수라간 สูตรลับตำรับชายา บทที่ 3 : หากทุกข์ใจ …เจ้ายังมีพี่

수라간 สูตรลับตำรับชายา บทที่ 3 : หากทุกข์ใจ …เจ้ายังมีพี่

โดย : นาคเหรา

Loading

수라간 สูตรลับตำรับชายา เรื่องราวอึนบยอล เด็กสาวที่เมื่อยังอ่อนเดียงสาเธอได้รับความเมตตาจากพระราชาคยองมินให้ลิ้มรสข้าวต้มถั่วแดงในวันที่อดอยาก เธอจึงตั้งใจว่า หากโตขึ้น จะเป็นแม่ครัวที่ปรุงอาหารด้วยหัวใจให้จงได้  “수라간 สูตรลับตำรับชายา” โดย นาคเหรา … นิยายออนไลน์ ที่ อ่านเอา อยากให้คุณได้ อ่านออนไลน์ ได้ลงจนจบบริบูรณ์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทางผู้เขียนใจดีมอบ 5 บทแรกไว้ให้อ่านกันที่อ่านเอา และหากติดใจอยากอ่านต่อ อดใจรออีกนิด เนื่องจาก 수라간 สูตรลับตำรับชายา อยู่ในขั้นตอนการรวมเล่มกับสำนักพิมพ์กรู๊ฟพับลิชชิ่ง และสามารถติดตามข่าวได้ทางแฟนเพจของสำนักพิมพ์ @Groove publishing ค่ะ

 

สมัครบัตร Citi Ready Credit

ทุกยอดการสมัครจะมีส่วนแบ่งกลับมาสนับสนุนเว็บไซต์อ่านเอาของพวกเรา 🙂

……………………………………………………………….

-3-

 

ในช่วงค่ำคืนหนึ่ง เสียงของขันทีบอกเวลาเสวย ทำให้เหล่าข้าราชบริพารจากห้องครัวหลังเดินไปมาขวักไขว่ เรื่องอาหารการกินในห้าเวลาของวัน บรรดาเหล่าเจ้าหน้าที่ในซูรากัน (1) ดูจะวุ่นวายเป็นพิเศษ เพราะอาหารการกินสำหรับพระราชาและพระราชวงศ์แล้ว ถือเป็นเรื่องใหญ่และต้องใส่ใจมาก ตั้งแต่เช้าจรดเย็นรายงานอาหารและส่วนผสมจะถูกซังชิก (상식) หรือหัวหน้าซังกุงห้องเครื่องเป็นผู้ตรวจสอบ โดยจะมีหมอหลวงอ่านรายการอาหาร เพราะว่าต้องรายงานพระพลานามัยของพระราชาและเชื้อพระวงศ์ทุกพระองค์ เพื่อหลีกเลี่ยงอาหารแสลงโรคที่ทำให้เกิดการเจ็บป่วยได้

ในขณะที่เหล่านางกำนัลซังกุงที่เป็นเจ้าพนักงานก็เชิญเครื่องคาว ก็นำอาหารเข้ามาวางบนโต๊ะเสวย ที่ต่างจากทุกวันที่การจัดโต๊ะจะเป็นแบบโต๊ะเดี่ยวเล็กๆ ที่จะมีสำรับแยกต่างหาก แต่ด้วยวันนี้พระราชาคยองมินปรารถนาให้เป็นการส่วนตัว จึงสั่งให้เหล่าพนักงานโซจูบังหรือซูรากันจัดอาหารบนโต๊ะใหญ่ การเตรียมการก็ไม่ได้เตรียมอะไรมาก นอกจากมีอาหารหลักและจะมีเครื่องเคียงสิบสองอย่างมาวางเรียงรายกัน ก็จะมีอาหารที่แฮอินกุนทรงโปรดด้วย

“พี่แฮอิน ไม่อยู่ร่วมงานแต่งของพี่หญิงแฮจองรึพระเจ้าค่ะ”

องค์ชายยงซานตรัสถามพระเชษฐาบุญธรรมที่ประทับอยู่ไม่ไกลนัก  

“คงไม่หรอก เรือมีเที่ยวเดียวพี่ไม่อยากพลาด ช้าไปอาจจะต้องรอไปอีกหลายวัน”

“อยู่ต่อสักหน่อยไม่ได้รึพวกเราไม่อยากให้ท่านพี่แฮอินไปนี่พระเจ้าค่ะ ไหนๆก็ยกเลิกการเดินทางเพราะลมฝนแล้ว ไปต้าชิงไม่เห็นมีอะไรน่าสนุกเลย อยู่ที่โชซอนสนุกกว่า” องค์ชายยงซุนพูดพลางขยับเข้าไปกอดพระเชษฐาบุญธรรมไว้ ส่วนคนที่ไม่แสดงออกอะไรอย่างองค์ชายยงซานกลับนิ่งเงียบ แต่ทอดสายตาอาลัยไปยังพระเชษฐา

“ที่จริงเลื่อนการเดินทางออกไปก็ได้นี่ลูก ช้าหน่อยแต่ก็จะได้อยู่ร่วมงานของน้อง แฮจองอยากให้ลูกอยู่ด้วย ในวันสำคัญๆ อย่างนี้ แม่เองก็อยากให้ครอบครัวของเราอยู่พร้อมหน้า”

พระมเหสีแบครยอนตรัส ในขณะที่พระราชาคยองมินก็ได้แต่ถอนพระปัสสาสะออกมาด้วยความอัดอั้น เพราะการแต่งงานเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดเรื่องหนึ่งในชีวิต ถ้าหากแฮอินไม่อยู่ร่วมงาน แฮจองจะรู้สึกอย่างไร

ทั้งแฮอินและแฮจองผูกพันกันมากกว่าพี่น้องคู่ไหนในโลก เพราะตั้งแต่ที่พระชายาคิมผู้เป็นพระมารดาเสียชีวิต ทั้งสองก็ถูกพระชายาฮวางซึ่งเป็นพระชายาใหม่ของพระบิดาทำร้ายจิตใจ จนแฮอินทนไม่ไหวแอบพาน้องสาวหนีมาหาพระองค์ในวัง ซึ่งตอนนั้นนับเป็นการตัดสินใจที่เด็ดเดี่ยวมากของเด็กวัยห้าขวบ

“ข้าจะไม่เรียกท่านว่าท่านอาแล้ว ข้าขอเรียกท่านว่าท่านพ่อได้ไหมขอรับ”

“แล้วบิดาเจ้าล่ะ เขาคงกล่าวโทษข้าที่ให้เจ้าเรียกคำนั้น แฮอินนา..รู้ไหมว่าคำว่าพ่อกับแม่ถือเป็นคำศักดิ์สิทธิ์ เจ้าจะเรียกใครง่ายๆ ด้วยคำนี้ไม่ได้หรอกนะ หากเจ้าใช้คำนี้เรียกข้า แล้วอันพงกุนบิดาของเจ้าล่ะ เจ้าจะเรียกว่าอะไร”

“ข้าไม่เคยละทิ้งคำนั้น แต่ข้าทนเห็นน้องถูกรังแกไม่ได้ พี่แฮซองแต่งงานออกจากเรือนไป พอพระชายาฮวางแต่งเข้ามาที่นี่ ท่านพ่อไม่เคยสนใจข้ากับน้องอีกเลย บ้านหลังนั้นน่ะ…ข้าจะอยู่หรือไม่ก็ไม่สำคัญหรอก”

“แต่บิดาของเจ้าอาจจะตำหนิ ข้าได้”

“ท่านพ่อ ได้โปรดเถิดให้ข้ากับน้องอยู่ด้วยเถิด ขอแค่แฮจองแข็งแรงขึ้น ขอแค่ไม่มีใครมาพูดเรื่องเจ็บช้ำน้ำใจเข้าหู ต่อให้ข้าต้องอยู่ที่ห้องเก็บฟืนในวัง ข้าก็ยอม”

“อย่าพูดเช่นนั้นเลยลูก เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องใหญ่เอาไว้เอ่อ…พ่อจะไปขอทูลกระหม่อมปู่ อีกอย่างก็ต้องไปขอพ่อเจ้าด้วย แต่ลูกตั้งสองคน หากต้องยกให้คนอื่นถือเป็นเรื่องที่ใหญ่มาก”

พระราชาคยองมินในตอนนั้นตรัส ตอนแรกว่าจะประวิงเวลาให้นานขึ้น เพื่อให้แฮอินเปลี่ยนใจ แต่พอมาสบตาที่สิ้นหวังและไร้ความสุขของแฮจอง ก็ทำให้พระองค์ถึงกับเจ็บปวดหัวใจไปด้วย

“พระชายาฮวางกำลังจะมีน้องใหม่ให้ท่านพ่อ ข้าเป็นผู้ชายย่อมทนอยู่ได้ แต่น้องที่เป็นผู้หญิงขาดแม่คงอยู่ต่อไปไม่ได้ อาการของแฮจองเป็นโรคที่ต้องได้รับการรักษา แต่พระชายาฮวางเฉยเมยไม่สนใจแม้อาหารผิดสำแดง จะบอกท่านพ่อรึ ท่านก็ไม่ค่อยใส่ใจพวกเรานัก ท่านเป็นคนที่รักข้ากับน้องมาก ถ้าข้าขอร้อง…ท่านคงยอมให้พวกเราอยู่ด้วย”

ตั้งแต่เหตุการณ์ครั้งนั้นพระองค์นำทั้งแฮอินและแฮจองมาชุบเลี้ยงในวัง แฮอินปกป้องน้องสาวอย่างดี ในวันที่ภรรยาใหม่ของพระบิดาที่แท้จริงทำร้ายจิตใจ ทำให้ในวันที่ทุกข์ยากนั้น ทั้งสองเข้าใจและเห็นอกเห็นใจกันและกันมากขึ้น

แต่การแต่งงานของแฮจอง แฮอินก็ไม่ได้เห็นด้วยสักเท่าไหร่ เพราะว่าแฮจองมีโรคประจำตัวมาตั้งแต่วัยเด็ก ต้องได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิด ท่านชายกลัวว่าจะหากได้คนที่ไม่รักจริง อาจจะทำให้ท่านหญิงไม่มีความสุขในชีวิตเลย การคัดเลือกราชบุตรเขยของพระราชาขั้นตอนยุ่งยาก และยิ่งเป็นท่านหญิงแฮจอง คนที่จะมาเป็นคู่ครองต้องคัดเลือกจากตระกูลใหญ่ๆถึงเจ็ดตระกูล และแต่ละตระกูลต้องเป็นบุตรชายที่เกิดจากภรรยาเอกเท่านั้น จะเป็นบุตรจากภรรยารองที่รับรองด้วยกฎหมายก็ไม่ได้ การคัดเลือกกินเวลานานเกือบหนึ่งปี จึงมีคนที่ผ่านเข้ามาสามคนด้วยกัน และคนที่ได้รับการคัดเลือกให้เป็นราชบุตรเขยของพระราชาคือบุตรชายของใต้เท้าโจ เสนาธิการการทหาร ผู้เคยเป็นเจ้าเมืองในมณฑลพยองอันทางเหนือ

เขาว่ากันว่าบุตรชายของใต้เท้าโจนั้นเป็นชายหนุ่มรูปงาม เมื่อสอบเข้ารับราชการผ่าน ก็ได้เข้าทำงานที่กรมอาญา อนาคตดูท่าว่าจะเจริญตามรอยใต้เท้าโจผู้เป็นบิดา แต่หากต้องสมรสกับท่านหญิงแฮจองจริงแล้ว อนาคตทางการเมืองที่ว่าสดใสนั้นจำเป็นต้องสะดุด เพราะตำแหน่งพระราชบุตรเขยของพระราชาจะยุ่งเกี่ยวกับกิจการภายในไม่ได้ นอกเหนือจากเรื่องตำแหน่งทางการเมืองที่จะสูญเสียไป เรื่องบางเรื่องที่ผู้ชายโชซอนเขาทำกันจนเป็นเรื่องธรรมดาอย่างการมีอนุภรรยา คนที่เป็นราชบุตรเขยไม่สามารถมีอนุภรรยาได้เพราะถือเป็นการลบหลู่ราชวงศ์

แต่โจจีฮุนก็รับปากว่าจะปฏิบัติตนให้สมกับพระเกียรติของท่านหญิงแฮจอง พระราชาคยองมินจึงบอกกรมพระราชพิธีจัดงานอภิเษกทั่วแผ่นดิน และในกาลนี้ยังพระราชาจึงมีพระบรมราชโองการแต่งตั้งเป็นกรณีพิเศษอีกด้วย

ท่านชายแฮอิน ได้รับแต่งตั้งเป็น แฮอินกุนแห่งแฮยังส่วนท่านหญิงแฮจองได้รับการแต่งตั้งเป็นแฮจององจูแห่งแฮยัง การแต่งตั้งนี้ทำให้เหล่าข้าราชบริพารต้องเรียกขานแทนพระองค์ว่า แฮอินกุนและแฮจององจู

เรื่องการแต่งตั้งในกรณีนี้ คนทั่วไปต่างรู้กันดีว่าพระราชาคยองมินคงปรารถนาให้ แฮจององจูได้รับความเกรงใจจากครอบครัวของว่าที่สามี ส่วนองค์ชายแฮอินก็ช่วยเรื่องค้าของของแผ่นดิน จนสามารถนำเงินผลต่างกำไรที่ค้าขายได้มาจัดตั้งโรงเรียนสอนอาชีพหลายแห่ง เพื่อผลิตช่างฝีมือ ทำให้ชนชั้นกลางและต่ำได้รับการศึกษาที่ดี บางคนได้รับตำแหน่งเป็นช่างหลวงแขนงต่างๆ ของแผ่นดินเลยก็มี คุณความดีข้อนี้ทำให้พระราชาคยองมินทรงแต่งตั้งเลื่อนขึ้นเป็นกรณีพิเศษ

สองสามวันก่อนงานอภิเษกเริ่ม เรือสินค้าของหอพุนยังที่เป็นร้านค้าที่มีสาขามากที่สุดในโชซอน กำลังจะเดินทางไปยังเปิ่นซี องค์ชายแฮอินจึงบอกว่าเดินทางไปพร้อมเรือสินค้านั้นด้วย เพราะไม่อยากจัดเรือหลวงไปให้ยุ่งยาก ที่พระองค์ต้องไปจีนและวากุกบ่อยๆ ก็เพราะทำหน้าที่เป็นพ่อค้าหลวงของแผ่นดิน สองสามวันก่อนเดินทางและก็เป็นสองสามวันก่อนงานแต่งขององค์หญิงแฮจองอีกเช่นกัน สองพี่น้องต่างคนต่างเงียบ ต่างคนต่างก็ไม่มีอะไรต้องคุยกัน การเดินทางครั้งนี้อาจจะต่างจากทุกครั้ง ที่องค์หญิงแฮจองต้องตระเตรียมเสบียงให้ผู้เป็นพี่เอง แต่ว่าเพราะใกล้พิธีแต่งงานต้องเตรียมตัวหลายอย่าง ทำให้ทั้งคู่ต่างคนต่างยุ่ง แม้กระทั่งบนโต๊ะอาหารค่ำที่พระราชาคยองมินโปรดให้มีการเลี้ยงอาหารมื้อพิเศษในพระตำหนักคยองมินดังก็ไร้เงาของพระธิดาบุญธรรมด้วย

“แฮจองไปไหน วันนี้ทำไมไม่มากินข้าวด้วยกัน”

“องจูนิมอยู่ในครัวเพคะ กำลังนึ่งขนมกุลต็อกที่ซูรากันเพคะ มามา”

โอซังกุงเอ่ยตอบผู้เป็นนาย ก่อนจะตักน้ำแกงรากบัวจากหม้อไฟส่งใส่ชามแล้วจึงยกขึ้นโต๊ะเสวย พระราชาคยองมินทรงพยักหน้ารับรู้ และไม่ตรัสอะไรอีก ต่างจากพระบุตรบุญธรรมที่ทอดมองไปทางห้องครัวหลวงอย่างเหลืออด

“แค่รอขนมสุกน่าจะให้ซังกุงในนั้นทำก็ได้ จำเป็นไหมที่จะต้องไปเฝ้าเอง” แฮอินกุนตรัสเสียงขึ้นจมูก ที่พูดอย่างนั้นก็เพราะน้อยใจที่พระขนิษฐาไม่ยอมพูดด้วยตั้งหลายวัน ถามคำตอบคำเอาแต่นิ่งเงียบ นี่จะแต่งงานเข้าสกุลอื่นก็เริ่มฝึกทำตัวห่างเหินกับพี่น้องกันเสียแล้ว ต่อไปคงจะเจอตัวกันยากขึ้นแน่ๆ

ด้านพระมเหสีแบครยอนมองตามอย่างรู้ทัน เพราะรู้ว่าที่แฮอินกุนตรัสออกมาเช่นนี้ คงนึกโกรธที่น้องสาวไม่สนใจตนเอง สองพี่น้องรักกันมาก เพราะอยู่ด้วยกันตั้งแต่เล็กๆ กว่าจะแยกห้องนอนได้สำเร็จ แฮอินกุนก็ย่างเข้าสิบเอ็ดขวบ ชีวิตของทั้งสองผูกพันกันมาก ไม่ว่าแฮอินจะไปไหน แฮจองมักจะตามไปด้วยเสมอ แต่แฮอินกุนก็มีข้อเสียอีกอย่างคือ เขาไม่ค่อยบอกความรู้สึกตรงๆ กับใคร แต่จะใช้ถ้อยคำเหน็บแนมแทน เข้าทำนองว่าปากก็ว่าไปใจก็เจ็บปวด ส่วนแฮจองก็เป็นคนขี้น้อยใจ ยิ่งพี่ชายพูดเหน็บแนมก็เอาแต่เงียบและแอบหนีไปร้องไห้อยู่คนเดียว ทำให้พระราชาและพระองค์ต้องไปคอยปลอบใจอยู่เสมอ

และถึงคราวที่พระองค์ต้องพูดอะไรออกไปบ้างแล้ว…

“แฮจองคงกำลังทำกุลต็อก (2) ของโปรดของเจ้าอยู่น่ะสิ”

“ที่จริงไม่ต้องลำบากเรื่องอาหารก็ได้นี่พระเจ้าค่ะ กระหม่อมไม่ใช่คนกินยาก ท่านแม่ก็รู้”

“แต่น้องคงอยากทำให้เจ้าด้วยตัวเอง แฮจองชอบทำอาหารเจ้าก็รู้ดี อะไรก็ตามที่เจ้าบอกว่าชอบ นางก็พยายามฝึกฝีมือ ทำให้เก่งให้ดี ให้อร่อย เจ้าไม่รู้ใจน้องเลยรึ..แฮอิน”

พระราชาคยองมินตรัสเหมือนจะตำหนิ แต่พระมเหสีแบครยอนกลับส่ายพระพักตร์ไปมาเป็นเชิงห้าม เมื่อถูกพระบิดาบุญธรรมดุ แฮอินกุนก็ได้แต่ก้มลงต่ำไม่กล้าพูดอะไรต่อไปอีก เสียงดังของพระราชาคยองมินทำให้องค์ชายยงซานกับองค์ชายยงซุนมองหน้ากัน ก่อนจะตัดสินใจกินอาหารตรงหน้า ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น เพราะกลัวว่าพระบิดาจะพิโรธมากไปกว่านี้

“ชอนฮาเพคะ ลูกคงกำลังน้อยใจที่ไม่เห็นน้อง คนสองคนมีความในใจมากมาย แต่ก็มีนิสัยเหมือนกันนัก ที่ไม่ยอมพูดอะไรออกมาตรงๆ แฮอินนา…เจ้าน่าจะรู้นะ ว่าทำไมแฮจองถึงไม่มากินข้าวกับเรา ทำไมน้องถึงต้องไปเฝ้าขนมด้วยตัวเอง เพราะนั่นคือสิ่งที่เจ้าชอบน่ะสิ น้องถึงอยากทำออกมาด้วยหัวใจ” พระมเหสีตรัสพลางยิ้มก่อนหันไปทางพระสวามีที่ทรงจ้องมองพระบุตรบุญธรรมอยู่ก่อนแล้ว พอสบตากับแฮอินกุนพระองค์จึงตรัสออกมาว่า

“ที่จริงน่าจะเลื่อนขบวนไปอีกสิบห้าวัน ลูกน่าจะอยู่ร่วมงานแต่งของน้องก่อนก็ได้นี่ลูก

“คงไม่ได้พระเจ้าค่ะ แต่ลูกต้องไปติดต่อด้านการค้ากับขุนนางกรมการคลังของต้าชิง อีกทั้งชาวโชซอนที่อยู่เมืองนั้นก็เตรียมนัดประชุมเพื่อเร่งให้การปลูกโสมเลี้ยงและปลูกยาหลายตัว ลูกต้องการเจรจาให้ทันการณ์ เพราะช้าไปอาจจะเสียเวลาได้เจ้าค่ะ อาปามามา”

“เฮ้อ…ใกล้หิมะจะละลายแล้วสินะ เตรียมการเพาะปลูกไม่ใช่ของง่าย ร้านยาส่งของโชซอนกำลังได้รับความนิยมอยู่ในหัวเมืองแถบนั้น ได้ยินข่าวว่าหวงตี้มีพระกระแสรับสั่งให้ชาวโชซอนที่นั่น ส่งยาแทนส่วยแรงงานใช่ไหมลูก”

“พระเจ้าค่ะ อาปามามา ตั้งแต่ที่เราทดลองปลูกโสมภูเขาที่หาทางการจีนบอกว่าหายาก เหล่าเชื้อพระวงศ์และหวงตี้ก็ทรงให้ชาวโชซอนส่งส่วยแรงงานเป็นยาแทน และยังมอบป้ายฐานันดรให้กับผู้ที่เสียภาษีแล้ว แต่เป็นความจริงพระเจ้าค่ะ คนที่ลักลอบเข้าเมืองไปโดยที่ไม่มีป้ายอนุญาตยังคงมีมากอยู่ เรายังต้องแก้ปัญหาตรงนี้เรื่อยๆ”

พระราชาคยองมิน ทรงถอนพระปัสสาสะออกมาท่าทางหนักพระทัย เรื่องการหลบหนีเข้าเมืองของเหล่าชาวบ้านผู้ยากไร้ ในดินแดนแถบเหนือเป็นเรื่องที่แก้ไขได้ยาก เพราะว่าจะห้ามความอดอยากความแห้งแล้งและภัยหนาวเป็นเรื่องยากที่จะแก้ไขมาก ดินแดนทางเหนือมีพื้นที่อุดมสมบูรณ์พอที่จะเพาะปลูกน้อยมาก ทำให้ประชาชนบางส่วนหนีตายลงมาพื้นที่ราบลุ่มแม่น้ำฮัน กว่าฟื้นตัวและอยู่ที่ฮันยางได้ก็ต้องใช้เวลาหลายปี แต่ส่วนมากมักจะหนีไปข้ามชายแดนของจีนเสียมากกว่า เพราะพื้นที่อยู่ใกล้กว่า แต่ก็เสี่ยงอันตรายมากกว่าเป็นเท่าตัวหากทางการต้าชิงจะจับได้

พระราชาคยองมินทรงหันไปหาพระมเหสีที่ร่วมทุกข์สุขมาหลายปี รอยยิ้มนั้นของพระมเหสีทอดออกมาพอที่จะทำให้พระองค์สบายพระทัยได้บ้าง ตลอดสิบกว่าปีของการครองราชย์ ทั้งพระองค์และพระมเหสีแบครยอนต่างการช่วยกันแก้ปัญหาปากท้องของราษฎรมาตลอด เหลือแต่ส่วนที่ดินแดนทางเหนือนี่แหละที่ยังแก้ไขปัญหาไม่ได้

“เราจะค่อยๆแก้ปัญหาเพคะ พระองค์ดูพื้นที่แห้งแล้งในแคซองสิเพคะ เราคิดว่าจะปลูกอะไรไม่ได้เราก็ยังปลูกได้ ตอนนี้เมืองแคซองปลูกฝ้ายได้ ทำรายได้ส่งออกไปยังต้าชิงและวากุก ไม่มีอะไรที่เราจะทำไม่ได้ถ้าเราจะทำ หม่อมฉันเชื่อว่าสักวัน ดินแดนทางเหนือจะเป็นดินแดนที่ไม่มีใครเดินทางหลบหนีออกไปไหน ทางใต้เจริญเช่นใด เปียงยางและพยองอันก็จะเจริญอย่างนั้นเช่นกันเพคะ..ชอนฮา”

“ถ้าเป็นจริงอย่างที่จุงจอนพูด เราก็ถือว่ามันเป็นเรื่องดี สำหรับเรื่องค้าขายเพื่อปากท้องเราก็ต้องทำเอาละ ไหนๆก็จะต้องออกเรือแต่เช้า พ่อว่าเจ้าเข้าไปเรียกน้องมากินข้าวเถอะ แฮจองเองก็ต้องตื่นแต่เช้าแต่งตัวเพื่อเข้าพิธีเหมือนกัน การแต่งงานออกไปอยู่ข้างนอก พ่อให้เขาจัดเตรียมข้าวของและผู้คนไปรับใช้น้องด้วย ทางเรือนใต้เท้าโจเองก็ปลูกเรือนใหม่เป็นเรือนหอ คิดว่าไปอยู่คงมีคนเกรงใจแฮจองบ้าง

“โจจีฮุน..เขาเป็นคนดีใช่ไหมพระเจ้าค่ะ อาปามามา”

“เป็นคนดีเก่งและฉลาด เขาเคยเข้ามาถกปัญหาหัวข้อความรู้กับยงซุน และน้องชายคนเล็กของเจ้าก็ทำให้พ่อขายหน้า เพราะตอบข้อปรัชญาผิดหมดทุกข้อ!”

พอพระบิดาตรัสพลางผินพระพักตร์ไปยังพระบุตรองค์เล็กที่กำลังเอาตะเกียบคีบปลาทอด แต่พอได้ยินอย่างนั้นอาหารก็หล่นทันที

“อาปามามา ลูกกำลังกินอยู่นะพระเจ้าค่ะ ทรงตรัสเช่นนี้เห็นทีจะไม่เจริญอาหาร”

องค์ชายยงซุนทรงเอ่ยตัดพ้อพระบิดา นั่นทำให้แฮอินกุนพอจะยิ้มได้บ้าง แต่พระราชาคยองมินไม่ได้สนใจกับท่าทางนั้นองค์พระบุตรองค์เล็กมากนัก พระองค์ทรงเอ่ยต่อไปว่า  

“พ่อก็เห็นเจ้ากินเยอะทุกมื้อ แถมตอนกลางคืนยังต้องมีกล่องขนมไว้ข้างตัว ระวังเถิดฟันจะผุเอา”

“ใครฟ้องอาปามามาพระเจ้าค่ะ ว่าลูกเรียกหาของว่างยามดึก!”

“จำเป็นต้องมีคนฟ้องด้วยรึ แค่เจ้าตะโกน ขันทีประจำตัวก็วิ่งจนพื้นตำหนักจะพัง เสียงของเจ้าเบาเสียที่ไหน พ่อนอนอยู่ที่คยองมินดังยังได้ยินเสียงเจ้าตะโกน”

“อาปามามา!!”

องค์ชายยงซุนเอ่ยเหมือนตัดพ้อ แต่ท่าทางดังกล่าวกลับทำให้พระบิดาทรงพระสรวล ลูกชายฝาแฝดมียงซุนแทกุนนี่แหละที่ถอดแบบพระองค์มาจริงๆ จะว่าไปแล้วตอนเล็กๆแฮอินกุนมีนิสัยเหมือนพระองค์มาก แต่พอมียงซุนมาแฮอินโตขึ้น นิสัยก็เปลี่ยนไปเป็นสุขุมและรู้จักระงับอารมณ์ได้ดีกว่า แต่อย่างน้อยแฮอินก็ฉลาดกว่ายงซุนเรื่องตำรับตำรา

ส่วนองค์ชายยงซานก็เหมือนกับพระมเหสีแบครยอนชอบอ่านหนังสือ เงียบขรึม ชอบการเรียนรู้ แถมวาดรูปร่ายกลอนได้ไพเราะงดงามมาก ผิดกับคนเป็นน้องที่เก่งแต่เรื่องเพลงอาวุธการต่อสู้ แต่เรื่องการศึกษาเล่าเรียนไม่ค่อยจะสนใจนัก ดูแล้วก็แตกต่างกันมากราวกับไม่ใช่ฝาแฝด ถ้ายิ่งให้ยงซุนวาดรูปจากลูกพลับสดก็กลายเป็นลูกพลับเหี่ยว แม้หน้าตาจะเหมือนกันมาก แต่ที่ยงซุนกับยงซานมีไม่เหมือนกันจนคนทั่วไปแยกได้คือดวงตา

ดวงตาของยงซุนเหมือนกับองค์รัชทายาทมินยางพระบิดาของพระองค์ที่ล่วงลับไป ส่วนองค์ชายยงซานดวงตาเหมือนกับพระราชาอินจองพระอัยกาที่เพิ่งสิ้นพระชมเมื่อต้นปีที่แล้ว ไม่ว่าจะสบตากับลูกคนใด ความอาลัยก็เกาะกินพระหทัยเพราะความคิดถึง

แต่ครอบครัวก็เป็นสิ่งเดียวที่ทำให้พระองค์มีความสุข ชดเชยชีวิตที่อ้างว้างเมื่อตอนอ่อนชันษา

พระเนตรคมคายของพระราชาทอดมองไปยังพระบุตรบุญธรรมที่นั่งนิ่งอยู่ที่โต๊ะกินข้าว ใบหน้าคมคายหล่อเหลานั้นถอดแบบมาจากองค์ชายอันพงกุนพระบิดา แต่นิสัยของแฮอินแตกต่างกับพระบิดาที่แท้จริงนัก อย่างน้อยอันพงกุนก็เป็นคนเจ้าชู้มีเมียไร้อันดับมากมาย แต่แฮอินจะหลบเลี่ยงการแต่งงานไม่ยอมรักใครง่ายๆ สำหรับผู้หญิงต่อให้สวยแค่ไหน ถ้าไม่รู้สึกชอบจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วยเลย

ต่อไปลูกๆจะเป็นอย่างไร พระองค์ก็จะพยายามนำพาชีวิตของพวกเขา ให้ผ่านมรสุมและเรื่องราวทั้งหลายไปให้ได้ พระบุตรทั้งสามเติบโตไปในวันข้างหน้า ยังไม่น่าห่วงเท่ากับพระธิดาบุญธรรมที่ร่างกายไม่ค่อยแข็งแรงนัก แม้พระองค์จะหาคนที่คิดว่าดีที่สุดให้แล้ว แต่ก็ยังไม่วายห่วงอีกจนได้ แม้จะรู้ดีว่าการแต่งงานเป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์โลกก็ตาม

“แฮอินนา…ไหนๆพรุ่งนี้จะเดินทางแต่เช้ามืด แฮจองก็คงยุ่งเพราะต้องเตรียมงานแต่งของตน พ่อว่าเจ้าเข้าไปหาน้องในครัวก่อนเถอะ แฮจองคงไม่มากินข้าวที่นี่หรอก นางคงไม่อยากเห็นเจ้าเดินจากไป ใจจริงน้องคงอยากให้เจ้าอยู่ร่วมงานแต่งด้วย แต่ว่าก็ว่านะ งานทางนั้นก็สำคัญ”

พระบิดาตรัสเพราะทราบในความจำเป็นข้อนั้น องค์ชายแฮอินได้แต่ก้มหน้านิ่ง เข้าใจและรับรู้ถึงหัวใจของน้องสาวร่วมพระมารดาแล้ว อย่างไรเสียการของบ้านเมืองเป็นเหตุที่รอคอยอะไรไม่ได้ แต่เรื่องจิตใจของแฮจองก็ทะนุถนอมไม่ให้มีเรื่องใดมากระทบอีกเหมือนกัน

องค์ชายแฮอินทรงลุกขึ้นและเดินออกไปจากห้องพลางบอกว่าจะเข้าไปที่แผนกซูรากัน ในขณะที่พระมเหสีแบครยอนก็ได้แต่แย้มพระสรวล ก่อนจะมองพระพักตร์ของพระสวามีราวกับจะรู้ความในพระทัยกันและกันแล้ว

“ถึงจะโตสูงใหญ่อย่างไร ลูกก็ยังเป็นเด็กในสายตาเราเสมอ ดูสิ…พรุ่งนี้คนหนึ่งต้องแต่งงานไปอยู่ที่อื่น อีกคนก็ต้องเดินทางไปทำงานต่างบ้านต่างเมือง การจากพรากทำให้เราไม่อยากให้ลูกโตและผละออกไปจากอ้อมกอดเราเลย ยอนฮวาของข้า”

“แต่เราห้ามวันเวลาไม่ได้เพคะ ทุกอย่างย่อมมีวิถีทางของมัน ลูกๆ เมื่อเขาโตขึ้น เขาก็ต้องจากเราไปเพื่อเดินไปตามเส้นทางที่เขาได้เลือกแล้ว เขาจะเอาไปได้เพียงแต่สิ่งที่เราสั่งสอนไปเท่านั้นเพคะ และสิ่งนั้นคงจะช่วยให้เขาเดินทางต่อไปได้เองโดยที่ไม่มีเรา”

“คิดแล้วน่าใจหายนะ การพรากจากทั้งๆ ที่เรารู้ว่าลูกทุกคนมีจุดมุ่งหมายมีความต้องการไม่เหมือนกัน สำหรับเราเคยชินที่จะได้เห็นได้โอบกอดลูกๆไว้แนบอก พอเขาโตขึ้นพอจะมีครอบครัวเอง มันก็อดใจหายไม่ได้ที่จะต้องจากลากันไป”

“แต่ลูกกำลังจะไปมีความสุขเพคะ เรามองดูอยู่ตรงนี้เห็นเขาสุขเราก็จะสุขด้วยเพคะ ดีเสียอีกแฮจองแต่งงานอาจจะมีหลานๆให้เราหลายๆคนก็เป็นได้ ต่อไปพระองค์ก็จะได้เป็นทูลกระหม่อมตาแล้วนะเพคะ”

“แต่เราก็ยังอยากมีลูกสาวอีกสักคนนะ แต่พยายามมาหลายปีแล้ว ลูกก็ยังไม่มาเกิดเสียที หรือเราผิดพลาดอะไรไปนะ” พระราชาคยองมินทำท่าครุ่นคิด สีหน้ากังวลแต่อาการนั้นทำให้เหล่านางกำนัลและซังกุงถวายงานต่างก้มหน้าลงด้วยความเขินอาย อาการดังกล่าวทำให้มเหสีแบครยอนถึงกับตรัสออกมาอย่างอ่อนพระทัย

“ชอนฮาเพคะ ทำไมพูดอะไรตอนนี้เพคะ”

“อ้าว..ทำไมจะพูดไม่ได้ มันเป็นเรื่องที่เราทุกข์ใจมาตลอดหลายปี เรายังคิดอยู่ว่าหมอหลวงจัดยาบำรุงมาให้เราผิดขนานหรือเปล่า ขนาดคยองอินซังแทวังยังมีพระบุตรกับพระธิดารวมกันแล้วตั้งห้าพระองค์ ส่วนเรามีเจ้าตัวยุ่งแค่สองคน แทองก็มีลูกนำหน้าไปแล้วสี่คน ข้ากับเจ้าต้องมีปัญหากันแน่ๆ”

คราวนี้โอซังกุงถึงกับยิ้มกว้างออกมาเมื่อเห็นสีพระพักตร์ของพระมเหสี แม้จะรู้ดีว่าพระสวามีทรงทุกข์ใจเรื่องนี้มาหลายปีแล้วก็ตาม แต่พระองค์ก็เห็นว่าควรจะพูดคุยกันเป็นการส่วนตัวมากกว่า แทนที่จะมาพูดต่อหน้าลูกและขันทีเช่นนี้ ออมซังกุงหน้าแดงเหมือนลูกจาทูสุก ชาคยูซองกลั้นยิ้มจนเหงื่อแตก นี่ยังไม่รวมนางกำนัลที่เข้ามารับใช้พระองค์อีกแต่ละนางก็ทำท่าเขินอายมือไม้ก็อยู่ไม่สุข

“งั้นก็ให้ซังกุงซูรากันไปบอกให้ห้องโอสถปรุงยาที่มีส่วนผสมของโสมกับตังกุยมาถวาย อาหารให้ควบคุมอุณหภูมิให้คงที่ดีไหมเพคะ” พระมเหสีทรงพูดเหมือนประชดในตอนนั้นพระราชาถึงรู้สึกองค์ว่าได้พูดเรื่องที่ไม่ควรเปิดเผยออกไป  คราวนี้เสียงกระซิบขององค์ชายยงซุนกลับดังท่ามกลางความเงียบ

“ข้าเกลียดเด็กผู้หญิง…ท่านพี่”

“ข้าก็อยากมีน้องชายมากกว่า ข้าจะสอนให้เขาแต่งกลอน”

“ไม่เอาข้าจะสอนเขาขี่ม้าผาดโผน น้องชายของข้าจะมามีชีวิตเหมือนต้นพุทราจีนที่ตายแล้วเหมือนท่านน่ะไม่ได้หรอกนะ วันๆเอาแต่อ่านหนังสือแต่งกลอนไม่ยอมออกไปไหน”

“นี่ลูกซาน..ลูกซุน เราจะกินข้าวกันนะลูก เสวยเถิดเพคะ เรื่องอื่นเดี๋ยวเราค่อยพูดกัน” พระมเหสีพูดเหมือนกับจะตัดบท เพราะเห็นว่าหัวข้อสนทนาชักจะบานปลายไปเรื่อยๆ หากพูดมากไปกว่านี้มีหวังคงไม่ต้องกินอะไรกันพอดี

“จุงจอน ที่เราอยากมีลูกสาวน่ะ เพราะเราอยากให้เขามาเติมเต็มชีวิตของเรานะ ความโดดเดี่ยว…เรารู้ซึ้งถึงสิ่งนั้นได้ดีทีเดียวเพราะอยู่กับมันมาทั้งชีวิต และเมื่อมีเจ้า โลกของข้ากลับน่ามองขึ้น ขอแค่มีเจ้าและมีลูกซุน ลูกซานและขอมีลูกสาวอีกสักคนสองคน” พระหัตถ์แกร่งแตะต้องไปยังพระหัตถ์บอบบางของพระมเหสี พระเนตรแห่งความรักทอดออกมาจนเหล่าซังกุงต้องก้มลงเพราะไม่อยากสบตากับนาย

แต่ทว่าในตอนนั้นองค์ชายยงซุนกลับสำลักน้ำแกงออกมาทางจมูกออกมาอย่างรวดเร็ว ส่วนองค์ชายยงซานกลับมองพระอนุชาอย่างรู้เท่าทัน ผิดกับซังกุงพระพี่เลี้ยงที่คอยดูแลด้วยความเป็นห่วง

“แทกุนมามา ทำไมรีบเสวยอย่างนี้เล่าเพคะ” ออมซังกุงเอ่ยอย่างตกใจ ก่อนจะหาผ้ามาซับคราบน้ำแกงที่เลอะบนปากและจมูกของเจ้านายตัวน้อย พระมารดาและพระบิดาก็ไถ่ถามอย่างห่วงใย แต่องค์ชายยงซานกลับเสวยพระกระยาหารต่อไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“ดูท่านจะไม่เป็นห่วงเป็นใยข้าเลยนะ ยังกินข้าวต่อไปได้อย่างหน้าตาเฉย”

“ก็ข้ารู้นะสิ ว่าเจ้าสำลักน้ำแกงออกมาเพราะอะไร หรือจะให้ข้าทูลความจริงอาปามามาไปตามตรง”

ยงซานแทกุนตรัสพลางยกน้ำแกงขึ้นมาเสวยบ้าง อาการไม่ทุกข์ไม่ร้อนของพระเชษฐาทำให้องค์ชายยงซุนพูดออกมาทันทีอย่างเหลืออด

“ท่านจะมาล่วงรู้ความในใจของข้าได้เช่นใด ว่าในหัวของข้าคิดเรื่องอะไรอยู่”

“ก็เราเป็นฝาแฝดกันนี่ แค่กลิ่นผายลมอ่อนๆของเจ้า ข้าก็จำได้แล้ว”

“ท่านพี่!!”

ท่าทางดังกล่าวทำให้พระบิดาและพระมารดาทรงพระสรวลขึ้นมาทันทีโดยทันที

ซื้อหนังสือที่ www.naiin.com ไม่ว่าเล่มใดก็ตาม

ทุกยอดการสั่งซื้อจะมีส่วนแบ่งกลับมาเพื่อสนับสนุนเว็บไซต์อ่านเอา

ชุมชนแห่งการอ่านของพวกเรา : )

ณ ห้องครัวหลวง

ห้องครัวหลวงของวังหลวงเดินจากพระตำหนักรัชทายาทไม่ไกลนัก หน่วยงานนี้ถือเป็นหน่วยงานสำคัญไม่แพ้งานของข้าราชการฝ่ายหน้า เพราะราชสำนักให้ความสำคัญเครื่องเสวยของพระราชามาก เชื่อกันว่ากินอย่างไรก็จะได้อย่างนั้น อาหารเป็นสุดยอดของพลัง หน่วยงานนี้จึงเข้มงวดกับเด็กที่มาทำงานเป็นนางกำนัลฝึกหัดเป็นพิเศษ

องค์ชายแฮอินเดินลัดจากพระตำหนักทงกุงมาที่แผนกซูรากัน เหล่านางกำนัลที่แตกเนื้อสาวก้มลงหลบสายพระเนตรด้วยความเอียงอายไม่กล้าสบตากับผู้เป็นนาย แต่องค์ชายแฮอินไม่ได้สนใจใครเป็นพิเศษ บางทีออกจะรำคาญกับจริตของนางกำนัลพวกนี้ด้วยซ้ำ บางคนแกล้งเดินผ่านหรือสบตากับพระองค์มากจนเกินควร ทำให้สิ่งที่แฮอินกุนคิดได้ก็คือ ความน่ารำคาญของนางกำนัลเหล่านี้

“เห็นองจูไหม อยู่เรือนเครื่องคาวหรือเรือนเครื่องหวานเล่า”

“อยู่เรือนเครื่องหวานเพคะ พระองค์ตรัสว่าจะใช้ห้องเวซูรากันในการปรุงต็อกเลยให้นางกำนัลจัดเครื่องปรุงไว้ให้ จะได้ไม่ต้องไปปะปนกับเครื่องเสวยอย่างอื่น” องค์ชายแฮอินถอนหายใจเฮือกใหญ่ ลองแฮจองได้เข้าครัวทำขนมต็อกเองมีหวังพระองค์ต้องได้กินขนมครบทุกสีแน่ๆ

“นึกว่าจะทำอะไรง่ายๆ ทำต็อกก็ใช้เวลานานน่ะสิ”

องค์ชายแฮอินตรัสก่อนจะบอกให้นางกำนัลคนนั้นไปทำงานตามที่ตามปกติได้ ความจริงนางกำนัลสาวได้แต่หวังให้พระองค์บอกให้นางเป็นคนนำทาง แต่เพราะซูรากันเป็นสถานที่หนึ่งที่องค์ชายแฮอินคุ้นเคยมากตั้งแต่เด็ก ทำให้ไม่ต้องใช้คนนำทางก็ไปถูก นางกำนัลรับใช้คนนั้นจึงได้แต่มองตามพระวรกายสูงใหญ่ไปอย่างแสนเสียดาย

ในห้องครัวเล็ก ห้องนี้เป็นห้องที่จัดไว้แยกส่วนกับห้องครัวรวม เพราะบางทีจะมีเจ้านายฝ่ายในมาปรุงอาหารที่อยากทำเป็นพิเศษ แม้แต่พระมเหสีเองก็จะเสด็จมาที่นี่เพื่อปรุงขนมควาซุล (3) ที่เป็นของโปรดของพระราชาด้วยในบางครั้ง

ด้านองค์หญิงแฮจองก็โปรดการทำอาหารมาตั้งแต่เด็ก ทรงมาที่นี่เพื่อเรียนการทำอาหารกับเหล่าซูรากันซังกุงโดยเฉพาะ และที่ต้องเข้าครัวมาบ่อยๆ เพราะอยากทำอาหารหรือขนมในมื้อพิเศษให้พระราชาและพระมเหสีบ้าง การฝึกฝนบ่อยๆ นานวันเข้าก็ชำนาญจนฝีมือเลื่องลือไปทั่วทั้งวัง สิ่งที่พระองค์ถนัดคือการทำขนมต็อกแบบโบราณ แฮอินกุนมองเห็นต็อกที่จากธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นต็อกสีขาวที่มาจากแป้งข้าวเหนียวสีขาวสะอาด สีเหลืองมาจากฟักทองบด สีเขียวมาจากผักจิงฉ่าย สีม่วงก็มาจากหัวมันสีม่วง ทั้งหมดถูกปั้นเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยวแต่มีขนาดเล็กกว่ามาก ขนมชนิดนี้เป็นของโปรดของแฮอินกุนตั้งแต่เด็ก เมื่อพระเนตรเรียวรีทอดไปยังอีกมุมของห้อง ก็เห็นร่างของใครคนหนึ่งนั่งนิ่งบนตั่งตัวเล็ก ดวงตาก็จ้องดูเปลวไฟเต้นระบำ ใบหน้าที่เศร้าสร้อยของผู้เป็นน้องทำให้ผู้เป็นพี่ถอนหายใจออกมาทันที

“ใจลอยขนาดนี้เลยรึ..ถ้าขนมไหม้พี่จะโทษเจ้า” เสียงของผู้มาใหม่าทำให้แฮจององจูละสายตาจากเปลวไฟในเตา ก่อนจะหันมายังต้นเสียง ดวงตาที่มีแววความเศร้าสดใสขึ้นมาทันที

“พี่แฮอิน มาทำไมถึงตรงนี้ได้ล่ะเจ้าคะ”

“ก็มาหาเจ้าน่ะสิ แทนที่จะไปกินข้าวด้วยกันมานั่งเฝ้าอะไรกันตรงนี้ พี่จะไปต้าชิงพรุ่งนี้ แทนที่จะไปกินข้าวด้วยกัน แต่เจ้ากลับใจดำไม่ยอมไปนั่งด้วยเสียนี่ มันน่าน้อยใจนัก” เมื่อครั้งยังเป็นเด็ก แฮจองยิ้มทันทีที่เห็นท่าทางดังกล่าว ไม่ว่าจะกี่ปีหรือกี่ปีแฮอินก็ยังชอบออกท่าแบบนี้เสมอเวลาอยู่ด้วยกันตามลำพัง

“ข้าก็จะแต่งงานออกเรือนเช่นกัน แล้วทำไมพี่แฮอินไม่อยู่ร่วมงานของข้าล่ะเจ้าคะ” ผู้เป็นน้องถาม ก่อนจะเลื่อนเอาตั่งตัวเล็กมาให้พี่ชายนั่งเพื่อจ้องมองดูเปลวไฟเต้นระบำด้วยกัน

“ก็เพราะพี่ไม่อยากเห็นหน้าน้องเขยน่ะสิ ไม่รู้ว่าคนที่อาปามามาทรงเลือกให้ตามขั้นตอนมากมายเหล่านั้นน่ะ จะดีหรือเปล่า”

“เขาสง่างามมากเจ้าค่ะ เขาสูงเหมือนท่าน ดวงตาดูอบอุ่น รอยยิ้มของเขาก็น่ามองมากเลยเจ้าค่ะ บางทีเวลาท่านไม่อยู่ เขาอาจจะปกป้องข้าได้” องค์หญิงแฮจองพูดพลางก้มหน้าสายตาเก้อเขิน ท่าทางดังกล่าวทำให้แฮอินกุนถึงกับถอนหายใจออกมาเบาๆ

“เจ้ารักผู้ชายคนนั้นรึ”

“แล้วความรักมันเป็นใดเช่นกันเล่าเจ้าคะ ท่านพี่เคยมีความรู้สึกเช่นนั้นกับใครหรือยัง รักแบบที่ไม่ใช่พี่น้องหรือคนรู้จักน่ะเจ้าค่ะ”

“รักแบบหนุ่มสาวน่ะหรือ พี่เคยเจอผู้หญิงมากมาย ถึงมิใช่ชายเจ้าชู้ แต่พี่ก็แยกแยะความรู้สึกนี้ได้ พี่ยังไม่เคยรู้สึกเช่นใดกับใครเลย ถ้าสนุกตามวิสัยบุรุษบ้างก็พอมีเวลาเหล้าเข้าปาก”

“หึ..ท่านนี่ไม่ได้เรื่องเลย ข้าก็นึกว่าท่านจะเคยมีความรักกับเขาบ้างแล้ว เพราะท่านแก่กว่าข้าตั้งสองปี ที่จริงท่านน่าจะแต่งงานก่อนข้า หาพี่สะใภ้สวยๆให้ข้าสิเจ้าคะ ถ้าท่านไม่หา ข้าจะหาให้ท่านเองนะ” แฮจององจูพูดพลางยิ้ม

“อ้าว..แล้วพี่แปลกคนมากหรือไง การจะใครเข้ามาอยู่ในหัวใจมันเป็นเรื่องละเอียดอ่อนนะ ดูอย่างทูลกระหม่อมพ่อกับท่านแม่สิ ประตูใจเปิดออกครั้งแรกและครั้งเดียว พี่อยากจะมีความรักแบบนั้น หัวใจไม่เกี่ยวกับร่างกาย พี่ยอมรับว่าตัวเองจัดอยู่ในประเภทรักคนยาก”

ข้อนั้นองค์หญิงแฮจองรู้ดีว่าพระเชษฐาเป็นคนเช่นใด เพราะกว่าที่แฮอินกุนจะยอมรับอะไรสักครั้งก็แสนยาก ถ้าลองบอกว่าไม่ก็ไม่มีอะไรจะเปลี่ยนใจได้ เรื่องหาคู่ครองพระบิดาก็ทรงจัดการให้บ้างแล้ว แต่ถ้าสบโอกาสแฮอินกุนมักจะไม่ไป ลงท้ายคือการหนีการดูตัวเลยก็มี

“แต่ข้าอยากเห็นท่านมีความสุขเจ้าค่ะ”

“แต่พี่อยากเห็นเจ้ามีความสุขมากกว่า…น้องน้อยของพี่”

องค์ชายแฮอินพูด พลางจ้องมองพระพักตร์ของพระขนิษฐานิ่ง พระหัตถ์แกร่งแตะไล้ไปที่แก้มนวลอย่างรักใคร่

“พี่ยอมรับว่าไม่อยากให้เจ้าไปแต่งงาน เพราะไม่รู้ว่าที่บ้านตระกูลโจจะต้อนรับเจ้าดีไหม ถึงอาปามามาจะให้ตำแหน่งเราสองคน แต่เมื่อแต่งไปเป็นบูอินตระกูลอื่นไม่ใช่คนของวังหลวง เจ้าต้องปรับตัวรู้ไหม”

“ที่จริงข้าก็กลัวเจ้าค่ะ เพราะที่นั่นไม่ใช่วังหลวง ไม่มีอาปามามากับท่านแม่ ไม่มีน้องๆของเรา…ไม่มีท่าน”

“ไม่หรอกเจ้ายังมีพี่มีทุกคนที่เจ้าอยู่ข้างๆ ถ้าผู้ชายคนนั้นเขาทำให้เจ้าเจ็บช้ำน้ำใจ พี่จะตามไปชำระแค้นให้เจ้าเอง”

เสียงนั้นบอกมั่นคงนัก แต่องค์หญิงได้แต่เผยรอยยิ้มกับท่าทางดังกล่าว เพราะคิดว่าผู้เป็นพี่พูดเพื่อเอาใจตน

“ข้าเชื่อว่าท่านทำได้เจ้าค่ะ ท่านจะไม่อวยพรให้ข้าหน่อยหรือเจ้าคะ งานแต่งของข้าคนที่ข้าอยากให้อยู่ด้วยกลับไม่ว่าง ถ้างั้นข้าจะขอทวงคำอวยพรล่วงหน้าก็แล้วกันเจ้าค่ะ”

องค์หญิงแฮจองเปลี่ยนเรื่องคุย ก่อนจะเปิดฝาหม้อนึ่งขนมเพื่อดูว่าสุกหรือยัง เมื่อเห็นว่าขนมยังสุกดีจึงหันมาคุยกับพระเชษฐาต่อ

“พี่จะดูแลคุ้มครองเจ้า ยามสุขอย่านึกถึงพี่ แต่ยามทุกข์ขอให้นึกถึงพี่เข้าใจไหม”

“ว้า…ไม่เหมือนคำอวยพรเลยเจ้าค่ะ”

“เจ้าก็รู้ดีนี่ ว่าพี่ก็คงพูดเหมือนคนอื่นๆ ในวันแต่งงานทุกคนขอให้เจ้ามีความสุข แต่พี่จะขอดูแลปกป้องเจ้าจนกว่าจะมีความสุขจริงๆ”

“พี่แฮอินเจ้าขา…”

องค์แฮจองขยับตัวเข้าไปใกล้พลางดึงร่างพระเชษฐามากอดแน่น ก่อนจะซบหน้าลงกับอกของผู้เป็นพี่แล้วร้องไห้ออกมาอย่างอัดอั้น

“จำเอาไว้ ว่าทุกข์ใจเมื่อไหร่ ขออย่างเดียวอย่าลืมพี่ เรามีกันอยู่แค่นี้ ท่านพ่อกับพี่ใหญ่ก็ไม่ค่อยได้มาหาเรา พี่รู้ว่าเจ้าคิดถึงพวกเขามาตลอด หากเจ้าทุกข์ใจเมื่อใด จงจำไว้…พี่จะเป็นทุกอย่างให้เจ้าเอง”

เจ้าค่ะ หากข้าทุกข์ใจ ข้าจะบอกท่านเป็นคนแรกเจ้าค่ะ” องค์หญิงแฮจองรับคำพระเชษฐาพลางซบหน้าลงที่อกเสื้ออีกฝ่าย ในขณะที่องค์ชายแฮอินก็ยิ้มให้อย่างอ่อนโยน

 

เชิงอรรถ :

(1) ห้องเครื่องหลวง

(2) กุลต็อก ขนมต็อกมีไส้น้ำตาลแดงกับงา มีรสหวาน

(3) ขนมต็อกทอด เคลือบด้วยน้ำตาลหรือผงถั่วและงาบด

 

***

สั่งซื้อ Remember Wrinks

เซรั่มบำรุงผิวที่เป็นมาสก์ได้ในหนึ่งเดียว

ทุกยอดการสั่งซื้อจะมีส่วนแบ่งกลับมาเพื่อสนับสนุนเว็บไซต์อ่านเอา

ชุมชนแห่งการอ่านของพวกเรา : )

สั่งซื้อ 1 หลอดราคา 2,090 บาท คลิกที่นี่  >>>>> https://bit.ly/2UT2G40   

สั่งซื้อเซ็ตประหยัดสุดคุ้ม 3 หลอดราคา 2,940 บาท คลิกที่นี่  >>>>> https://bit.ly/2QFzcY9

อ่านเพิ่มเติม เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์นี้ คลิกที่นี่ >>>>>>>>>>> http://anowl.co/anowlsabai/remember-wrinks/



Don`t copy text!