นิยาย (รัก) ไม่มีตอนจบ บทที่ 1 : นิยาย…(รัก) บทที่ 1

นิยาย (รัก) ไม่มีตอนจบ บทที่ 1 : นิยาย…(รัก) บทที่ 1

โดย : กานต์

Loading

นิยาย (รัก) ไม่มีตอนจบ โดย กานต์ เรื่องราววุ่นๆ ในแวดวงนักเขียนผ่านตัวละครสำคัญอย่างแพรรภัส นักเขียนสาวที่ชีวิตจริงไม่ได้สดใสเช่นนิยายที่เขียน เธอต้องหนักแน่นและมุ่งมั่นแค่ไหน เพื่อให้นิยายรักเรื่องล่าสุดจบลงอย่างสวยงาม นิยายออนไลน์ ที่น่าติดตามอีกเรื่อง ซึ่ง อ่านเอา อยากให้คุณได้ อ่านออนไลน์

—————————————–

 

“ผู้โดยสารที่จะเดินทางไปหลวงพระบาง โดยสายการบินบลูสกาย แอร์เวย์ ไฟล์ท บีเค หนึ่งสองหก ขอเชิญขึ้นเครื่องได้แล้วค่ะ”

เสียงประกาศของเจ้าหน้าที่ภาคพื้นดินของสายการบิน เรียกให้ผู้โดยสารที่จะเดินทางไปหลวงพระบางเตรียมตัวขึ้นเครื่อง ดังขึ้นในนาทีที่แพรรภัสกำลังสาละวนอยู่กับการเก็บข้าวของลงในกระเป๋าสะพายผ้าแคนวาสสีน้ำตาลอ่อนของเธอ

‘นี่คงเป็นครั้งสุดท้ายที่เราจะได้ทำอะไรตามใจตัวเองแบบนี้…’ หญิงสาวคิดพลางลอบถอนใจเบาๆ ก่อนที่จะรีบเดินกึ่งวิ่งออกไปจากห้องรับรองของสายการบิน โดยไม่ทันสังเกตว่าตนได้ทำสิ่งของอย่างหนึ่งตกไว้

“คุณครับ…คุณ… ของตก…” ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ซึ่งนั่งอยู่ไม่ไกลจากตรงนั้น พยายามตะโกนเรียก หากหญิงสาวคงไม่ได้ยินเพราะวิ่งห่างออกไปไกล โดยไม่ได้หันกลับมามอง

‘สวย… แต่ดูเศร้าจัง’ เสกวสันต์หยิบสิ่งของที่หญิงสาวผู้นั้นทำตกไว้ และเก็บข้าวของสัมภาระของตน ก่อนที่จะรีบวิ่งตามไปอย่างรวดเร็ว หวังจะนำไปคืนให้เธอ

ชายหนุ่มลอบสังเกตตั้งแต่ตอนที่หญิงสาวเดินเข้ามายังห้องรับรองแห่งนี้แล้ว  ผู้หญิงรูปร่างระหง สูงโปร่ง แลดูบอบบาง ผิวพรรณผุดผ่องขาวสะอาด มีดวงตาสีดำขลับราวกับนิลเม็ดงาม และมีเส้นผมสีน้ำตาลอ่อนซึ่งถูกรัดเอาไว้อย่างหลวมๆ ที่ช่วยให้หล่อนแลดูอ่อนเยาว์ กะจากสายตาแล้วน่าจะอายุน้อยกว่าเขา คงจะราวๆ ๒๔ ถึง ๒๕ ปี เท่านั้น

ใบหน้าสวยได้รูปแต่งเอาไว้อย่างบางๆ นั้นแลดูอ่อนหวาน หากเต็มไปด้วยร่องรอยของความกลัดกลุ้ม คิ้วของหญิงสาวขมวดมุ่นเข้าหากันตลอดเวลา ส่วนตาของเธอนั้นก็เหม่อลอย ราวกับมีเรื่องที่ต้องคิด ติดค้างอยู่ในใจ ไม่ได้สนใจหนังสือในมือเลยแม้แต่นิด ที่สำคัญ…กำลังเดินทางไปหลวงพระบาง…คนเดียว

‘นี่ถ้าคิดไม่ผิด…คงจะอกหักแล้วกำลังเดินทางไปพักฟื้นหัวใจเพียงลำพัง’ เสกวสันต์คิดตามประสาคนที่ชอบวิเคราะห์ พลางก้มลงมองดูสิ่งของที่หญิงสาวคนนั้นทำตก เพียงเพื่อจะพบว่ามันคือหนังสือเล่มที่เธออ่านนั่นเอง

หนังสือเล่มหนามีภาพของดอกลีลาวดีหรือจำปาลาวสีขาวสะอาดเด่นหราอยู่กลางปก ด้านล่างนั้นเป็นภาพสิมหรือวิหารของวัดเชียงทอง

ชายหนุ่มถือวิสาสะเปิดเข้าไปดูภายใน แล้วก็พบกับลายมือหวัดๆ ที่เจ้าของหนังสือนั้นเขียนเป็นภาษาอังกฤษเอาไว้บนหน้าแรก  

Midnight P.

“ชื่อแปล๊กแปลก” เสกวสันต์หลุดปากออกมาตามประสาคนปากไว จากนั้นก็รีบก้าวต่ออย่างรวดเร็วเพื่อหวังจะตามเอาหนังสือไปคืนให้ แต่ใครกันจะคิดว่าผู้หญิงรูปร่างบอบบางคนนั้น จะเดินว่องไวเสียจนชายหนุ่มอย่างเขาตามไม่ทัน

 

‘เอ สี่, เอ ห้า, เอ หก… เอ เก้า แพรรภัสกวาดสายตาไปตามเลขที่นั่งซึ่งกำกับเอาไว้เหนือที่นั่ง ก่อนจะหย่อนร่างบอบบางของตนลงบนที่นั่งหมายเลข เอ สิบเก้า จากนั้นจึงนั่งหันไปมองทิวทัศน์นอกหน้าต่าง พลางคิดอะไรเพลินๆ

ความที่เป็นผู้หญิง หล่อนมีประสบการณ์ไม่ดีในการเดินทางไปไหนมาไหนคนเดียว แพรรภัสไม่ชอบเวลาที่รู้สึกว่าถูกจับจ้องจากผู้ชายแปลกหน้าที่มองมาอย่างมีจุดประสงค์ บางคนก็พยายามหาเรื่องชวนคุย หรือทำทุกวิถีทางให้หญิงสาวรู้ว่าเขากำลังสนใจ

“ทุกข์ของคนสวย… มีแต่คนสวยอย่างแกกับฉันเท่านั้นละที่จะเข้าใจ” นีรหรือนีรนาท เพื่อนสนิทของหล่อนเคยพูดเอาไว้ และแพรรภัสอดไม่ได้ที่จะอมยิ้มเมื่อนึกถึงถ้อยคำนั้น

ทว่าหล่อนไม่เคยคิดว่าตัวเองสวย ไม่สิ…อันที่จริงถ้าไม่ถ่อมตัวเสียจนเกินไป หล่อนก็จัดได้ว่าเป็นคนหน้าตาดีคนหนึ่ง เพียงแต่แพรรภัสไม่เคยรู้สึกว่าต้องพยายามที่จะสวย หรือใช้ความสวยเป็นใบเบิกทางในการทำอะไรก็ตามอย่างที่ผู้หญิงบางคนชอบทำ

“ขอโทษนะครับ คุณทำหนังสือตกเอาไว้” เสียงนุ่มทุ้มของชายหนุ่มคนหนึ่ง เรียกให้แพรรภัสกลับจากห้วงคำนึงสู่โลกปัจจุบัน ก่อนที่หญิงสาวจะหันไปเห็นหนังสือเล่มหนาของตัวเองที่อยู่ในมือเขา

“โอ้ย…ขอบคุณมากค่ะ ฉันนี่แย่จริงๆ ทำหนังสือตกไว้แล้วจนป่านนี้ก็ยังไม่รู้ตัว” แพรรภัสกล่าวขอบคุณด้วยน้ำเสียงที่ตื่นตกใจ หากยังฟังแล้วรู้สึกอ่อนหวานเป็นธรรมชาติ

“ด้วยความยินดีครับ ตอนแรกคิดว่าจะวิ่งตามคุณทันเสียอีก ไม่คิดว่าจะเดินเร็วขนาดนี้” ชายหนุ่มพูดไปยิ้มไปอย่างสดใส ก่อนจะเอ่ยต่อ

“ผมเห็นว่าเราน่าจะเดินทางไปหลวงพระบางเหมือนกัน เพราะคุณลุกออกจากห้องรับรองของสายการบินตอนที่เจ้าหน้าที่ประกาศเรียกขึ้นเครื่อง ผมเลยหยิบติดมือมาด้วย ไม่ได้นำไปฝากไว้กับเจ้าหน้าที่ เพราะคิดว่าเครื่องบินลำเล็กแบบนี้ คงไม่ยากที่จะเดินหาคุณ” เสกวสันต์เอ่ยต่ออย่างรวดเร็ว โดยไม่ทันสังเกตว่าตัวเองยืนขวางทางนักท่องเที่ยวฝรั่งที่ยืนอยู่ข้างหลัง

นักท่องเที่ยวต่างชาติสูงวัยสองคนเอ่ยขอทางเป็นภาษาอังกฤษ เป็นเหตุให้ชายหนุ่มและหญิงสาวต้องยุติการสนทนา ก่อนที่เสกวสันต์จะเบี่ยงตัวหลบให้พวกเขาเดินผ่านไปก่อน จากนั้นชายหนุ่มจึงหันมองตั๋วโดยสารที่อยู่ในมือของตน

“อ้าว บังเอิญจังครับ ผมนั่งติดกับคุณพอดี” ใบหน้าคร้ามคมแต่มีนัยน์ตาที่แฝงเอาไว้ด้วยความขี้เล่นเอ่ยขึ้น “งั้นขออนุญาตนะครับ”

หญิงสาวยิ้มรับแทนคำตอบ ก่อนจะแอบมองชายหนุ่มในขณะที่เขากำลังยกกระเป๋าใส่กล้องถ่ายรูปที่ถือติดตัวขึ้นมา ขึ้นเก็บไว้ยังช่องใส่สัมภาระเหนือศีรษะ

หล่อนพบว่าผู้ชายคนนี้ช่างดูดีเหลือเกิน หน้าตาเขาดูมีความสุข แววตาซุกซนและริมฝีปากบางใต้ไรหนวดจางๆ ที่คล้ายอมยิ้มตลอดเวลานั้น บ่งบอกว่าเขาเป็นคนอารมณ์ดี ไหนยังจะกลิ่นหอมๆ ที่โชยออกมาจากตัวของเขา ก็ทำให้หัวใจของหล่อนเต้นในจังหวะที่แปลกไปจากปกติ

‘ชายหนุ่มรูปหล่ออย่างเขาเดินทางคนเดียว ถ้าไม่ไปหาแฟนก็คงไปเที่ยวลำพังอย่างอิสระ ช่างน่าอิจฉาจริงๆ เพราะชีวิตของเขาคงมีแต่ความสุข แตกต่างกับชีวิตของเราอย่างสิ้นเชิง’  

สั่งซื้อ “นิยายรักไม่มีตอนจบ” ได้ที่นี่

ไม่นานหลังจากที่เสกวสันต์หย่อนร่างสูงใหญ่ลงนั่งข้างๆ หญิงสาวพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินก็เริ่มกล่าวต้อนรับผู้โดยสาร ก่อนที่จะพากันออกมายืนสาธิตการใช้อุปกรณ์ชูชีพตามแบบฉบับของเครื่องบินขนาดเล็ก ที่ไม่ได้มีเครื่องอำนวยความสะดวกอย่างจอโทรทัศน์เหมือนอย่างเครื่องบินทันสมัยลำใหญ่ เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งที่ทำให้ผู้โดยสารอดที่จะอมยิ้มด้วยความชื่นชมไม่ได้

เครื่องบินสองใบพัดลำเล็กของสายการบินบลูสกาย แอร์เวย์ ทะยานขึ้นฟ้าให้หลังเพียง ๑๐ นาที จากที่เสกวสันต์นั่งประจำที่ หาก ๑๐ นาทีแห่งความเงียบงันนี้ก็มากพอที่จะให้ชายหนุ่มและหญิงสาวตกอยู่ในห้วงความรู้สึกแปลกประหลาดที่ก่อตัวขึ้นในหัวใจ

จะเรียกว่าตกหลุมรักก็ยังไม่ใช่ เขินก็ไม่เชิง เรียกว่าประหม่าน่าจะตรงกับสถานการณ์นี้ที่สุด เพราะถึงแม้ต่างฝ่ายต่างเงียบเสียงไป หากใจของพวกเขากลับเต้นระรัวในจังหวะแปลกๆ เพราะคิดถึงแต่คนที่นั่งอยู่ด้านข้าง กังวลว่าแขนของตนจะยื่นไปโดนแขนของอีกฝ่ายหรือไม่ โดยที่ไม่มีใครกล้าที่จะหันไปมองหน้า สบตา หรือเริ่มต้นสนทนากัน 

เป็นความอึดอัดที่ให้ความรู้สึกวาบหวาม เป็นสถานการณ์ที่บีบคั้นแต่กลับรู้สึกรื่นรมย์ภายในใจ

เมื่อเวลาผ่านไปอีกสักพัก เสกวสันต์ซึ่งรวบรวมความกล้าและสะกดความประหม่าของตัวเองได้แล้ว จึงกล้าที่จะเหลือบมองไปยังหญิงสาว ชายหนุ่มพบว่าแค่ด้านข้างนั้นก็มากพอที่จะทำให้เขาเห็นรอยยิ้มจางๆ บนหน้าสวยได้รูปของหล่อน… แล้วเขาก็ต้องเผลอยิ้มตามโดยที่ตัวเองนั้นไม่อาจรู้ตัว

หลังจากที่เครื่องบินทะยานขึ้นสู่น่านฟ้าได้ไม่นาน พนักงานต้อนรับจึงเข็นรถเข็นที่เต็มไปด้วยอาหารซึ่งส่งกลิ่นหอมฉุยไปทั่วทั้งห้องโดยสารออกมาให้บริการ เมื่อผู้โดยสารรับประทานอาหารเสร็จ ก็ถึงคราวที่เหล่าพนักงานจะเตรียมเสิร์ฟเครื่องดื่ม

“รับชาหรือกาแฟดีคะ” พนักงานต้อนรับสาวในเครื่องแบบสีฟ้าน้ำทะเล ส่งเสียงถามด้วยท่าทางที่กระฉับกระเฉง

“ผมขอเป็นกาแฟร้อนครับ ส่วนคุณรับอะไรดีครับ…” ชายหนุ่มหันไปถามหญิงสาวด้านข้างอย่างลืมตัว

“ขอชาร้อนค่ะ… แพรวดื่มกาแฟไม่ได้น่ะค่ะ ดื่มทีไรปวดหัวทุกที” พอถูกถามโดยชายหนุ่มที่หล่อนกำลังนั่งนึกถึงเขา หญิงสาวก็เลยตอบออกมาอย่างลืมตัวเช่นกัน

การสนทนาของหนุ่มสาวทั้งสองคน เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติและเป็นไปอย่างเป็นธรรมชาติ ราวกับทั้งสองเป็นเพื่อน หรือคนที่รู้จักกันมาก่อน

“ผมว่าคุณคงไม่ถูกกับคาเฟอีนมั้งครับ เคยได้ยินมาเหมือนกันว่าบางคนดื่มกาแฟแล้วจะปวดหัว… ผมก็ไม่ถูกกับกาแฟครับ คนอื่นเขาดื่มแล้วตาสว่าง แต่ผมดื่มแล้วหลับทุกที” ชายหนุ่มพูดติดตลกพลางยื่นมือไปรับกาแฟของตัวเองจากพนักงานต้อนรับสาว และรับถ้วยชาแล้วส่งต่อให้หญิงสาวที่นั่งอยู่ทางซ้ายมือของเขา

จากนั้นเพียงไม่นาน ไม่ทันที่พวกเขาจะดื่มเครื่องดื่มในมือจนหมด ผู้ช่วยกัปตันก็ส่งเสียงประกาศผ่านลำโพงว่ากำลังจะนำผู้โดยสารบินผ่านพื้นที่ที่มีอากาศแปรปรวน และเครื่องบินอาจตกหลุมอากาศได้ ขอให้ทุกคนนั่งประจำที่ และรัดเข็มขัดนิรภัยให้เรียบร้อย

และทันทีที่เหล่าพนักงานบริการบนเครื่องบินรีบพากันเข้ามาเก็บแก้วเครื่องดื่มและขยะอื่นๆ จนเสร็จ เครื่องบินก็ตกหลุมอากาศอย่างที่นักบินประกาศแจ้งเอาไว้

แพรรภัสหน้าซีด มือของหล่อนกำพนักเท้าแขนเอาไว้เกร็งแน่น จนเสกวสันต์สังเกตเห็นได้

ชายหนุ่มหันไปปลอบหล่อนด้วยความเป็นห่วง “ไม่ต้องกลัวนะครับ เครื่องบินตกหลุมอากาศนิดหน่อย ไม่อันตรายหรอก”

“แพรวมีประสบการณ์ไม่ค่อยดีเกี่ยวกับเครื่องบินตั้งแต่เด็กน่ะค่ะ จนโตขนาดนี้ก็ยังจำฝังใจ” หญิงสาวหันไปตอบ พร้อมกับพบแววตาที่เต็มไปด้วยความห่วงใยของชายหนุ่มแปลกหน้ากำลังจ้องมองเธออยู่

“งั้นผมชวนคุณคุยดีกว่า คุณจะได้ลืมว่ากำลังกลัว” ชายหนุ่มพูดแล้วหัวเราะเบาๆ ก่อนจะเอ่ยต่อด้วยเสียงที่ทุ้มหากนุ่มนวลเป็นธรรมชาติ “งั้นเริ่มต้นจากการแนะนำตัวเองก่อนนะครับ ผมชื่อซัน ส่วนคุณน่าจะชื่อแพรวใช่ไหม ผมได้ยินคุณพูดเมื่อสักครู่”

“ใช่ค่ะ” หญิงสาวรับคำพลางอมยิ้มให้กับความช่างสังเกตของเขา

“คุณซันไปเที่ยวเหรอคะ หรือว่าไปทำงาน” คราวนี้เป็นหล่อนเองที่เป็นฝ่ายเริ่มต้นการสนทนา ผิดกับวิสัยปกติที่ไม่ค่อยชอบพูดคุยกับผู้ชายแปลกหน้าก่อนอย่างสิ้นเชิง

สำหรับเขาคนนี้ นอกจากความคุ้นเคยอย่างประหลาดแล้ว ก็อาจเป็นเพราะชายหนุ่มนั้นดูเป็นมิตร แววตาที่ฉายแววขี้เล่นซุกซนและรอยยิ้มที่สดใส ให้ความรู้สึกสว่างเจิดจ้าเหมือนกับชื่อซัน ที่หมายถึงดวงอาทิตย์ของเขา จึงทำให้หญิงสาวกล้าที่จะชวนเขาพูดคุยต่อ

“ไปเที่ยวครับ จริงๆ ผมเพิ่งเดินทางมาจากญี่ปุ่น มาถึงเมืองไทยเมื่อคืนนี้เอง แล้วก็เดินทางต่อมาหลวงพระบางเลย ข้าวของต่างๆ ผมยังทิ้งไว้ที่โรงแรมใกล้ๆ สนามบิน ยังไม่ได้กลับบ้านเลยครับเนี่ย” เสกวสันต์ตอบ

“โห ไม่เหนื่อยแย่เหรอคะ เดินทางมาตั้งไกลแล้วยังเดินทางต่ออีก” หญิงสาวพูดต่อเจื้อยแจ้วโดยไม่รอฟังคำตอบ “แพรวตั้งใจไปเที่ยวค่ะ พูดไปคุณซันก็คงจะขำหาว่าแพรวเพ้อเจ้อ แต่แพรวอ่านนิยายเล่มนี้ แล้วอยากไปเที่ยวตามที่คนเขียนเขาเขียนบรรยายฉากที่หลวงพระบางเอาไว้” หญิงสาวกล่าวพร้อมกับยิ้มอย่างเหนียมอาย พลางยกหนังสือเล่มที่อยู่ในมือแกว่งเบาๆ ไปมา

“ไม่เพ้อเจ้อหรอกครับ คนเราสามารถทำอะไรก็ได้ตามความฝันหรือความต้องการของตัวเอง หนังสือเล่มนี้คงจะสร้างแรงบันดาลใจ หรือให้มุมมองอะไรใหม่ๆ แก่คุณแพรว จนทำให้คุณตัดสินใจเดินทางมาเที่ยวตามรอยตามเส้นทางที่เขียนเอาไว้ในนี้” เสกวสันต์ละสายตาจากหนังสือก่อนที่จะหันมาสบตากับหญิงสาวที่นั่งอยู่ข้างเขา

ชั่วขณะหนึ่ง เขาเห็นแววตาที่กำลังดูสดใสร่าเริงของหญิงสาวฉายแววหม่นเศร้า ก่อนที่จะเปลี่ยนกลับมาดูเป็นปกติอีกครั้งในทันที

“คิดได้แบบคุณซันก็ดีนะคะ แพรวอยากคิดได้แบบนี้บ้าง… แต่สำหรับบางคน การทำตามความฝันหรือทำตามใจตัวเองกลับกลายเป็นเรื่องที่ยากที่สุด” หญิงสาวกล่าวเสียงแผ่วคล้ายกับว่าประโยคหลังนั้นหมายถึงตัวเอง และเธอเองไม่อยากจะได้ยินมัน

การสนทนาของชายหนุ่มและหญิงสาวถูกตัดบทด้วยเสียงประกาศของผู้ช่วยนักบิน ว่าเขาได้พาผู้โดยสารบินผ่านพ้นพื้นที่ที่มีอากาศแปรปรวนแล้ว  การสนทนาของเสกวสันต์และแพรรภัสเลยเปลี่ยนหัวข้อเป็นเรื่องสัพเพเหระ จนกระทั่งล้อของเครื่องบินแตะลงที่ท่าอากาศยานหลวงพระบาง สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว

ขณะที่กำลังนั่งรอลงจากเครื่อง แพรรภัสก็เพิ่งรู้สึกตัวขึ้นมาในนาทีนั้น ว่าอาการกลัวการนั่งเครื่องบินนั้นทำอะไรตนไม่ได้เลยแม้สักนิด ต้องขอบคุณผู้ชายแปลกหน้าที่นั่งอยู่ข้างหล่อนคนนี้จริงๆ เชียว

 

“สะบายดีคุณแพรว เอาไว้คงมีโอกาสได้พบกันอีกนะครับ” เสกวสันต์เอ่ยขึ้นเมื่อทั้งสองเดินออกจากอาคารผู้โดยสาร เพื่อมายืนรอรถที่ทางโรงแรมของตนส่งมารับ

“ที่นี่เป็นเมืองเล็กๆ แต่มีเสน่ห์มาก ผมเคยมาแล้วหนหนึ่งเมื่อห้าหกปีก่อน แล้วก็…เอ่อ…ตกหลุมรักทันทีตั้งแต่แรกพบ” ชายหนุ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงเป็นมิตร โดยที่ประโยคหลังสุด เขาเอ่ยออกไปอย่างที่ไม่แน่ใจว่าตัวเองกำลังหมายถึงเมืองหลวงพระบาง หรือหญิงสาวที่ยืนอยู่ตรงหน้ากันแน่

อันที่จริง เสกวสันต์อยากจะขอเบอร์โทรศัพท์มือถือ เฟซบุ๊ก อินสตาแกรมหรือช่องทางใดก็ตามที่สามารถติดต่อหญิงสาวได้อีกในอนาคต แต่แล้วก็ตัดสินใจว่าไม่ดีกว่า เพราะรู้ดีว่าความสัมพันธ์ของเขาและหล่อนคงไม่สามารถไปได้ไกลถึงไหน

เพราะอีกไม่นานเขาก็ต้องกลับไปเมืองไทย ไปรับภาระที่เกิดจากคำมั่นสัญญาของคนรุ่นพ่อที่เขาไม่เห็นด้วยเลยสักนิด นั่นก็คือการเข้าพิธีหมั้นกับหญิงสาวที่เขาไม่รู้จัก ซึ่งเป็นลูกสาวของคุณอาพิพิธ ผู้เป็นเพื่อนสนิทของบิดา

ชายหนุ่มเป็นคนหัวสมัยใหม่ ไม่เห็นด้วยกับการคลุมถุงชน แต่เขาก็รักพ่อและเป็นสุภาพบุรุษมากเกินกว่าจะปล่อยให้พ่อกลายเป็นคนผิดสัญญา เมื่อคิดถึงตรงนี้ ชายหนุ่มก็คิดถึงคำที่พ่อเคยบอก

‘ไม่รักไม่ชอบ เดี๋ยวแต่งกันไปก็รักก็ชอบกันเองละซันนี่’ พ่อมักจะเรียกเขาด้วยชื่อเล่นแบบเต็มยศว่า ‘ซันนี่’ ตามชื่อที่แม่ตั้งให้ หากชายหนุ่มชอบที่จะให้คนเรียกเขาว่า ‘ซัน’ เฉยๆ มากกว่า

ในวันนั้นที่พ่อโทรศัพท์ข้ามประเทศจากประเทศไทยไปหาเขาที่นิวยอร์ก เพื่อบอกให้เขาทราบว่าจะต้องแต่งงานกับผู้หญิงแปลกหน้าที่พ่อไปให้คำมั่นสัญญากับเพื่อนรักเอาไว้ พ่อพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังกว่าทุกครั้ง

‘อีกอย่างลูกสาวของลุงพิพิธเพื่อนพ่อก็ไม่ได้หน้าตาขี้ริ้วขี้เหร่ ตอนเด็กๆ แกก็เคยเจอเขาสามหรือสี่หน เดี๋ยวแกเห็นเข้าก็ชอบเองละ ถึงเวลาที่แกต้องตอบแทนความใจดีของพ่อแล้วนะซันนี่ หวังว่าจะยังจำสัญญาลูกผู้ชายที่แกให้ไว้ ว่าจะขออิสระห้าปีทำตามความฝันที่นิวยอร์ก แล้วจะกลับมารับผิดชอบทุกอย่างที่อยู่ในมือพ่อไป’

‘นอกเหนือจากงานที่บริษัทของเรา…’ พ่อของเขาเว้นจังหวะราวกับต้องการเน้นให้เขาเห็นถึงความสำคัญของประโยคถัดไป ‘…เรื่องแต่งงานนี่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งในความรับผิดชอบ…ที่พ่ออยากให้แกรับมันไว้’

บิดาของเขากล่าวปิดท้ายโดยไม่ฟังเสียงทัดทานคัดค้านของชายหนุ่มเลยสักนิด แต่ทั้งหมดนี้ก็มากพอที่จะเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาตัดสินใจเก็บข้าวของ แล้วเดินทางกลับสู่บ้านเกิดเมืองนอนของตัวเองตามเวลาที่ได้ตกลงกันไว้ กลับมาในฐานะลูกชายผู้รับผิดชอบต่อคำมั่นที่ได้สัญญาเอาไว้กับบิดาของตน

“สบายดีค่ะคุณซัน เอาไว้มีโอกาสคงได้พบกันอีกนะคะ” เสียงหวานๆ ของแพรรภัสดึงเขาออกมาจากห้วงคำนึง ก่อนที่หญิงสาวรูปร่างโปร่งระหงจะเดินตามพนักงานของโรงแรมที่ยืนรออยู่พร้อมกับกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ ไปขึ้นรถตู้ที่จอดเทียบที่ลานจอดรถ

“ครับคุณแพรว” ชายหนุ่มตอบได้เพียงคำสั้นๆ คำนั้น ด้วยเสียงที่แผ่วเบาและความรู้สึกโหวงเหวงที่ก่อตัวขึ้นข้างในอกข้างซ้าย



Don`t copy text!