่านประธานคิมหันต์ผู้ซึ่งยืนหน้าถมึงทึงอยู่ใกล้ๆ แสงจากหน้าต่างด้านหลังสาดเข้ามา เกิดเงาดำพาดผ่านที่ใบหน้าเขา ดวงตาคมกล้านั้นจ้องราวกับจะปลิดเอาชีวิตเธอไปเดี๋ยวนี้

“ผมถามว่า เข้าใจไหม หา! คุณเอกอักษร”

หญิงสาวปากสั่น มือสั่น ไม่มีแรงแม้แต่จะเอ่ยคำใดตอบกลับไป

 

“คุณ…คุณเอกอักษร!”

“คะ คะ!”

“เชิญครับ”

เสียงเยียบเย็นลอยมา หญิงสาวจึงเพิ่งรู้สึกตัวว่าตนเองยังไม่ได้ไปไหนไกลเกินกว่าหน้าประตูห้องของท่านประธานเลย

พอเดินมาถึงหน้าโต๊ะ เขาก็ผายมือไปที่เก้าอี้ เอ่ยขึ้นว่า “นั่งก่อนสิครับ”

เธอทรุดตัวลงนั่งช้าๆ รวบรวมความกล้าเงยหน้าขึ้นสบตา ท่านประธานคิมหันต์มีท่าทีสบายๆ ในยามเย็น เสื้อสูทที่มักเห็นใส่ประจำก็ถอดแขวนไว้ แขนเสื้อเชิ้ตสีอ่อนถูกพับขึ้นถึงข้อศอก

“ผมทราบเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นแล้วจากคุณเติ้ง” เขาเริ่มเข้าเรื่องโดยไม่อ้อมค้อม “ผมได้เข้าไปคุยกับทางคณะกรรมการงานประมูลทันทีที่ทราบเรื่อง แต่โชคไม่ดีที่ทางนั้นปฏิเสธให้เรายื่นข้อเสนอใหม่ แต่ก็ได้ลดค่าปรับให้นิดหน่อยจากที่เรารับผิดตามตรง และปีก่อนๆ ที่เคยได้ประมูล เราก็ทำได้ดีมาตลอด

ผมหารือกับคุณเติ้งและหัวหน้าทีมขายคนอื่นๆ ตัดสินใจกันว่า เพื่อชดเชยกับกำไรร้อยล้านที่หายไป เราต้องขยับเอาสินค้าที่มีแผนจะเปิดตัวในปีหน้าเร่งขึ้นมาเปิดตัวปีนี้แทน ตอนนี้ผมกำลังประสานงานกับฝ่ายผลิตที่โรงงาน ให้เตรียมตัวผลิตสินค้าใหม่ทันทีที่เราพร้อมเปิดตลาด คุณคิดว่าไงกับทางออกนี้ มีอะไรจะเสนอไหมครับ”

หญิงสาวนิ่งฟัง เพิ่งรู้ตอนนี้เองว่าหลังเกิดเรื่องขึ้น ในระหว่างที่มัวแต่เครียด เสียใจ น้อยใจในโชคชะตาตัวเองอยู่นั้น มีการเคลื่อนไหวในบริษัทมากมาย มากกว่าการเรียกเธอมาตำหนิและเธอก็กลับไปทำงานให้ไอ้พี่เบียร์ตามเดิม  มีคนที่เดินหน้าแก้ปัญหาบริษัท มากกว่าหมกมุ่นแต่เรื่องปัญหาตัวเองอย่างที่เธอทำ

“ดิฉัน…ดิฉันขอโทษค่ะ ขอโทษจริงๆ กับเรื่องที่เกิดขึ้น”

พูดจบเธอก็หลับตาปี๋ ไม่รู้ว่าจะโดนระเบิดลงอีกหรือเปล่า

แล้วสิ่งที่ตอบกลับมาก็คือ น้ำเสียงทุ้มนุ่มจากคนตรงหน้า…

“ผมเข้าใจว่าความผิดพลาดมันเกิดขึ้นได้ ไม่ว่ากับคุณหรือใครก็ตาม แล้วผมก็เชื่อด้วยว่าคุณคงได้บทเรียนสำคัญที่ต้องกลับไปคิด ระวังให้มากขึ้นสำหรับงานคราวหน้า แต่สิ่งสำคัญคือ เมื่อเกิดปัญหาแล้ว เราจะแก้ไขมันยังไง และป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นอีกยังไงต่างหาก คุณคิดเหมือนกันไหม”

เอกอักษรเงยหน้าขึ้นสบตา ก็พบกับแววตาคมกล้าที่มองเธอตรงๆ อย่างเปิดเผย จริงใจ และยอมรับเธอเป็นทีมเดียวกันที่จะฝ่าฟันอุปสรรคไปด้วยกัน เป็นหนังคนละม้วนกันเลยกับท่านประธานในจินตภาพเมื่อครู่ ที่อวตารมาจากการลงโทษตัวเองของเธอ

“เอ่อ ค่ะ แล้ว…ดิฉันต้องทำอะไรบ้างคะ”

“ตั้งใจทำงานเดิมที่ทำอยู่ และเตรียมตัวรับงานของสินค้าใหม่ที่กำลังจะออกเร็วๆ นี้”

“แล้ว เอ่อ…คือ ไม่ต้องชดใช้อะไรเหรอคะ”

“ชดใช้?” เขายิ้ม ไม่บ่อยนักที่เธอจะได้เห็นรอยยิ้มของท่านประธานคิมหันต์ “คุณจะใช้ค่าเสียหายร้อยล้านให้ผมเหรอ”

เธอขยับตัวนิดหนึ่ง ทำหน้าไม่ถูก และยิ่งไม่รู้ว่าจะตอบอะไรดี รู้แค่ว่าเมื่อครู่นี้ไม่พูดไปน่าจะดีกว่า

“คุณคิดว่าผมโหด ผมร้ายขนาดนั้นเลยเหรอ มองโลกในแง่ร้ายไปหรือเปล่า”

เธอไม่อาจตอบคำใด ได้แต่ยิ้มแห้งๆ กลับไป

“คุณก็เลยคิดว่าจะรับผิดชอบด้วย ‘สิ่งนี้’ ใช่ไหม”

จบคำ เขาก็หยิบของสิ่งหนึ่งขึ้นมาวางตรงหน้าเธอ มันคือซองจดหมายสีขาวที่เธอสงสัยว่าพี่เติ้งเห็นแล้วจะว่าอย่างไรบ้าง เห็นเขากลับบ้านไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ยังคิดอยู่เลยว่าเขาอาจจะเก็บรวมไปกับเอกสาร แล้วไปดูที่บ้าน หรือไม่ก็คงเก็บไว้ในลิ้นชักโต๊ะทำงานรอวันพรุ่งนี้

แต่ไม่นึกเลยว่ามันจะผ่านอนุมัติอย่างรวดเร็ว จนมาถึงมือของท่านประธานคิมหันต์แล้ว

“ผมไปเก็บมาจากโต๊ะคุณเติ้ง ก่อนที่คุณเติ้งจะเห็น”

ทว่า…เธอเข้าใจผิดไปอีกแล้ว จึงเบิกตากว้างอย่างตกใจ

เขาเลื่อนซองกลับมาให้ “ผมไม่คิดว่ามันเป็นทางออกที่ดีนะ ผมรู้ว่าคุณทำงานดี และผมก็ยังอยากให้คุณอยู่ช่วยผมต่อ ถ้าอึดอัดใจกับงานเจ้าหน้าที่ส่งเสริมการขายที่ทำอยู่ละก็ มาสมัครเป็นเซลส์สิครับ  อย่างที่บอกไปว่าเราจะเปิดตัวสินค้าใหม่กันเร็วๆ นี้ หมายความว่าเราจะต้องเพิ่มตำแหน่งเซลส์ด้วย”

เอกอักษรกะพริบตาปริบๆ ยิ้มตอบจืดๆ “ขอบคุณท่านประธานมากนะคะสำหรับคำแนะนำ จริงอย่างที่ท่านบอกค่ะว่า ตอนนี้เราต้องเร่งขายสินค้าเพิ่มเพื่อให้ผ่านวิกฤติไปได้ ดังนั้นดิฉันคิดว่า…ดิฉันคงจะขอดูแลเอกสารขายให้ดีมากกว่าค่ะ คงถนัดกว่างานเซลส์มาก”

“อย่าเพิ่งคิดว่าจะทำไม่ได้ตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มสิครับ แต่ก็แล้วแต่คุณนะ ผมไม่ขัดข้อง แค่อยากให้ลองพิจารณาดู”

บ่ายวันหนึ่งขณะที่เอกอักษรกำลังขะมักเขม้นกับงานเอกสารในจอคอมพิวเตอร์ เธอก็มีอันต้องเงยหน้าขึ้นมาเมื่อพี่เป้ย เปรมยุดา เลขานุการสาวสวยสุดเซ็กซี่ของคุณคิมหันต์มายืนกลางออฟฟิศ ประกาศให้ทุกคนรับรู้โดยพร้อมเพรียงกันว่าจะมีการเล่นเกม ‘บัดดี้’ เอกอักษรวางมือจากคีย์บอร์ดมาตั้งใจฟัง จำได้ว่าเคยเล่นสมัยเรียนแล้วสนุกมากๆ ไม่คิดว่าจะได้มาเล่นอีกครั้งในที่ทำงาน

“เป้ยทำสลากชื่อทุกคนแล้ว เราจะจับสลากกันนะคะ จับได้ชื่อใคร คนนั้นคือ ‘บัดดี้’ หรือคนที่เราจะต้องเทกแคร์ ดูแลกันไปตลอด โดยห้าม! ห้ามเด็ดขาด ไม่ให้เขารู้ว่าเป็นเรา ในขณะเดียวกันก็จะมีอีกคนที่มาดูแลเราแบบไม่ให้เรารู้ตัวตนเช่นกัน เรียกว่า ‘บัดเดอร์’ พอนึกออกกันใช่ไหมคะ”

เพื่อนพนักงานในออฟฟิศเริ่มพูดคุยฮือฮา แทบทุกคนเคยเล่นเกมนี้มาก่อนจึงเข้าใจกติกากันได้ไม่ยาก พี่เป้ยอธิบายต่อ

“ก่อนปีใหม่ เราจะมีเอาต์ติ้ง ไปเที่ยวทะเลด้วยกันทั้งออฟฟิศ และเราจะเฉลยบัดดี้กันที่นั่น ระหว่างนี้ก็เทกแคร์บัดดี้กันให้สนุกนะคะ อย่าลืมว่า…ห้ามให้บัดดี้รู้เด็ดขาดว่าเราเป็นบัดเดอร์ เพราะถ้าใครจับบัดเดอร์ได้ก่อนวันเฉลย บัดเดอร์จะต้องยอมเป็นทาส ทำตามที่บัดดี้สั่งหนึ่งอย่างเป็นการไถ่โทษ”

ตี๋ใหญ่ค่อยๆ ไถเก้าอี้ทำงานล้อเลื่อนมาถึงโต๊ะเธอ แล้วพูดเบาเกือบเป็นกระซิบ

“ไม่อยากเล่นเลยว่ะเอ ทำไงดีวะ”

เอกอักษรกำลังฟังพี่เป้ยเพลินๆ เป็นต้องขมวดคิ้ว “ทำไมล่ะวะ”

“ก็ไม่มีตังค์อะดิ นี่เล่นบัดดี้นานตั้งเป็นเดือนๆ ก็ต้องซื้อขนม ซื้อของให้บ่อยๆ มันก็หลายตังค์นะเว้ย จนตายกันพอดี”

“แกเงินเดือนเยอะกว่าฉันอีก แถมเป็นเซลส์ก็ได้ค่าคอมมิชชั่นด้วย จะมาบ่นอะไรวะ ฉันเป็นแค่พนักงานเอกสารไม่ยิ่งจนกว่าแกเหรอ”

“แล้วทำไมแกถึงอยากเล่นล่ะ ไอ้เกมบัดดี้ที่ต้องเอาตังค์ไปเลี้ยงใครก็ไม่รู้เนี่ย”

“ฉันชอบเล่นเพราะมันเป็นช่วงเวลาดีๆ ที่จะได้ทำอะไรๆ ให้คนอื่นบ้างน่ะสิ ฉันจะได้ดูแลเพื่อนคนหนึ่ง แล้วก็จะมีใครอีกคนหนึ่งมาดูแลฉัน จะได้ทำกิจกรรมกับเพื่อนในบริษัทบ้าง ไม่ใช่แค่มาทำงานเจ็ดโมงเช้า นั่งจมกองเอกสาร โงหัวขึ้นมาอีกทีหกโมงเย็น กลับบ้าน เหมือนอย่างทุกวันนี้ แกรู้ไหมว่าฉันแทบไม่ได้คุยกับใครเลยนอกจากแกกับดาว คนในออฟฟิศบางคนยังไม่รู้จักฉันเลยด้วยซ้ำ”

“ก็แกมันขยัน” นายตี๋ใหญ่เอนหลังพิงพนัก “แต่ก็ช่างเถอะ ยังไงเขาก็บังคับเล่นทั้งออฟฟิศอยู่ดี แล้วแกอยากจับได้ใครเป็นบัดดี้วะ”

เพื่อนหนุ่มถามเหมือนชวนคุยเฉยๆ ไม่ได้อยากรู้คำตอบจริงจังนัก เอกอักษรมองข้ามไปยังอีกด้านหนึ่งของออฟฟิศอันเป็นที่ทำงานของแผนกขายต่างประเทศ ที่ตรงนั้นมีชายหนุ่มในชุดเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนพับแขนถึงข้อศอกกับกางเกงสแล็กส์สีเทาเข้ม เขายืนฟังพี่เป้ยอยู่กับกลุ่มเพื่อนของเขา

“แกมองใครวะ ไอ้พอร์ชเหรอ”

ตี๋ใหญ่ชะโงกหน้ามาตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ หญิงสาวแทบสะดุ้ง “เปล่าสักหน่อย เอ่อ…บัดดี้ฉันเป็นใครก็ได้ ไม่ได้อยากได้ใครเป็นพิเศษหรอกน่า”

 

เปรมยุดาหรือพี่เป้ย เลขาฯ สาวสวยถือโหลแก้วเดินไล่ไปตามโต๊ะให้พนักงานได้จับสลาก ทุกคนต่างตื่นเต้นกันใหญ่เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่มีการเล่นเกมบัดดี้กันในฝ่ายการตลาดนี้ เอกอักษรค่อยๆ คลี่สลากซึ่งม้วนจนเป็นแท่งแข็งออก แล้วดวงตากลมที่รออ่านตัวหนังสือนั้นก็ถึงกับเบิกกว้าง เมื่อได้เห็นข้อความบนสลากว่า…ภูวิศ เกียรติเกรียงไกร

คุณพอร์ช!

เธอเงยหน้ามองไปยังอีกด้านของออฟฟิศอีกครั้ง ชายหนุ่มเสื้อสีฟ้าอ่อนคนนั้นบัดนี้ก็กำลังจับสลากในขวดโหลอยู่ ไม่นึกฝันเลยว่าคนในออฟฟิศมีเกือบร้อย กับเซลส์ต่างจังหวัดอีกตั้งหลายทีม แต่เธอกลับจับได้ชื่อเขา เซลส์หนุ่มที่เนื้อหอมที่สุด

ไม่เพียงแต่เธอเท่านั้นที่แอบปลื้มเขามานาน สาวๆ หลายคนที่นี่ก็ชื่นชอบภูวิศขนาดตั้งกลุ่มแฟนคลับ  ล่าสุดเมื่อตอนต้นปี คุณพอร์ชยังได้รับเลือกเป็นพรีเซนเตอร์เครื่องดื่มสินค้าของบริษัทคู่กับเก็จดาว นักการตลาดสาวสวยเพื่อนสนิทของเธอ จะว่าไปแล้วสองคนนี้ก็เป็น ‘คู่จิ้น’ กันมาแต่ไหนแต่ไร เพราะทั้งสวย ทั้งหล่อ อัธยาศัยดี และยังทำงานเก่งอีกด้วย  ต่างคนก็ต่างฮอตเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ยิ่งได้มาออกงานโปรโมตสินค้าคู่กันอีก ก็ยิ่งปฏิเสธไม่ได้เลยว่าทั้งคู่ช่างน่ารักสมกันจนใครๆ ก็เชียร์ให้เปลี่ยนจาก ‘คู่จิ้น’ เป็น ‘คู่จริง’

ส่วนเธอ…นางสาวเอกอักษร พนักงานเอกสารสุดป้า ผู้หมกตัวอยู่ที่มุมรกๆ ในออฟฟิศ ก็คงไม่มีหน้าแม้แต่จะไปอิจฉาใคร

“แกจับได้ใครอะ”

จู่ๆ ตี๋ใหญ่ก็ชะโงกหน้ามาแอบดู เอกอักษรสะดุ้งเฮือก รีบรวบสลากจนกลายเป็นขยำ

“ไอ้ตี๋บ้า เขาไม่ให้บอกกันเว้ย”

“เขาไม่ให้บอกบัดดี้ ไม่ได้แปลว่าห้ามบอกใครนี่หว่า”

“มันต้องปิดเป็นความลับ ทำเหมือนไม่เคยเล่นไปได้”

“ก็ฉันอยากรู้นี่ว่าบัดดี้ของแกเป็นใคร มามะๆ แลกกันดู” เขายื่นสลากของตัวเองมาให้ แต่เอกอักษรสะบัดหน้าพรืด

“ไม่แลก ไม่อยากรู้” ว่าแล้วเธอก็ปาสลากที่ขยำยู่ยี่อยู่ในมือลงกระเป๋าสะพายซึ่งวางแอบอยู่ใต้โต๊ะ ทว่ามันกลับกระเด็นตกลงพื้นตรงปลายเท้านายตี๋ใหญ่พอดี เขาเหยียบหมับ

“เสร็จฉันละ”

“เฮ้ย!”

เอกอักษรโดดลงจากเก้าอี้มาคว้าข้อเท้าตี๋ใหญ่ทันทีทันใด แต่ชายหนุ่มลากขาขยับหนีได้ทันเสียก่อน

“ไอ้ตี๋! เอามาเดี๋ยวนี้นะ!”

“จุ๊ๆ” เขาก้มลงมาหา ทำหน้ากวน “อย่าเอ็ดไป เดี๋ยวโดนเจ๊เป้ยแกดุหรอก”

“แกก็คืนสลากฉันมาสิ!” คราวนี้เอกอักษรไม่ยอมจริงๆ คว้าข้อเท้าของไอ้เพื่อนหนุ่มหมับ แล้วจะยกออกจากพื้นให้ได้ ตี๋ใหญ่ไม่ยอมง่ายๆ ออกแรงเหยียบมิด เธอจึงถกขากางเกงเขาแล้วจิกขนหน้าแข้งขึ้นมาหนึ่งกระจุก กระตุกอย่างแรง เพื่อนชายไม่ทันตั้งตัวก็ร้องโอ๊ยออกมา

“จุ๊ๆ อย่าร้องดังสิ เดี๋ยวโดนเจ๊เป้ยดุหรอก” หญิงสาวเอาคืนบ้าง

“ไอ้เอ! ไอ้ซาดิสม์ผิดมนุษย์! เพื่อบัดดี้บ้าบอคอแตกนี่  แกถึงกับจะฆ่าฉันเลยเหรอวะ”

“แกก็คืนของของฉันมาสิ!”

ตี๋ใหญ่ยังไม่ยอม เขาลงมานั่งกับเธอข้างล่าง พยายามจะลากเอากระดาษใบน้อยที่เหยียบอยู่ออกมาให้ได้ แต่เอกอักษรก็ไม่ยอมเหมือนกัน ทั้งทุบทั้งตีรัวเป็นชุด

“ไอ้ตี๋ ไอ้ขี้โกง!”

ไม่พูดเปล่า หญิงสาวผุดลุกขึ้นหยิบกระบอกน้ำดื่มบนโต๊ะลงมา เปิดฝาอย่างรวดเร็วแล้วตั้งท่าจะเทราดรองเท้าอย่างไม่ปรานี

“เฮ้ยๆๆ” ตี๋ใหญ่ร้องเสียงหลง “แกจะบ้าเหรอ เปียกเลยนะเว้ย”

“เอาให้ชุ่มเลยละ”

เพื่อนจอมกวนยกมือขึ้นสองข้าง “โอเคๆ ยอมแล้ว ไม่แกล้งแล้วก็ได้ถ้าแกจะหวงบัดดี้ของแกขนาดนี้  ปิดฝาก่อนเถอะ เดี๋ยวพลาดหกไปโดนเอกสารเดี๋ยวก็ได้ทำใหม่กันทั้งกองหรอก”

หญิงสาวหรี่ตามองครู่หนึ่งก็ปิดฝาแต่โดยดี ทันใดนั้น ตี๋ใหญ่กลับพุ่งเข้าแย่งกระบอกน้ำในมือไปจนได้ เอกอักษรแทบร้องกรี๊ดถ้าไม่ติดว่าอยู่ในออฟฟิศ โดดเข้าแย่งกลับมาพัลวัน

ทว่า…ทันใดนั้นเอง

“นี่ ทำอะไรกันน่ะ”

เอกอักษรกับไอ้เพื่อนกะล่อนเงยหน้าหาต้นเสียงพร้อมกันโดยอัตโนมัติ ก็พบกับหญิงสาวในชุดเดรสเข้ารูปผู้หนึ่งยืนกอดอก หรี่ตามองทั้งสองอยู่ ผมสีน้ำตาลแดงดัดลอนนั้นยาวเลยบ่า ต้องแสงจากกระจกหน้าต่างดูคล้ายสีแดงจัด  ตี๋ใหญ่ลุกขึ้นยืนก่อน เขาก้าวเท้าเข้าไปหาหญิงผู้นั้น ประชิดจนหญิงสาวผู้มาใหม่ต้องถอยหลัง

“ก็ไม่ได้ทำอะไรครับ แค่มานั่งคุยกับเพื่อน”

เอกอักษรรีบคว้าเอาสลากที่มอมแมมบี้แบนติดพื้นเก็บใส่กระเป๋าสะพาย แล้วลุกขึ้นยืนบ้าง

“แอร์รี่มาหาเราเหรอ มีอะไรหรือเปล่า” เธอถามผู้มาใหม่ ด้วยเจ้าหล่อนเป็นเซลส์ในทีมเดียวกัน  และเอกอักษรก็เป็นเจ้าหน้าที่ส่งเสริมการขายที่เป็นคู่งานกับแอร์รี่โดยตรง คอยดูแลเอกสารขายให้  บางทีที่แอร์รี่เดินมาทางนี้ อาจจะมาสั่งให้ทำเอกสารบางอย่าง หรือมาตามเอกสารบางฉบับที่ฝากให้เธอทำอยู่

“เปล่า เราไม่ได้มาหาเอ” เซลส์สาวตอบฉะฉาน “เราแค่มาดูเพราะเหมือนพวกเธอสองคนกำลังเล่นอะไรกันในเวลางาน”

“ผมกับเอทำงานของวันนี้เสร็จแล้ว ก็เลยมานั่งคุยกันตามประสาเพื่อนสนิท ถ้าคุณไม่ได้มาตามงานกับเอ ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรนี่ครับ”

แอร์รี่สะบัดมือที่กอดอกออกอย่างแรง “นี่นายกำลังว่าว่าเราทำตัวมีปัญหา มาหาเรื่องเธอสองคนงั้นเหรอ”

“ผมไม่ได้พูดแบบนั้น แต่ถ้าคุณจะเข้าใจแบบนั้น มันก็เป็นเรื่องของคุณครับ ผมคงไม่ก้าวก่ายนะฮะ”

อนุธิดาหรือแอร์รี่จ้องหน้าตอบ เชิดหน้าขึ้นเล็กน้อยเหมือนคุณหนูจอมดื้อรั้นมากกว่าจะโกรธจริงจัง ตี๋ใหญ่เพื่อนเธอก็จ้องกลับอย่างไม่เกรงกลัว

ตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัยด้วยกัน เธอกับไอ้ตี๋ใหญ่คุยเล่นกันสนุกสนาน แกล้งกันไม่เว้นแต่ละวัน จนกระทั่งได้มาทำงานที่บริษัทเบ็ทเทอร์ลิฟวิ่งแห่งนี้ จึงได้เห็นว่า นายตี๋ใหญ่ในโหมดทำงานนั้นแปลกไปจากเดิม เขาดูเคร่งขรึม จริงจัง เป็นผู้ใหญ่ที่น่าเชื่อถือ และมีพลัง พร้อมลุยทุ่มเทให้กับงานไม่ว่าจะเป็นการดูแลลูกค้า วางกลยุทธ์ขายกับเจ้านาย หรือประสานงานกับแผนกอื่น  ตี๋ใหญ่จึงเป็นที่รักที่เอ็นดูของทุกคนทั้งผู้ใหญ่และผู้น้อย จะมีก็แต่อนุธิดา ที่เพื่อนหนุ่มดูไม่ค่อยชอบหน้าสักเท่าไร ทั้งที่เป็นเซลส์ทีมเดียวกันแท้ๆ แต่เขากลับไม่ค่อยจะญาติดีด้วยเลย

เอกอักษรเหลียวซ้ายแลขวา แล้วจึงหยิบเอกสารของแอร์รี่ที่เธอเตรียมเสร็จแล้วมายื่นให้ เป็นการขัดตาทัพก่อนที่ใครจะพ่นไฟขึ้นมาอีก

“แอร์รี่ อันนี้ใบลดหนี้ของลูกค้า เราทำให้ก่อนเลยจะได้รีบส่งให้ลูกค้าทันปิดรอบบัญชีนะ”

เซลส์สาวปรายตา คว้าเอกสารไปดู แวบเดียวก็ส่งคืน “เอส่งให้ลูกค้าด้วยสิ  หน้าที่ส่งเอกสารก็เป็นของเธอด้วยไม่ใช่เหรอ”

เอกอักษรรับกลับมาถือไว้ กรีดตรงมุมเอกสารเบาๆ เมื่อเห็นว่าแอร์รี่จับมันแรงไปหน่อยจนเกิดรอยยับ “ก็ใช่ แต่เราแค่อยากให้แอร์รี่ดูก่อนน่ะ แล้วช่วงนี้ต้องไปพบลูกค้าบ้างหรือเปล่า จะได้ติดไปให้ลูกค้าเลย แต่ถ้าไม่ได้ไปพบ เราจะส่งทางจดหมายให้”

“สรุปว่าเอจะไม่ส่งเอกสาร แต่จะให้เราเอาไปให้ลูกค้าเองใช่ไหม” แอร์รี่หันมาสาดเสียงแข็ง เอกอักษรไม่ทันตอบว่าอะไร ตี๋ใหญ่ก็ขัดขึ้นก่อน

“ผมว่าคุณมีปัญหาเรื่องการฟังนะ คุณเป็นเซลส์ ถ้ามีโอกาสได้พบลูกค้าก็น่าจะไปไม่ใช่เหรอ เพราะถ้าเซลส์มีความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้าแล้วเนี่ย การค้าขายมันก็ง่ายขึ้น สะดวกขึ้น เพราะลูกค้าไว้ใจเรามากขึ้น ผมว่าคุณลองขอพี่เติ้งไปเรียนคอร์สการส่งสาร-รับสารไหม จะได้ฟังคนอื่นเขาพูดรู้เรื่อง ลงคอร์สการขายเบื้องต้นด้วย จะได้รู้ว่าเซลส์ที่ดีเขาต้องทำตัวกันยังไง อ้อ…ลงคอร์สบุคลิกภาพด้วยก็ดี”

“นี่! นายตี๋ใหญ่ จะมากไปแล้วนะ แล้วบุคลิกของฉันมันไม่ดีตรงไหนไม่ทราบ หา!”

“ดีหรือไม่ดีก็ลองไปเรียนดูสิ จบออกมาจะได้มีเพื่อนคบเหมือนคนอื่นเขาบ้าง”

“นายตี๋!”

แอร์รี่หน้าแดงก่ำ กำหมัดแน่น แล้วสะบัดหน้าหนีกลับไปที่โต๊ะทำงานซึ่งห่างออกไป

 

ที่ตี๋ใหญ่บอกแอร์รี่ว่าเธอทำงานเสร็จแล้วนั้นมันไม่จริงเลย กว่าจะเคลียร์งานตัวเองและบางส่วนของไอ้พี่เบียร์เสร็จก็ปาเข้าไปเกือบสามทุ่ม เอกอักษรมานั่งรอรถเมล์ตรงปากซอย ที่ป้ายรถเมล์มีคนรออยู่บ้าง แม้ไม่มากแต่ก็ไม่ถึงกับเปลี่ยว ถนนสุขุมวิทยามค่ำคืนยังมีรถผ่านไปมาอยู่มาก พวกเขาคงเพิ่งเสร็จจากเที่ยวชอปปิง ซื้อของ หรือไม่ก็กินข้าวสังสรรค์กับเพื่อนฝูง จะมีสักกี่คนที่เพิ่งเลิกงานเหมือนเธอ

ทันใดนั้น รถยนต์สีบลอนซ์เงินคุ้นตาก็มาจอดเทียบหน้าป้ายรถเมล์ คนในรถลดกระจกลง จึงเห็นว่าเป็นตี๋ใหญ่นั่นเอง เขาตะโกนเรียกเธอให้ขึ้นรถ

“ทำไมเลิกงานดึกแล้วแกไม่กลับรถไฟฟ้าล่ะ อพาร์ตเมนต์แกอยู่ตั้งไกล กลับรถเมล์จะไม่อันตรายเหรอ” เขาถามทันทีที่ออกรถ

“ไม่อันตรายหรอกน่า คนอื่นเขาก็นั่งรถเมล์กันเยอะแยะไม่เห็นมีใครเป็นอะไร ดึกแล้วถนนโล่ง กลับรถเมล์ก็เร็วพอๆ กับรถไฟฟ้า แถมตั๋วรถเมล์แค่เจ็ดแปดบาท รถไฟฟ้าตั้งหลายสิบบาท ถูกกว่ากันตั้งเยอะ”

“ไอ้งก”

“หน็อย…มาว่าฉันงก แกต่างหากล่ะที่ไม่รู้จักใช้เงิน ทีเงินไปกินเหล้าละมี แต่พอจะเทกแคร์บัดดี้กลับบอกว่าจน  แล้วนี่แกไปไหนมา ฉันนึกว่ากลับคอนโดไปตั้งแต่เย็นแล้ว ไปกินเหล้ามาอีกละสิ”

“ฉันเลิกเหล้าแล้วแกก็รู้ แค่ไปกินข้าวมา” เขาตอบโดยไม่หันมามอง “ว่าแต่แกหายเครียดหรือยัง  ไม่ลาออกแล้วใช่ไหม”

เอกอักษรเงียบไป ความจริงแล้วเธอก็ยังไม่แน่ใจนักกับอนาคตตัวเอง “แกส่งฉันแค่สถานีรถไฟฟ้าก็ได้นะ คอนโดแกอยู่แถวนี้เองนี่นา จะได้รีบกลับไปพักผ่อน”

“ไม่ต้องเปลี่ยนเรื่องเลยไอ้เอ ฉันไปส่งแกน่ะดีแล้วเพราะนี่มันก็ดึกแล้ว อีกอย่าง เราจะได้คุยกันด้วย รีบๆ เล่ามา เพราะถ้าเล่าไม่จบฉันจะอยู่ฟังต่อในห้องแก”

“โอเคๆ” เอกอักษรมองไปรอบๆ แสงไฟยามค่ำคืน ณ ใจกลางเมืองหลวงดูสวยงามไปอีกแบบ “ถ้าถามว่าหายเครียดหรือยัง ก็ยังไม่ถึงกับหายหรอก ถึงวันนี้เรื่องงานประมูลจะเริ่มคลี่คลายบ้างแล้วก็เถอะ แต่วันก่อนท่านประธานบอกฉันว่าจะรับเซลส์เพิ่มเพื่อเร่งยอดขายสินค้าใหม่ แล้วแกคิดดู มีเซลส์มากขึ้น แต่เจ้าหน้าที่ส่งเสริมการขายมีเท่าเดิม งานมันก็ต้องมาหนักที่ฉันกับไอ้พี่เบียร์สิ”

“หึ…หนักที่แกคนเดียวสิไม่ว่า”

“ฉันก็เห็นแววแบบนั้นเหมือนกันละ นี่ขนาดยังไม่เพิ่มเซลส์ฉันยังกลับสามทุ่มเลย ถ้าเพิ่มเซลส์ ไม่เพิ่มคนทำเอกสาร มีหวังต้องนอนค้างออฟฟิศแน่ๆ แล้วจะไม่ให้ฉันคิดเรื่องลาออกอีกได้ยังไงวะ”

“หรือแกจะมาสมัครเป็นเซลส์” ชายหนุ่มคนขับหันมาเมื่อรถติดไฟแดง

“ท่านประธานก็ชวนเหมือนกัน แต่หน้าอย่างฉันเหรอวะจะไปเป็นเซลส์ แค่คิดก็ตลกแล้ว”

“ทำไมจะเป็นไม่ได้วะ แล้วแกคิดว่าหน้าแบบไหนถึงจะเป็นเซลส์ได้ แอร์รี่งั้นเหรอ”

“ก็ไม่ใช่หรือไงล่ะ แอร์รี่เขาทั้งสวย ทั้งเก่ง ฉันนี่เรียกได้ว่าตรงข้ามกันทุกอย่างเลย เป็นคนทำเอกสารขายอยู่เบื้องหลังนี่แหละดีแล้ว นี่ได้ข่าวว่าแอร์รี่เขาได้ท็อปเซลส์อีกแล้วนะ” เธอหมายถึงการสร้างผลงาน ทำยอดขายเกินเป้ามากที่สุดในบรรดาเซลส์ทุกคนในฝ่ายการตลาด ซึ่งแอร์รี่ได้รางวัลนี้ค่อนข้างบ่อยเลยทีเดียว พี่เติ้งพาทั้งทีมไปฉลองความสำเร็จกันบ่อยจนแทบกลายเป็นกิจวัตรประจำเดือน

“หึ…” ทว่าตี๋ใหญ่กลับตอบสั้นๆ “ไม่เห็นมีอะไรน่าสนใจ”

“นี่ ฉันถามจริงเถอะ ทำไมแกถึงไม่ชอบแอร์รี่ล่ะ เห็นเจอกันทีไรเป็นต้องทะเลาะกันทุกที”

“ไม่ได้ทะเลาะ” นายตี๋ใหญ่ลากเสียงยาว “เขาเรียกว่า คุยกันตรงไปตรงมา ตามเหตุตามผลเว้ย”

“ก็นั่นแหละ เขม่นกันตลอด  นี่ถ้าอยู่ข้างนอกคงท้าต่อยกันไปแล้วไหม อย่าบอกนะว่าแกอิจฉาที่เขาได้ท็อปเซลส์”

“จะบ้าเหรอ จะไปอิจฉาคนแบบนั้นทำไม เก่งแต่ไม่มีเพื่อน ก็เหมือนยืนอยู่บนยอดเขาเดียวดาย”

“อื้อหือ…มาเป็นภาษิตจีนเชียวนะแก แล้วยังไง แอร์รี่เขาไปทำอะไรขัดหูขัดตาแกหรือยังไงวะ”

“ก็ไม่เชิง…” เอกอักษรหันไปมองเสี้ยวหน้าคนขับ ที่ผ่านมาเคยพยายามตะล่อมถามเขาตั้งหลายต่อหลายครั้งเรื่องแอร์รี่ ชายหนุ่มก็ไม่เคยยอมปริปาก แต่คืนนี้ไม่แน่ เธออาจได้รู้เบื้องลึกเบื้องหลังอะไรขึ้นมาบ้างก็ได้

“ไม่เชิง แล้วไอ้ที่มันเชิง คืออะไรวะ”

“ฉันไม่ชอบที่แอร์รี่พูดไม่ดีกับแกว่ะเอ”

เอกอักษรฟังแล้วก็ถึงกับงง ว่าเหตุไฉนเรื่องถึงวกมาที่ตัวเองได้ “เอ๋…ทำไมเป็นฉันล่ะ”

“เขาเป็นท็อปเซลส์ แกเป็นคนทำเอกสารให้เขา ก็เหมือนแกเป็นส่วนหนึ่งของความสำเร็จด้วย แต่แทนที่จะพูดจาไหว้วานกันดีๆ กลับชอบจิกใช้ ชอบสั่ง พูดไม่ดีกับแกอยู่เรื่อย หาว่าแกทำเอกสารช้าบ้างละ ทำผิดบ้างละ แกเป็นคู่งานนะเว้ย ไม่ใช่คนรับใช้ที่บ้าน ถ้าจะมาทำกิริยาคุณหนูผู้สูงศักดิ์ เห็นคนอื่นต่ำกว่าตัวไปหมดอย่างนี้ก็เชิญกลับไปนอนบนกองทองที่บ้านเถอะ”

เอกอักษรมองเพื่อนชายอึ้งๆ บางทีเขาก็ปากร้ายยิ่งกว่าผู้หญิงเสียอีก

“เดี๋ยวนะ สรุปว่าแกไม่ชอบแอร์รี่ เพราะแอร์รี่ไม่ชอบฉันงั้นเหรอ”

“ก็ตามที่บอกไปนั่นแหละ แกล่ะเอ ทนรองมือรองตีนเจ๊แกได้ยังไงวะ ฉันละเชื่อเลยจริงๆ”

หญิงสาวถอนใจยาว “ฉันก็ไม่รู้ว่ะ ฉันคิดแค่ว่า มันคงเป็นบุคลิก”

นายเพื่อนรักส่ายศีรษะรัวๆ อย่างไม่เห็นด้วย แต่ก็ไม่ได้เถียงคำใด ครั้นแล้วก็มาถึงหน้าอพาร์ตเมนต์ของเอกอักษรพอดี หญิงสาวไม่ลืมที่จะขอบคุณเพื่อนที่มาส่งก่อนลงจากรถ

“เตรียมของให้บัดดี้ด้วยนะ พรุ่งนี้เริ่มเล่นวันแรก ต้องสนุกแน่ๆ”

“โอ๊ย ก็บอกแล้วว่าไม่มีตังค์”

แล้วเขาก็ทิ้งไว้เพียงเสียงโอดครวญ ก่อนจะเคลื่อนรถจากไป



Don`t copy text!