กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว : บทส่งท้าย
โดย : ชีวาพร
กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว โดย ชีวาพร เรื่องราวของสองพี่น้องที่ชีวิตแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน คนหนึ่งใบหน้างดงามโดดเด่นเป็นที่ปรารถนาของผู้คน อีกคนใบหน้าสามัญและยังมีชะตากาลกิณีติดตัวมาตั้งแต่เกิด ชีวิตของทั้งคู่จะดำเนินไปในทิศทางใด อ่านเรื่องราวของพวกเธอได้ในเว็บไซต์อ่านเอา anowl.co และเพจ anowldotco
เมื่อครบกำหนดแก้วก็คลอดบุตรชายหน้าละม้ายคล้ายตน เนื้อตัวจ้ำม่ำ ผิวขาวนุ่มจนคนเป็นย่าหลงใหลอุ้มมิวางมือ ผู้คนมากหน้าทยอยขึ้นมาเยี่ยมและทักทายเด็กน้อย และหนึ่งในนั้นก็คือ
“พี่ผกากรอง”
“กูมาเพราะคุณพระท่านให้มา หาไม่ชาตินี้กูก็คงไม่มาเหยียบเรือนมึงให้เป็นเสนียดตัว”
แก้วได้ยินคำดูแคลนของพี่สาวก็สงบนิ่งไม่ได้โต้ตอบอันใด สายตามองเรือนร่างและใบหน้าที่ยังงดงามมิสร่างซาของอีกฝ่ายแล้วชื่นชมอยู่ในใจ ผิวขาวเนียนตัดกับผ้าแถบสีแดงสด แลโดดเด่นด้วยเครื่องประดับทองคำหลายชิ้น
“นี่ ของรับขวัญ”
ผกากรองโยนกำไลข้อเท้าแลข้อมือที่ทำจากทองแท้ไว้บนฟูกข้างตัวทารกน้อย ในใจเกิดความริษยาแก้วอยู่ในที ด้วยเธออยู่กินกับพระธรรมการบดีมาร่วมปีแต่ก็ยังมิตั้งครรภ์เสียที หลายครั้งจึงถูกบรรดาเมียทาสคนอื่นเย้ยหยัน หากจะบอกว่าเป็นเพราะพระธรรมการบดีนั้นอายุมากแล้ว แต่ตนก็ลักลอบมีสัมพันธ์กับทวนอยู่บ่อยครั้ง เหตุใดเด็กจึงยังมิมาเกิดกัน
“ขอบน้ำใจพี่นัก”
“มิต้องขอบใจกูกระไรมากมาย ก็แค่เศษทองในหีบ ที่กูให้ช่างไปหลอมมาให้”
“อย่างไรก็เป็นของขวัญจากป้า ภายหน้าเมื่อพ่อจอมรู้ความฉันจะให้ไปกราบขอบคุณพี่นะจ๊ะ”
“อืม…กูกลับละ อุดอู้นัก”
ผกากรองบอกลาแล้วจากไปในทันที แก้วมองตามพี่สาวด้วยสายตาอาวรณ์ ตั้งแต่เมื่อใดกันที่เธอกับพี่สาวห่างเหินกันเช่นนี้ ทว่ายามที่ผกากรองก้าวเท้าออกจากหอนอนของแก้ว ดวงตากลมก็พลันเบิกกว้าง แสงแดดจากหน้าเรือนฉายสะท้อนจนมองละม้ายคล้ายหัวของผกากรองได้หลุดหายไป
“พี่ผกากรอง!”
เสียงตื่นตระหนกของแก้วสร้างความตกใจให้กับคนในเรือนจนหันมามองเธอเป็นตาเดียวกัน ไม่เว้นแม้แต่ตัวผกากรองเองที่ถึงกับหยุดเท้าหันกลับมาหาน้องสาวด้วยสายตาขุ่นเคือง
“เรียกเสียกูตกอกตกใจ มีกระไร”
“คือ…คืนนี้นอนค้างกับฉันได้หรือไม่”
แก้วมิรู้จะหาเหตุผลกลใดมารั้งคน จึงทำได้เพียงร้องขออ้อนวอน ทว่าผกากรองกลับตวาดเสียงก้องอย่างมิพอใจตอบกลับ
“มึงจักให้กูนอนที่เรือนแคบๆ เหม็นๆ นี่น่ะรึ มึงลืมไปแล้วหรือไรว่ากูเป็นใคร”
แก้วเม้มริมฝีปากบาง มองผกากรองที่ก้าวลงเรือนจากไปด้วยใจที่กังวล จนนางสายอดที่จะเข้ามาถามความไม่ได้
“มีกระไรรึแม่แก้ว”
“แม่จ๋า ฉัน…ฉันเห็น…พี่ผกากรองไม่มีหัวจ้ะ”
“ตาเถร! ไอ้สินมึงเร่งเอาหวดข้าวไปคลุมหัวแม่ผกากรองเร็วเข้า”
“จ้ะน้า”
สินวิ่งลงไปที่ครัวล่างหยิบหวดข้าววิ่งไปหาผกากรอง ทว่าอีกฝ่ายเห็นท่าทางของสินก็ไม่พอใจยกมือขึ้นป้องปัดพร้อมแผดเสียงต่อว่า
“ไอ้สิน มึงจักทำกระไรกู”
“แม่ผกากรองอย่าเพิ่งพูดมาก มาให้ฉันต่อหัวให้ก่อน”
ด้วยความกังวลสินไม่ได้ใส่ใจคำพูดของผกากรอง แต่ยังคงพยายามจะใช้หวดข้าวต่อหัวให้อีกฝ่ายตามความเชื่อแต่โบราณมา ทว่าผกากรองกลับคิดว่าเขาดูหมิ่นตน ไม่เพียงปัดป้องยังออกแรงผลักจนสินล้มลงไปกองกับพื้น
“หากมึงกล้าแตะต้องตัวกูอีก กูจะให้คุณพระเอาความให้หนัก”
เอื้องเห็นผัวถูกผู้อื่นชี้หน้าด่าก็วิ่งเข้ามาจับแขนเขาเอาไว้ ผกากรองตวัดแววตาขุ่นเคืองใส่คนทั้งสองก่อนจะก้าวขาลงเรือไป
“แม่เอื้องมาห้ามพี่ทำไมกัน มิได้ยินที่แม่แก้วบอกรึ”
“ได้ยิน แต่คนถึงฆาตให้พยายามเยี่ยงไรก็คงมิอาจช่วยได้”
ผกากรองขึ้นเรือมาด้วยอารมณ์หงุดหงิดใจ พลางยกมือขึ้นจัดเส้นผมที่หลุดลุ่ยให้เข้าที่
“เป็นกระไรไปรึแม่ผกากรอง”
“ก็ไอ้สินหลานอีสายน่ะสิ อยู่ดีๆ ก็จะเอาหวดนึ่งข้าวมาครอบหัวฉัน พิกลนัก”
“เอาเถิดอย่าหงุดหงิดไปเลย ประเดี๋ยวก่อนกลับเรือนข้าจะช่วยทำให้คลายอารมณ์”
ทวนได้ยินคำของผกากรองก็เอ่ยเย้าส่งสายตาเล้าโลมอย่างโจ่งแจ้ง ผกากรองหน้าร้อนผ่าวขนกายสาวลุกชันขึ้นมาในทันที
“เยี่ยงนั้นก็เร่งฝีพายให้ไวหน่อย วันนี้คุณพระมิมีราชการ น่าจะกลับเรือนเร็วกว่าปกติ”
ทวนเห็นหญิงสาวตรงหน้ามีท่าทีตอบรับก็ขยับจ้วงฝีพายสุดกำลัง หากแต่พายมาได้เพียงหนึ่งคุ้งน้ำ เรือก็โคลงเคลงไปมาอย่างผิดวิสัย
“มีกระไรรึไอ้ทวน เหตุใดเรือจึงโคลงเยี่ยงนี้”
“ข้าก็มิรู้ สงสัยจักมีน้ำวนเอ็งนั่งดีๆ”
“ว้าย!”
ผกากรองกรีดร้องเมื่อเรือคล้ายมีใครบางคนจับยึดที่กราบแลหมายพลิกให้คว่ำ ทว่ายามที่เรือกำลังจะเสียสมดุลแลพลิกคว่ำตามแรง ที่อีกฟากของกราบเรือก็มีมือหนึ่งมาจับยึดเอาไว้
“อาตมาขอบิณฑบาต อย่าสร้างเวรต่อกันเลย”
สิ้นคำเงาดำไร้รูปร่างของหญิงนางหนึ่งก็ยอมคลายมือออก เรือที่โคลงเคลงก็พลันสงบนิ่งอย่างน่าอัศจรรย์ ผกากรองมองไปยังเจ้าของมือหนาที่ยื่นมาประคองเรือ ดวงตาเรียวก็พลันเบิกกว้าง
“พี่ก้อน! เอ่อ…พระก้อน”
“เจริญพร โยมผกากรอง”
ริมฝีปากสีแดงสดยกยิ้มมองชายหนุ่มที่เคยแนบชิดในวันวาน แม้จะอยู่ภายใต้ผ้าเหลืองทว่ารัศมีเชิญชวนก็มิต่างจากวันวาน จะว่าไปแล้วเธอลิ้มรสรักชายมามาก แต่ที่ตรึงใจมิรู้ลืมเห็นจะมีแต่ชายตรงหน้าเท่านั้น
พระก้อนมองสายตาที่ส่งมาอย่างยั่วยวนของหญิงสาวแล้วถอนหายใจยาว หลุบตาลงต่ำเอ่ยเสียงทุ้มละมุนอย่างผู้ทรงศีล
“อาตมาเพียงมาเตือน บุญเก่าของโยมหมดแล้ว หยุดสร้างบาปแลสร้างบุญใหม่เสริมบารมีเถิด”
“เยี่ยงนั้นวันพุก อิฉันนิมนต์หลวงพี่ไปฉันเพลที่เรือนได้หรือไม่เจ้าคะ”
“ได้ วันพรุ่งอาตมาจักไปที่เรือนโยม”
พระก้อนเอ่ยรับกิจนิมนต์แล้วก็ส่งสัญญาณให้บ่าวพายเรือจ้วงฝีพายไปยังเบื้องหน้า โดยไม่แม้แต่จะหันหลังกลับมามองคนเบื้องหลัง
ผกากรองมองตามหลังคนที่จากไปแล้วให้หวนคำนึงถึงเรื่องในวันวานจนทวนอดที่จะแค่นเสียงในลำคอมิได้
“เป็นกระไรไปไอ้ทวน”
“หวงได้หรือไม่”
“จะหวงไปไย ข้าได้ยินว่าหนึ่งหญิงสองชายนั้นสุขสมนักมิใคร่ลองรึ”
ทวนมองผกากรอง ก่อนจะมองตามเรือของพระภิกษุสงฆ์ที่ผ่านไป ในแววตาก็เกิดคลื่นอารมณ์เด่นชัดจนลำคอแห้งผาก
“หากเอ็งไหวข้าก็มิขัด”
“ให้สามคนข้าก็ไหว เอ็งก็รู้ดีมิใช่รึ”
มุมปากของชายหนุ่มยกขึ้น เรื่องอารมณ์รักที่เร่าร้อนดุดันมิรู้จักพอของผกากรองนั้นเขารู้ดีกว่าผู้ใด เรียกได้ว่าหญิงเยี่ยงผกากรองเกิดมาเพื่อสนองกามารมณ์ของชายโดยแท้จริง
“ประเดี๋ยวมึงเทียบท่าที่ตลาด กูจักซื้อของไปให้คนครัวทำสำรับเลี้ยงพระวันพรุ่ง”
“จะเลี้ยงไปไย ประเดี๋ยวก็ถูกเอ็งทำอาบัติจนต้องสึกแล้ว”
คำหยอกล้อของทวนเรียกรอยยิ้มให้ผกากรองจนเต็มวงหน้า ทว่าสุดท้ายก็เทียบท่าขึ้นฝั่งที่ตลาด เพียงแต่ขึ้นฝั่งยังมิทันซื้อของผกากรองก็ถูกหญิงนางหนึ่งมาขวางทางไว้
“น้าชบา!”
“เอ่อ…ผกากรองช่วงนี้กูลำบากนัก มึงพอจะมี…”
“วันนี้ฉันไม่มีอารมณ์ทำทาน หลีก!”
ผกากรองเชิดหน้าเอ่ยบอกก่อนจะเดินหลบเลี่ยง แม้อีกฝ่ายจะเป็นน้า ทว่าครั้งหนึ่งก็เคยขายตนไปเป็นทาสแลยึดเอาทรัพย์ของเธอไปจนหมด ดังนั้นในใจของผกากรองจึงแค้นเคืองอีกฝ่ายอยู่ไม่น้อย
“อีผกากรอง อีคนอกตัญญู กูเลี้ยงมึงมาจนโตลืมแล้วหรือไร”
ชบาตวาดก้องอย่างไม่อาย เพลานี้เธออับจนหนทาง ด้วยถูกโชคขโมยทรัพย์สินของมีค่าไปจนสิ้นเนื้อประดาตัว จำต้องขายเทือกสวนแลเรือนนอน ทว่ามีเงินใช้กินใช้อยู่ไม่นานก็หมด เมื่อได้ยินว่าผกากรองได้ดิบได้ดีจึงหาโอกาสมาขอเบี้ยอัฐค่าข้าวแดงที่เลี้ยงดู
“ฉันย่อมมิลืมว่าน้าเลี้ยงฉันมาอย่างไร ยิ่งมิเคยลืมว่าน้าขายฉันเพื่อแลกกับเงินสิบบาท”
ชบาได้ยินคำของผกากรองก็แค้นเคืองใจ หากแต่ตอนนี้เธอไม่มีที่พึ่งอื่นจำต้องฝืนยิ้มเดินมาจับมือขาว ด้วยท่าทางสนิทสนม
“อย่ามาแตะตัวกูนะ”
ผกากรองสะบัดมือออกอย่างรังเกียจ สร้อยข้อมือเส้นเล็กที่ข้อแขนพลันขาดหลุดติดอยู่ในอุ้งมือของอีกฝ่าย ชบาพลันเบิกตากว้างมองสร้อยข้อมือเส้นเล็กด้วยอาการสั่นเทา ผกากรองเห็นท่าทีของคนเป็นน้าแล้วยกยิ้มเย้ยหยัน เอาผ้าเช็ดหน้าที่เอวออกมาเช็ดมืออย่างเดียดฉันท์ เอ่ยเสียงดูแคลน
“ดูท่าน้าคงมิเคยจับทองมานานนม เยี่ยงนั้นถือว่าฉันทำทานให้ก็แล้วกัน”
กล่าวจบผกากรองก็เดินผ่านคนไปอย่างไม่แยแสต่อหยาดน้ำตาที่ร่วงรินอาบแก้มของชบา หากแต่ก้าวเดินได้มิไกลแรงกระชากผมจากด้านหลังก็ทำเอาผกากรองเสียหลักเกือบหงายหลัง
“อีผกากรอง อีชั่ว มึงให้ไอ้โชคมาขโมยของของกูใช่หรือไม่”
ชบาป่าวร้องลั่นตลาด ทว่าคนเยี่ยงผกากรองหรือจะยอมรับโดยง่าย ยามที่ตั้งหลักได้ก็หมุนตัวตวัดแขนดึงทึ้งผมอีกฝ่ายกลับ แน่นอนว่าแรงหญิงสาวย่อมมากกว่าหญิงชรา พริบตาชบาก็ถูกหลานสาวตบจนล้มลง ผกากรองยกมือขึ้นชี้หน้าด่าทอกลับอย่างไม่อายคน
“มึงกล้าใส่ร้ายกู กูจักให้คุณพระท่านเอาความให้ถึงที่สุด ไอ้ทวนมาจับมันส่งให้กองโปลิศ”
เมื่อได้ยินว่าผกากรองจะเอาความ อีกทั้งยังจะจับส่งให้กองโปลิศคอนสเตเบิล ชบาก็คล้ายคนสติหลุดหายลุกขึ้นจะวิ่งหนี แต่มีหรือผกากรองจะยอมปล่อยเธอไปโดยง่าย
“อีชบา มึงจะหนีรึ”
ผกากรองเข้าไปขวางทาง แต่ชบาที่หวาดกลัวอย่างที่สุดกลับออกแรงผลักสุดกำลัง จนคนขวางทางเสียหลักพลัดตกน้ำ
ตู้ม! ร่างของผกากรองตกลงกลางสายน้ำ แต่เพราะว่ายน้ำได้เธอจึงพยายามขยับแขนขาแหวกว่ายขึ้นฝั่งด้วยความแค้นใจ เพียงแต่จังหวะที่แหวกว่ายขาข้างหนึ่งก็คล้ายจะติดอยู่กับบางสิ่ง เมื่อก้มลงมองผ่านสายน้ำก็พบว่าเป็นภาพเลือนรางที่คุ้นตา
อีเย็น!
ในใจพลันเกิดความหวาดกลัวจนหัวใจแทบหยุดเต้น รีบขยับเท้าอีกข้างถีบตัวก็ถูกแรงบางอย่างฉุดรั้งไว้เช่นกัน ดวงตาของผกากรองเบิกถลนเมื่อสิ่งที่ยึดเท้าอีกข้างของเธอไว้ก็คือมือของอวบมารดาของคุณเงิน ลมหายใจของผกากรองพลันติดขัด ภาพวันที่ตนเอาหมอนกดลงบนใบหน้าของเย็นและอวบผุดขึ้นมาในห้วงความคิด ความทุกข์ทรมาน และดิ้นรนจนขาดใจของคนทั้งคู่เป็นเช่นไรวันนี้ผกากรองได้รู้ซึ้งแล้ว หยาดน้ำตาแห่งความตื่นกลัวไหลลงอาบแก้มปะปนไปกับสายน้ำ หากแต่เมื่อมองเห็นเงาร่างของทวนที่แหวกว่ายลงมาช่วยตนก็ดีใจรีบยื่นมือไปไขว่คว้า ส่งเสียงร้องเรียกดังก้องอยู่ในลำคอ
“ทวนช่วยข้าด้วย!”
ในจังหวะที่ปลายนิ้วจวนจะสัมผัสกับฝ่ามือหนาของทวน ลำคอของผกากรองก็ถูกวงแขนหนึ่งรัดจนใบหน้าของเธอเขียวคล้ำสำลักน้ำชุดใหญ่
ผกากรอง เอ็งกลับมาแล้ว กลับมาหาข้าแล้ว
เสียงสุดท้ายของคุณเงินดังก้องในความคิดอีกครั้ง ภาพวันที่เธอใช้ผ้ารัดคอคุณเงินจนเขาสิ้นลมก่อนจะจับผูกแขวนกับขื่อเรือนสะท้อนขึ้นในห้วงความทรงจำ
เวลานี้ไม่เพียงภาพเงาของทวนที่จางหายไกลออกไป เบื้องหน้ายังถูกแทนที่ด้วยใบหน้าเขียวคล้ำของโชค เฉกเช่นวันที่เธอล่อลวงเขาดื่มเหล้าพิษก่อนกลบฝังเอาไว้ใต้ดิน
ผกากรองดิ้นรนจากความตายตรงหน้าสุดชีวิต ในใจทั้งร้องขอและอ้อนวอนด้วยความหวาดกลัว ความรู้สึกของเธอตอนนี้ก็คงคล้ายกับคนเหล่านั้นที่เคยถูกเธอฆ่าตาย
อีผกากรอง มึงอาจมากวาสนาจนผู้ใดเอาความมึงมิได้ แต่เวรกรรมย่อมเอาความมึงได้
เสียงของคุณพริ้มดังก้องผืนน้ำเข้ามาในห้วงจิตสุดท้ายของผกากรอง ร่างกายที่ดิ้นรนค่อยๆ หมดแรง ลมหายใจค่อยๆ ขาดหาย ความทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัสทำให้ดวงตาที่เคยเย้ายวนผู้ชายทุกคนเบิกกว้างถลนออกจากเบ้า ลิ้นเล็กช่างเจรจาหยอกเย้าอ้อนบุรุษจุกแน่นคับอุ้งปาก ใบหน้านวลเนียนสะกดตาผู้คนเขียวคล้ำชวนให้สยดสยอง ไม่เหลือเค้าความงามที่ตรึงใจผู้คนอีกต่อไป
วันต่อมาเรือของพระก้อนก็หยุดเทียบท่าที่หน้าเรือนพระธรรมการบดี ทวนบ่าวชายที่จำอีกฝ่ายได้จึงเข้ามาเอ่ยบอก
“เมื่อวานแม่ผกากรองตกน้ำ วันนี้จึงมิอาจเลี้ยงเพลได้ขอรับ ต้องขออภัยด้วย”
“อาตมามิได้มาเพื่อฉันเพล แต่มา…”
ดวงตาของพระก้อนมองไปยังเงาไร้ร่างที่โชกชุ่มไปด้วยน้ำ ใบหน้าที่เคยงดงามในอดีตบิดเบี้ยวอัปลักษณ์ชวนให้หวาดกลัว หากแต่ผู้ที่มีใจมั่นในพระธรรมเยี่ยงพระก้อนกลับมิหวั่นเกรงเอ่ยเสียงทุ้มละมุนดุจแสงอรุณ
“เมื่อวานโยมเอ่ยนิมนต์อาตมานั่นนับเป็นวาสนาสร้างบุญครั้งสุดท้าย เช่นนั้นก็จงตั้งจิตให้มั่นรับส่วนบุญเสียนะโยมผกากรอง กรรมหนักจักได้เบาลงบ้าง”
สิ้นคำกล่าวพระก้อนก็ท่องบทสวดแผ่เมตตา เงาร่างที่อัปลักษณ์ผิดรูปค่อยๆ ก้มลงกราบ หยาดโลหิตไหลออกจากดวงตาที่เบิกถลน ทว่าเพราะบาปกรรมที่ก่อนั้นหนักหนานัก แม้จะได้รับส่วนบุญช่วยผ่อนปรนแต่ก็มิอาจลบล้างกรรมหนักที่ก่อขึ้น ดวงวิญญาณของผกากรองจึงค่อยๆ เลือนหายวนเข้าสู่ห้วงอเวจีเพื่อชดใช้เวรกรรมที่ตนเองก่อ
“พวกโยมเองก็เช่นกัน อย่าได้ผูกใจพยาบาทสร้างเวรผูกกรรมต่อกันอีกเลย”
เงาร่างไร้รูปทั้งสี่ก้มลงกราบ ดวงตาของสมณเพศจดจ้องไปที่วิญญาณหญิงนางหนึ่งผู้เคยผูกใจมั่นต่อตนแล้วเอ่ยเสียงสั่น
“ไร้วาสนาไร้ห่วงกรรมจึงมิอาจร่วมครองเรือน ต่อไปอาตมาจะตั้งมั่นสร้างบุญส่งไปให้หนาโยมเย็น”
เงาร่างที่รางเลือนค่อยๆ เด่นชัด ผลบุญที่พระก้อนหมั่นเพียรภาวนาอย่างตั้งมั่นมาร่วมสองปีค่อยๆ โอบล้อมใบหน้าของเย็น แม้อาบไปด้วยน้ำตาทว่ากลับเปล่งปลั่งเด่นชัด สองมือยกขึ้นพนมค่อยๆ โน้มตัวลงกราบเบื้องเท้าของพระก้อน ก่อนจะเลือนหายไปเช่นดวงจิตก่อนหน้า
“อิทัง เม ญาตินัง โหนตุ สุขิตา โหนตุ ญาตะโย ขอบุญนี้จงสำเร็จแก่ญาติทั้งหลายของข้าพเจ้า ขอญาติทั้งหลายของข้าพเจ้าจงมีความสุขด้วยเถิด”
หยาดน้ำที่ไหลผ่านใบไม้ลงผ่านธรณีสู่ห้วงอเวจีช่วยผ่อนปรนเปลวโลกันตร์ที่แผดเผาดวงจิตของผกากรองให้เบาบางลง หากแต่เพียงชั่วครู่ก็ลุกโหมขึ้นมาอีกครา หยาดน้ำตาของผกากรองไหลรินด้วยความทุกข์ทรมาน หวนคิดถึงเจ้าของเสียงบทสวดแผ่เมตตาที่ตนได้ยินอยู่เป็นนิจ
“แม่แก้ว พี่ผิดไปแล้ว อโหสิกรรมแก่พี่ด้วย”
เสียงสะอื้นไหวแผ่วเบาลอยมากับสายลม ขนแขนของแก้วลุกชันในอกเต็มตื้นจนต้องวางมือทาบทับ
“แม่นายแก้วเป็นกระไรไปหรือเจ้าคะ”
เนียน หญิงสาวที่ขายตัวเป็นทาสเพื่อเอาเงินไปรักษามารดาเอ่ยถามแม่นายของตนด้วยความห่วงใย
“มิเป็นไรจ้ะ”
แม้จะเอ่ยตอบไปเยี่ยงนั้นแต่ความรู้สึกที่สัมผัสได้เมื่อครู่ แก้วมั่นใจว่าเป็นความรู้สึกที่ผกากรองส่งผ่านมายังตนเป็นแน่แท้
“กรรมใดใครก่อ ผู้นั้นย่อมต้องชดใช้ โยมอย่าได้กังวลใจไปเลย”
พระก้อนที่เพลานี้ถือสมณเพศมาร่วมสิบพรรษาแล้วเอ่ยพลางเดินออกมาจากพระอุโบสถ ปราบที่เดินตามออกมาพร้อมกันเร่งเข้ามาประคองเมียรัก เมื่อเห็นว่าสีหน้าของอีกฝ่ายมิสู้ดีนัก
“มิมีหนทางผ่อนหนักเป็นเบาเลยหรือเจ้าคะ”
“ยามสิ้นเวรสิ้นกรรม ก็จักจบสิ้นเอง”
กล่าวจบพระก้อนก็เดินจากไป แก้วยกมือขึ้นพนมไหว้แล้วถอนหายใจยาว
“แม่แก้วอย่ากังวลใจไปเลย หาไม่ลูกในท้องจักพานทุกข์ใจไปด้วย”
มือหนาวางลงบนหน้าท้องที่เริ่มนูนขึ้นเป็นรอบที่ห้าแล้วกระซิบบอกอย่างห่วงใย แก้วหันไปพยักหน้ารับคำพร้อมกับลุกขึ้นเดินกลับเรือน เนียนมองตามแผ่นหลังผู้เป็นนายทั้งสองแล้วยิ้มกว้าง
ชีวิตคนเรานั้นเลือกเกิดมิได้ บางครั้งแม้แต่ทางเดินก็เลือกมิได้ แต่เลือกที่จะคิดดีปฏิบัติดีได้ เช่นแม่นายแก้วแลแม่หญิงผกากรองผู้เลื่องชื่อ
– จบบริบูรณ์ –
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว : บทส่งท้าย
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 15 : สิ้นรักไร้สวาท (2)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 15 : สิ้นรักไร้สวาท (1)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 14 : ทำหน้าที่เมีย (2)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 14 : ทำหน้าที่เมีย (1)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 13 : เล่ห์มารยา (2)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 13 : เล่ห์มารยา (1)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 12 : มีเงินท่วมหัว มิเท่ามีผัวพระยา (2)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 12 : มีเงินท่วมหัว มิเท่ามีผัวพระยา (1)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 11 : ยวนสวาท (3)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 11 : ยวนสวาท (2)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 11 : ยวนสวาท (1)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 10 : ยั่วราคะ (2)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 10 : ยั่วราคะ (1)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 9 : เปื้อนราคี (3)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 9 : เปื้อนราคี (2)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 9 : เปื้อนราคี (1)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 8 : กลรักดอกแก้ว (2)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 8 : กลรักดอกแก้ว (1)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 7 : เล่ห์ร้ายผกากรอง (2)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 7 : เล่ห์ร้ายผกากรอง (1)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 6 : เพลิงริษยา (2)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 6 : เพลิงริษยา (1)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 5 : ไฟรัญจวน (2)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 5 : ไฟรัญจวน (1)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 4 : อวลกลิ่นดอกแก้ว (2)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 4 : อวลกลิ่นดอกแก้ว (1)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 3 : กรุ่นกลิ่นผกากรอง (2)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 3 : กรุ่นกลิ่นผกากรอง (1)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 2 : ดวงบริพัตร (2)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 2 : ดวงบริพัตร (1)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 1 : ดวงกาลกิณี (2)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 1 : ดวงกาลกิณี (1)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว : บทนำ