บ่วงเวรา บทที่ 32 : เล่ห์หึงสา

บ่วงเวรา บทที่ 32 : เล่ห์หึงสา

โดย : สัมพันธ์ สุวรรณเลิศ

บ่วงเวรา นวนิยายรางวัลรองชนะเลิศ โครงการอ่านเอาก้าวแรก ๓  โดย สัมพันธ์ สุวรรณเลิศ กับเรื่องราวของวังวนความรักและความแค้น ความมุ่งมั่นที่จะตอบแทน ทำลายล้างฝ่ายตรงข้ามให้สาสม แล้วความรักจะเยียวยาใจแก้ไขความแค้นได้จริงหรือ…อ่านเอาขอเชิญทุกท่านร่วมเพลิดเพลินไปกับนวนิยายพีเรียดสุดเข้มข้นเรื่องนี้ที่ anowl.co

จางวางอู๋ก้มอ่านข้อความในกระดาษแผ่นน้อยแล้วรีบจุดไฟเผาทันที จากนั้นจึงจรดพู่กันเขียนเป็นข้อความสั้นๆ ว่า เร่งไปรับแล้วพรางตัวไว้รอโอกาส แล้วผูกขานกพิราบคาบสารส่งออกไป

การที่เป็นความลับเช่นนี้โดยปกติจางวางอู๋จะเลือกใช้วิธีการสื่อสารที่ซับซ้อนและเปลี่ยนวิธีการไปเรื่อยๆ เพื่อความปลอดภัย แต่ข่าวที่ได้มานั้นจะรอช้าไม่ได้ จึงต้องใช้วิธีที่จับสังเกตได้ง่ายอย่างใช้พิราบสื่อสาร หากข่าวที่ได้มาไม่ผิดพลาดเรื่องราวที่คาราคาซังมาช้านานน่าจะได้เปิดเผยในเร็ววันนี้

 

แม่นายไอ่แทบจะวิ่งออกไปรับลูกสาวกลับทันทีตั้งแต่วันที่คนของเอื้องมาส่งข่าว แต่ออกหลวงโชฎึกบอกว่าให้รั้งรอไว้อีกสักปักษ์ค่อยไปรับ แม่นายไอ่ร้อนรนเป็นห่วงลูกกลัวจะมีเรื่องร้าย ออกหลวงผู้สามีจึงปลอบโยนว่า ถึงอย่างไรก็ยังมีคุณหงคอยดูแลอยู่ แม่นายไอ่จึงสงบลงได้บ้าง

ออกหลวงสั่งให้คนไปบอกแก่เอื้องว่า ช่วงนี้แม่นายไอ่ป่วยไข้ให้รั้งรอสักไม่กี่วัน เมื่อแม่นายทุเลาแล้วจะรีบเข้าไปรับกลับในทันที เมื่อได้ทราบข่าวเอื้องจึงขลุกอยู่แต่ในเรือนของตนไม่ออกไปไหนแม้แต่เรือนของท่านจางวาง ผู้คนต่างสงสัยว่าเหตุใดเอื้องจึงขลุกอยู่แต่ในห้องไม่ออกไปที่ใด อาหารการกินบ่าวของเอื้องก็นำไปส่งถึงในห้อง

เอื้องไม่อาจบอกความจริงว่า ที่ตนไม่ยอมก้าวขาออกจากห้องไปไหนเลย เป็นเพราะเกรงว่าจะได้พบพักตร์พระเยาวราชอีกหน แล้วตนเองจะหักใจจากไปไม่ได้

ค่ำวันหนึ่ง พระเยาวราชประทับสำราญอิริยาบถหลังเสวยพระกระยาหารค่ำที่ตำหนักพระชายา โดยมีหม่อมฉายตามมาเฝ้าปรนนิบัติด้วย อยู่ดีๆ หม่อมฉายก็เอ่ยถามถึงเอื้องขึ้นว่า “นางเอื้องหายหน้าหายตาไปเลย กลับไปบ้านเสียแล้วกระมัง”

หัตถ์ที่กำลังยกถ้วยสุธารสชาใกล้จะจรดพระโอษฐ์ของพระเยาวราชชะงัก หม่อมฉายที่สังเกตอาการของพระเยาวราชยิ่งขุ่นเคือง ห่วงมันหรือเพคะ

“แม่เอื้องป่วยมาหลายวัน พักอยู่ในเรือนไม่ได้ออกไปไหนเลยเจ้าค่ะ นี่ก็รอให้นางไอ่แม่ของมันมารับกลับไปพยาบาลที่บ้าน” คุณหงตอบ

“ยังเห็นดีอยู่แท้ๆ มาได้ไข้เป็นอะไรเล่า” หม่อมฉายถามขึ้น

“ท่านจางวางว่าไข้เพราะลมในสกนธ์กายไม่ปกติ กินยาบำรุงปรับธาตุสักระยะก็น่าจะทุเลา”

“คนเห็นๆ กันแท้ๆ เจ็บไข้ก็น่าเป็นห่วง” หม่อมฉายกล่าวแล้วหันไปทางนางศรี “ศรีเอ็งไปเยี่ยมนางเอื้องแทนข้าที ชวนเพื่อนไปด้วยหลายๆ คน บางทีถ้านางเอื้องได้พบหมู่เพื่อนหลายๆ คนอาจจะแช่มชื่นขึ้นมาได้บ้าง”

เหมือนเตรียมการกันมา นางศรีและข้าหลวงในตำหนักหม่อมฉายอีกสามสี่คนพร้อมใจกันถอยออกมาตามคำสั่ง

พระชายาเห็นเป็นที่น่าหลากใจ ก็พยักพเยิดให้ข้าหลวงของพระนางตามออกไป ด้วยเพราะไม่ไว้ใจ เกรงว่าหม่อมฉายจะให้คนของตัวไปข่มเหงเอื้องถึงในเรือนพัก ส่วนมาศเองซึ่งขณะนั้นได้อยู่เวรเฝ้ารับใช้พระเยาวราชก็กระซิบบอกซานเป่าว่า “พี่ว่าไม่ชอบมาพากล ซานเป่าเจ้าจงรีบตามไป อย่าลืมสังเกตสังกาทุกอย่างให้ดีอย่าพลาดตา”

ซานเป่ารับคำแล้วรีบถอยตามไป เขาเลือกที่จะไม่เดินเข้าไปรวมกลุ่ม แต่ก็ติดตามไปในระยะที่สามารถสังเกตอะไรๆ ได้อย่างถนัดถนี่

ระหว่างทางนางศรีก็ชวนพวกของตนพูดคุยอย่างคะนองปาก “พวกเอ็งว่านางเอื้องมันเจ็บไข้เป็นอะไร ถึงออกไปไหนมาไหนไม่ได้”

“ก็เจ็บเพราะเป็นโรคลมอย่างที่ท่านจางวางบอกไงล่ะ” นางข้าหลวงผู้หนึ่งตอบ

“หรือไม่ก็เจ็บด้วยโรคลมสำออย เจ็บเรียกร้องความเห็นใจ” นางอีกคนกล่าวเหน็บแนม

“หรือไม่ก็ซ่อนอะไร…หรือกกอะไรไว้ในเรือนจนไม่มีแรงออกไปไหน” นางศรีพูดเป็นนัย

นางข้าหลวงตำหนักพระชายาล้วนแล้วแต่เป็นลูกผู้ลากมากดี ซ้ำยังรู้อัธยาศัยข้าหลวงของเรือนหม่อมฉายว่าเกะกะระรานเพียงใด แม้ใจจะรู้ดีว่าเอื้องไม่ได้เป็นอย่างที่พวกนั้นกล่าวหา แต่ก็ไม่โต้เถียงเพราะไม่อยากเอาทองไปรู่กระเบื้อง ส่วนซานเป่าที่ตามมาข้างหลังได้ยินทุกถ้วนถ้อยคำ แม้จะอยากโต้เถียงแทนแต่ก็เก็บงำความรู้สึกไว้ เพราะต้องคอยสังเกตว่าคนเหล่านี้จะทำอะไรต่อไปอีก

ค่ำมืดแล้ว อาศัยเพียงแสงจันทร์ทำให้เห็นอะไรเพียงสลัวราง

“ตายจริงทำไมไม่มีใครถือโคมหรือเทียนมาด้วย เดินมืดๆ อย่างนี้ลำบากแย่” นางข้าหลวงผู้หนึ่งเอ่ยขึ้น

“วันนี้พระจันทร์ออกจะสว่างโร่ไม่ต้องตามโคมดอก” อีกคนตอบ

คนกลุ่มใหญ่เดินมาใกล้เรือนของเอื้อง พลันนางศรีก็ทำท่าทีลุกลน ชี้มือชี้ไม้ไปยังต้นไม้ต้นหนึ่งที่กิ่งใหญ่พาดไปทางฝั่งเรือนของเอื้อง ห่างจากหน้าต่างเรือนไม่ถึงศอกดี

“นั่นผู้ชายใช่ไหม เมื่อกี้ฉันเห็นว่าปีนออกมาจากหน้าต่างเรือนแม่เอื้อง” นางศรีกล่าวขึ้นอย่างตื่นเต้น

เมื่อทุกคนมองตามมือที่นางศรีชี้ไป ก็เห็นร่างสันทัดร่างหนึ่งนุ่งผ้าหยักรั้งสวมเสื้อ ผมสั้นเกรียน กำลังไต่ต้นไม้ลงมา ทุกคนตกใจกับภาพที่เห็น นางศรีประวิงเวลาจนร่างนั้นแตะเท้าถึงพื้นก็ร้องโวยวายว่า

“ว้ายตายแล้ว! นางเอื้องลอบคบหาบุรุษ พากันมาสมสู่ถึงเรือนใน จับเร็วใครก็ได้จับตัวมันไว้”

เหล่าบรรดานางข้าหลวงของหม่อมฉายก็ร้องตามกันดังๆ ว่า “ใครก็ได้จับชายที่ลอบทำชู้กับนางเอื้องไว้…” เสียงร้องนั้นดังเซ็งแซ่ไปทั้งวัง

ซานเป่าที่จับสังเกตอย่างระแวดระวังตั้งแต่ต้น เห็นร่างนั้นวิ่งแผล็วหายไปในความมืดอย่างชำนาญทาง

ไม่นานผู้คนทั้งวังก็ล้วนมารวมอยู่ที่เรือนของเอื้องรวมทั้งพระเยาวราช พระชายาและหม่อมฉาย

“เอะอะอะไรกัน” หม่อมฉายถามขึ้น

“พวกหม่อมฉันเห็นผู้ชายปีนออกมาจากเรือนของแม่เอื้องเพคะ” นางศรีรีบตอบ

“ผู้ชายที่ไหนกัน นี่มันข้างในวังของพระเยาวราช จะมีผู้ชายเล็ดลอดเข้ามาได้อย่างไรเหลวไหล” พระชายาตรัสขึ้น ดูเผินๆ เหมือนทรงแก้ต่างให้เอื้อง แต่ความจริงแล้วทรงกังวลมากกว่าว่าหากมีผู้ชายเล็ดลอดเข้ามาในเขตตำหนักของพระองค์ได้ พระองค์ผู้เป็นเจ้าของตำหนักก็ย่อมไม่พ้นข้อครหาเช่นกัน

“แต่พวกหม่อมฉันเห็นกันทุกคนนะเพคะ หากพระชายาไม่ทรงเชื่อ ลองถามข้าหลวงตำหนักของพระองค์ก็ได้” นางศรีจีบปากจีบคอทูล

พระชายาผินพักตร์ไปทางกลุ่มนางข้าหลวงตำหนักของพระองค์ ทรงเลิกพระขนงทำนองถาม นางข้าหลวงคนหนึ่งซึ่งมีปกติสุขุมกว่าใครจึงทูลตอบตามความจริงว่า “ที่พวกหม่อมฉันเห็น คือคนร่างสันทัดผมตัดสั้นเกือบจะเกรียนปีนลงจากต้นไม้ต้นโน้น…” นางชี้มือประกอบ “…แต่ไม่ทันเห็นว่ามันปีนออกมาจากเรือนของแม่เอื้องหรือไม่เพคะ”

“เช่นนั้นก็ไม่แน่ชัดว่ามันปีนออกมาจากห้องของนางเอื้อง” พระชายารีบสรุป

“แต่หม่อมฉันเห็นกับตาว่ามันปีนออกมาทางหน้าต่างห้องแม่เอื้องเพคะ” นางศรีรีบค้าน

“อดรนทนไม่ได้ถึงแก่ต้องลอบนัดกันมาหาถึงในวังเชียวหรือ…จับได้มันน่าตัดหัวทิ้งนัก” หม่อมฉายรีบชักเข้าประเด็น

“เขาคงเป็นห่วงว่าแม่เอื้องป่วยจนไปพบคบหาไม่ได้ หลายวันเข้าก็คงคิดถึงจนต้องลอบมาหา ก็น่าเห็นใจอยู่นะเพคะ” นางศรีรับลูกทันที

หม่อมฉายลอบสังเกตสีหน้าของสวามีเห็นพักตร์เผือดไปก็แอบสาใจ

มาศอดทนฟังเพื่อเก็บความต่างๆ ก่อนตัดสินใจ เห็นว่าหากปล่อยให้สองนายบ่าวรับลูกป้ายสีเอื้องไปเช่นนี้ เอื้องคงป่นปี้ก่อนความจริงจะเปิดเผย มาศจึงตัดสินใจทูลพระเยาวราชและพระชายาว่า “หม่อมฉันขอขึ้นไปดูนางในห้องก่อนพระเจ้าข้า”

“ไปเถิดเจ้ามาศ เอาคนไปด้วยหลายคนหน่อย ถ้าเอื้องมันไหวก็ให้ลงมาที่นี่” พระชายาสั่ง

มาศชวนซานเป่าและนางข้าหลวงอีกสองคนขึ้นไปยังเรือนมาศ คุณหงแม้จะร้อนรนแต่ก็วางท่าทีสงบลงได้ และเลี่ยงจะไม่ขึ้นไปเพราะอย่างน้อยก็เฝ้าสังเกตเหตุการณ์ด้านล่างน่าจะเป็นประโยชน์กว่า

ไม่นานนักมาศและนางข้าหลวงก็พาเอื้องในสภาพอิดโรยลงมา เมื่อพบหน้าพระเยาวราชไม่แน่พระทัยว่าเป็นเพราะแสงจากโคมที่น้อยนิดหรือเพราะความป่วยไข้ทำให้เอื้องดูซูบเซียวลงไปกว่าเดิม ยิ่งเห็นยิ่งน่าสงสาร

“ไงนางตัวดี ถึงขนาดนัดแนะผู้ชายให้ปีนวังมาหาเลยรึ” หม่อมฉายเปิดข้อกล่าวหาทันทีเมื่อพบหน้าเอื้อง

อาการป่วยไข้ทำให้เอื้องมึนงง อ้ำอึ้งพูดไม่ออก

“ยังไง ถ้าคิดคำแก้ตัวไม่ออก ก็สารภาพมาตรงๆ”

“สารภาพอะไรเจ้าคะหม่อม” เอื้องยังจับต้นชนปลายไม่ถูก

“ก็เรื่องที่เอ็งนัดแนะผู้ชายให้ปีนวังมาหาไงล่ะ” นางศรีชี้แจง พร้อมเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดอีกครั้ง

เอื้องรู้สึกเหมือนถูกเหวี่ยงตะลุมพุกอันใหญ่ใส่หัวจนมึนงงไปหมด ความป่วยไข้ประกอบกับความตกใจยิ่งทำให้เอื้องสับสน นึกหาคำกล่าวแก้ต่างให้ตนไม่ได้ จึงได้แต่เพียงกล่าวปฏิเสธว่าไม่ใช่ความจริง

ความโชคร้ายอีกประการของเอื้องคือ ช่วงเวลาที่สงสัยว่าผู้ชายปีนเข้ามาหานั้น เอื้องอยู่คนเดียว ไม่มีพยานยืนยันว่าอยู่กับเอื้องเลย

ระหว่างที่คนโต้เถียงกัน ซานเป่าได้มากระซิบบอกอะไรแก่มาศบางอย่าง มาศนิ่งขบคิด ในหัวของมาศนำข้อมูลและความเป็นไปได้ต่างๆ มาสางมาคลี่อย่างช้าๆ และยิ่งเรื่องที่ซานเป่าบอกมายิ่งทำให้สิ่งที่มาศสันนิษฐานยิ่งลงตัวมากยิ่งขึ้น เอาละ ในเมื่อเรื่องมาขั้นนี้แล้ว ก็ต้องเล่นหมากไปตามน้ำสักกระดาน

“คนร้ายทุกคนก็ล้วนแล้วแต่ยืนยันแข็งขันว่าตนไม่ได้เป็นคนทำความผิด แต่ไหนล่ะพยานหรือหลักฐานยืนยัน” หม่อมฉายไล่บี้

พระเยาวราชนิ่งงัน มองเอื้องที่น้ำตาไหลเผาะๆ เพราะอัดอั้นตันใจอย่างที่สุด

“ยังจับตัวคนร้ายที่ปีนวังไม่ได้หรือ” มาศถามขึ้น

“มีคนเห็นมันวิ่งหายไปในที่มืด แต่จนบัดนี้ก็ยังหาตัวมันไม่พบ” โขลนผู้หนึ่งกล่าวขึ้น

“น่าแปลก วังของสมเด็จท่านก็มีเวรยามควบคุมแน่นหนา ฝ่ายในก็มีโขลนเฝ้าเวรแข็งขัน ออกไปส่วนหน้าก็มีทหารทั้งพลตระเวนและนายเวรเฝ้าเข้มแข็ง มันจะเล็ดลอดหนีไปได้เช่นไร” มาศกล่าวข้อน่าสงสัยออกไป

“แต่ตอนที่มันปีนออกมาจากเรือนนางเอื้องหลายคนก็เห็นกับตา จะว่าตาฝาดหรือก็ไม่ใช่” หม่อมฉายตอบกลับ

“ต่างฝ่ายต่างยืนยันว่าตนเองบริสุทธิ์ เอาเช่นนี้แล้วกัน ทำพิธีเสี่ยงทายพิสูจน์ความสัตย์กันไปเลยดีกว่า” มาศเสนอขึ้น

“มึงจะพิสูจน์อย่างไร” หม่อมฉายสงสัย

“ทำพิธีเสี่ยงทายดำน้ำ ลุยเพลิง หรือจุ่มน้ำมันเดือด!” มาศเสนอ

“อย่าให้ถึงขั้นนั้นเลย” พระเยาวราชขัดขึ้น ในพระทัยพระองค์มั่นใจนักว่าเอื้องไม่ได้ทำเช่นนั้น อีกทั้งยังทรงทราบดีว่า การเสี่ยงทายพิสูจน์สัตย์ ผู้เสี่ยงทายเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเอง มักเสี่ยงทายกับอันตรายต่างๆ มากมาย จึงไม่อยากให้เอื้องต้องรับความอันตรายใดๆ

“แต่เรื่องนี้ฉาวโฉ่นักนะเพคะ ถ้าเรื่องแดงออกไปนอกวัง พระองค์ก็จะเสื่อมเสียนะเพคะ” หม่อมฉายรีบค้าน

“ถ้าเรื่องแพร่ออกไป ออกหลวงโชฎึกคงได้ขายหน้าไปทั่วพระนคร แล้วทีนี้ใครมันจะกล้ามาสู่ขอไปทำเมีย” นางศรีช่วยสนับสนุนนายตัว

“หม่อมฉันยินดีเสี่ยงทายพิสูจน์เพคะ” เอื้องกล่าวขึ้น

“เอื้อง เจ้าอย่าเสี่ยงดีกว่า” พระชายากล่าวขึ้น

“หม่อมฉันมั่นใจในความบริสุทธิ์ของตนเองเพคะ แต่ต่อให้ต้องตายในพิธีเสี่ยงทายก็ยังดีกว่ามีชีวิตอย่างอัปยศเช่นนี้เพคะ” เอื้องกล่าวเสียงหนักแน่น

พระเยาวราชถอนหายใจ “พิสูจน์ดำน้ำเราว่าคงไม่ได้ เพราะเอื้องยังป่วยเดินแทบจะไม่ไหว ต่อให้ผ่านการพิสูจน์มาได้ก็คงไม่พ้นไข้จับตาย จะให้ลุยเพลิงก็วุ่นวายนัก…เจ้าเห็นเป็นเช่นไรเจ้ามาศ” พระเยาวราชหันมาถามความเห็นมาศ

“เช่นนั้นก็ใช้วิธีการตั้งสัตยาเอานิ้วจุ่มน้ำมันเดือดเถิดพระเจ้าข้า หากแม่เอื้องบริสุทธิ์จริงเทพยดาจะรักษานาง” มาศตอบ

พระเยาวราชนิ่งตรึก การเอานิ้วจุ่มน้ำมันเดือดก็น่าจะพอสมควรแก่เหตุ เพราะหากมีข้อผิดพลาดอย่างน้อยท่านจางวางก็น่าจะพอรักษาแผลและชีวิตของเอื้องได้

เอาให้จริงแล้วพระเยาวราชแทบจะไม่เชื่อถือวิธีการพวกนี้เลยแม้สักน้อย

“เช่นนั้นก็เอาวิธีนี้แล้วกัน พรุ่งนี้ก่อนเพลเจ้าจงจัดแจงมณฑลพิธีให้เสร็จ เอาเรียบง่ายแต่ให้ครบถ้วนนะเจ้ามาศ ส่วนเจ้าซานเป่าจงไปแจ้งแก่ขุนพรมเกวี ปลัดนั่งศาลกรมแพทยาหน้าว่า เราขอเชิญให้มาทำพิธีเสี่ยงทายพิสูจน์สัตย์ในวันพรุ่งนี้” พระเยาวราชสั่งการเสร็จ ทรงทอดสายตาดูเอื้องด้วยความสงสารระคนเวทนาก่อนที่จะเสด็จจากไป

 



Don`t copy text!