
ห้วงนทีกาล บทที่ 22 : สูญสิ้นตลอดกาล
โดย : สิปัณฑ์
![]()
สิปัณฑ์ ขอต้อนรับสู่มหาสงครามที่แสนเนิ่นนานของชาวฉิมพลีและโลกแห่งเมืองบาดาล ใน ห้วงนทีกาล นวนิยายที่ได้รับแรงบัลดาลใจมาจากตำนานสุดคลาสสิกอย่างพญาครุฑและพญานาคสองคู่อริตลอดกาล เรื่องราวจะชุลมุนวุ่นรักขนาดไหนมาติดตามกันได้ใน “ห้วงนทีกาล” นวนิยายที่อ่านเอาคัดสรรมาให้ทุกท่านได้อ่านแล้วที่ anowl.co
น้ำเสียงเย็นดังขึ้นที่ด้านหลังในทันทีที่สุวรรณนเรศหันหลังกลับไปนั้น กลับพบร่างของศิรกัลป์ที่โอบล้อมไปด้วยรัศมีพลังของกำไลปักษาที่ข้อมือ
ศิรกัลป์ที่อยู่เบื้องหน้านางในขณะนี้หาใช่ศิรกัลป์ที่ตนรู้จักแม้แต่น้อย
ดวงตาเบิกโพลงด้วยศรที่ยิงจากคันธนูนั้นใกล้เกินกว่าจะป้องกันได้ แม้จะสยายปีกเข้าป้องกันหากแต่ช้าเกินไปเสียแล้วเมื่อศรนาคาถูกปล่อยจากคันศรตรงมาที่สุวรรณนเรศที่อยู่เบื้องหน้าในทันที
สุวรรณนเรศไม่แม้แต่หลบตากลับจ้องมองไปยังแววตาของศิรกัลป์ที่อยู่เบื้องหน้าตน ราวกำไลปักษารับรู้ได้ถึงพลังของผู้เป็นนายจึงทำให้ศิรกัลป์ได้สติกลับมาครู่หนึ่ง…มือที่ไม่ได้ถือคันศรจึงกระโจนคว้าลูกศรนาคราชนั้นไว้ได้ทันก่อนจะถึงตัวของสุวรรณนเรศ
หากแต่เป็นจังหวะเดียวกับที่ร่างของพญาครุฑสีขาวบินเข้ามาขวางไว้ตรงกลางระหว่างสุวรรณนเรศและศิรกัลป์เช่นกัน
“ไป!”
ศิรกัลป์ตะโกนก้องด้วยพยายามคงสติไว้ให้ได้นานที่สุด ลูกศรนาคราชสีดำในมือที่ตนคว้าไว้นั้นจึงค่อยๆ สลายกลายเป็นละอองสีดำก่อนจะค่อยๆ แทรกซึมเข้ามายังร่างของศิรกัลป์ในทันที คันศรในมือของศิรกัลป์พลันแปรเปลี่ยนเป็นพระขรรค์ในบัดดล
เลือดสีเข้มของตรัสวินสาดกระเซ็นเมื่อยามพระขรรค์ทาบผ่านร่างของเขา หากแต่ยังคงหยัดยืนปกป้องสุวรรณนเรศ สุวรรณนเรศที่ไม่อาจตั้งจิตเพื่อใช้พระเวทไตรทิพย์ได้อีกพลันทะยานลงสู่เบื้องล่างติดตามร่างของตรัสวินที่ร่วงหล่นลงสู่พื้นนทีเบื้องล่าง
สดายุและสัมปาตีที่เห็นดังนั้นหากแต่เหล่าจิตอาฆาตยังคงไม่หมดไปจึงทำได้เพียงค้ำยันพระเวทไว้จนถึงที่สุดเท่านั้น
สุวรรณนเรศพยายามบินเข้าไปรับร่างของตรัสวินไม่ให้กระทบพื้นอย่างสุดกำลัง หากแต่เบื้องหน้าของตนกลับปรากฏร่างของศิรกัลป์ที่บัดนี้มองมาที่นางด้วยสายตาเรียบเฉยพลันง้างคันศรมาที่ตนอีกครั้ง
สติสัมปชัญญะของศิรกัลป์นาคราชบัดนี้ถูกกลืนกินด้วยเหล่าจิตอาฆาตของนาคราชนับพันจนหมดสิ้นไม่หลงเหลือแม้ความรู้สึกใด ก่อนจะปล่อยให้ศรนั้นตรงเข้ามายังสุวรรณนเรศที่ลอยตัวอยู่กลางอากาศในทันที
จากหนึ่งแปรเปลี่ยนเป็นสองและทวีคูณขึ้นมากมายไม่อาจนับ นาคราชสีดำทมิฬจำนวนมากมายพุ่งโจมตีมาในทิศทางที่สุวรรณนเรศลอยตัวอยู่ด้วยความรวดเร็ว สายตาแหลมคมของพญาปักษาแม้สามารถหลบเลี่ยงการโจมตีได้หากแต่ด้วยจำนวนศรมากมายที่ทวีขึ้นจนไม่อาจนับ
ปีกสีทองสุวรรณพลันสยายกว้างออกในทันที รัศมีพลังที่แพร่กระจายออกไปด้วยอัญมณีประจำกายและพระเวทไตรทิพย์แต่บัดนี้มีเพียงนางร่ายแต่เพียงผู้เดียว
สุวรรณนเรศมองไปรอบกาย….ด้วยบัดนี้หากทั้งสามยังคงตั้งรับด้วยพระเวทไตรทิพย์ พลังทิพย์ของนางและพี่ชายทั้งสองอาจไม่มากพอจะขจัดดวงจิตอาฆาตเหล่านี้ได้จนหมดสิ้น
สุวรรณนเรศพลันคิดหาหนทางจึงมองไปยังศิรกัลป์ที่ยังคงถือคันศรไว้ในมือมั่น รัศมีพลังสีดำบัดนี้ก่อตัวขึ้นที่ด้านหลังของเขาในทันที เสียงคำรามลั่นของพญานาคราชดังสนั่นไปทั่วบริเวณ ที่ด้านหลังของมาณพหนุ่มรูปงามจึงปรากฏเงาสีทมิฬของนาคราชนับร้อยขึ้นคล้ายอาภรณ์ปกคลุมร่างของเขาเอาไว้
“ศิรกัลป์!”
สุวรรณนเรศพยายามส่งจิตไปยังศิรกัลป์ที่ยังคงมิได้สติ หากแต่ไม่อาจส่งผ่านกำแพงหนาของเหล่าเงานาคราชสีดำนั้นได้แม้แต่น้อย ในใจยังคงเร่งคิดหาหนทางพลันสายลมแรงสายหนึ่งจึงหอบนำละอองสีทองราวกระโชกพัดมาในทิศที่สุวรรณนเรศลอยตัวอยู่อย่างรุนแรง
สัมผัสที่แสนคุ้นชินนั้นคือละอองเดียวกับที่ช่วยซ่อมแซมมณีประจำกายที่เสียหายของสุวรรณนเรศให้กลับมาดั่งเดิม และมีเพียงพงศ์สุบรรณเท่านั้นที่กระทำเช่นนี้ได้
“ท่านก็คือ…ท่านพ่อ!”
สิ้นสุรเสียงหวานใสนั้นราวได้รับการปลดปล่อยจากบางสิ่ง รัศมีสีดั่งเดียวกับสุวรรณนเรศจึงเรืองรองขึ้นอีกครั้ง วรกายสีทองสุวรรณทั้งองค์หากแต่ปีกกว้างที่สยายออกนั้นทอประกายเมื่อยามกระทบแสง เป็นสีของรัตนมณีทั้งเจ็ดแทรกสลับอย่างงดงาม
จอมกษัตริย์แห่งฉิมพลีบัดนี้ทะยานขึ้นอยู่เบื้องบนนภาอย่างสง่างาม ก่อนจะใช้รัศมีพลังของพระองค์กดทับร่างของศิรกัลป์ไว้ ร่างของนาคราชเมื่อรับรู้ได้ถึงพลังมหาศาลที่กดทับมาที่ตนจึงต่อต้านอย่างรุนแรงเมื่อคันศรในมือของศิรกัลป์บัดนี้ยังคงล้นทะลักไปด้วยไออาฆาตมหาศาล
“สุวรรณนเรศลูกข้าจงฟัง คันศรนั้นเกิดจากสันหลังของพญานาคาสององค์คือปัทเนตรและอุรกาฬที่ยึดโยงกัน และมีเพียงเจ้าที่หลอมศรสหัสนาคกับศิรกัลป์เท่านั้นจึงสามารถทำลายศรนั้นได้!”
จึงไขข้อกังขาอันว่าเหตุใดร่างไร้สติของศิรกัลป์ที่ถูกควบคุมนั้นจำต้องสังหารสุวรรณนเรศให้จงได้ด้วยมีเพียงนางและเขาที่สามารถทำลายศรสหัสนาคได้นั่นเอง
สุรเสียงของพญาสุวรรณดังขึ้นในจิตก่อนสุวรรณนเรศจะมองไปยังผู้เป็นบิดาที่อยู่บนท้องนภาในทันที ด้วยพลังของพญาสุบรรณทำให้บัดนี้ร่างของเหล่าดวงจิตอาฆาตยังคงต้องต้านทานกับพลังของพญาครุฑผู้ยิ่งใหญ่ ทำให้ไม่อาจสังเกตการเคลื่อนไหวของสุวรรณนเรศได้
หากแต่ฝ่ายของสัมปาตีและสดายุที่บัดนี้ไม่อาจทานทนต่อมหาเวทไตรทิพย์ได้อีกต่อไป ร่องรอยปริแตกของอัญมณีราวบาดลึกลงไป ณ จิตวิญญาณของจอมทัพ
แม้ยังคงทานทนจนถึงขีดจำกัดจึงจำต้องคลายพระเวทออก ทำให้เหล่าจิตอาฆาตของนาคราชที่หลงเหลืออยู่นั้นราวล่วงรู้ความคิดของสุวรรณนเรศ พวกมันจึงทะยานเข้าหาคันศรที่มือของศิรกัลป์ทั้งหมดทั้งสิ้น
ร่างบางพบว่าบัดนี้จิตสังหารที่หลงเหลือนั้นตรงมาที่ตนอย่างรวดเร็วหากแต่เพียงเอื้อมมือเท่านั้นก็จะเข้าประชิดตัวของศิรกัลป์ได้ นางไม่อาลัยแม้ต้องแลกด้วยสิ่งใดจึงใช้พลังของตนบังคับกำไลปักษาที่ข้อมือของศิรกัลป์พลันดึงร่างของพญานาคราชให้เข้ามาหาตนอย่างรวดเร็ว
มือบางคว้าจับข้อมือของนาคราชหนุ่มไว้มั่นไม่ยอมปล่อย ก่อนจะสยายปีกโอบล้อมร่างของทั้งสองไว้ด้วยกัน
“กลับมาเถิดศิรกัลป์…”
สุวรรณนเรศตะโกนก้องพลันมองไปยังชะตากรรมเบื้องหน้าที่รอคอยตนอยู่ไม่ไกล
เหล่าจิตอาฆาตพุ่งมาที่ตน หากแต่บัดนี้กลับปะทะเข้ากับเหล่าทหารครุฑและนาคที่เอาร่างของตนเป็นกำแพงขวางกั้นเอาไว้อย่างไม่อาลัยในชีวิต
ราวใบไม้ร่วงโรยหากแต่นั่นคือชีวิตหนึ่งที่ทอดกายในสมรภูมิ ร่างแล้วร่างเหล่าของเหล่านาคาและครุฑาบัดนี้ร่วงหล่นสู่ห้วงนทีมากมายจนไม่อาจนับเพื่อปกป้องสุวรรณนเรศและศิรกัลป์ หากแต่ยังไม่อาจต้านทานศรนาคามากมายที่ยังคงพุ่งมาราวห่าฝนคลั่ง
ปีกกว้างสีขาวพลันปรากฏอีกครั้งโอบล้อมร่างของสุวรรณนเรศและศิรกัลป์ไว้ในทันที ตรัสวินยังคงยืนหยัดมองมายังสุวรรณนเรศที่อยู่เบื้องล่างพลันรอยยิ้มจึงคลี่ออกช้าๆ ที่มุมปาก
“เป็นข้าที่ติดค้างท่าน…”
ราวกำลังเพ่งพินิจภาพสุดท้ายของสุวรรณนเรศอีกครั้งด้วยนางนั้นมองมาที่เขาด้วยดวงตาแดงก่ำและเบิกโพลงด้วยความตกตะลึง ตรัสวินแม้ไม่อาจทนมองสีหน้าทุกข์ใจของสุวรรณนเรศได้เพียงเสี้ยววินาที หากแต่ครั้งนี้กลับเป็นครั้งสุดท้ายที่เขาจะได้เฝ้ามองใบหน้านั้นของนาง
“ตรัสวิน!”
เสียงเรียกอย่างสิ้นหวังของสุวรรณนเรศหากแต่ไม่อาจปล่อยมือจากคันศรได้เช่นกัน ตรัสวินจึงพาร่างที่โชกชุ่มด้วยหยาดโลหิตทะยานไปเบื้องหน้าและไม่หันหลังกลับมาอีกตลอดกาล…
มณีประจำกายบัดนี้พลันสลายออกเป็นละอองสีขาวนวลระยิบระยับราวดารานับพัน อย่างเช่นที่นางเคยกล่าวทุกครั้ง
‘รัศมีพลังสุดท้ายแม้งดงามเพียงใด หากแต่ข้าเกลียดมันเสียจริง ด้วยไม่ว่าครั้งใดข้ายังคงต้องสูญเสียผู้ใดผู้หนึ่งไปเสมอ!’
รัศมีสุดท้ายของตรัสวินเรืองรองไปทั่วบริเวณก่อนพลังของมณีประจำกายที่เขาสละนั้นจะชำระล้างเหล่าจิตอาฆาตที่พุ่งตรงเข้ามาจนหมดสิ้น ราวได้ชำระล้างบาปในอดีตที่ยังคงติดค้างเผ่าพงศ์นาคาดวงตาของตรัสวินบัดนี้ปิดลงช้าๆ ภาระที่มีวางลงในที่สุดก่อนจะทอดกายสู่ลานหินกว้างดั่งเดิม
“ข้าไม่อาจเป็นสุวรรณนเรศคนเดิมได้อีกแล้วตรัสวิน…”
น้ำเสียงของนางยังคงย้ำเตือนในจิต…ตลอดเวลาที่เติบโตมาด้วยกันนั้นแม้นางจะจดจำอดีตที่มีต่อศิรกัลป์ไม่ได้เลยแม้เพียงเศษเสี้ยว หากแต่ความจริงใจที่มีต่อกันนั้นเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้น
‘สุวรรณนเรศ ข้านั้นฉกฉวยห้วงเวลาของท่านและศิรกัลป์มาอย่างน่าละอาย หากแต่บัดนี้ข้าจะคืนศิรกัลป์ให้แก่ท่าน…’
สำหรับตรัสวินแล้วนั้น สิ่งที่ติดค้างในอดีตวางลงได้แล้วจนหมดสิ้น มีเพียงหนึ่งเรื่องที่ไม่อาจกระทำได้อีกต่อไปนั่นคืออยู่เคียงข้างสุวรรณนเรศตลอดกาล…
ใบหน้าที่เจ็บปวดของสุวรรณนเรศไม่อาจเก็บกักน้ำตาแห่งความโศกเศร้าได้อีกต่อไป สัมผัสที่แผ่วเบาของฝ่ามือของผู้ที่ถือคันศรอยู่นั้น ศิรกัลป์ราวกลับมาได้สติอีกครั้ง ด้วยรัศมีแห่งตรัสวินที่สละเพื่อชำระจิตอาฆาตของนาคราชที่รายล้อมกายของทั้งสอง
สองมือจับกันแน่นกว่าครั้งไหน หากแต่ไม่ใช่เพื่อยื้อยุดแย่งชิงอย่างเช่นเดิม เขาสัมผัสมือบางนั้นอย่างทะนุถนอมราวกับว่าหากจับแน่นเกินกว่าครั้งไหนสุวรรณนเรศคล้ายกับจะแตกสลายหายไปจากเขาตลอดกาล
ราวห้วงเวลาหยุดหมุนลงขณะหนึ่ง ทั้งสองมองไปยังนัยน์ตาที่แสนเจ็บปวดของกันและกัน
ด้วยความเจ็บปวด ความสูญเสียมากมายเหลือคณานั้นไม่แบ่งแยกเผ่าพงศ์ใด…ครุฑฤๅนาค!
เขายื่นคันศรอีกครึ่งหนึ่งไปยังฝ่ามือของสุวรรณนเรศในทันทีพลางยิ้มให้นางอย่างเช่นเคย
“จิตอาฆาตที่ข้ารวบรวมผนึกไว้ในศรนั้น มีเพียงเจ้าและข้าหักทำลายคันศรนี้พร้อมกันจึงสามารถทำลายให้สูญสิ้นลงได้”
สุวรรณนเรศพลันยื่นมือไปรับคันศรอีกครึ่งหนึ่งโดยอีกข้างนั้นมีศิรกัลป์จับไว้เช่นกัน
นาคราชสีทองสุวรรณตัวแทนแห่งปัทเนตรและสีนิลตัวแทนแห่งอุรกาฬที่รัดพันเกี้ยวกันราวโชคชะตาที่ไม่อาจแยกจากเป็นคันศร นางบรรจงลูบไปตามลำตัวนั้นก่อนจะร่ำไห้ออกมาในทันที
“สิ่งสุดท้ายที่ผูกติดปัทเนตรและอุรกาฬไว้ด้วยกัน หากแต่ท้ายที่สุดก็ไม่อาจเคียงคู่…”
สุวรรณนเรศกล่าวออกมาเสียงสั่นเครือ ดวงตาแดงก่ำพลางมองไปยังศิรกัลป์ที่ยังคงยิ้มทั้งน้ำตา นางไม่กล่าวสิ่งใดหากแต่หลับตาลงพลันพยักหน้าครั้งหนึ่งเป็นคำตอบ
รัศมีพลังสีเงินแห่งศิรกัลป์และสีทองสุวรรณแห่งสุวรรณนเรศเรืองรองขึ้นอีกครั้ง เสียงปริแตกดังขึ้นในทันที…คันศรสหัสนาคาพลางร้องคำรามลั่นราวเสียงของนาคานับพันขับขาน
ยามเมื่อศรสหัสนาคาหักออกจากกันนั้น ราวปัทเนตรและอุรกาฬแยกจากกันตลอดกาล!
แสงสว่างสีขาวเจิดจ้าเรืองรองไปทั่วบริเวณ ก่อนที่ดวงจิตนาคามากมายที่ดับสิ้นบนลานบรรณาการจะทะลักออกมาอย่างมหาศาลด้วยไร้ซึ่งที่ผนึก ก่อเกิดเป็นมหาพายุสีทมิฬหมุนวนรอบกายของทั้งสองจนก่อกำเนิดวังน้ำวนขนาดมหาศาล ณ กลางห้วงนที
แรงกดทับของแรงอาฆาตสร้างความแปลกใจให้กับสุวรรณนเรศเป็นอย่างมากว่า เมื่อศรสหัสนาคาถูกทำลายลงแล้ว…เหตุใดจิตอาฆาตเหล่านี้จึงยังมิสลายหายไปด้วย นางตื่นตระหนกพลางมองไปที่ศิรกัลป์ในทันทีหากแต่เขากลับยิ้มให้นางดังเดิม
“ศิรกัลป์!” สุวรรณนเรศกล่าวพลางมองใบหน้าของเขาที่ยังคงนิ่งเฉย
พญานาคศิรกัลป์ไม่กล่าวสิ่งใดหากแต่กระชับกอดร่างของพงศ์สุบรรณสุวรรณนเรศไว้แน่นครั้งหนึ่ง ราวสิ้นเสียงอึกทึกของทุกสรรพสิ่ง มีเพียงเสียงกล่าวลาของศิรกัลป์ที่ยังคงชัดเจน
เขาผละออกจากอ้อมกอดที่ถวิลหามาเนิ่นนานนั้นช้าๆ พลางใช้ฝ่ามือเช็ดน้ำตาที่ไหลรินของสุวรรณนเรศอย่างแผ่วเบา ก่อนจะใช้พลังของตนดึงมณีนาคาประจำกายของตนออกจากร่างของสุวรรณนเรศในทันที
สุวรรณนเรศยังคงตกตะลึงกับเรื่องราวที่อยู่ตรงหน้า ด้วยสัตย์สุดท้ายที่ผูกติดศิรกัลป์กับนางไว้ไม่ใช่เพียงคำสัตย์ หากแต่ยังมีขนปักษาของนางและมณีนาคาของศิรกัลป์
“ข้ารักเจ้าสุวรรณนเรศ…”
แผ่วเบาราวเสียงกระซิบหากแต่ดังชัดเจน…เป็นครั้งแรกที่นางได้ยินจากปากของพญานาคาศิรกัลป์ ท่ามกลางมหาน้ำวนแห่งจิตอาฆาตนี้นั้น เขาพลันออกแรงเหวี่ยงสุวรรณนเรศออกจากวังวนแห่งความสิ้นหวังและโกลาหลแห่งนี้!
สุวรรณนเรศราวเรี่ยวแรงที่มีหายไปจนหมดสิ้น ด้วยเพราะถูกดึงมณีนาคาออกจากกายอย่างกะทันหัน สายตาอ้อนวอนของสุวรรณนเรศหากแต่ไม่อาจเอาชนะความเด็ดเดี่ยวของศิรกัลป์ได้เลยแม้เพียงนิด
“เหตุใดจึงทำกับข้าเช่นนี้อยู่ร่ำไป…”
นางไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่จะกล่าวสิ่งใด เพียงมองไปที่ศิรกัลป์ที่ยังคงฝืนยิ้มให้นางอย่างเจ็บปวด ร่างบางลอยละล่องออกจากน้ำวนนั้นในสายตามีเพียงศิรกัลป์จนสุดสายตา
ศิรกัลป์ยื่นมือออกไปราวกับจะใคร่คว้าสุวรรณนเรศเอาไว้หากแต่ไม่อาจกระทำได้ เบื้องหน้าพลันปรากฏของสองสิ่งนั้นคือมณีนาคาแห่งตนและกำไลปักษาสีทองสุวรรณ
“ข้าขอทำลายสิ้นซึ่งคำสัตย์สาบานทั้งปวง!”
เพียงสิ้นคำของศิรกัลป์นั้น ของต่างหน้าสองสิ่งจึงค่อยๆ สลายกลายเป็นธุลีล่องลอยไปในอากาศทันทีเช่นเดียวกับที่เขาเลือกที่จะรับผิดในทุกการกระทำของตน หากแต่ต้องแลกมาด้วยการละทิ้งสุวรรณนเรศ
ร่างบางของสุวรรณนเรศร่อนลงที่ลานกว้างของแผ่นหินอันเคยเป็นจุดเริ่มต้นหากแต่บัดนี้เป็นจุดสิ้นสุดของทั้งสองเช่นกัน ทั้งร่างไร้เรี่ยวแรงในการหยัดยืนพลันทรุดเข่ามองไปยังกระแสพายุโหมกระหน่ำที่เบื้องหน้า
รัศมีพลังสุดท้ายของสุวรรณนเรศพลันสว่างขึ้นที่ดวงตาทั้งสองข้าง ก่อนมันจะเรืองรองรัศมีสีเงินยวงขึ้นในทันที
ด้วยพลังของคำสัตย์สุดท้ายที่ยังไม่สลายหายไปอย่างสมบูรณ์…ภาพที่เห็นตรงหน้าตนนั้นคือภาพจากดวงตาของศิรกัลป์ที่กำลังทำลายคำสัตย์สุดท้ายที่ผูกติดชีวิตของนางและเขา
เศษละอองของทั้งมณีนาคาและกำไลปักษาสลายสิ้นปลิดปลิวไปต่อหน้าของสุวรรณนเรศเช่นกัน เพียงชั่วอึดใจเท่านั้นที่พญานาคาศิรกัลป์มองไปยังแสงสว่างริบหรี่สุดท้ายที่บนท้องนภา สุวรรณนเรศที่ไม่มีแม้แต่เรี่ยวแรงจะทรงตัวอยู่ได้ทำได้เพียงทรุดลงไปกรีดร้องที่ลานพื้นหินเย็นเฉียบเท่านั้น
ภาพสุดท้ายที่สุวรรณนเรศเห็นกลับเป็นภาพที่ศิรกัลป์จ้องมองไปยังท้องนภาเบื้องบนที่ทาบทับด้วยแสงสีทองยามใกล้อาทิตย์ตกเท่านั้น
“ยังจำที่เจ้ากล่าวถามได้ฤๅไม่ เจ้าปรารถนาเพียงมิต้องอยู่ท่ามกลางไฟแห่งสงครามที่โหมไหม้ชีวิตของผู้คนมากมาย…เช่นนั้นข้าจักเป็นสายฝนดับมอดมันให้เจ้าเอง”
ภาพความทรงจำเมื่อครั้งอ้อมกอดสุดท้ายและคำพูดของศิรกัลป์ราวคมมีดกรีดลงซ้ำแล้วซ้ำเล่า น้ำตาหลั่งไหลออกมาจนไม่มีให้หลั่งไหลอีกต่อไป เบื้องหน้าที่สายตาเหม่อลอยของสุวรรณนเรศทอดมองไปนั้นกลับเป็นซากศพมากมายของเหล่าทหารหาญทั้งครุฑแลนาคา
สุวรรณนเรศที่ภายในใจบัดนี้แหลกสลายไม่มีชิ้นดีมองไปยังเบื้องหน้าด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่าท้ายที่สุดแล้วนั้นสงครามไม่ว่าฝ่ายใดชนะฤๅแพ้พ่ายคงจักเหลือไว้เพียงความทุกข์ระทมของผู้ที่ยังคงอยู่ชั่วกาล!
“ผู้ใดต้องการสายฝนที่แลกมาด้วยชีวิตเช่นนี้กัน”
แต่ละคำกล่าวออกมาเจ็บปวดแสนสาหัส!
สุวรรณนเรศกล่าวออกมาด้วยเสียงสั่นเครือกับแววตาซึ่งจิตวิญญาณแหลกสลายราวกับคนไร้สติ เพียงจับจ้องไปยังห้วงมหานทีที่อยู่เบื้องหน้า แสงสีทองส่องนภาเป็นฉากหลังหากแต่บัดนี้ในมหาวังวนแห่งจิตที่แค้นเคืองอาฆาตนั้นกลับมืดลงอย่างไร้จุดสิ้นสุด

- READ ห้วงนทีกาล บทที่ 22 : สูญสิ้นตลอดกาล
- READ ห้วงนทีกาล บทที่ 21 : มหามนตร์ไตรทิพย์
- READ ห้วงนทีกาล บทที่ 20 : พงศ์เวชไชยยันต์ ตรัสวิน
- READ ห้วงนทีกาล บทที่ 19 : ศิรกัลป์นาคราช
- READ ห้วงนทีกาล บทที่ 18 : เพียงใจปรารถนาชั่วกาล
- READ ห้วงนทีกาล บทที่ 17 : นาคะบงกช
- READ ห้วงนทีกาล บทที่ 16 : ห้วงคะนึงที่ขาดหาย
- READ ห้วงนทีกาล บทที่ 15 : หวนคืนสู่สมรภูมิ
- READ ห้วงนทีกาล บทที่ 14 : สิ้นพันธะแห่งกาล 2
- READ ห้วงนทีกาล บทที่ 13 : สิ้นพันธะแห่งกาล
- READ ห้วงนทีกาล บทที่ 12 : ผลิบาลยามต้องแสงอรุณ
- READ ห้วงนทีกาล บทที่ 11 : บางสิ่งมิอาจเปลี่ยนแปลง
- READ ห้วงนทีกาล บทที่ 10 : ยืนหยัด
- READ ห้วงนทีกาล บทที่ 9 : เหนือเกศบาดาล
- READ ห้วงนทีกาล บทที่ 8 : มหามนตร์แห่งกาล
- READ ห้วงนทีกาล บทที่ 7 : ประกายแสงแก้วประพาฬ
- READ ห้วงนทีกาล บทที่ 6 : สัตตะคีรี 2
- READ ห้วงนทีกาล บทที่ 5 : สัตตะคีรี
- READ ห้วงนทีกาล บทที่ 4 : ป้องปีกปักษา
- READ ห้วงนทีกาล บทที่ 3 : แสงระยับ
- READ ห้วงนทีกาล บทที่ 2 : สุดปลายหัตถา
- READ ห้วงนทีกาล บทที่ 1 : พงศ์สุบรรณ สุวรรณนเรศ
- READ ห้วงนทีกาล : บทนำ






