Big Boys Cry

Big Boys Cry

โดย : ศุภสวัสดิ์

Loading

ฉันวางหนังสือนิทานระหว่างเรา คอลัมน์เกี่ยวกับ “นิทาน” ในรูปแบบวรรณกรรมเยาวชนทั้งที่เคยได้อ่านในวัยเด็กและวัยนี้ ที่ ‘ศุภสวัสดิ์’ คัดเลือกมาเล่าให้อ่านกันที่ อ่านเอา เว็บไซต์ที่ไม่ได้มีดีแค่นวนิยายออนไลน์ แต่เรายังมีคอลัมน์ต่างๆ รอให้คนรักการอ่านได้อ่านออนไลน์

**********************************

เมื่อกี้รถเราที่แล่นมาดีๆ ก็หมุนคว้าง เหมือนลูกข่างที่มีใครมาหมุนเล่น ข้าวของในรถกระเด็นกระจัดกระจาย ใจคอผมยังไม่หายตื่นเต้น แม่บอกว่าน่าจะเป็นเพราะเบรกกะทันหัน แต่โชคยังดีที่รถเรามีประกันและมันก็ไม่มีใครได้รับอันตราย “แม่ดูสิ! ไฟท้ายฝั่งซ้ายนี่แตกละเอียด แล้วประตูหลังฝั่งขวาที่แม่ไปเบียดมาก็เป็นรอย” แม่เดินมาดูความเรียบร้อยแล้วก็ออกไปยืนคอยช่างที่กำลังมาจากอู่อยู่ที่ริมถนน… ผมไม่รู้ว่าตอนนี้แม่กำลังรู้สึกอะไร และนี่ก็ไม่ใช่หนแรกที่แม่พยายามทำเหมือนว่าสามารถรับมือกับสถานการณ์ที่ไม่คาดฝันแบบนี้ได้เพียงลำพัง

“รถก็ยังไม่เก่านี่ครับ แล้วคุณขับรถมานานหรือยัง ผมว่าน่าจะเป็นปัญหาที่ยางหลัง… หรือไม่เบรกก็พัง คุณนั่งรอแป๊บเดียวเดี๋ยวผมเช็กก่อน…” ผมกำลังนึกว่าตอนนี้ที่บ้านคุณตาจะเป็นอย่างไร น่าจะยังไม่มีใครรู้ข่าว “งั้นผมขอโทร.ไปเล่าให้คุณยาย…”  “ไม่ได้นะเคน! เดี๋ยวคุณยายจะเป็นห่วงเสียเปล่าๆ เรื่องแค่นี้แม่จัดการได้” ผมเดาไว้แล้วว่าแม่ต้องพูดแบบนี้…

แม่มักจะเข้มแข็งกว่าที่พวกเราคิดเสมอ พวกเราเคยไม่เจอว่าแม่ (แอบ) ร้องไห้เลยสักครั้ง ยิ่งช่วงหลังจากที่พ่อหายไป หรือช่วงที่มีปัญหาใหญ่ๆ เกิดขึ้นกับบ้านเรา แม่คือคนที่เฝ้ารอ อดทน คอยแก้ไข และทำอะไรสักทางจนทุกอย่างจะผ่านพ้นไปด้วยดี แต่คราวนี้… ผมว่าแม่น่าจะต้องการใครสักคนอยู่ข้างๆ

“ว่าไง… รถเสียเหรอ เป็นยังไงบ้างล่ะ ให้พ่อไปหาไหม ยังอยู่ไม่ไกลเท่าไหร่นิ ไอ้เจ้าเคนจิมันบอก..” ผมส่งมือถือไปให้แม่ แน่นอนว่าผมไม่ได้โทร.หาคุณยาย “ผมขอสายคุณตาแทนครับ” แล้วแม่ก็รับโทรศัพท์ผมแล้วเดินออกไปไกล ไม่รู้ว่าพูดอะไรกับคุณตา… แม่หันมามองผมแล้วรับหันหลังกลับไป แม่อาจจะกำลังร้องไห้หรือไม่ผมก็คิดไปเองคนเดียว… ผมก็เดินกลับไปเปิดประตูรถ แล้วหยิบเอาหนังนิทานเล่มที่สองของคุณตาขึ้นมาอ่าน

//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

ตอนที่ 7 : Big Boys Cry (June, 2019) เรื่องและภาพโดย Jonty Howley

Jonty Howley หนุ่มอังกฤษอายุยังไม่ 30 ดี จบการศึกษาจาก University of the Arts London (UAL) สถาบันที่ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในสามของมหาวิทยาลัยสอนศิลปะและการออกแบบที่ดีที่สุดในโลก เขาเกิดและเติบโตที่ West Sussex เขตเทศมณฑล (County) ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ติดชายฝั่งช่องแคบอังกฤษ ปัจจุบัน Howley ทำงานเป็นบรรณาธิการและนักวาดภาพประกอบหนังสือวรรณกรรมสำหรับเด็ก ความฝันเล็กๆ ของเขาตั้งแต่เรียนจบคือการได้เป็นนักดนตรีในผับ และการได้เขียนหนังสือนิทานผ่านการเล่าเรื่องจากมุมมองของเด็กๆ สักเล่ม… Howley ได้เป็นนักดนตรีในผับเมื่อหลายปีก่อน และในปี 2019 หนังสือนิทานภาพเล่มแรก (และเล่มเดียว) ของ Jonty Howley ก็ได้ถูกตีพิมพ์ออกมาในชื่อ ‘Big Boys Cry’

สไตล์ภาพวาดของ Howley ในนิทานเล่มนี้ค่อนข้างที่จะมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว การเลือกใช้สีโทนร้อนที่ถูกทำให้ไม่สดจนเกินไปตัดกับพื้นหลังที่เป็นสีโทนเย็นอย่างสีครามของท้องฟ้าและสีเขียวน้ำทะเล สำหรับเรื่องการลงสี Howley ก็ตั้งใจทำได้ละเอียดมาก เราจะเห็นแสงเงาบนพื้นผิวต่างๆ ชัดเจน ทำให้ภาพดูเป็นสามมิติมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเส้นผม ขนที่แขน เคราบนใบหน้า รวมถึงเม็ดทรายบนชายหาด ดอกหญ้าเล็กๆ ในทุ่ง คราบสนิมบนรั้วเหล็ก และความเก่าบนพื้นไม้

นอกจากนี้ลักษณะตัวละครแต่ละตัวที่ถูกวาดออกมาก็ค่อนข้างดูเรียบง่าย ไม่ซับซ้อน แต่มีรายละเอียด ทำให้ตัวละครสามารถถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกออกมาได้ดีทั้งทางสีหน้าและท่าทาง แม้ว่าเขาจะวาดดวงตาด้วยจุดสีดำเล็กๆ เพียงจุดเดียว หรือใช้เส้นสีแดงขีดสั้นๆ เป็นปากเท่านั้น แต่ทุกอย่างกลับถูกสื่อสารออกมาได้อย่างประณีต อบอุ่น และลงตัว หลายคนสงสัยว่านิทานเรื่องแรกของ Howley นี้น่าจะเป็นเรื่องราวของเขาเองเมื่อวัยเด็ก สังเกตจากภาพบรรยากาศของเมืองท่าติดชายฝั่งทะเลที่เขาวาดออกมานั้นมีความใกล้เคียงกับ West Sussex บ้านเกิดของเขาอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว หากใครสนใจผลงานของ Jonty Howley หรือต้องการศึกษาสไตล์การวาดของเขาเพิ่มเติม ตั้งแต่การร่างภาพด้วยดินสอ การลงสีพื้นหลัง และการเก็บรายละเอียดต่างๆ จนได้ภาพที่เสร็จสมบูรณ์ ก็สามารถเข้าไปชมผลงานและภาพวาดของเขาเพิ่มเติมได้ที่ www.jontyhowley.com

Big Boys Cry เป็นเรื่องของ Levi เด็กชายคนหนึ่งที่วันนี้เขาต้องไปเรียนที่โรงเรียนแห่งใหม่เป็นวันแรก พ่อของ Levi พยายามปลอบเขาด้วยคำพูดที่ว่า “เด็กผู้ชาย โตแล้วไม่ร้องไห้หรอก” Levi ได้ยินก็เข้าใจทันทีว่าเขากำลังทำในสิ่งที่เด็กผู้ชายไม่ควรทำอยู่… แต่เรื่องราวและผู้คนที่ Levi ได้พบเจอระหว่างการเดินทางไปโรงเรียนกลับไม่ได้สอนเขาอย่างนั้น ทั้งชาวประมง นักดนตรี นักกวี และใครต่อใครอีกหลายคนที่เขาเห็นก็ร้องไห้และก็เป็นผู้ชายที่โตแล้วทั้งนั้น และจนเมื่อ Levi กลับถึงบ้าน เขาก็ได้พบว่าพ่อของเขากำลังร้องไห้อยู่ที่ระเบียงเช่นกัน…

นิทานเล่มแรกของ Jonty Howley พยายามจะบอกว่าการปล่อยให้เด็กผู้ชายเป็นเด็กผู้ชาย นั่นหมายความว่า เราต้องปล่อยให้พวกเขาแสดงอารมณ์ออกมาได้อย่างตรงไปตรงมา ผู้ชายที่โตแล้วก็สามารถแสดงความอ่อนไหวหรือเปราะบางออกมาจนกลายเป็นน้ำตาได้เช่นกัน การร้องไห้ไม่ใช่การแสดงออกถึงความอ่อนแอแต่อย่างเดียว บางครั้งลองมันอาจจะแสดงให้เราเห็นถึงความเป็นมนุษย์ (Humanity) ภายในจิตใจของพวกเขาเหล่านั้นก็ได้

เราอาจจะเคยได้ยินการปลูกฝังความเป็น ‘ลูกผู้ชาย’ มาจากคำพูดทำนองว่า ผู้ชายเป็นเพศที่แข็งแกร่งกว่าผู้หญิง, ผู้ชายต้องเป็นผู้นำครอบครัว, ลูกผู้ชายฆ่าได้หยามไม่ได้, เด็กผู้ชายต้องไม่เล่นตุ๊กตา, ความละเอียดอ่อนเป็นเรื่องของผู้หญิง หรือลูกผู้ชายต้องไม่ร้องไห้… คำพูดคำกล่าวในทำนองนี้เมื่อสั่งสมเข้าเป็นเวลานานก็อาจทำให้เด็กมีความเป็นลูกผู้ชายที่มากเกินไป หรือเกิดภาวะความเป็นลูกผู้ชายที่เป็นพิษ (Toxic Masculinity) เกิดการผลิตลูกผู้ชายที่ก้าวร้าว กดขี่ผู้ที่อ่อนแอกว่า กลั่นแกล้งผู้ชายที่ไม่แสดงออกเหมือนกับตัวเอง

ผมว่า ‘ความเป็นลูกผู้ชาย’ ในสังคมปัจจุบันเริ่มมีคำจำกัดความที่กว้างและหลากหลายมากขึ้น จากเดิมที่สังคมให้การยอมรับและยกย่องความเป็นลูกผู้ชายเพียงรูปแบบเดียว นั่นคือผู้ชายที่แข็งแกร่ง ประสบความสำเร็จ และเป็นผู้นำ หรือผู้ชายที่ต้องพิสูจน์ความ ‘แมน’ ด้วยการแสดงท่าทีที่แข็งกร้าวและเข้มแข็งอยู่เสมอ เช่น กินเหล้า สูบบุหรี่ ชกต่อยกับผู้อื่น เป็นต้น แต่ในความเป็นจริงแล้วผู้ชายก็สามารถเศร้า เสียใจ หรืออ่อนแอให้คนอื่นเห็นได้ ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร การห้ามไม่ให้อารมณ์ต่างๆ เกิดขึ้นหรือไปบังคับควบคุมว่าจะต้องรู้สึกอย่างไรกลับเป็นเรื่องผิดธรรมชาติ เด็กๆ ที่ไม่รู้จักอารมณ์ตัวเอง ไม่กล้าแสดงอารมณ์เชิงลบ สุดท้ายก็ไม่รู้จะระบายออกอย่างไร อาจนำไปสู่ภาวะเก็บกดทางอารมณ์ หรือบางครั้งก็ไปแสดงออกมาเป็นอาการต่างๆ ทางร่างกายก็เป็นได้

ผมว่าถ้าเราไม่เคยอนุญาตให้ตัวเองร้องไห้กับเรื่องอะไรเลย มันก็คงยากลำบากเหมือนกันที่เราจะไปเข้าใจถึงความรู้สึกของคนรอบๆ ข้าง ผมว่าไม่แปลกอะไร ถ้าผู้ชายจะยอมรับความจริงได้ว่าช่วงนี้ผมรู้สึกไม่ไหวแล้ว ช่วงนี้ผมอ่อนแอเหลือเกิน และกล้าพอที่จะกางแขนกว้างๆ เปิดรับความแข็งแกร่งจากใครต่อใครรอบๆ ตัว ให้คนอื่นๆ ได้ลองให้กำลังใจคุณบ้าง ได้มอบพลังใจให้คุณบ้าง ไม่จำเป็นที่ผู้ชายจะต้องแข็งแกร่งตลอดเวลา ความเข้มแข็งทางอารมณ์และจิตใจไม่ว่าเพศไหนก็เหมือนกัน

Don`t copy text!