พราวจันทร์ตะวันฉาย บทที่ 1 : ประตูที่รอให้เปิด

พราวจันทร์ตะวันฉาย บทที่ 1 : ประตูที่รอให้เปิด

โดย :

Loading

พราวจันทร์ตะวันฉาย เรื่องราวของพราวจันทร์ ผู้หญิงเชยๆ ที่มีฝันอยากเป็นคิวเรเตอร์มือหนึ่งแต่ไม่กล้าไขว้คว้าจนตะวันฉาย น้องสาวต่างมารดาเข้ามาในชีวิต…พระจันทร์กับดวงตะวันไม่เคยอยู่คู่ฟ้าในเวลาเดียวกัน แล้วทั้งคู่จะอยู่ร่วมกันได้ไหม นวนิยายแนวโรแมนติกคอเมดี้ โดย แพรณัฐ…นิยายออนไลน์ ที่ อ่านเอา อยากให้คุณได้ อ่านออนไลน์ ได้ลงจนจบบริบูรณ์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทางผู้เขียนใจดีมอบ 5 บทแรกไว้ให้อ่านกันที่อ่านเอาและหากติดใจอยากอ่านต่อคุณผู้อ่านสามารถซื้อได้ที่สนพ. สถาพรบุ้คส์ หรือร้านหนังสือทั่วไป

…………………………………………

-1-

ประตูรั้วไม้ซี่ที่ปิดลง ทำให้หญิงสาวซึ่งเพิ่งเดินออกมาอดหันหลังกลับไปมองไม่ได้ ความทรงจำกว่าค่อนชีวิตของเธออยู่หลังประตูบานนั้น

ในอดีต เรือนไม้แบบล้านนาอันเก่าแก่แห่งนี้เคยเป็นโรงเรียนเอกชน ก่อตั้งโดยทายาทของเจ้าทางเหนือที่หลบมาใช้ชีวิตบั้นปลายอย่างเงียบสงบในตำบลเล็กๆ โรงเรียนเปิดสอนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่หนึ่งถึงหก ภายหลังปิดตัวไปเนื่องจากทายาทรุ่นต่อมาไม่สนใจดำเนินกิจการ มันจึงถูกทิ้งร้างให้เป็นซากผุพังท่ามกลางพงไพรรกเรื้อ

หกปีที่แล้ว อาคารโรงเรียนได้รับการบูรณะใหม่ กลายเป็นพิพิธภัณฑ์ชุมชนประจำตำบล มีการปรับภูมิทัศน์ให้อยู่ท่ามกลางต้นไม้ที่ได้รับการตัดแต่งอย่างสะอาดตา เสาธงของโรงเรียนอยู่ที่เดิม ธงไตรรงค์ผืนใหม่โบกพลิ้วไปตามสายลมอ่อนยามบ่ายแก่ๆ

มนตร์ขลังของสถาปัตยกรรมแห่งวันวานผสานไปกับเสียงเพลงจากเครื่องดนตรีล้านนาที่เปิดคลอไปทั่ว ชวนให้พราวจันทร์รู้สึกประหนึ่งได้ย้อนเวลากลับไปในวันที่เคยเป็นนักเรียนในสถาบันแห่งนี้ ต่อมาเธอก็รับหน้าที่ชุบชีวิตให้แก่มันจนกลายเป็นพิพิธภัณฑ์ชุมชนซึ่งรวบรวมประวัติ เรื่องราวของผู้คนที่อาศัยอยู่ในบริเวณนี้ และภูมิปัญญาท้องถิ่น

ความงดงามแห่งอดีตกาลร่ายมนตร์ขลังให้คนที่รู้คุณค่า แต่สำหรับบางคน ซากอดีตเป็นเพียงบันไดให้เขาเหยียบย่ำและไต่ไปสู่อนาคต

พราวจันทร์เลื่อนสายตาไปยังตึกสี่เหลี่ยมขนาดสามชั้น กรุกระจกรอบด้าน มีความทันสมัย ใหม่เอี่ยม แต่ไม่เข้ากับอะไรสักอย่าง โดยเฉพาะเมื่อมีป้ายภาพขนาดใหญ่ของนายกเทศมนตรีคนปัจจุบันแขวนอยู่เหนือทางเข้าอาคาร ประกาศว่าเขาเป็นผู้สร้างและริเริ่มก่อตั้งพิพิธภัณฑ์ชุมชน

ตรงบันไดขั้นบนสุดของทางเข้าอาคาร ชายหญิงคู่หนึ่งยืนเด่น พวกเขามองพราวจันทร์อยู่ก่อนแล้ว

ภาพเหตุการณ์เมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้าผุดขึ้นอีกครั้ง…

 

‘อย่าค่ะ เดี๋ยวใครมาเห็น’

น้ำเสียงสะเทิ้นอายของผู้หญิงดังขึ้นตอนที่พราวจันทร์ก้าวเข้าไปในอาคารหลังใหม่ เธอชะงักฝีเท้า นิ่วหน้า สงสัยว่าใครอุตริเข้ามาในตึกที่ยังไม่เปิดใช้งาน

‘เอ๊ะ อย่าขี้โกงสิคะ’ ผู้หญิงคนเดิมร้องห้ามอย่างไม่จริงจังนัก ตามด้วยเสียงหัวเราะแผ่วเบาของผู้ชาย

พราวจันทร์ขมวดคิ้ว ขยับขาแว่นตาหนาเตอะพร้อมกับเม้มปากแน่น…ใครก็ตามที่บังอาจมาทำเรื่องบัดสีในพิพิธภัณฑ์ของเธอ มันต้องได้เห็นดีกันแน่!

เธอรวบชายผ้าซิ่นพื้นเมืองเพื่อให้ก้าวขาได้ยาวๆ และว่องไวขึ้น เสียงหัวร่อต่อกระซิกของคนทั้งสองดังชัดขึ้นเรื่อยๆ หัวคิ้วภายใต้กรอบหนาของแว่นตากระตุกเข้าหากัน เรียวปากปราศจากเครื่องสำอางแบะออกด้วยความขยะแขยง

แต่ก่อนที่พราวจันทร์จะเผยตัวให้พวกเขาเห็น เสียงของผู้ชายก็ดังขึ้น

‘ชื่นใจจัง ไอติมรสอะไรครับเนี่ย ห้อมหอม’

‘บ้า! บรมอะ’

น้ำเสียงและชื่อที่ได้ยินส่งผลให้พราวจันทร์ชะงักกึก

ไม่มีวันที่เธอจะลืมเสียงนี้ บรม คือบุคคลที่อยู่ในห้วงคำนึงของพราวจันทร์มากกว่าใครในโลก

หัวใจของหญิงสาวเต้นรัว เธอเสยผมด้วยมือสั่นเทาทั้งที่ลืมไปว่ารวบมวยตึงเปรี๊ยะจนไม่น่ามีผมเส้นใดหลุดรอด หญิงสาวกลืนน้ำลาย ขยับขาแว่น แนบตัวเข้ากับกำแพง แล้วเยี่ยมหน้าออกไปเพื่อดูให้ชัดๆ เผื่อว่าเธอจะจำผิด

‘ผมคิดถึงคุณจะตายอยู่แล้ว นี่ก็รีบบึ่งมาจากงานเลี้ยงที่จวนผู้ว่าฯ เพื่อมาหาคุณเลยนะ’

ไม่ผิดแน่แล้ว บรมจริงๆ นั่นแหละ สีหน้าของเขากรุ้มกริ่มอย่างที่ไม่เคยเป็นกับเธอ พราวจันทร์ยกมือขึ้นปิดปาก สกัดกั้นเสียงอุทานอันแผ่วเบาทั้งที่มันดังมากในความรู้สึก

‘ไม่เชื่อ คุณกลับมาหาแฟนมากกว่า’

‘แฟนไหน ผมมีแต่คุณคนเดียวเท่านั้นแหละ’

‘แล้วยายจันทร์ล่ะคะ คุณเอาไปไว้ไหน’

‘ยายจันทร์…’

‘พราวจันทร์ ภัณฑารักษ์ของที่นี่ไง’

‘อ๋อ จันทร์เองเหรอ คุณก็เรียกซะอย่างกับเป็นญาติผู้ใหญ่’

‘ยายนั่นดูเหมือนญาติผู้ใหญ่จริงๆ นี่นา’

‘แปลว่าแก่เหรอ’

‘หรือคุณไม่เห็นด้วยล่ะ ตอนที่ไอติมเจอยายจันทร์ครั้งแรก ยังเข้าใจผิดเลยว่าเขาเป็นพวกเดียวกับแม่อุ๊ยพ่ออุ๊ยข้างนอกนั่น ก็เลยยกมือไหว้ ที่ไหนได้เขาอายุน้อยกว่าไอติมตั้งเยอะ’

‘จันทร์อายุแค่ยี่สิบเก้าเอง เด็กกว่าผมปีหนึ่ง แล้วก็เด็กกว่าคุณตั้งสี่ปี แต่หน้าปาเข้าไปสี่สิบเก้าห้าสิบโน่นแล้ว’

‘ว้าย! ปากคอเราะราย’

‘ผมพูดจริงนะ เวลาผมไปไหนกับจันทร์ ใครๆ ก็คิดว่าพายายที่บ้านมาจ่ายตลาดทุกที’

‘ยาย…เพราะตะกร้าสานที่เขาชอบถือน่ะเหรอ’

‘คุณว่ามันไม่เหมือนเหรอ ไอ้เสื้อผ้าฝ้ายกับซิ่นเก่าๆ นั่นด้วย น่าอายออก เวลาผมพาเขาไปติดต่องานด้วย แทบอยากเอาปี๊บคลุมหัว’

‘โถ น่าสงสารจัง’

เสียงหัวเราะของคนทั้งคู่บาดลึกเข้ากลางหัวใจของพราวจันทร์ประหนึ่งถูกมีดกรีดแทง เธอกำมือแน่น กระบอกตาร้อนระอุจนปวดร้าว แต่ไม่มีน้ำตา

บริเวณที่พราวจันทร์ยืนอยู่มีหน้าต่างกระจกซึ่งส่องสะท้อนภาพของตนเองรางๆ เธออาจแต่งกายแตกต่างจากคนทั่วไป แต่เป็นเพราะต้องการอนุรักษ์ผ้าทอพื้นบ้าน ทั้งยังมีเหตุผลส่วนตัวอีกด้วย

ยกอย่างเช่นเสื้อกับผ้าซิ่นผืนที่ใส่อยู่เป็นฝีมือของบรรดาแม่อุ๊ยที่มาเป็นอาสาสมัครให้พิพิธภัณฑ์ ส่วนตะกร้าใบที่ว่านั่น พ่ออุ๊ยคนหนึ่งก็อุตส่าห์สานให้กับมือทั้งที่สายตาไม่ค่อยดี ทุกสิ่งล้วนเกิดจากน้ำใจและความรักซึ่งผู้อาวุโสมีต่อตน พราวจันทร์จะละเลยพวกเขาได้อย่างไร

หญิงสาวไล่สายตาขึ้นมายังใบหน้ารูปไข่อันปราศจากเครื่องสำอาง อาจดูจืดชืดในสายตาคนทั่วไป ทว่ามารดาเคยบอกเสมอว่าผิวของชาวเหนือมีความละเอียดเนียน ไม่จำเป็นต้องพึ่งเครื่องสำอาง ผมที่รวบตึงแล้วเกล้าเป็นมวยนั้นก็เนื่องจากเธอมีเจตนาจะประดับปิ่นซึ่งผู้เฒ่าผู้แก่ทำมาให้อีกเช่นกัน และหากเธอดูสูงวัยเพราะแว่นตาที่สวมอยู่ ก็ช่วยไม่ได้ สายตาของเธอสั้นมาก และเธอไม่ชอบใส่คอนแทกต์เลนส์

พราวจันทร์รู้ดีว่าตนเองอยู่ห่างไกลจากคำว่า ‘สวย’ ไปมาก แต่ไม่เคยคิดว่าจะถูกผู้ชายซึ่งตนไว้วางใจและมอบความรักให้ดูแคลนถึงเพียงนี้ เธอเพิ่งรู้ว่าทำให้เขาอับอาย

ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เธอคงเข้าใจผิดไปเอง

‘ถ้าไม่มีจันทร์ พี่ตายแน่ จันทร์รู้ใช่มั้ยว่าตัวเองเป็นคนสำคัญในชีวิตพี่’

บรมเคยบอกเธอเมื่อนานมาแล้ว หลังจากที่พราวจันทร์ทำหน้าที่เดิมๆ ตลอดหลายปี คือนั่งฟังเขาคร่ำครวญถึงผู้หญิงคนแล้วคนเล่าที่หักอกชายหนุ่ม

‘รอพี่หน่อยนะครับ ขอให้พี่ลืมเขาให้ได้ก่อน พี่จะเคลียร์หัวใจให้จันทร์คนเดียว จันทร์อย่าทิ้งพี่ไปเหมือนคนอื่นๆ จะได้มั้ย’

แน่ละที่เธอพยักหน้าอย่างขวยเขิน ความหวังสว่างเรืองอยู่ในหัวใจดวงน้อย

‘ดีแล้ว อย่าไป อยู่กับพี่ตรงนี้ด้วยกันไปจนสุดทางเลยนะ’

อีกครั้งที่พราวจันทร์ผงกศีรษะด้วยความเขินอาย ไม่กล้าแม้แต่จะสบตาเขา เธอทำได้เพียงมองมือของบรมที่กุมมือของเธอไว้ หัวใจเริงระบำด้วยความสุขล้นปรี่

พราวจันทร์ทำตามสัญญาด้วยการอยู่เคียงข้างบรม เธอไม่ลังเลแม้แต่นิดเดียวเมื่อเขาชวนมาร่วมบุกเบิกพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ตามที่นายกเทศมนตรีผู้เป็นบิดาของชายหนุ่มต้องการ

ทุกอย่างดำเนินไปด้วยดีจนกระทั่งปีกว่าๆ ที่ผ่านมา หญิงสาวเริ่มมีความคิดเห็นขัดแย้งกับสองพ่อลูก หนึ่งในนั้นก็คือการสร้างตึกสามชั้นหลังใหม่โดยไม่ดูสภาพความจำเป็นและลักษณะการใช้งานในพิพิธภัณฑ์ ตามด้วยการจ้างบริษัทออร์แกไนเซอร์ของอารตีมาบริหารจัดการพิพิธภัณฑ์

‘รู้มั้ยว่าวันนี้ยายจันทร์ก่อม็อบคนหัวหงอกมาหาเรื่องไอติมอีกแล้วค่ะ’

ดูเหมือนว่าอารตีจะใจตรงกับเธอเป็นครั้งแรก จึงพูดเรื่องเดียวกับที่พราวจันทร์คิด

‘เรื่องอะไรครับไอติม’

‘เรื่องที่ไอติมจะหักหัวคิวค่าของที่พวกพ่ออุ๊ยแม่อุ๊ยเอามาขายไงคะ จันทร์เขาไม่เห็นด้วย บอกว่าพวกนั้นมาเป็นวิทยากร ก็น่าจะให้พวกเขาได้ขายของแลกกับค่าแรงที่เราไม่มีจ่าย แต่ไอติมเห็นว่าไม่ได้มีใครมาเรียนกับเขาทุกวันสักหน่อย พวกนั้นมาใช้สถานที่ของเราทำมาหากิน แล้วอีกหน่อยเราก็จะเปิดตลาดนัดให้คนมาเช่าแผงขายของในวันหยุด ถ้าเราเก็บเงินคนอื่น ก็ควรเก็บให้หมดทุกคนไม่ใช่เหรอคะ จะได้เป็นมาตรฐานเดียวกันให้หมด แถมยังได้เงินเข้าพิพิธภัณฑ์อีก’

‘เรื่องนี้พ่อผมให้สิทธิ์ขาดไอติมแล้วนี่ คุณจะทำอะไรก็ได้’

ความอดทนของพราวจันทร์สิ้นสุดลง

‘ไม่ได้หรอกค่ะพี่บรม ตราบใดที่จันทร์ยังอยู่ที่นี่!’

การปรากฏตัวของพราวจันทร์ทำให้คนที่ตระกองกอดกันอยู่อ้าปากค้าง ผละออกจากกันอย่างรวดเร็ว

‘จันทร์ มาตั้งแต่เมื่อไหร่!’ บรมถามเสียงเร็วปรื๋อ

‘ตั้งแต่ก่อนที่ทุกคนจะนินทาจันทร์นั่นแหละค่ะ’ พราวจันทร์แค่นยิ้ม จ้องมองสีหน้าแตกตื่นของทั้งสอง

‘ทีหลังเธอเข้ามาก็บอกสิ แอบฟังคนอื่นอย่างนี้ไม่ดีเลยนะจ๊ะ’ อารตีปรับสีหน้าเป็นปกติได้ก่อน

‘จันทร์ก็ว่าจะบอกเหมือนกัน แต่เห็นทุกคนกำลังสนุก เลยไม่อยากขัดจังหวะ’

‘จันทร์เข้ามาในนี้ทำไม’ บรมถามเสียงเครียด โหนกแก้มแดงก่ำ

‘ประตูมันเปิดอยู่ค่ะ จันทร์เลยเข้ามาเช็กดู’

‘อ้อ งั้นมันก็ไม่มีอะไรหรอก จันทร์จะไปทำอะไรก็ไปเถอะ’

‘ค่ะ แต่ก่อนที่จะไป จันทร์อยากพูดอะไรสักหน่อย’

บรมขมวดคิ้ว ขยับตัวอย่างกระสับกระส่าย ผิดกับอารตีที่กอดอก กางขาออกเล็กน้อยราวกับนักเลงที่พร้อมจะต่อยตี พราวจันทร์เชิดคางขึ้นอย่างไม่ยี่หระ

‘เรื่องพ่ออุ๊ยแม่อุ๊ย จันทร์ไม่เห็นด้วยที่เราจะไปหักหัวคิว พวกเขามาช่วยเราตั้งแต่ตอนบุกเบิกก่อตั้งพิพิธภัณฑ์เลยนี่คะ ข้าวของเครื่องใช้เก่าๆ หลายอย่างก็ได้มาจากการบริจาคของพวกเขา และตลอดเวลาที่ผ่านมาพวกเขานี่แหละที่ช่วยมาเฝ้า มาดูแล มาถ่ายทอดภูมิปัญญาท้องถิ่นให้เด็กรุ่นใหม่ พี่บรมจำไม่ได้เหรอว่าเดือนแรกๆ พิพิธภัณฑ์เราเงียบอย่างกับป่าช้า จนเราจัดนิทรรศการตามรอยภูมิปัญญาแล้วไปขอให้พวกเขามาช่วยนั่นแหละ ที่นี่ถึงได้มีชีวิตจริงๆ เสียที’

‘อะไรๆ มันก็เปลี่ยนไปได้ทั้งนั้นแหละค่ะ เธอจะมามัวนึกถึงบุญคุณโดยไม่พัฒนาไม่ได้หรอกนะ’

‘เราจะพัฒนาอะไรได้ล่ะคะในเมื่อคุณไม่ยอมให้ฉันทำอะไรเลยสักอย่าง นิทรรศการศิลปะเรื่องตำบลของเรา ฝีมือศิลปินร่วมสมัยที่ฉันเสนอไป คุณก็ไม่เอา ทั้งที่งานนั้นน่าจะดึงดูดคนรุ่นใหม่ให้เข้ามาในพิพิธภัณฑ์ และเกิดนวัตกรรมทางความคิด ชุมชนก็มีส่วนร่วมด้วย…’

‘เลิกพูดซะทีเถอะ ฉันมีหัวข้อที่จะทำอยู่แล้ว’

‘เรื่องเก่าเหมือนที่ฉันทำไปเมื่อสามปีที่แล้วน่ะเหรอ ทำไมเราต้องทำอะไรซ้ำๆ กับที่เคยทำด้วยล่ะ’

‘ซ้ำเหรอ’ นัยน์ตาของอารตีกลอกไปมาอย่างหลุกหลิก ก่อนเจ้าหล่อนจะเชิดหน้า ‘ซ้ำแล้วจะทำไม ฉันจะทำให้ดีกว่าที่เธอเคยทำ ส่วนเธอไปดูทะเบียนข้าวของในห้องเก็บของดีกว่า’

‘จันทร์ พี่ว่าเราปล่อยให้คุณไอติมทำไปเถอะ คุณไอติมมีประสบการณ์การทำงานในบริษัทออแกไนเซอร์ที่รับจ้างบริหารจัดการพิพิธภัณฑ์ทั่วประเทศเลยนะ ตอนนี้เธอออกมาเปิดบริษัทของตัวเอง งานกาชาดครั้งที่ผ่านมาที่คนชมกันเยอะๆ ก็ได้คุณไอติมเป็นคนจัด นับประสาอะไรกับพิพิธภัณฑ์เล็กๆ ของเราล่ะ อีกอย่าง…ตอนนี้พี่ยังไม่อยากให้เราทำนิทรรศการใหญ่ๆ พี่อยากรอติดแอร์ให้ครบทุกห้อง แล้วก็จะเอาพวกมัลติมีเดียมาเล่นในพิพิธภัณฑ์ให้มากขึ้นด้วย ระหว่างนี้ก็จะจัดบริเวณสนามให้เป็นตลาดนัดไปก่อน’

‘จันทร์เห็นด้วยกับการเอาเทคโนโลยีเข้ามาใช้ แต่พี่บรมวางแผนไว้แล้วเหรอคะว่าจะเอาเทคโนโลยีแบบไหน มาเล่าเรื่องอะไร เล่ายังไง และมันจะให้ประโยชน์อะไรให้แก่ผู้มาชม หรือสังคมบ้าง’

‘เรื่องนี้คุณไอติมจะจัดการเอง ทีมงานที่เธอจ้างมาก็มีตั้งหลายคน แถมไฟแรงกันทั้งทีมเสียด้วย ไม่มีอะไรให้จันทร์ต้องเป็นห่วงในพิพิธภัณฑ์นี้อีกแล้ว’

ถ้อยคำและร่องรอยที่ผุดวาบในดวงตาของชายหนุ่มสะกิดใจหญิงสาว เธอหรี่ตามองเขา หัวใจเต้นแรง

‘พี่บรมต้องการจะบอกอะไรคะ’

‘จันทร์ยังเดาใจพี่เก่งเหมือนเดิม’

อารตีกระแอมดังๆ เมื่อได้ยินคำชมของชายหนุ่ม บรมจึงรีบกุมมือออแกไนเซอร์สาว

‘จันทร์เป็นรุ่นน้องของผม ไม่มีอะไรมากกว่านั้นหรอกครับ คุณอย่าหึงสิ’

อารตีตวัดค้อน ประกายตาเจิดจ้า สองหนุ่มสาวประสานสายตากันและกันราวกับไม่มีเธออยู่ในห้องนั้น

‘พี่บรมจะบอกอะไรจันทร์’ พราวจันทร์กำมือแน่น สะกดกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหล

‘ตอนแรกพ่อจะเป็นคนบอกเอง แต่เรื่องมันมาถึงขนาดนี้แล้ว พี่พูดเสียเลยจะดีกว่า เราได้จ้างบริษัทของคุณไอติมมารันพิพิธภัณฑ์นี้แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องจ้างจันทร์อีก’

แม้จะฉุกใจมาตั้งแต่ตอนที่บรมกล่าวประโยคก่อนหน้านี้ แต่เมื่อเธอได้ยินคำประกาศชัดแจ้งขึ้นมาจริงๆ พราวจันทร์ก็รู้สึกราวกับมีสายฟ้าฟาดเปรี้ยงมากลางศีรษะ สรรพสิ่งรอบกายคล้ายจะหยุดชะงัก บรมพูดอะไรอีกยืดยาว แต่ไม่เข้าหัวของพราวจันทร์แม้แต่นิดเดียว

‘จันทร์มีอะไรจะถามพี่อีกมั้ย’

หญิงสาวกะพริบตาปริบๆ ดึงสติกลับมา แต่สิ่งที่คิดได้มีเพียงคำถามซึ่งวนซ้ำไปมาในหัว

‘พี่บรมเคยคิดอะไรกับจันทร์บ้างมั้ย’ เธอหลุดปาก

บรมชะงัก เขาเหลือบมองใบหน้าดุๆ ของอารตี กลืนน้ำลาย ก่อนจะตวัดสายตากลับมาทางพราวจันทร์

‘พี่คิดว่าจันทร์เป็นน้องสาว’

‘น้องสาว…’

‘ใช่ น้องสาว’

‘แล้วที่พี่บรมเคยบอกให้จันทร์รอ…’

‘พี่เคยพูดด้วยเหรอ’

เธออึ้งไป

‘ถ้าพี่เคยทำอะไรให้จันทร์เข้าใจผิด ก็ขอโทษด้วย แต่พี่ไม่คิดอะไรกับจันทร์มากไปกว่าการเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องในมหา’ลัยเลย’

‘ถ้างั้น นี่ก็คงจะสุดทางที่พี่บรมเคยบอกไว้’ พราวจันทร์พึมพำ และเขาก็พยักหน้า

เส้นทางระหว่างพราวจันทร์กับบรมสิ้นสุดพร้อมกับที่ประตูไม้ซี่หน้าพิพิธภัณฑ์ปิดลง

 

ตอนที่พราวจันทร์เปิดประตูเข้าไปในบ้านหลังน้อยในสวน ท้องฟ้าก็มืดแล้ว หากไม่มีเสียงของหรีดหริ่งเรไรร้องระงมเป็นเพื่อน เธอคงคิดว่าตนเป็นสิ่งมีชีวิตเพียงหนึ่งเดียวในโลก

หญิงสาวเดินผ่านห้องนั่งเล่น เข้าครัว เปิดตู้เย็น หยิบขวดน้ำเย็นมาเทใส่แก้ว แล้วกลับมานั่งลงบนเก้าอี้ไม้โยกซึ่งเคยเป็นที่นั่งโปรดของผู้เป็นตา

พราวจันทร์จ้องมองรูปถ่ายขาวดำของชายชราซึ่งสวมเครื่องแบบข้าราชการ ใกล้กับเขาเป็นภาพของยายซึ่งแต่งเครื่องแบบเช่นกัน พวกเขามองตอบมา มีเพียงยายที่แย้มยิ้ม ขณะที่ตายังคงความเคร่งขรึมไม่ต่างจากมารดาของเธอซึ่งมีภาพแขวนอยู่ถัดไปจากยาย

หญิงสาววางแก้วลงบนโต๊ะข้างเก้าอี้ เดินเข้าไปใกล้ภาพของผู้ล่วงลับทั้งสามด้วยความคิดถึง น้ำตาที่กักเก็บไว้เอ่อคลอ เธอรีบถอดแว่น ปาดน้ำตาออก หันหลังให้กับรูปภาพ เกรงว่าพวกเขาจะเห็นเข้าและไม่พอใจ

การหันหลังให้รูปบนผนังทำให้พราวจันทร์เผชิญหน้ากับกรอบรูปที่เรียงรายอยู่บนหลังตู้ ริมขวาสุดเป็นภาพของตายายยืนอยู่หน้าโบราณสถานที่พวกเขาเข้าไปขุดค้นตามหน้าที่ของนักโบราณคดี ภาพต่อๆ มาเป็นการรับรางวัลเชิดชูเกียรติตลอดชีวิตการทำงานของพวกเขา บ้างก็เป็นรูปคนทั้งสองกับสถานที่ทางประวัติศาสตร์อื่นๆ ทั้งยังมีรูปของมารดาใส่เครื่องแบบข้าราชการครูนั่งอยู่ท่ามกลางเด็กนักเรียนห้องต่างๆ ที่เธอเป็นครูประจำชั้น

พื้นที่ทางซ้ายของหลังตู้ นอกจากจะมีเกียรติบัตรประเภทมารยาทเรียบร้อยและความประพฤติดีเด่นที่พราวจันทร์ได้รับตั้งแต่เด็กจนโตแล้ว ยังมีรูปถ่ายกับใบปริญญาเกียรตินิยมอันดับหนึ่งที่ทำให้มารดาภาคภูมิใจในตัวเธอ

แต่จะมีประโยชน์อะไร ในเมื่อเธอรู้สึกว่างเปล่าเหลือเกิน

พราวจันทร์ถอนหายใจ จ้องมองกรอบรูปอันสุดท้าย เป็นภาพของครอบครัว ประกอบไปด้วยตา ยาย แม่ และเธอ หญิงสาวไล้ปลายนิ้วไปบนใบหน้าของคนทั้งสามด้วยความโหยหา ชะงักมือเมื่อนึกขึ้นได้ว่า ไม่มีใครชอบคนอ่อนแอ

เธอสูดลมหายใจลึกยาว ยืดหลังตรงแน่ว เชิดหน้าขึ้นเหมือนที่เคยทำเสมอ ก่อนจะกลับไปนั่งบนเก้าอี้โยก ยกมือขึ้นมากัดเล็บตามความเคยชิน กล้ำกลืนน้ำตาให้ไหลลงไปในหัวใจอันแตกร้าว

ไม่เคยมีสักครั้งที่พราวจันทร์รู้สึกเคว้งคว้างถึงเพียงนี้ ตั้งแต่เด็กจนโตเธอเคยสูญเสียหลายสิ่งอันเป็นที่รัก แต่ก็ยังมีสิ่งอื่นให้จับยึดไว้ การสูญเสียครั้งล่าสุดคือตอนที่มารดาจากไปด้วยโรคร้าย ทว่าเธอมีบรม มีงานในพิพิธภัณฑ์ และมีเพื่อนรัก ที่ช่วยให้ลืมความเศร้าได้ชั่วขณะ

ณ ขณะนี้ไม่มีอะไรเหลืออยู่เลย ไม่ว่าจะเป็นบรม งานที่เธอรัก หรือเพื่อนสนิท

ตาณอยู่ห่างไกลคนละทวีป แต่เธอต้องการคำปลอบของเขา พราวจันทร์หยิบโทรศัพท์มือถือ เปิดเฟซบุ๊กเข้าไปในเพจอันคุ้นเคย อดยิ้มไม่ได้เมื่อเห็นชื่อที่ตาณใช้  

‘มิสเตอร์อี๊ดอี๊ดกุ๊กกุ๊ก Mr.EatEatCookCook’

เธอไม่ยอมเสียเวลามองภาพอาหารน่ารับประทานที่ตาณโพสต์หน้าวอลล์ของเขา แต่กดเข้าไปในกล่องข้อความทั้งที่ไม่แน่ใจว่าบนเรือสำราญกลางทะเลแคริบเบียนในยามนี้เป็นเวลาเท่าไร

หญิงสาวเสี่ยงโทร.ผ่านแอปพลิเคชันเมสเซนเจอร์ โชคดีเหลือเกินที่ตาณกดรับ ใบหน้ารกเรื้อด้วยหนวดเคราครึ้มปรากฏขึ้นบนหน้าจอ

“หวัดดีจันทร์ เรากำลังคิดถึงเธอพอดี ทะเลที่นี่สวยสุดๆ อยากให้เธอมาด้วยว่ะ เฮ้ย! ร้องไห้ทำไมวะ ใครทำอะไรเธอ บอกเรา!” ตาณชะโงกหน้าเข้ามาจนแทบติดจอทีเดียว สีหน้าเคียดขึ้งอย่างเห็นได้ชัด

การได้คุยกับบุคคลเดียวที่ตนสามารถแสดงความอ่อนแอได้ส่งผลให้พราวจันทร์กลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่

“พี่บรม…”

“ไอ้บรมห่วยมันทำอะไร” ชายหนุ่มกระชากเสียงถาม

“เขาไล่ฉันออก…” เธอเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้ฟังด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ใบหน้าของตาณถมึงทึงราวกับยักษ์ขมูขีที่พร้อมจะฆ่าคน

“เราว่าแล้วว่าไอ้บรมห่วยแตกกับยายไอติมสตรอว์ฯ ต้องมีอะไรกันอยู่แหงๆ พ่อของยายนั่นก็คือเจ้าของบริษัทรับเหมาที่ประมูลงานก่อสร้างตึกพิพิธภัณฑ์ได้ไม่ใช่เรอะ แล้วบริษัทออแกไนเซอร์ของยายไอติมสตรอว์ก็ประมูลงานที่นั่นได้อีก เรื่องนี้คนเขาพูดกันให้แซ่ดว่ามีกลิ่นตุๆ เธอออกจากที่นั่นมาได้ก็ดีแล้ว ถ้าเกิดวันข้างหน้ามีปัญหาอะไรขึ้นมา เธอก็ไม่ต้องไปเอี่ยว”

“แล้วพ่ออุ๊ยแม่อุ๊ยกับคนอื่นๆ ที่ทำงานที่นั่นล่ะ เราห่วงพวกเขา”

“โอ๊ย! อย่ามัวแต่ห่วงคนอื่นอยู่เลย ตอนนี้เธอควรห่วงตัวเองมากกว่านะเว้ย คิดไว้รึยังว่าจะทำอะไรต่อ”

“ยัง เราถึงอยากคุยกับเธอไง”

“เราดีใจนะเนี่ยที่เธอคิดถึง” ตาณกลับยิ้มกว้างท่ามกลางสีหน้าหมองหม่นของพราวจันทร์

“แน่ละ ก็เธอเป็นเพื่อนเรานี่”

ตาณชะงักเล็กน้อย

“อืม…เพื่อนสุดที่รัก เธอจะทำยังไงต่อ”

“เราอยากรู้ว่า…ร้านก๋วยเตี๋ยวพ่อเธอจะรับเราเป็นเด็กเสิร์ฟมั้ย”

“ยายบ้า!”

“เราพูดจริงนะตาณ เรายังไม่รู้เลยว่าจะเดินไปทางไหนต่อ เคยคิดมาตลอดว่าคงทำงานจนแก่ตายคาพิพิธภัณฑ์ แต่มันคงเป็นไปไม่ได้อีกแล้ว”

“เธอจำที่เราเคยบอกได้มั้ย คำพูดของอเล็กซานเดอร์ เกรแฮม เบลล์น่ะ…เมื่อประตูบานหนึ่งปิดลง ประตูบานอื่นๆ ก็เปิดออก แต่คนเรามักจะเสียใจอยู่กับประตูบานเก่าที่ปิดไปแล้ว จนลืมดูว่ามีประตูบานใหม่ๆ เปิดรอให้เข้าไป…มีประตูอีกตั้งเยอะแยะรอเธออยู่นะจันทร์”

“ประตูอะไรกันล่ะ” พราวจันทร์ทำหน้ามุ่ย

ตาณกระตุกยิ้ม อ้าปากเหมือนจะพูดอะไร ทว่ามีเสียงคนเรียกชื่อเขาขัดจังหวะ ตามด้วยภาษาต่างประเทศอีกชุดใหญ่

“เราต้องไปแล้วว่ะ เดี๋ยวค่อยมาคุยกันใหม่นะ” ชายหนุ่มทำท่าจะกดตัดสัญญาณ แต่กลับหยุดชะงัก จ้องมองมาอย่างขึงขัง “จันทร์ เธอมีประตูที่อยากเปิดเข้าไปอยู่แล้ว ประตูที่รอเธอมาตลอด แต่เธอไม่กล้าเปิดมันเอง”

หญิงสาวตวัดสายตาไปที่รูปถ่ายบนฝาผนังโดยอัตโนมัติ

“แม่เธอไม่อยู่แล้ว ไม่มีอะไรที่เธอต้องห่วงที่นี่ เธอควรตัดโซ่ที่ล่ามตัวเองเอาไว้ซะที แล้วเดินออกไป…แค่เดินออกไปเท่านั้นแหละจันทร์”

ตาณวางสายไปแล้ว ทิ้งให้พราวจันทร์นั่งกัดเล็บพร้อมกับเหม่อมองจอโทรศัพท์ เสียงของชายหนุ่มยังดังก้องอยู่ในหัว

‘แค่เดินออกไป’ ตาณจะให้เธอเดินออกไปไหนกันล่ะ

พราวจันทร์ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเผลอกดเข้าไปในเฟซบุ๊กเพจของบุคคลหนึ่งตามความเคยชิน

ใบหน้าสะสวยของสาวน้อยวัยยี่สิบต้นๆ ปรากฏขึ้น พร้อมกับรอยยิ้มสดใสประดุจแสงตะวันอันเจิดจ้าของเจ้าหล่อน

ตะวันฉาย หรือ ซันไชน์ เป็น ‘อินฟลูเอนเซอร์ (influencer)’ ผู้นำเทรนด์ในเรื่องสารพันความงามและแฟชั่น ในวัยเด็กเธอเคยเป็นที่คุ้นหน้าในโฆษณาสินค้าสำหรับเด็ก และยังถ่ายโฆษณาอีกประปรายเรื่อยมาจนโตเป็นสาว จึงได้เล่นมิวสิกวิดีโอของศิลปินดัง ผู้คนจึงกลับมาสนใจเธอในฐานะเน็ตไอดอลวัยใส ครั้นเข้ามหาวิทยาลัย ตะวันฉายได้เป็นเชียร์ลีดเดอร์และแสดงละครเวทีของคณะ ก่อนจะผันตัวไปอยู่เบื้องหลังด้วยการใช้ฝีมือในการแต่งหน้า และเป็นบล็อกเกอร์กับกูรูด้านความงามซึ่งมีผู้คนติดตามเป็นอันดับต้นๆ ของประเทศ

พราวจันทร์แบะปาก ซันไชน์ หรือตะวันฉาย คือทุกสิ่งที่อยู่ในขั้วตรงกันข้ามกับเธอ ดุจดั่งพระอาทิตย์ กับพระจันทร์

แน่ละที่เธออิจฉา ไม่ใช่เพราะความสวยสะดุดตาของตะวันฉาย แต่เป็นเหตุผลอื่น

ฉับพลัน หน้าจอโทรศัพท์ปรากฏถ้อยคำว่ามีคนส่งข้อความมา พราวจันทร์เบิกตากว้างเมื่อเห็นชื่อผู้ส่งซึ่งเป็นชื่อเดียวกับหญิงสาวเจ้าของเพจที่เธอแอบดูอยู่

“สวัสดีค่ะพี่จันทร์ พี่คงไม่รู้จักหนู แต่หนูจำพี่ได้เสมอนะคะ หนูชื่อตะวันฉาย เป็นน้องสาวของพี่ ที่หนูติดต่อมาวันนี้ ก็เพราะว่า…”

หัวใจของพราวจันทร์เต้นแรง แทบกลั้นหายใจขณะรอตะวันฉายพิมพ์

“หนูมีข่าวร้ายมาบอกค่ะ…”

พราวจันทร์อุทานทันทีที่เห็นข้อความต่อไป


พราวจันทร์ตะวันฉาย เรื่องราวของพราวจันทร์ ผู้หญิงเชยๆ ที่มีฝันอยากเป็นคิวเรเตอร์มือหนึ่งแต่ไม่กล้าไขว้คว้าจนตะวันฉาย น้องสาวต่างมารดาเข้ามาในชีวิต…พระจันทร์กับดวงตะวันไม่เคยอยู่คู่ฟ้าในเวลาเดียวกัน แล้วทั้งคู่จะอยู่ร่วมกันได้ไหม นวนิยายแนวโรแมนติกคอเมดี้ โดย แพรณัฐ…นิยายออนไลน์ ที่ อ่านเอา อยากให้คุณได้ อ่านออนไลน์ ได้ลงจนจบบริบูรณ์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทางผู้เขียนใจดีมอบ 5 บทแรกไว้ให้อ่านกันที่อ่านเอาและหากติดใจอยากอ่านต่อคุณผู้อ่านสามารถซื้อได้ที่สนพ. สถาพรบุ้คส์ หรือร้านหนังสือทั่วไป

——————————————



Don`t copy text!