บ่วงเวรา บทที่ 11 : ตัดไม้อย่าไว้หนามหน่อ

บ่วงเวรา บทที่ 11 : ตัดไม้อย่าไว้หนามหน่อ

โดย : สัมพันธ์ สุวรรณเลิศ

บ่วงเวรา นวนิยายรางวัลรองชนะเลิศ โครงการอ่านเอาก้าวแรก ๓  โดย สัมพันธ์ สุวรรณเลิศ กับเรื่องราวของวังวนความรักและความแค้น ความมุ่งมั่นที่จะตอบแทน ทำลายล้างฝ่ายตรงข้ามให้สาสม แล้วความรักจะเยียวยาใจแก้ไขความแค้นได้จริงหรือ…อ่านเอาขอเชิญทุกท่านร่วมเพลิดเพลินไปกับนวนิยายพีเรียดสุดเข้มข้นเรื่องนี้ที่ anowl.co

เพียงไม่กี่วันออกญายมราชก็ได้รับข่าวดี เขาเรียกบุตรสาวมาแจ้งข่าว ฝ่ายนางฉายผู้บุตรสาวนั้นก็ลิงโลดยินดีที่ตนเองจะได้เป็นห้ามแหนของเจ้านายชั้นสูง ออกญายมราชไม่ได้บอกความจริงแก่นางว่า เหตุใดพระเยาวราชจึงรับนางเป็นหม่อม ความทะนงและถือดีมาโดยตลอดทำให้นางไพล่คิดไปเองว่า พระเยาวราชติดตาต้องใจความงามของตน

เมื่อนางฉายเดินเหมือนจะลอยออกจากห้องของออกญายมราชผู้พ่อไปแล้ว บ่าวคนสนิทของออกญาจึงถามนายเชิงปรึกษาว่า “เรื่องลูกชายอ้ายแม้น ใต้เท้าจะจัดการเช่นไรดีขอรับ”

“แต่แรกกูก็ว่า หลังจากพระเยาวราชยอมรับเงื่อนไข ก็จะให้เนรเทศมันไปอยู่มะริดหรือทวาย แล้วค่อยทำให้มันตายด้วยไข้ป่าระหว่างทาง…” เขาหมายจะฆ่าลูกชายศัตรูที่กลางทาง นักโทษเนรเทศที่ยังเยาว์ จะตายด้วยไข้ป่าระหว่างทางลำบากก็คงไม่มีใครติดใจสงสัยอะไร “…แต่นี่เหมือนพระเยาวราชจะรู้ทางกู จึงชิงขอให้อ้ายมาศให้มาอยู่ในปกครองเสีย…” ออกญาโฉดนิ่งคิด

“ใต้เท้าจะปล่อยมันไปก่อนหรือขอรับ”

“กว่ากูจะมีโอกาสเช่นนี้ไม่ง่ายเลย เรื่องอะไรก็จะยอมปล่อยมันไป”

“แต่พระเยาวราชประสงค์ให้เรานำตัวไอ้เด็กนั้นไปส่งในวันที่รับตัวคุณฉายเข้าวังนะขอรับ”

“อ้ายพูน เอ็งไปบอกจางวางอู๋ว่ากูยอมตามพระประสงค์ ในวันที่ส่งตัวลูกสาวกูเข้าวัง ก็จะส่งตัวลูกชายอ้ายแม้นไปถวายเช่นกัน ให้จางวางอู๋ไปรอรับมันที่เรือนอ้ายแม้น กูจะเปิดโอกาสให้ย่าหลานมันได้ร่ำลากันก่อน…เพราะวันนั้นกูก็จะเนรเทศอีเภาย่ามันไปเชลียง”

อ้ายพูนรับคำแล้วรีบไปส่งข่าวในทันที

“อ้ายพัน มึงไปตามตัวอ้ายฮงคนคุมโรงรับชำเราชายที่ปากคลองนายไก่ บอกมันว่ากูมีงานสำคัญให้ทำ เตือนมันให้ตระเตรียมเครื่องมือให้พร้อมสรรพ…หึหึ”

 

จางวางอู๋รับข่าวแม้จะประหลาดใจในความปรานีของออกญายมราชที่ยอมให้ย่าหลานได้ร่ำลากันก่อนอยู่บ้าง แต่ก็คิดให้เหตุผลว่าออกญายมราชคงสมหวังที่พระเยาวราชยอมรับบุตรสาวของตนเป็นหม่อมห้าม จึงอารมณ์ดีเผื่อแผ่มายังคนในเรือนนี้

“เอ็งกลับไปเรียนออกญายมราชเถิดว่า อีกสามวันเป็นฤกษ์ดีให้นำตัวบุตรสาวไปถวายตัวที่วังของพระเยาวราช” จางวางอู๋สั่งความให้อ้ายพูนนำข่าวไปแจ้งแก่นายมัน จากนั้นจางวางอู๋ก็ลงเรือเร่งนำความกลับมาบอกแก่แม่นายเภา เพื่อให้วางใจและได้เตรียมตัวเดินทาง

แม้จะใจชื้นขึ้นแต่แม่นายเภาก็ยังไม่วายโศกเศร้า ที่ต้องเสียบุตรและจากหลานอันเป็นที่รักไป นางฝากฝังหลานชายเพียงคนเดียวไว้กับจางวางอู๋ ซึ่งเขาก็รับปากอย่างดีว่าจะดูแล อบรมสั่งสอนมาศให้เป็นอย่างดี

“แม่นายอย่าปรารมภ์ไปเลย ท่านไปอยู่ทางนั้นก็ดูแลรักษาตัวให้ดี ทางข้านอกจากจะดูแลเจ้ามาศไว้รอท่าท่านแล้ว เรื่องของนายแม้นข้าก็จะตามสืบอย่างลับๆ วันหน้าความจริงต้องเปิดเผย และวันนั้นแม่นายกับเจ้ามาศจะได้กลับมาอยู่ด้วยกัน…ถนอมตัวรักษาชีวิตไว้ให้ดีเถิด…”

 

เช้าต่อมานางจันเห็นสามีมีอาการสร่างไข้แล้ว จึงกลับมาบ้านเพื่อรับเสบียงกรังอาหารแห้งที่สั่งให้ลูกชายตระเตรียมไว้ให้ นอกจากนี้นางยังหาของใช้จำเป็นไปให้สามีและมาศได้กินใช้เพิ่มเติมระหว่างถูกจำขัง

นางจันกลับมาถึงตะรางเมื่อโพล้เพล้เต็มที นางเห็นสามีนอนแบ็บอยู่กับที่ กวาดสายตามองหามาศก็ไม่พบ อารามตกใจจึงไปปลุกสามีที่นอนฟุบหน้าอยู่ตรงนั้น นางเข้าไปประคองศีรษะของสามีขึ้นมาเพื่อพบว่าใบหน้าของสามีนางนั้นบวมช้ำอย่างสาหัส เมื่อเขาเห็นนางจันเขาเพียงเอ่ยว่า “พวกมันเอาคุณมาศไปแล้ว ฉันพยายามปกป้องคุณมาศแล้ว แต่ฉันทำได้เท่านี้…” แล้วเขาก็สิ้นสติไปอีกหน

ลางสังหรณ์กรุ่นขึ้นในใจของนางจัน หากเป็นเรื่องดีคงไม่ฉุดคร่าเช่นนี้ เห็นว่าครานี้คุณมาศจะต้องประสบเคราะห์กรรมเสียแล้ว นางจันมือสั่นด้วยความกังวลระคนความกลัว นางรีบหาผ้าชุบน้ำมาเช็ดหน้าเช็ดตาสามีและรอฟังข่าวของคุณมาศของนางด้วยใจสับสน

ตกดึกคืนนั้น เหมือนนางจันได้พบกับผีร้ายที่เฝ้าจองเวรหลอกหลอน เมื่อชายฉกรรจ์สองคนลากตัวของมาศกลับมา ในความมืดนางสังเกตเห็นว่ามาศถูกหิ้วปีก ขาลากกับพื้นกลับมาอย่างไม่ปรานีปราศรัย ชายสองคนนั้นโยนมาศโครมลงกับพื้นตะราง มองด้วยความสมเพชปนสะใจก่อนเดินจากไป

นางจันรีบไปช้อนตัวมาศมานอนให้เป็นที่ทาง เพียงนางจันวางมาศนอนลงกับพื้นสำเร็จ ใต้แสงจันทร์ที่รำไร นางหวีดขึ้นด้วยความตกใจสุดขีด…วงแขนของนางเต็มไปด้วยเลือด เลือดของเด็กน้อยผู้ที่นางช้อนตัวขึ้นมานั้นเอง…

 

ถึงวันกำหนดนัด พระเยาวราชส่งคุณหงคนสนิทของพระชายามารับตัวนางฉายเข้าวัง เมื่อแรกพบคุณหงก็รู้สึกชิงชังนางฉายอย่างที่สุด ด้วยความกำเริบเสิบสานของนางฉายที่แต่งกายเกินฐานะ และกิริยาจองหองสุดประมาณ หากพระเยาวราชไม่กำชับว่าให้รีบพานางฉายเข้าวังมา คุณหงคงจัดการนางให้อ่อนเสียก่อนจึงค่อยพาเข้าวัง

เมื่อส่งบุตรสาวเข้าวังของพระเยาวราชได้ตามปรารถนาแล้ว ออกญายมราชก็ให้คนลากเอาตัวมาศออกมาจากตะราง มาศผู้ซึ่งบาดเจ็บและเสียเลือดนั้น บัดนี้เกิดอาการจับไข้หนาวสั่นเพ้อไม่ได้สติ นางจันได้แต่เอาผ้าชุบน้ำลูบเนื้อตัวให้พอลดไข้

เมื่ออ้ายพูนแลอ้ายพันมาคร่าเอาตัวมาศไป นางจันแทบจะแล่นตามไป แต่อ้ายพันกล่าวขู่ว่า “มึงดูผัวมึงให้ดีก่อนเถิดอีจัน อย่าแร่ตามไอ้เด็กเดนแร้งนี่ไป เดี๋ยวจะหาว่าก็ไม่เตือน”

จังหวะนั้นเองสามีของนางจันก็หลงเพ้อด้วยพิษไข้เช่นกัน นางจันละผละจากมาศไปดูสามีตน อ้ายพูนและอ้ายพันจึงคร่าตัวมาศไปได้สะดวกดาย

ออกญายมราชเอามาศใส่เรือลำหนึ่ง แล้วเขาพร้อมบริวารก็พากันพายไปยังเรือนของแม่นายเภา เมื่อถึงที่หมายก็เห็นแล้วว่าทั้งจางวางอู๋และแม่นายเภายืนชะเง้อรอที่อยู่ท่าน้ำของเรือน

เมื่อออกญาเจ้าเล่ห์เหยียบท่าน้ำ และได้เห็นนางเภายืนอยู่ก็ร้องบอกว่า “อีเฒ่า มึงพร้อมถูกเนรเทศขนาดนี้เชียวรึ” เขาร้องเรียกบ่าวคนสนิท “อ้ายพูนมึงมากุมตัวอีเฒ่านี้ไปลงเรือ แล้วส่งมันไปเชลียงแต่วันนี้เลย”

“ขอข้าปะหน้าหลานข้าก่อน” นางเภาท้วงขึ้น

“ในเรือนั่น อยากลากันนักก็ไปสิ ข้าอนุญาต ฮ่า ฮ่า ฮ่า” ออกญายมราชหัวเราะอย่างสาแก่ใจ

เสียงหัวเราะของออกญายมราช ทำนางเภาเสียวปลาบเข้าไปในหัวอก นางส่งห่อสัมภาระส่วนตัวที่ต้องใช้เดินทางให้นางสอ แล้วปรี่ลงเรือไป

ที่หัวเรือนั่น นางเภาเห็นร่างของเด็กที่ยังไม่เติบโตดีร่างหนึ่ง ถูกคลุมด้วยผ้าเก่าๆ มอๆ ผืนหนึ่ง นางเภารวบรวมความกล้าทั้งหมดที่มีแข็งใจเปิดผ้าผืนนั้นออก

ทันทีที่ผ้าเผยออกมา นางเภาเห็นสิ่งที่ซ่อนอยู่ใต้ผ้าก็ถึงแก่การไม่สามารถคุมสติได้ นางหวีดขึ้นสุดเสียง จางวางอู๋ได้ยินเสียงหวีดก็ผลุนผลันตามลงมา ภาพที่ประจักษ์แก่ตาคือ เด็กน้อยอยู่ในเสื้อผ้าที่กรังไปด้วยคราบเลือด โดยเฉพาะร่างกายท่อนล่าง เขาหนาวสั่นและเพ้อด้วยพิษไข้ร้ายแรง เด็กน้อยผู้น่าสงสารกำลังหายใจอย่างรวยริน

จางวางอู๋ร้องสั่งให้ผู้ที่ติดตามมาด้วยลงไปอุ้มรับตัวมาศขึ้นมาจากเรือ จางวางอู๋จับชีพจรมาศแล้วหยิบตลับงาที่ตนพกไว้ขึ้นมาเปิดฝา หยิบโสมแผ่นขึ้นมาแล้วจับหย่อนลงไปในปากของมาศ แม้โสมจะมีฤทธิ์ร้อนไม่เหมาะกับผู้มีอาการไข้ แต่ตอนนี้ปราณชีวิตของมาศอ่อนบางเสียเหลือเกิน อย่างไรก็จำเป็นต้องใช้โสมรักษาปราณเอาไว้ก่อน จางวางอู๋ให้คนนำมาศไปในที่ห้องสะอาดห้องหนึ่งบนเรือน แล้วร้องถามออกญายมราชด้วยความโกรธว่า

“ไอ้เชื้อมึงทำอะไรเด็ก ไหนมึงสัญญาแล้วว่าจะปล่อยเจ้ามาศไป หากพระเยาวราชยอมรับเงื่อนไขมึง”

“นี่กูก็ไม่ได้กำลังปล่อยมันอยู่หรือ”

“มึงปล่อย แล้วเหตุใดเจ้ามาศจึงเจ็บปางตายเช่นนี้ มึงทำอะไรเจ้ามาศ”

“พ่ออยู่หัวทรงดำรัสตรัสสั่งให้กูจัดการตามสมควร แต่แรกกูก็ว่าถ้าไม่เนรเทศไปทวาย กูก็จะฆ่าเสียเพื่อไม่ให้อยู่เป็นเสี้ยนหนามแก่พ่ออยู่หัวในภายหน้า แต่ก็เห็นแก่ที่พระเยาวราชทรงตรัสขอชีวิตมันไว้ กูก็ยกให้ตามพระประสงค์ แต่สัญชาติอย่างพวกมันย่อมเลี้ยงไม่เชื่อง รอวันจะแว้งกัดในภายหลัง กูก็เลยจัดการให้มันสิ้นเผ่าสิ้นพันธุ์ ต่อให้มันมีชีวิตอยู่ต่อไป ก็ไม่สามารถสืบเผ่าพงศ์ทรยศของมันไปได้อีก”

“มึงหมายความว่ากระไร” จางวางอู๋ถามเสียงสั่น

“กูก็จัดการตอนมันไง บัดนี้ลูกชายคนเดียวของอ้ายแม้น ได้กลายเป็นขันที…ขันทีเหมือนมึงไง ฮ่า ฮ่า ฮ่า…อ้อ กูจะบอกให้อีกอย่างว่า อ้ายคนที่ตอนไอ้เด็กเดนตายนั้นน่ะ มันไม่เคยตอนคนหรอกนะ มันเคยแต่ตอนหมูตอนหมา กูก็ไม่รู้ดอกนะว่าแผลที่มันตัดไปนั้นจะเรียบร้อยดีหรือไม่”

นางเภาเป็นลมล้มตึงสิ้นสติ นางสอรีบเข้ามาพยาบาลนาย จางวางอู๋ได้สติไวกว่า ร้องสั่งให้คนของตัวเร่งต้มน้ำ ให้อีกคนไปนำล่วมยาและเครื่องมือรักษาของตนขึ้นมาเตรียม

จางวางอู๋เปิดขวดแล้วเทยาเม็ดสีดำเม็ดหนึ่งใส่ปากนางเภา “ยาเทพจิตร อีกครู่แม่นายคงจะฟื้นขึ้น” จางวางอู๋บอกนางสอ “เอ็งใช้ปลายนิ้วโป้งกดคลึงที่ร่องจมูกแม่นายไว้” นางสอทำตามที่จางวางอู๋สั่ง ไม่นานนางเภาก็ฟื้น

เพียงเมื่อนางเภาฟื้นขึ้น ออกญายมราชก็ให้คนลากตัวนางเภาขึ้นเรือเพื่อนำไปส่งที่เมืองเชลียง ปลายทางเนรเทศ นางเภายังไม่ฟื้นตัวดี แม้จะดิ้นรนอย่างไรก็ไม่อาจสู้แรงชายฉกรรจ์ จางวางอู๋ตามไปจับมือนางเภาแล้วกล่าวว่า “ฉันสัญญากับแม่นายด้วยชีวิตว่า ฉันจะรักษาชีวิตของเจ้ามาศไว้ให้ได้ ฉันจะเลี้ยงดูไม่ให้เจ้ามาศพบพานเภทภัยใดๆ ฉันจะรอวันที่แม่นายกลับมาอยู่กับเจ้ามาศ แม่นายต้องรักษาตัวไว้ให้ดี มีชีวิตรอวันนั้นของพวกเรา…” นางเภาพยักหน้ารับ แล้วปล่อยตัวให้ชายฉกรรจ์เหล่านั้นพาตัวไป นางสอแม้จะห่วงมาศ แต่ก็รู้หน้าที่ว่าต้องติดตามไปดูแลรับใช้แม่นายของตน จึงรวบห่อสัมภาระทั้งของแม่นายเภาและของตนเองกระโดดลงเรือตามไปอย่างไม่เกรงกลัว

เรือที่ทำหน้าที่ส่งคนไปยังเมืองเนรเทศพ้นท่าเรือไปแล้ว คนของจางวางอู๋มาแจ้งว่าทั้งน้ำร้อนและเครื่องมือสำหรับรักษาพร้อมแล้ว จางวางอู๋จึงหันกายเดินสาวเท้าเข้าไปในห้องเพื่อรักษาชีวิตของมาศ

บาดแผลของมาศอักเสบอย่างรุนแรง จางวางอู๋เห็นก้อนสมุนไพรบดหยาบๆ จุกที่บาดแผล จึงหยิบขึ้นมาพิจารณาดู ใบสาบเสือสำหรับห้ามเลือด…ถ้าไม่ได้ใบสาบเสือนี้มาศคงตายไปเสียแล้วด้วยเสียเลือดมาก จางวางอู๋บรรจงชำระเศษใบสาบเสือออกจากบาดแผลจนสะอาด จึงพบว่าบาดแผลของมาศถูกมีดทื่อๆ เฉือนอย่างหยาบๆ บาดแผลไม่เรียบ ปากแผลยังเป็นเศษแหว่งวิ่น

จางวางอู๋สงสารเด็กน้อยผู้นี้อย่างเหลือจะทานทน ด้วยรู้ดีว่าการถูกตอนนั้นทรมานเพียงใด ขนาดเขาได้ช่างตอนผู้ชำนาญและมีอุปกรณ์ที่คมกริบ ก็ยังต้องประสบกับความทุกขเวทนาเหลือจะกล่าว แต่สิ่งที่มาศประสบนั้นร้ายแรงกว่าเขาหลายเท่านัก

จางวางอู๋จำเป็นต้องรักษาด้วยการตัดแต่งแผลที่กำลังจะเน่าให้อยู่ในสภาพที่ดี และอาการไข้ที่กำลังเป็นนี้น่าจะเพราะแผลที่กำลังอักเสบด้วย จางวางอู๋อาศัยจังหวะที่มาศยังไม่ได้สติดี บรรจงแต่งปากแผลเสียใหม่ แล้วใช้ขนนกเสียบที่ปากแผลเพื่อป้องกันแผลสมานติดกันแล้วมาศจะไม่สามารถถ่ายเบาได้ในภายหน้า

จากนั้นจึงสั่งให้คนต้มยา “เอ็งไปต้มยาลดไข้มาทีเถิด เจียดเอายาขนานที่มีช้องนางคลี่มาด้วย แผลอักเสบเช่นนี้ช้องนางคลี่ช่วยได้ผลชะงัดนัก”

จางวางอู๋เฝ้าดูอาการของมาศไม่ห่าง จะเพราะดวงชะตาของมาศแข็ง หรือฝีมือการรักษาของจางวางอู๋ยอดเยี่ยมก็ไม่อาจทราบได้ เพียงสามวันมาศก็พ้นขีดอันตราย จางวางอู๋รีบจัดการย้ายมาศไปรักษาตัวต่อที่เรือนของตน ในอาณาบริเวณวังของพระเยาวราช ซึ่งตนมั่นใจว่าที่นั่นปลอดภัยที่สุดสำหรับมาศ เด็กน้อยผู้อาภัพ…

 



Don`t copy text!