ก่อนย่ำสนธยา บทที่ 8 : ก้าวไม่เท่าทัน (1)
โดย : สัมพันธ์ สุวรรณเลิศ
ก่อนย่ำสนธยา โดย สัมพันธ์ สุวรรณเลิศ เจ้าของรางวัลรองชนะเลิศจากโครงการอ่านเอาก้าวแรก รุ่นที่ 3 ที่มาพร้อมเรื่องราวของหญิงวัยเกษียณที่ต้องพบบททดสอบแห่งชีวิต โดยเฉพาะเมื่อเธอมาเสียท่าให้มิจฉาชีพในคราบญาติมิตร เธอจะพลิกฟื้นให้กลับมามาดมั่นในตัวเองได้หรือไม่ พบคำตอบได้ใน anowl.co
ธารีช่วยฉันคลายเหงาได้มาก ข้อดีของธารีคือเป็นคนรู้จักการพูดจาโลมเล้าเอาใจ ดังนั้นเมื่อธารีมาดูแลฉัน น้องก็จะพยายามชวนพูดคุย หรือหาอะไรมาให้ทำคลายเหงา อย่างล่าสุด ธารีก็สอนให้ฉันเล่นแอปพลิเคชันในโทรศัพท์จำพวกสังคมออนไลน์
“พี่กุนไม่เคยเล่นเลยหรือคะ”
“เคยเห็นเด็กๆ เขาเล่นกัน แต่พี่เล่นไม่เป็นหรอก ไม่รู้สนุกตรงไหน” ฉันตอบ
“สนุกสิคะ แรกๆ น้องก็สมัครไว้เพื่อติดตามดูว่าคนรู้จักคนไหนประกาศขายอะไร จะได้เสนอตัวไปช่วยขาย แต่เล่นไปเล่นมาก็เพลินดีค่ะ น้องได้พบเพื่อนสมัยเรียนที่ไม่ได้พบกันนานหลายสิบปีแล้ว บางครั้งเขาก็โพสเตือนสถานการณ์ให้เราระวังตัว เรื่องสุขภาพก็มีค่ะ จำพวกแนะนำวิธีการดูแลสุขภาพต่างๆ…มาค่ะ เดี๋ยวน้องโหลดแอปลงเครื่องแล้วก็สมัครสมาชิกให้พี่กุนเอง…”
ธารีสอนฉันเล่นแอปสังคมออนไลน์ไปสักพัก ฉันก็เริ่มสนุกเพลิดเพลิน เพียงระยะเดียวก็พอรู้จักวิธีการเล่นได้คล่องมือ สองสามวันฉันก็สามารถติดต่อเพื่อนสมัยเรียนตั้งแต่ชั้นมัธยมถึงมหาวิทยาลัยที่ไม่ได้พบเจอกันมานาน ฉันรู้สึกขอบใจธารีที่ช่วยเปิดโลกอีกใบให้ฉัน
“อุ้ยธารีดูนี่สิ จำหยกเพื่อนพี่ได้ไหม นี่มีหลานชายจ้ำม่ำเชียว น่าเกลียดน่าชังอะไรอย่างนี้” ฉันยื่นโทรศัพท์ให้ธารีดู
“พี่กุนก็เขียนชมสิคะ”
“อ้าวทำได้หรือ ทำยังไงบอกพี่หน่อย”
ธารีสอนให้ฉันเขียนตอบโต้ในช่องแสดงความคิดเห็น “พี่กุนอยากแสดงความคิดเห็นอะไรเกี่ยวกับเรื่องที่ได้เห็นหรืออ่าน สามารถเขียนลงในนี้ได้เลยค่ะ เขียนแล้วก็กดส่ง สักพักถ้าเพื่อนพี่ได้อ่านก็จะมาตอบข้างล่างค่ะ”
“ว้ายๆ นี่หยกตอบมาแล้ว…” ฉันร้องบอกธารีอย่างตื่นเต้นก่อนอ่านข้อความที่หยกตอบมาให้ธารีฟัง ‘ขอบใจจ้ะกุน เราคิดถึงกุนนะ’
มันสนุกดีจริงๆ จากนั้นฉันก็เริ่มจมกับหน้าจอโทรศัพท์แทบจะทั้งวัน ทั้งเรื่องราวของคนรู้จัก ข่าวสารต่างๆ ในวงสังคม ฉันเพลิดเพลินกับข้อมูลที่แชร์กันในสังคมออนไลน์อย่างไม่รู้จบรู้สิ้น
เย็นวันหนึ่ง ยายนันท์กลับบ้านเร็วกว่าปกติพร้อมหอบหิ้วอาหารจากนอกบ้านกลับมาด้วย
“วันนี้นันท์สั่งอาหารจากร้านโปรดของแม่มาค่ะ เดี๋ยวนันท์ไปอุ่นสักประเดี๋ยวก็ได้กินแล้ว แม่กับน้าธารีหิวหรือยังคะ”
“อุ่นกับอะไรยายนันท์” ฉันถาม
“ไมโครเวฟไงคะ สะดวกดี แป๊บเดียว”
“ว้าย ไม่ได้นะยายนันท์ นี่แกไม่รู้เหรอ…” ฉันร้องท้วงขึ้น ก่อนเล่าข้อมูลที่ฉันอ่านจากสื่อสังคมออนไลน์ว่า มีผลการวิจัยรับรองว่าการอุ่นอาหารด้วยเตาไมโครเวฟจะทำให้ผู้รับประทานอาหารมีความเสี่ยงเป็นมะเร็งสูงขึ้น
“เหลวไหลน่ะแม่” ยายนันท์ไม่เชื่อ
“ก็ที่แม่อ่านเขาบอกว่า เขาทดลองด้วยการเอาน้ำไปอุ่นในไมโครเวฟ แล้วนำมารดต้นไม้ในกระถางที่ปลูกไว้ เปรียบเทียบกับอีกต้นที่รดด้วยน้ำธรรมดา ปรากฏว่าต้นที่รดด้วยน้ำที่ผ่านการเข้าเตาไมโครเวฟเจ็ดวันก็เฉาตาย ส่วนต้นที่รดด้วยน้ำธรรมดายังปกติสดชื่นดี ทีมวิจัยเขาเอาน้ำที่ผ่านเตาไมโครเวฟไปศึกษาพบว่าน้ำมันเรียงโมเลกุลใหม่ และโมเลกุลนั้นก็เป็นพิษต่อสิ่งมีชีวิต อุ้ยน่ากลัวจะตายเลิกใช้เถอะ” ฉันอธิบายในสิ่งที่อ่านมา
ยายนันท์ได้ยินแล้วก็ส่ายหน้าเห็นเป็นเรื่องขัน
“เชื่อไว้ก็ไม่เสียหายนี่ แกมันรั้น ถ้าไม่เจ็บไม่ตายก่อนคงคิดไม่ได้ ไม่เอาละยังไงแม่ก็ไม่ใช่ไมโครเวฟเด็ดขาด” ฉันเถียงหัวชนฝา
“เอาค่ะ เอาค่ะ เดี๋ยวธารีไปอุ่นให้เอง น้องนันท์ไปล้างหน้าล้างตาก่อน แล้วลงมากินข้าวพร้อมกัน” ธารีพูดตัดความ
ยายนันท์ส่งถุงอาหารให้ธารีก่อนเดินขึ้นห้องของตัวเอง ส่วนฉันผู้ไม่ยอมแพ้ก็แกล้งพูดเสียงดังสั่งน้องว่า “ธารีอุ่นกับเตาแก๊สนะ ห้ามอุ่นกับเตาไมโครเวฟเด็ดขาด พี่กลัวเป็นมะเร็ง…”
ฉันรู้สึกขัดเคืองใจลูกสาวอยู่ไม่น้อย ก็มัวทำแต่งานเลยไม่สนใจว่าความรู้มันไปถึงไหนแล้ว คอยดูเถอะเตือนไม่ฟัง ป่วยขึ้นมาจะไม่สงสารเลย
จากวันนั้นมา เมื่อฉันได้ความรู้อะไรใหม่จากสังคมออนไลน์ ฉันก็ไม่เล่าให้ยายนันท์ฟังอีกเลยเพราะรำคาญที่ลูกจะมาค่อยขัด
‘เครื่องดื่มสูตรลดน้ำตาลเหมาะสำหรับผู้สูงอายุที่มีอาการเบาหวาน โยเกิร์ตสูตรปกติหนึ่งถ้วย น้ำผึ้งแท้สองช้อนโต๊ะ น้ำมะนาวสดหนึ่งลูก โซดาสองร้อยห้าสิบมิลลิลิตร แอปเปิลไซรัปและแอปเปิลไซเดอร์อย่างละหนึ่งช้อนโต๊ะ ผสมให้เข้ากันดื่มวันละแก้วในมื้อเช้า สูตรนี้ได้รับการค้นคว้าและวิจัยจากทีมแพทย์ชาวสหรัฐอเมริกา ผลการศึกษาพบว่า ผู้ที่ดื่มเครื่องดื่มสูตรนี้ทำให้ค่าน้ำตาลในเลือดลดลง และสามารถหยุดยาลดน้ำตาลได้ในเดือนที่สามหลังจากรับประทาน แชร์ไปถึงคนที่คุณรัก’
ฉันอ่านข้อความที่แชร์กันในสื่อสังคมออนไลน์ดังๆ ในธารีฟัง
“อุ้ย น่าสนใจนะคะ ดีกว่ากินยา ส่วนผสมก็หาง่ายๆ เรามาลองทำดื่มกันไหมคะพี่กุนเดี๋ยวน้องจัดการให้ทุกเช้า”
“รอให้ยายนันท์ออกไปทำงานก่อนนะแล้วค่อยทำ เดี๋ยวจะขัดคอให้เสียอารมณ์ อีกสามเดือนกว่าๆ จะถึงวันคุณหมอเบาหวานนัด พี่ตั้งใจจะกินให้ครบสามเดือนตามที่สูตรบอกเลย คอยดูนะไปหาหมอคราวนี้แล้วผลออกมาว่าพี่ไม่ต้องกินยาลดน้ำตาลอีก พี่ถึงจะค่อยบอกยายนันท์ว่า พี่ดื่มเครื่องดื่มสุขภาพตามสูตรที่แชร์กันในสื่อสังคมออนไลน์แล้วหาย ยายนันท์มันจะได้หน้าหงายที่เอาดีขัดพี่ตลอด” ฉันเล่าแผนที่กะเกณฑ์ไว้ในใจให้ธารีฟัง
หลังจากที่อาการบาดเจ็บของฉันดีขึ้น ฉันสามารถเดินเหินระยะใกล้ๆ โดยมีไม้เท้าพยุงตัว สามารถเข้าห้องน้ำได้เอง และนอกจากนี้ยังมีธารีช่วยดูแล ทางด้านยายนันท์ก็เริ่มเบาใจมากขึ้น วันอาทิตย์นี้ลูกจึงขอตัวออกไปกินข้าวกับเพื่อนข้างนอกเพื่อหย่อนใจบ้าง ฉันก็ไม่ติดขัดอะไรเพียงแต่อยากออกไปข้างนอกบ้างเท่านั้น
“นันท์ออกไปกินข้าวกับเพื่อนๆ แถวบางตะบูนนะคะ”
“บางตะบูนไหน เพชรบุรีนั้นน่ะหรือ” ฉันถาม
“ใช่ค่ะ เดี๋ยวนี้เขาทำทางลัดจากแม่กลองไปอีกนิดเดียวก็ถึง” ศาตนันท์ตอบ
“พาแม่กับน้าธารีไปด้วยสิ แม่ไม่ได้ออกไปไหนเลย”
“สัปดาห์หน้าดีไหมคะ วันนี้มีแต่เพื่อนๆ นันท์ทั้งนั้น กลัวแม่จะอึดอัด”
“แกไม่ได้กลัวแม่จะอึดอัดหรอก แกกลัวนายกฤตย์อึดอัดมากกว่า” ฉันเริ่มพาลที่ลูกไม่ตามใจ
“สัปดาห์หน้านันท์ค่อยพาแม่กับน้าธารีไปนะคะ แม่กับน้าอยากไปไหนคิดไว้เลยค่ะ” ยายนันท์พูดตัดความ ก่อนที่รถคันหนึ่งจะมาจอดหน้าบ้าน
“เพื่อนมารับแล้วนันท์ไปก่อนละค่ะ คงถึงบ้านค่ำๆ หน่อย แล้วนันท์จะโทรบอกเป็นระยะค่ะ” ลูกยกมือไหว้ลาฉันและธารี ฉันส่งสัญญาณให้ธารีตามออกไปดูว่าใครมารับยายนันท์ สักพักธารีก็กลับมาพร้อมรายงานว่า “ผู้กองกฤตย์มารับค่ะ”
“พี่ละไม่อยากให้ยายนันท์คบกับนายคนนี้เลย ถึงแม้จะรูปร่างดี กิริยามารยาทเรียบร้อย ครอบครัวก็ดี การงานก็ก้าวหน้า แต่พี่ก็ยังติดว่าเป็นตำรวจซ้ำยังประจำอยู่ต่างจังหวัด ไม่รู้นี่ซุกเมียไว้กี่คนแล้ว โบราณท่านว่า รถไฟ เรือเมล์ ลิเก ตำรวจ ไว้ใจไม่ค่อยได้ พี่กลัวยายนันท์จะซ้ำรอยพี่จริงๆ” ฉันปรับทุกข์กับธารี
ธารีไม่ตอบอะไรเพียงยิ้มมุมปากน้อยๆ ก่อนเดินเข้าครัวไป แล้วกลับออกมาพร้อมเครื่องดื่มสูตรลดน้ำตาลที่ได้มาจากสื่อสังคมออนไลน์ “น้องว่าหลานก็เกินไปนิด วันหยุดแท้ๆ น่าจะพาแม่ไปเปิดหูเปิดตาบ้าง อุดอู้อยู่แต่ในบ้านมาตั้งหลายเดือน พอเดินเหินได้คล่องก็น่าจะพาไปหย่อนใจ ไม่เห็นใจคนแก่เลย เหมือนเห็นเพื่อนเห็นแฟนดีกว่า…”
คำพูดของธารีทำให้ฉันยิ่งหงุดหงิด จึงหยิบรีโมตโทรทัศน์มากดเปิดเครื่อง รายการเช้านี้เป็นรายการข่าว ฉันก็ไม่สู้สนใจอะไรนัก เปิดฟังให้มันพอผ่านหูแก้เบื่อแก้เหงาไปเท่านั้น มือก็หยิบโทรศัพท์มาไถดูข่าวสารในสื่อสังคมออนไลน์ตามความเคยชิน สักครู่รายการโทรทัศน์ก็เป็นข่าวบันเทิง เนื้อหาข่าวกล่าวถึงครอบครัวคู่รักดาราที่ใครๆ ก็ชื่นชมในความเหมาะสม แต่จู่ๆ ก็เกิดรักร้าวต้องเลิกราเพราะมีดาราสาวคนหนึ่งเข้ามาคั่นกลางเป็นมือที่สาม ข่าวทางโทรทัศน์รายงานเรื่องราวเพียงคร่าวๆ เท่านั้น
“พี่กุนดูสิคะ คนสมัยนี้มันยังไงกัน คนเขามีลูกมีเมียแล้วยังจะไปยุ่งเกี่ยว ดูสิตัวเองก็ยังสาวยังสวย ทำไมเป็นแบบนี้ไปได้” ธารีฟังข่าวแล้วก็พูดกับฉัน
ถ้าแม่ของเรายังมีชีวิตอยู่และได้ฟังธารีพูดเช่นนี้แม่คงพูดว่า ‘มันเรื่องส่วนตัวของเขา เรามันคนนอก เราไม่รู้หรอกว่าเรื่องแท้จริงข้างในครอบครัวเขาเป็นยังไง ฟังแล้วก็ให้มันผ่านไป อย่าไปยุ่งความผัวความเมียเขา เอาตัวเองให้มันรอดเสียก่อน’
แต่นี่เป็นฉัน คนที่มีประสบการณ์ร่วมเกี่ยวกับเรื่องนี้ และคงผสมกับอารมณ์ขุ่นมัวจากเมื่อเช้าที่ยังไม่จางดี ทำให้ฉันอารมณ์ขึ้นวิจารณ์ไปว่า “อย่าว่าสมัยนี้สมัยโน้นเลย ผู้หญิงมักได้ ถ้ามันจะเอาเสียอย่างลูกใครผัวใครมันไม่เว้นทั้งนั้นละ ครอบครัวใครจะร้าวฉาน ใครจะทุกข์จะเสียใจมันก็ไม่สนใจหรอก พูดแล้วก็น่าโมโห”
“คนแบบนี้ต้องโดนสังคมประณามค่ะ” ธารีแสดงความเห็น
“ต้องประจานให้อายด้วยถึงจะสาสม” ฉันกล่าว
ปากพูดตาก็ดูข่าวสารที่หลั่งไหลอยู่บนหน้าจอโทรศัพท์ สักครู่ข่าวมือที่สามทำครอบครัวดาราคู่สร้างคู่สมพังก็เลื่อนมาที่หน้าจอโทรศัพท์ฉัน ฉันตั้งใจอ่านข้อมูลรายละเอียดที่ในสังคมออนไลน์ให้มากกว่าในโทรทัศน์ ข้อมูลเชิงลึกราวกับผู้เขียนเป็นแมลงหวี่แมลงวันที่เกาะอยู่ตามฝาผนังบ้านที่เกิดเรื่องจึงรู้เห็นทุกอย่างเป็นอย่างดี เมื่ออ่านจบฉันไม่ลืมที่จะเปิดดูความคิดเห็นของสมาชิกสื่อสังคมออนไลน์เข้ามาแสดงความคิดเห็น แม้ในข่าวจะเป็นชื่อย่อ แต่หลายคนก็เดาได้ว่าผู้หญิงที่เป็นมือที่สามคนนั้นเป็นใคร บางคนตำหนิอ้อมๆ บางคนก็ระบุชื่อโดยตรง บางคนหนักถึงขั้นแท็กซ์ให้คนที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นมือที่สามเข้ามาอ่านคำที่ตนเองด่าอย่างสาดเสียเทเสียเพื่อความสะใจ
ฉันรู้สึกมีอารมณ์ร่วม หรือที่ภาษาเด็กสมัยนี้เรียกว่า ‘อิน’ คนแบบนี้ต้องด่าประจานให้อาย กี่ครอบครัวมาแล้วต้องพังเพราะคนแบบนี้ ฉันรัวข้อความในช่องแสดงความคิดเห็นว่า
ไม่รู้ว่าคอนกรีตที่ราดถนนกับหน้าคุณมีมี่ อย่างไหนมันหนากว่ากัน และระหว่างถนนพระรามสองสร้างเสร็จกับคุณมีมี่จะสำนึกได้อย่างไหนจะเกิดก่อนกัน เสียแรงที่ติดตามผลงานมาตลอด ไม่คิดว่าจะแย่ได้ถึงขนาดนี้…
ฉันกดส่งโดยไม่อ่านทวน ‘คนแบบนี้ต้องโดนอย่างนี้ถึงจะสาสม’ ฉันคิดว่าตัวเองคือผู้ผดุงความยุติธรรมให้สังคม ฉันทำเพื่อให้สังคมน่าอยู่ขึ้น โดยไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วสังคมต้องการให้ฉันทำเช่นนั้นหรือไม่
ตกค่ำรถนายกฤตย์ขับมาส่งยายนันท์แล้วขอลงมากราบสวัสดีฉันด้วย ส่วนยายนันท์หน้าตาเหมือนคนบอกบุญไม่รับ นี่คงทะเลาะกันมาละสิ ฉันประเมินในใจ
“สวัสดีครับคุณน้า” นายกฤตย์กระพุ่มมือขึ้นไหว้ฉันอย่างนอบน้อม
ฉันยกมือรับไหว้ แล้วก็พูดไปอย่างไม่ค่อยเป็นมิตรว่า “เย็นย่ำค่ำมืดขนาดนี้แล้ว พรุ่งนี้ไม่ต้องทำงานหรือคะคุณผู้กอง กว่าจะกลับไปถึง…ก็น่าจะอีกหลายชั่วโมง”
“อ้อ นอกจากผมจะมากราบสวัสดีคุณน้าแล้ว ก็จะถือโอกาสกราบเรียนด้วยว่าผมได้ย้ายมาประจำในท้องที่ปทุมแล้วครับ…” นายกฤตย์ระบุชื่อสถานีซึ่งเป็นเขตรอบนอกจังหวัดปทุมธานี แต่ก็ไม่ไกลเกินไปนัก
“อ้อ ก็ดีแล้ว” ฉันตอบแค่นั้น
นายกฤตย์คงสงสัยท่าทีที่เปลี่ยนไปของฉันไม่น้อย ถ้าคุณยังคงจำวีรกรรมชวนไปลองดีบ้านผีสิงของยายนันท์และเพื่อนๆ ได้ นายกฤตย์นี้ก็เป็นหนึ่งในแก็งแสบคราวนั้น จริงอยู่ที่ยายนันท์เรียนอยู่โรงเรียนหญิงล้วน แต่กลุ่มยายนันท์ก็มารู้จักนายกฤตย์ที่โรงเรียนกวดวิชา ทำไปทำมานายกฤตย์ก็ทำตัวเป็นลูกไล่สาวๆ ในกลุ่มยายนันท์
หลังจากเหตุการณ์บ้านร้างผีสิง ฉันให้ลูกชวนเพื่อนๆ กลุ่มนี้มากินข้าวที่บ้านเพื่อทำความรู้จัก เพราะอยากรู้ว่าแท้จริงแล้วแค่เป็นเด็กคึกคะนอง หรือเป็นเด็กเหลวแหลกร้ายกาจกันแน่ แต่เมื่อได้พบกัน ฉันก็ตัดสินได้ไม่ยากว่าเด็กๆ กลุ่มนี้แค่คะนองกันไปตามประสาเท่านั้น
หลังจากเข้าบ้านฉันได้ครั้งหนึ่งโดยที่ฉันไม่รังเกียจ นายกฤตย์ก็มาที่บ้านฉันเป็นประจำ ฉันเห็นว่านายกฤตย์ขยันและตั้งใจเรียน ซ้ำยังช่วยยายนันท์ติวหนังสือก็นึกเอ็นดู ยินดีต้อนรับขับสู้เสมอมา นายกฤตย์ก็น่ารัก เรียกฉันว่าแม่ทุกคำ จนเมื่อนายกฤตย์สอบติดโรงเรียนเตรียมฯ เหล่าตำรวจ จบออกมารับราชการที่จังหวัดห่างไกล และมีทีท่าจะชอบพอยายนันท์ ฉันก็ตั้งข้อรังเกียจทันที สารภาพตามตรงฉันกลัวยายนันท์จะต้องมาเสียใจอย่างฉัน
คราวหนึ่งเขามาเยี่ยมแล้วเรียกฉันว่าแม่อย่างเคย ฉันก็ตอบไปตามที่จำมาจากละครหลังข่าวที่แม่ของสาวเจ้าซึ่งตั้งข้อรังเกียจว่าที่ลูกเขยจะพึงตอบให้ว่าที่ลูกเขยเจ็บแสบและล้าถอยออกไปว่า ‘ฉันจำได้ว่าฉันคลอดลูกมาแค่สองคน คือ ตานะกับยายนันท์’
นายกฤตย์หน้าเสียแล้วก็เปลี่ยนสรรพนามเรียกฉันว่าคุณน้าตั้งแต่นั้นมา
นายกฤตย์คงไม่รู้ว่าความจริงฉันไม่ได้รังเกียจอะไรเขาเลย เพียงแต่ฉันกลัวว่าหากยายนันท์ตบแต่งไปกับเขา สภาพผัวอยู่ทางเมียอยู่ทางจะไปรอดกันได้เช่นไร สุดท้ายยายนันท์ก็คงไม่แคล้วต้องมีชะตากรรมอย่างฉัน ถ้ามันจะเป็นอย่างนั้น สู้ฉันตัดไฟตั้งแต่ต้นลมไม่ดีกว่าหรือ
“กฤตย์รีบกลับดีไหมคะ พรุ่งนี้เวรเช้าด้วย กลับไปถึงดึกเดี๋ยวจะพักผ่อนไม่พอ ไปค่ะ นันท์เดินไปส่ง” ตากฤตย์ยินยอมกลับโดยดี ก่อนกลับยกมือไหว้ลาฉันและธารีอย่างอ่อนน้อมอีกครั้ง
“ว่างๆ ผมจะมากราบเยี่ยมใหม่นะครับ”
ฉันไม่ตอบอะไร
หลังจากส่งนายกฤตย์แล้ว ยายนันท์ก็เดินกลับมายืนที่หน้าฉัน สายตาเอาเรื่อง “วันนี้แม่ทำอะไร”
“แม่ทำอะไร แม่ก็อยู่บ้านกับน้าแกน่ะสิยายนันท์ มีแต่แกที่ตะลอนอยู่ข้างนอกตลอดวัน” ฉันตอบ
ลูกคงเบื่อจะอธิบายอะไรเต็มทน จึงเปิดโทรศัพท์ให้ดูความคิดเห็นที่ฉันเขียนตำหนิดาราสาวมือที่สาม “แม่ไปเขียนแบบนี้ได้ยังไง แม่กำลังไปละเมิดเขาอยู่ แม่รู้ไหมมันผิดกฎหมาย”
“แกเห็นที่ฉันพิมพ์ได้ยังไง” ฉันรู้สึกว่ายายนันท์กำลังจับผิดฉัน
“ก็นันท์ตั้งค่าให้แม่เป็นเพื่อนสนิท ไม่ว่าแม่จะโพสหรือทำกิจกรรมอะไรมันจะแจ้งเตือนนันท์”
“ก็แล้วทำไมฉันจะด่าไม่ได้ ก็มันไปแย่งผัวเขามาจริงๆ นี่” ฉันวกเข้ามาเถียงเรื่องเดิม
“แม่ไม่มีสิทธิ์ค่ะ มันเป็นเรื่องของพวกเขาสามคน คนที่จะฟ้องได้ก็มีแต่ภรรยาหลวงเท่านั้น แม่ไม่เกี่ยว”
“เกี่ยวสิ ก็มันเป็นบุคคลสาธารณะฉันมีสิทธิ์วิจารณ์” ฉันไม่ยอมลดราวาศอก
“ถ้าแม่วิจารณ์ผลงานเขาโดยบริสุทธิ์ใจและสุภาพแม่ไม่ผิดค่ะ แต่นี่มันเรื่องส่วนตัว แล้วแม่ก็ไม่ใช่บุคคลที่มีส่วนได้เสียกับเรื่องนี้ แล้วข้อความที่แม่พิมพ์มันไม่ใช่คำวิจารณ์ แต่มันคือคำด่าและเสียดสี”
“ฉันก็ไม่ได้ด่าคนเดียวนี่ ใครๆ ก็ด่า”
ยายนันท์คงสุดทนกับการอธิบาย จึงเปิดหน้าจอไปที่หน้าต่างสื่อสังคมออนไลน์ของดาราสาวคนนั้น แล้วส่งให้ฉันอ่าน
หน้าจอที่ฉันเห็นเป็นข้อความที่ดาราสาวแชร์ต่อมาจากทนายส่วนตัวของเธอ
‘ด่ากันขนาดนี้ พบกันที่ศาลอย่างเดียวครับ หมายศาลชุดแรกกำลังจะออกเดินทาง อย่าลืมปัดกวาดรั้วให้ดี ครุฑกำลังจะบินไปเกาะที่รั้วบ้านคุณแล้ว #ทุกคำด่ามีราคาที่ต้องจ่าย #รับคำขอโทษเป็นเงินสดเท่านั้น’
ฉันเริ่มหน้าเสีย แต่ก็ยังไม่ยอมรับความผิดอยู่ดี “ฉันก็ไม่ได้ด่าอะไรนี่ คนอื่นด่าแรงกว่าฉันตั้งเยอะ”
ยายนันท์ส่ายหน้าอย่างระอา “รอดูกันไปแล้วกันคะ” พูดจบก็เดินขึ้นชั้นบนไป
ฉันรอจนยายนันท์เดินลับเข้าห้องไปแล้ว ก็รีบถามธารีว่า “ธารีที่พี่ไปพิมพ์ในคอมเมนต์มันลบยังไง…”
- READ ก่อนย่ำสนธยา บทที่ 12 : ผู้หญิงคนนั้นกับปมในใจของฉัน (2)
- READ ก่อนย่ำสนธยา บทที่ 12 : ผู้หญิงคนนั้นกับปมในใจของฉัน (1)
- READ ก่อนย่ำสนธยา บทที่ 11 : จะกอบกู้มันได้อย่างไร (2)
- READ ก่อนย่ำสนธยา บทที่ 11 : จะกอบกู้มันได้อย่างไร (1)
- READ ก่อนย่ำสนธยา บทที่ 10 : พังทลายในพริบตา (2)
- READ ก่อนย่ำสนธยา บทที่ 10 : พังทลายในพริบตา (1)
- READ ก่อนย่ำสนธยา บทที่ 9 : พลาดพลั้ง (2)
- READ ก่อนย่ำสนธยา บทที่ 9 : พลาดพลั้ง (1)
- READ ก่อนย่ำสนธยา บทที่ 8 : ก้าวไม่เท่าทัน (2)
- READ ก่อนย่ำสนธยา บทที่ 8 : ก้าวไม่เท่าทัน (1)
- READ ก่อนย่ำสนธยา บทที่ 7 : แห้งเฉา (2)
- READ ก่อนย่ำสนธยา บทที่ 7 : แห้งเฉา (1)
- READ ก่อนย่ำสนธยา บทที่ 6 : บ้างร่วงโรยรา (2)
- READ ก่อนย่ำสนธยา บทที่ 6 : บ้างร่วงโรยรา (1)
- READ ก่อนย่ำสนธยา บทที่ 5 : วันเคลื่อนเดือนผ่าน (2)
- READ ก่อนย่ำสนธยา บทที่ 5 : วันเคลื่อนเดือนผ่าน (1)
- READ ก่อนย่ำสนธยา บทที่ 4 : ชีวิตใหม่ (3)
- READ ก่อนย่ำสนธยา บทที่ 4 : ชีวิตใหม่ (2)
- READ ก่อนย่ำสนธยา บทที่ 4 : ชีวิตใหม่ (1)
- READ ก่อนย่ำสนธยา บทที่ 3 : ผิดหวัง (3)
- READ ก่อนย่ำสนธยา บทที่ 3 : ผิดหวัง (2)
- READ ก่อนย่ำสนธยา บทที่ 3 : ผิดหวัง (1)
- READ ก่อนย่ำสนธยา บทที่ 2 : พี่ศานติ (2)
- READ ก่อนย่ำสนธยา บทที่ 2 : พี่ศานติ (1)
- READ ก่อนย่ำสนธยา บทที่ 1 : ฉันชื่อกุนตี (3)
- READ ก่อนย่ำสนธยา บทที่ 1 : ฉันชื่อกุนตี (2)
- READ ก่อนย่ำสนธยา บทที่ 1 : ฉันชื่อกุนตี (1)