
อนธการ
โดย :
นอกเหนือจากนวนิยายและบทความที่ผ่านการเลือกสรรและผ่านกระบวนการบรรณาธิการพิจารณาเป็นอย่างดี ทีมงานอ่านเอายังริเริ่มโปรเจ็กต์ “Anowl Showcase” พื้นที่ใหม่สำหรับคนชอบเขียนขึ้น เพื่อเป็นการสานต่อเจตนารมณ์ที่จะให้เว็บ www.anowl.co ของพวกเราเป็นชุมชนสำหรับคนรักการอ่านและการเขียนทุกคน
*************************
ดวงตาสว่างโรจน์ส่องแสงสีเหลืองอยู่ในความมืด อาบไล้โลหะโดยรอบจนเกิดประกายระยับ ใบหน้าของอีกฝ่ายคล้ายมนุษย์ หากแต่เป็นสีเทาซีดด้วยโลหะเก่าผุซึ่งเป็นวัสดุสุดท้ายที่หลงเหลืออยู่ในดินแดนรกร้าง แขนและขาที่มีลักษณะเดียวกันเริ่มขยับ ส่งเสียงดัง ‘เอี๊ยดอ๊าด’ สะท้อนอยู่ในความมืดของห้องปิดทึบ เสียงลมถูกปล่อยออกจากซี่โลหะบนใบหน้าดังขึ้นเป็นจังหวะ ฟังดูแหบแห้ง ราวกับเป็นเสียงหายใจเฮือกสุดท้ายของสิ่งมีชีวิตที่กำลังจะสิ้นลม
พลังงานสำรองหมดไปเมื่อวันก่อน พร้อมกับไฟฉายอันเป็นอุปกรณ์สุดท้ายที่ช่วยให้ผมมองเห็น…ทันทีที่แสงสว่างถูกส่งออกมาจากดวงตาอิเล็กทรอนิกส์คู่นั้น สิ่งที่ไม่เคยปรากฏออกมาเป็นระยะเวลานานถึงสองปีก็เกิดขึ้น…
…นั่นคือรอยยิ้มของผม
รอยยิ้มที่เหือดหายไปเมื่อสองปีก่อน ตอนที่รัฐบาลจากทั่วโลกประกาศอย่างเป็นทางการว่าดาวเคราะห์สีน้ำเงินที่มนุษย์อาศัยอยู่กำลังจะล่มสลาย พิษร้ายกระจายไปทั่วชั้นบรรยากาศเนื่องจากอาวุธสงครามที่นำเอากัมมันตรังสีชนิดร้ายแรงมาใช้เป็นส่วนประกอบ นับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สี่สิ้นสุดลง…ดวงเคราะห์ที่เคยอุดมสมบูรณ์มาเป็นเวลากว่าพันล้านปีก็มาถึงคราวอวสาน สิ่งมีชีวิตนับล้านสูญพันธุ์ แน่นอนว่า ‘สัตว์ประเสริฐ’ สุดโง่เขลาผู้เป็นสาเหตุของความหายนะไม่ใช่หนึ่งในนั้น
ในที่สุด ดูเหมือนมนุษย์จะเป็นสิ่งมีชีวิตเดียวที่อยู่รอดและได้เห็นจุดจบของดาวเคราะห์ที่น่าสงสาร แม้แต่แมลงสาบหรือแบคทีเรียก็ยังพ่ายแพ้ต่อสภาพอากาศที่เลวร้าย ผิดกับสิ่งมีชีวิตที่ได้รับพรสวรรค์เป็นมันสมองเหนือธรรมชาติ ซึ่งสามารถประดิษฐ์คิดค้นเทคโนโลยีอันเหลือเชื่อและดิ้นรนทุกวิถีทางเพื่อให้มีชีวิตรอด
น่าขันโดยแท้…ทั้งที่พวกเราเป็นต้นเหตุแห่งความมวิบัติ แต่เวรกรรมก็ไม่อาจตามสนองมนุษย์ได้อย่างที่ควรจะเป็น ในพุทธศักราช ๒๙๘๗…ปีที่ผมอายุครบสามสิบปีบริบูรณ์ ก็มีการประกาศอย่างเป็นทางการว่าจะมีการย้ายถิ่นฐานครั้งใหญ่ ดาวเคราะห์ที่ถูกเลือกคือดาวที่อยู่ห่างจากกาแล็กซีของเราหลายล้านปีแสง คาดว่าจะใช้เวลาเดินทางนับศตวรรษด้วยยานอวกาศขนาดยักษ์ที่นักวิทยาศาสตร์ระดับหัวกะทิสร้างขึ้น ปัญหาเพียงอย่างเดียวคือยานลำนั้นบรรจุคนได้น้อยนิด พวกที่ได้ไปเริ่มต้นชีวิตใหม่คืออภิมหาเศรษฐีและผู้นำประเทศมหาอำนาจ ทิ้งประชาชนนับล้านไว้ในดาวเคราะห์ที่กำลังจะตาย…จนกระทั่งตอนนี้
ผมกับลูกเป็นหนึ่งในผู้ถูกทิ้ง เราอาศัยอยู่ในบ้านเก่าของเรา…บ้านใต้ดินที่ฝังตัวอยู่ในภูเขา โดยมีชุดและหน้ากากกันรังสีครบครัน อาหารและน้ำทำจากแคปซูล และต้องใช้อย่างประหยัด
มนุษย์ดำเนินชีวิตแบบนี้มาเป็นเวลากว่าสองร้อยปี ก่อนที่จะมีการย้ายถิ่นฐานเกิดขึ้นเสียอีก เราเดินไปไหนมาไหนด้วยการใส่ชุดป้องกันและหน้ากากออกซิเจน…หลบซ่อนจากภัยธรรมชาติในบ้านที่ฝังตัวอยู่ในหิน ทว่าในช่วงสิบถึงยี่สิบปีมานี้ ภัยธรรมชาติเหล่านั้นดูจะทวีความรุนแรงมากขึ้น จนเทคโนโลยีปัจจุบันไม่สามารถแก้ปัญหา
ผมหวนคิดถึงภาพที่เคยเห็น…ภาพของโลกใบนี้เมื่อสี่ร้อยถึงห้าร้อยปีก่อน มันไม่ต่างอะไรกับสรวงสวรรค์ สิ่งมีชีวิตที่ไม่สามารถขยับซึ่งคนในยุคนั้นเรียกว่า ‘ต้นไม้’ กระจายอยู่ทั่วบริเวณ ในตอนนี้…‘ต้นไม้’ กลับกลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่สูญพันธุ์ไปจากโลก มีให้เด็กรุ่นหลังชื่นชมผ่านภาพถ่ายที่หลงเหลืออยู่เท่านั้น
คนในยุคนั้นจะรู้สึกอย่างไรนะ…เมื่อเดินออกจากบ้านตัวเปล่าแล้วเหยียบลงบนพื้นหญ้าเขียวชอุ่ม สัมผัสกลิ่นหอมของดอกไม้และเสียงสัตว์ปีก (ที่คนในยุคนั้นเรียกว่า ‘นก’) ร้องเจื้อยแจ้ว พอมาเทียบกับยุคสมัยของผม…หากเราเดินออกจากบ้านตัวเปล่า สิ่งเดียวที่สัมผัสคงเป็นหินแข็งและความร้อนที่แผดเผา ไม่ทันได้ดมกลิ่นหรือได้ยินสิ่งใด เพราะร่างกายของเราจะมอดไหม้เป็นจุณภายในเวลาชั่วพริบตา
…ลูกสาวของผมคือหนึ่งในนั้น ผมออกจากบ้านไปพร้อมกับลูกโดยไม่รู้เลยว่าชุดป้องกันที่ลูกสวมอยู่นั้นเสีย เสียงสุดท้ายที่ผมได้ยินคือเสียงกรีดร้องโหยหวน ตามด้วยเศษขี้เถ้าไหม้เกรียมที่ฟุ้งตลบ ตัดกับท้องฟ้าสีแดงฉานราวกับนรกอเวจี นั่นคือวันแรกที่รอยยิ้มของผมเหือดหายไปจากใบหน้า
เสียงขยับของโลหะปลุกผมให้ตื่นจากภวังค์ ครั้นหันไปมองก็พบว่าเจ้าของดวงตาสีเหลืองกำลังชันตัวลุกขึ้นช้าๆ เป็นจังหวะเดียวกับที่ห้องทำงานของผมสั่นสะเทือน พายุมรณะคงกำลังเคลื่อนผ่านภูเขาที่ผมอยู่ ตามด้วยเสียงสัญญาณเตือนที่ดังติดต่อกันมาเป็นเวลานานนับเดือน…เสียงสัญญาณที่บอกว่าแคปซูลน้ำและอาหาร รวมถึงแก๊สออกซิเจนที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดกำลังจะหมดลง
ใช่…‘พวกมัน’ ทิ้งเราไว้ในดาวที่กำลังล่มสลาย…ทิ้งไว้พร้อมอาหารและน้ำที่มีอยู่อย่างจำกัด ไม่เกินห้าปี ชีวิตสุดท้ายบนดาวเคราะห์ดวงนี้ก็จะดับสลายอย่างไม่มีวันหวนคืน ในขณะที่กลุ่มคนบนยานอวกาศลำนั้นได้ไปใช้ชีวิตอย่างสุขสบายที่โลกใบใหม่
“คุณ…คุณ…คือ..ผู้…สร้าง…”
เสียงแหบแห้งดังขึ้น พร้อมกับร่างโลหะที่เคลื่อนเข้ามาหา แม้จะอยู่ท่ามกลางแสงสลัว แต่ผมก็สามารถมองเห็นโครงร่างอ่อนแอที่เกิดจากการประกอบอย่างลวกๆ ได้อย่างชัดเจน เขาถูกประกอบขึ้นโดยวัสดุเหลือทิ้ง…สิ่งเดียวที่ผมหาได้ในดินแดนมรณะที่เต็มไปด้วยเศษซากอารยธรรม นับเป็นงานที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในชีวิตช่างทำหุ่นยนต์มือสมัครเล่นคนหนึ่ง
“ใช่ ฉันคือผู้สร้าง”
ผมตอบกลับด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ดวงตารื้นน้ำขณะนึกสะท้อนใจว่าตนเองก็เป็นผู้ถูกทิ้ง ไม่ต่างจากหุ่นยนต์ตรงหน้าที่ถูกสร้างขึ้นจากเศษซากโกโรโกโส
“ผม…ชื่อ…”
“นายชื่ออนธการ”
ผมบอกชื่อเดียวที่คิดได้ให้อีกฝ่ายรู้ ผมสร้างอนธการขึ้นมาภายในความมืดของบ้านใต้ภูเขา…สร้างขึ้นมาท่ามกลางจิตใจที่มืดหม่น สิ้นหวังและโกรธเกรี้ยว ด้วยเหตุนี้ อนธการจึงแตกต่างจากหุ่นยนต์ตัวอื่น เขาไม่ได้มีจิตใจเสมือนผู้สร้างอย่างที่ควรจะเป็น
ตามปกติ…ในยุคสองถึงสามร้อยปีให้หลัง มนุษย์นิยมใส่เศษเสี้ยวสมองและความรู้สึกลงในหุ่นยนต์ที่ตนเองสร้าง ก่อกำเนิดเครื่องจักรที่เห็นแก่ตัวและมีความนึกคิดเหมือนคนเราทุกประการ ในที่สุด หุ่นยนต์เหล่านั้นก็เป็นฝ่ายแย่งชิงพื้นที่ในยานอวกาศลำนั้น และปล่อยให้คนนับล้านติดอยู่ในดาวมรณะดวงนี้…
อนธการเป็นมากกว่าแค่เครื่องจักรที่เลียนแบบมนุษย์ เขามีความคิดเป็นของตนเองโดยไม่ต้องพึ่งพาเศษเสี้ยวสมองของผม นี่คือสิ่งที่ผมอุทิศทั้งชีวิตเพื่อวิจัยและค้นคว้ามาเป็นเวลานาน…จิตใจที่บริสุทธิ์ มีความรู้สึกผิดชอบ ต่างจากจิตใจของมนุษย์ที่มืดหม่นและเห็นแก่ตัวกว่าสิ่งมีชีวิตทั้งปวง ผมสร้างอนธการขึ้นมาเพื่อหวังจะมอบหนทางให้กลุ่มมนุษย์ที่หลงเหลืออยู่เพียงน้อยนิด
…แม้ว่าผมจะไม่มีโอกาสได้เห็นความสำเร็จนั้นก็ตามที
อากาศที่ถูกปล่อยออกจากท่อบนผนังเริ่มติดๆ ขัดๆ บ่งบอกว่าเรื่องร้ายที่สัญญาณร้องเตือนมาตลอดหนึ่งเดือนกำลังจะเกิดขึ้น ชั่ววินาทีนั้น อนธการก็หันมาหาผมแล้วเอ่ยถาม ใบหน้าแสดงความหวาดกลัวไม่ต่างจากมนุษย์ทั่วไป
“คุณ…ผู้…สร้าง…คุณ…จะ…ตาย…”
“ใช่ ฉันกำลังจะตาย”
ผมตอบกลับด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก อากาศกำลังจะหมดลงอย่างสิ้นเชิง ผมทรุดลงไปกองกับพื้นพร้อมหอบหายใจถี่รัว แผ่นดินรอบข้างยังคงสั่นสะเทือนและส่งเสียงครืนครั่นราวกับกำลังต้อนรับดวงวิญญาณที่กำลังจะหลุดลอยออกจากร่าง
ผมยื่นหลอดแก้วที่เก็บไว้ในเสื้อคลุมให้อนธการ เขารับมันไว้อย่างเบามือ ดวงตาสีเหลืองนวลกะพริบไปมาราวกับกำลังพิจารณาสิ่งที่อยู่ในหลอดแก้วใบนั้น
“มันคือเมล็ดพืช”
ผมบอกพลางคลี่ยิ้ม มองเมล็ดทรงกลมสีน้ำตาลที่กลิ้งไปมาอยู่ในของเหลวสีใส…เมล็ดพันธุ์สุดท้ายที่ยังหลงเหลือ ผมได้มันมาจากซากปรักหักพังของอาคารขนาดยักษ์ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นศูนย์วิจัยของนักพฤกษศาสตร์ ต้นไม้ต้นสุดท้ายบนโลกอยู่ในมือของอนธการเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“มะ…เล็ด…พืช…”
หุ่นยนต์ทวนคำอย่างสงสัย ตอนนั้นเอง ผมก็ยื่นแท่งเก็บข้อมูลขนาดกะทัดรัดให้เขา อนธการรับมันมาแล้วเสียบเข้าที่ด้านหลังศีรษะของตนอย่างรู้หน้าที่
“มันคือแผนที่…ที่ที่นายต้องไปทำภารกิจให้สำเร็จ”
ผมบอกเสียงสั่นพลางนึกถึงสถานที่นั้น…ขั้วโลกใต้ สถานที่ที่ได้รับผลกระทบจากหายนะครั้งนี้น้อยที่สุด ผมไม่สามารถไปได้ด้วยตนเองเพราะชุดป้องกันไม่ได้สร้างขึ้นเพื่อเดินทางไกลขนาดนั้น
“มีมนุษย์กลุ่มหนึ่งหลบซ่อนอยู่ที่นั่น ไปหาพวกเขา แล้วเอาสิ่งนี้ให้พวกเขาดู” ชั่ววินาทีนั้น…ผมรู้ทันทีว่าวาระสุดท้ายของชีวิตได้เดินทางมาถึง ภาพใบหน้าของอนธการพร่าเลือน เหลือแค่ดวงไฟสีเหลืองสองดวงที่ลอยคว้างอยู่ท่ามกลางความมืด
“สานต่อภารกิจของฉัน เพื่อนๆ ของนาย…สร้างพวกเขาต่อ มอบชีวิตให้พวกเขา…ช่วยกันสานต่อภารกิจ…”
ผมผายมือไปยังผนังรอบๆ เผยให้เห็นหุ่นยนต์ที่ยังประกอบไม่เสร็จอยู่เป็นจำนวนมาก อากาศเฮือกสุดท้ายถูกพรากออกจากปอด ทิ้งไว้เพียงชีวิตหนึ่งที่เพิ่งถือกำเนิดขึ้นเมื่อห้านาทีก่อนหน้านี้…
พุทธศักราช ๘๗๒๖๒
อารยธรรมมนุษย์ล่มสลายเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่อาจทราบได้ สิ่งมีชีวิตเดียวในจักรวาลระหกระเหินเร่ร่อนไปทั่วเอกภพ ด้วยจำนวนประชากรที่ลดน้อยลงทุกที สัตว์ประเสริฐชนิดนี้…ไม่ว่าจะไปตั้งหลักแหล่งที่ไหน ก็จะนำพาความหายนะมาให้ดินแดนนั้น พวกมันไม่เคยสำนึก…ไม่เคยเข็ดหลาบ จิตใจยังคงเต็มไปด้วยความเห็นแก่ตัว กิเลศ ตัณหาและความกระหายอำนาจ แม้เวลาจะผ่านไปหลายร้อยศตวรรษ มันสมองของมนุษย์ก็ไม่ได้วิวัฒนาการขึ้นจากเดิมเลยแม้แต่น้อย
ภายในระบบสุริยะทางช้างเผือก…มนุษย์เพียงหยิบมือที่รอดชีวิตจากหายนะของดาวดวงก่อนย้อนกลับมายังที่ที่บรรพบุรุษของพวกเขาเคยอยู่ ไม่มีที่ไป…ทุกอย่างดูสิ้นหวัง จิตใจที่เคยดำมืดยิ่งตกต่ำ ความนึกคิดที่เคยมีเพียงเศษเสี้ยวสูญสลายไปจนสิ้น
หากไม่นับยานอวกาศและเทคโนโลยีที่สามารถประดิษฐ์ขึ้นมาจากมันสมอง…มนุษย์ในตอนนี้ก็ไม่ต่างจากสัตว์ ยานอวกาศกลายเป็นสนามรบเมื่ออาหารเหลือน้อยลงทุกที พวกเขาเริ่มแก่งแย่ง ฆ่าฟัน…ทำทุกวิถีทางเพื่อให้มีชีวิตรอด
…ขณะที่สถานการณ์กำลังจะถึงคราววิกฤต ภาพที่ปรากฏขึ้นภายนอกยานก็ทำให้ทุกชีวิตต้องตกตะลึง
ดาวเคราะห์ที่บรรพบุรุษของพวกเขาเคยจากมา…ดาวเคราะห์ที่ควรจะล่มสลายไปเมื่อหลายหมื่นปีก่อน บัดนี้กลับทอประกายแสงอยู่ท่ามกลางระบบสุริยะอันมืดมิด แม้ทางตอนเหนือของดาวยังคงเป็นสีเทาแดง อันเกิดจากหายนะที่ยังไม่จางหาย ทว่าตอนล่างกลับปรากฏสีเขียวและสีน้ำเงิน อันเป็นเอกลักษณ์ของโลกใบนี้เมื่อหลายหมื่นปีก่อน
ชั้นบรรยากาศในบริเวณนั้นช่างสดใส อย่างที่พวกเขาไม่เคยเห็น เบื้องล่างคือพื้นดินเขียวขจีที่เต็มไปด้วยป่าและชุมชนขนาดเล็ก
มนุษย์หลายสิบชีวิตกำลังช่วยกันปลูกต้นไม้ ในขณะที่หุ่นยนต์นับร้อยกำลังทำความสะอาดและรดน้ำต้นไม้อย่างสงบ ต่างจากหุ่นยนต์ที่พวกเขาเคยเห็นราวหน้ามือกับหลังมือ มนุษย์ในยานอวกาศรุ่นนี้เกิดขึ้นท่ามกล่างสงครามระหว่างมนุษย์และเครื่องจักร หุ่นยนต์ที่มีมันสมองและเศษเสี้ยวความนึกคิดเหมือนผู้สร้างทำการยึดอำนาจ ก่อเกิดเป็นสงครามที่ยาวนานนับร้อยปี
…แตกต่างจากหุ่นยนต์ในโลกใบนี้ มนุษย์โลกรุ่นหลังๆ ถูกปลูกฝังความคิดเช่นเดียวกับหุ่นยนต์ และฟื้นฟูโลกใบนี้ให้กลับมาอุดมสมบูรณ์อีกครั้ง บ้านเรือนขนาดเล็กตั้งสลับกับป่าไม้ขนาดใหญ่ ผืนน้ำสีน้ำเงินเข้มแผ่กว้างสุดลูกหูลูกตา หากเปรียบเทียบกับยานอวกาศที่พวกเขาอาศัยอยู่…ที่นี่ก็เปรียบดั่งสรวงสวรรค์
บนยอดเขาที่เต็มไปด้วยป่าไม้รกครึ้ม ปรากฏรูปปั้นโลหะขนาดยักษ์ของชายหนุ่มผมดำ กำลังจับมือกับหุ่นยนต์ที่มีสภาพเหมือนถูกประกอบขึ้นอย่างเรียบง่ายตั้งตระหง่าน ทอดสายตามองผืนป่าและท้องทะเลเบื้องหน้าอยู่อย่างนั้นมาเป็นเวลาหลายหมื่นปี
ฐานรูปปั้นปรากฏเป็นถ้อยคำที่ถูกสลักไว้อย่างประณีต
แด่…ผู้ที่มอบแสงสว่างให้ดาวเคราะห์สีน้ำเงินดวงนี้
– พงศภัค –
- READ คนละระดับ
- READ รุ้งกินน้ำ
- READ บุรุษเสี่ยงธูป
- READ นกแสกแห่งปี ไม่เชื่ออย่าลบหลู่
- READ บ้านฝั่งธน
- READ โลกสองใบของคนแปลกหน้า
- READ พร้าว
- READ อัสสุนีบาป
- READ ทองเผือกสีจุมออน
- READ ราวด์วอร์ด
- READ ชายร้อยคน
- READ เรือลำใหญ่ที่ไม่สิ้นฝัน
- READ ข้อความถึงความว่างเปล่า
- READ ม่านนาคราช
- READ เพื่อนแปลกหน้าห้อง 808
- READ ซี่กรงเหล็กดัดกับกล้องส่องทางไกล
- READ กอดรัก
- READ สูงเสียดฟ้าภูผาแห่งใจ
- READ ลิขิตรักข้ามภพ
- READ ไดอารี่พลิกล็อก
- READ ทำนองในความทรงจำ
- READ หลังไอรินจากไป
- READ คำมั่น ผูกพัน สัญญา
- READ นานกว่าเคย
- READ ในคืนที่ฉันไม่มีเธอ
- READ เสียงเรียกจากแดนไกล
- READ นักเวทย์คนต่อไป
- READ หน้ากากคน
- READ คนลืมกับคนจำ
- READ คนหัวกลับ
- READ เรือลำใหญ่ที่ไร้ฝั่งฝัน
- READ ภิกษุฆาต
- READ กามเทพ…ร้าย
- READ กลิ่นสาป
- READ ฟั่นเฟือน...เพื่อนรัก
- READ ผู้แทนตัวจริง
- READ มนตร์ (วิเศษ) เพียงหนึ่งคำ
- READ ไม่มีโอกาสสำหรับวันพรุ่งนี้
- READ บอกลาครั้งสุดท้าย
- READ Final destiny สถานีสุดท้าย คงใช่รัก
- READ เริ่มต้นที่อำเภอ ลงท้ายที่อำเภอ
- READ ใจอันว่างเปล่าที่รอเขามาเติมเต็ม
- READ เธอฤดูหนาว ผมฤดูฝน
- READ น้ำฝน กะ อาทิตย์
- READ เราจะเจอกันอีกครั้ง
- READ แอบรัก
- READ ถนนสายสุดท้าย... ที่ดาวตก
- READ นี่นะหรือ…เช้าวันจันทร์
- READ ภาพถ่ายสีดำที่เก็บไว้
- READ Card
- READ หรือว่ามันช้าไป?
- READ เนินนิรันดร์
- READ อนธการ
- READ บนทางที่พร่าเลือน
- READ รอยร้าว
- READ กระจกเงา
- READ อยากรู้จักรัก
- READ ยินดี
- READ รักนะ... ในความทรงจำ
- READ กลางแดดหนาว
- READ รักนำพา
- READ รักบันดาล
- READ รักลิขิต
- READ สายน้ำที่ไม่หวนคืน
- READ คุยกันวันรถติด
- READ สูงเนินสถานีที่รัก
- READ ทางสัญจร
- READ ลางกระดิ่งลม
- READ หมอฟันนางฟ้า
- READ สยามเมืองยิ้ม
- READ ลูกหลง
- READ งานแต่งงาน
- READ TH85
- READ เฟื่องฟ้าและบึงใหญ่
- READ กลับบ้าน
- READ With love…ด้วยรัก
- READ Thinking of เพราะคิด (ถึง)
- READ ให้เจ็บจนเจียนตาย
- READ ประกายเล็กๆ ของแก้วชามินต์
- READ ลูกที่ถูกทิ้ง
- READ แด่อัลมอนด์ในสายลมอุ่น
- READ บ้านสีขาวกับใบไม้เปลี่ยนสี
- READ รักโดยบังเอิญ
- READ Dreamcatcher ฝันหลอน
- READ ซ่อน...กลิ่นราตรี
- READ เมื่อฟ้าพร่างฝน
- READ พี่ชายที่แสนดี
- READ กลับบ้าน
- READ ฝันที่เปลี่ยน
- READ กราบสุดท้าย
- READ นิศาชล
- READ เสียงเพรียก....จากถ้ำผีแมน