บ่วงเวรา บทที่ 28 : คืนสู่เจ้าของเดิม

บ่วงเวรา บทที่ 28 : คืนสู่เจ้าของเดิม

โดย : สัมพันธ์ สุวรรณเลิศ

บ่วงเวรา นวนิยายรางวัลรองชนะเลิศ โครงการอ่านเอาก้าวแรก ๓  โดย สัมพันธ์ สุวรรณเลิศ กับเรื่องราวของวังวนความรักและความแค้น ความมุ่งมั่นที่จะตอบแทน ทำลายล้างฝ่ายตรงข้ามให้สาสม แล้วความรักจะเยียวยาใจแก้ไขความแค้นได้จริงหรือ…อ่านเอาขอเชิญทุกท่านร่วมเพลิดเพลินไปกับนวนิยายพีเรียดสุดเข้มข้นเรื่องนี้ที่ anowl.co

หลังจากที่นางศรีทุเลาจากแผลโทษโบยไม่นาน หม่อมฉายก็เป็นโรคผิวหนังขึ้น มีอาการผื่นเห่อคันลามไปทั่วท่อนแขน เพิ่งไม่นานตุ่มนั้นก็แตกเป็นหนองใสๆ แล้วตามมาด้วยอาการแสบร้อนทรมาน หมอที่ตามมารักษาก็หมดปัญญาและทีท่าอาการของโรคจะไม่บรรเทา นางศรีจึงมาตามจางวางอู๋ให้ไปช่วยดูอาการ

จางวางอู๋พิจารณาแผลก็บอกว่า น่าจะเกิดจากธาตุไฟในตัวหม่อมฉายเป็นพิษเพราะความโกรธที่สะสมอยู่มากนั้นเอง การรักษาต้องใช้วิธีการและตัวยาที่ซับซ้อน จางวางอู๋จึงเอ่ยปากขอรางวัลล่วงหน้าเป็นแหวนรอบเส้นที่กำลังสวมอยู่

ตั้งแต่มาศส่งแหวนรอบที่ซ่อมแซมเสร็จแล้วมาคืน หม่อมฉายก็สวมมันติดข้อมือตลอดเวลา สวมเพื่อเตือนให้รู้ว่า ตนเคยพลาดท่าเสียที่ให้อีเอื้องและอีมาศ ทุกครั้งที่มองแหวนรอบเส้นนี้ตนเองก็รู้สึกคันยุบยับมาตลอด แต่ก็คิดว่าเป็นเพราะอุปาทานจากความแค้นที่ตนได้รับ เมื่อจางวางอู๋ตรวจอาการและบอกว่าเกิดเพราะธาตุไฟกำเริบด้วยเพราะความโกรธที่สะสมไว้ หม่อมฉายก็คิดว่าน่าจะเพราะได้เห็นแหวนรอบที่เตือนให้ระลึกถึงเรื่องที่ตนเองเสียทีคราวนั้น ดังนั้นเมื่อจางวางอู๋เอ่ยปากของแหวนรอบเส้นนี้ หม่อมฉายก็ยอมถอดมอบให้เป็นค่ารักษาโดยง่าย

 

กลับถึงเรือน จางวางอู๋โยนแหวนรอบที่ห่อในผ้าขาวลงตรงหน้าของมาศ “ของเจ้าเอาคืนไป”

มาศหยิบห่อผ้ามาแก้ดู พอเห็นว่าเป็นแหวนรอบเส้นนั้นก็ยิ้มอย่างสาใจ เขาเอื้อมไปหยิบปูนขาวมาทามือก่อนนำมาคลุกกับแหวนรอบ จากนั้นจึงบรรจงตัดเชือกแดงที่ใช้ถักร้อยแหวนออก

“เอาเชือกไปเผาให้เรียบร้อย” จางวางอู๋สั่ง

มาศแยกตัวแหวนออกมา นำเชือกที่ตัดแล้วห่อใส่ผ้าขาว นำลงไปเผาที่ด้านล่างของเรือน ก่อนจะขึ้นมาพบจางวางอู๋

“เจ้าใช้อะไรบ้าง…” จางวางอู๋ถามหน้านิ่ง “…ข้าจะได้วางยารักษาให้ถูกโรค”

มาศสังเกตก็รู้ว่าจางวางอู๋กำลังโกรธมาก จึงตอบว่าตนใช้ยางไม้รักน้ำเกลี้ยง หมามุ่ย และตัวยาอีกสองสามอย่างเคลือบเส้นเชือกก่อนกลบอีกชั้นด้วยขี้ผึ้ง ทำให้เมื่อแรกๆ จะไม่เป็นไร แต่หากใส่ไปนานๆ เหงื่อไคลและความร้อนจะทำให้ขี้ผึ้งที่เคลือบเชือกนั้นค่อยๆ ละลาย พิษที่เคลือบไว้ชั้นในจะค่อยๆ ซึมเข้าผิวและออกฤทธิ์ช้าๆ

“หากนางศรีมันมาตามข้าช้ากว่านี้อีกสักนิด ไม่แคล้วหม่อมฉายต้องเสียแขน” จางวางอู๋กล่าวด้วยความโกรธ

มาศเงยหน้าขึ้นตอบ “มันสมควรได้รับ แหวนรอบเส้นนี้เป็นของแม่ข้า มาฉ้อเอาไป แค่นี้มันยังน้อยไป”

“แต่เจ้าใช้ความรู้เรื่องโอสถปรุงยาที่ข้าสอนให้ไปทำร้ายเขา มาศเจ้าจำได้หรือไม่ถึงคำสัญญาของผู้เรียนวิชาแพทย์แลหมอยา เจ้าจำคำสัญญาของเจ้าที่ให้ไว้ได้หรือไม่ว่าจะใช้วิชาแพทย์ช่วยเหลือคน ไม่ใช่ใช้ทำร้ายคน”

“ผลกรรมของความผิดบาปนี้ข้าขอรับไว้แต่ผู้เดียว” มาศเชิดหน้าตอบ

เจ้าโทสะนัก เด็กน้อยที่จางวางอู๋เลี้ยงมาจนเติบใหญ่ ยามมีโทสะ เขามักปล่อยให้มันเตลิดไปจนสุดทาง ไม่สามารถควบคุมไว้ได้เลย

“แล้วข้าล่ะมาศ คนที่สอนเจ้าให้มีความรู้ แล้วเจ้าเอาความรู้นั้นไปทำร้ายคน ข้าไม่ต้องรับผิดชอบในความผิดบาปกระนั้นหรือ เจ้าจะให้ข้าตกนรกไปชดใช้บาปเพราะข้าเป็นคนสอนเจ้าให้รู้จักใช้ยาพวกนั้นนั่นน่ะหรือ” จางวางอู๋ท้วงขึ้น หากมาศไม่คิดถึงตัวเอง จางวางอู๋ก็ต้องใช้ตนเองเป็นข้ออ้างให้มาศตระหนักถึงผลที่จะตามมา ว่าจะไม่ใช่เพียงตัวของมาศเท่านั้นที่ต้องได้รับผลของมัน

มาศนิ่งเงียบ จางวางอู๋รู้ดีว่าการนิ่งเงียบคือการยอมจำนน จึงพูดต่อ “สัญญา…ไม่สิ สาบาน เจ้าจงสาบานกับข้าว่าจะไม่ใช้ความรู้ที่ข้าสอนไปทำร้ายคนไม่ว่าจะเพราะอะไรก็ตาม…สาบาน!”

“ข้าสาบาน ยกเว้นแต่การป้องกันตัวเฉพาะหน้า ข้าจะไม่ใช้วิชาความรู้ทางการแพทย์และหมอยาที่ท่านจางวางสอนไปทำร้ายใคร หากข้าผิดคำสัญญาขอให้ฟ้าดินลงโทษ” มาศกล่าวคำสาบานอย่างหนักแน่น

 

หลายวันถัดจากนั้น จางวางอู๋มึนตึงไม่ยอมพูดจากับมาศแม้แต่น้อย มาศรู้ดีว่าตนเองทำผิด ก้าวล่วงละเมิดคำสั่งสอนในข้อที่ยากจะให้อภัย เขาจำได้ดีว่าก่อนที่ท่านจางวางจะสอนวิชาแพทย์และตำรับยาต่างๆ ท่านได้ให้มาศตั้งปฏิญญาว่า จะใช้ความรู้ไปในทางที่ถูกที่ควร จะใช้ความรู้เพื่อพยาบาลรักษาคนไม่ใช่เพื่อการทำร้ายผู้อื่น ซึ่งมาศจะถือปฏิบัติมาโดยตลอด

แต่เรื่องที่สะกิดเตือนใจให้ระลึกถึงความเจ็บแค้นของครอบครัว คำสัตย์สาบานทั้งปวงก็มลายหายไปสิ้น มาศจดจำไม่ได้ มีเพียงสิ่งเดียวที่มาศจดจำคือ ตนต้องสูญเสียครอบครัวที่รักไปเพราะใคร

แต่เดิมมา หากมาศทำอะไรให้ท่านจางวางไม่พอใจ มาศจะพยายามง้องอนหรือพยายามเอาใจให้ท่านจางวางคลายโกรธ แต่มาในเรื่องนี้มาศก็สู้นิ่งเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น จนวันเวลาผ่านไป…

 

แม่นายเภาวางมือจากกระดานชนวนที่นางใช้ทดคิดคำนวณบัญชีก่อนเขียนบันทึกลงสมุดอีกครั้ง ก่อนสั่งกับบ่าวคนสนิทว่า “สอ ไปบอกนายเตาทีเถิดว่า เตาหน้าที่ต้องเผา อย่าลืมเพิ่มกุณฑีไปด้วยสักหลายๆ ใบ เพราะเตานี้ไม่ได้จำนวนตามที่สั่งเข้ามา”

เงียบ…นางสอไม่ตอบรับ แม่นายเภาจึงเงยหน้าขึ้นมอง เห็นนางสอคนสนิทกำลังจมในความคิดของตนเองจนไม่ได้สนใจสิ่งรอบตัว แม่นายเภาจึงตบพื้นเบาๆ จนนางสอได้สติขึ้นมา

“สอเอ็งเป็นอะไร วันนี้ใจคอไม่อยู่กับเนื้อกับตัว”

“บ่าวฝันเจ้าค่ะ” นางสอตอบ

“ฝันว่ากระไร เล่ามาที่ข้าจะได้แก้ฝันให้”

“เมื่อคืนบ่าวฝันเห็นพี่ชุบเจ้าค่ะ…” นางสอเล่าถึงนิมิตฝันเมื่อค่อนรุ่งที่ผ่านมาว่า นางฝันเห็นซากศพกองทับกันเป็นพะเนิน น้ำเลือดน้ำหนองท่วมท้นจนน่าสยองและสะอิดสะเอียน พลันสามีของนางก็แหวกกองซากศพที่นอนระดะทับกันขึ้นมา…

“กินมากก็ฝันมาก…ฝันเหลวไหลอย่าไปใส่ใจเลย” แม่นายเภากล่าวปลอบทั้งที่ในใจก็เกิดความหวาดหวั่นขึ้นมา

สีหน้าของนางสอไม่ได้ดีขึ้นมานัก สองนายบ่าวต่างเงียบงันเพราะจมในความคิดของตนเอง

นายเตาที่ควบคุมตัวแม่นายเภาเข้ามาหานาง แม้ไม่ได้นอบน้อมแต่ก็ไม่ได้หยาบหยามแต่ประการใด เขาส่งถุงผ้ามีหูรูดสีดำหม่นๆ ใบหนึ่งให้แล้วกล่าวว่า “นายอินพ่อค้าเกวียนฝากมาให้แม่เภา”

นางรับถุงผ้าใบนั้นวางไว้ข้างตัว ไม่ได้มีท่าทีสนใจกับมัน แล้วเสชวนคุยเรื่องงานแทน “นายเตา ท่านมาก็ดีแล้ว ฉันจะได้เรียนว่าเตานี้หม้อกุณฑีเสียหายหลายใบ ไม่พอส่งตามที่สั่งมา ฉะนั้นเตานี้ขอให้นายสั่งช่างให้ปั้นและเผาหม้อกุณฑีเพิ่มกว่าเดิมสักหน่อย จะได้พอตามจำนวนที่สั่งมาเจ้าค่ะ”

นายเตาพยักหน้ารับแล้วจากไป เมื่อไม่มีใครแล้วนางเภาจึงแกะถุงหูรูดนั้นออก เมื่อเทของที่อยู่ภายในออกมาก็พบว่าเป็นแหวนรอบหัวทับทิมเส้นงาม นางพลิกแหวนรอบเส้นนั้นดูก็จำได้ว่าเป็นของสะใภ้ตน แหวนรอบเส้นนี้เป็นหนึ่งในสมบัติที่ออกญายมราชริบราชบาทว์และน่าจะยักยอกไป ต้องเป็นเจ้ามาศหลานชายเป็นผู้ส่งมา แม่นายเภาจิตใจกระกระสับกระส่าย เพราะไม่รู้แน่ชัดว่าหลานของตนได้แหวนรอบเส้นนี้คืนมาด้วยวิธีใด นางกลัวที่สุดคือหลานรักของนางจะไปกระทบกระทั่งกับออกญาใจโฉดผู้นั้น จนนำมาซึ่งความเดือดร้อนและจองเวร

ทั้งความฝันของนางสอ ทั้งแหวนรอบที่หลานชายส่งมา ยิ่งทำให้แม่นายเภาวิตกกังวลหนักยิ่งขึ้น…

 

ที่บ้านป่าชายแดน

ยายอุ่มผู้ชรา บัดนี้นางแก่หง่อมเหมือนมะม่วงสุกงอมเต็มที่อยู่คาต้น รอวันที่จะหลุดจากขั้วลงพื้นดินเพียงเท่านั้น

เจ้าใบ้ผู้ที่นางช่วยให้รอดพ้นจากความตามเมื่อสิบปีที่แล้ว เฝ้าพยาบาลดูแลนางอย่างดีเหมือนบุพการีผู้หนึ่ง เขาสังเกตเห็นมาหลายเพลาแล้วว่า นางอุ่มกินได้แต่เพียงน้ำข้าวต้มเหลวๆ ลมหายใจออกยาวกว่าลมหายใจเข้ามากนัก…อีกไม่เกินสามราตรีดอก ผู้มีพระคุณของเขาก็จะละจากสังขารนี้ไป และจากนั้นเขาจะได้เป็นไท เมื่อเขาตอบแทนพระคุณนางอุ่มผู้ช่วยชีวิตเขาอย่างครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว ต่อไปเขาจะได้กลับไปทำหน้าที่ที่ค้างคามานานกว่าสิบปีให้เรียบร้อยเสียที

 



Don`t copy text!