นิราศรักสองนครา บทที่ 9 : ท่าทีเริ่มดีขึ้น

นิราศรักสองนครา บทที่ 9 : ท่าทีเริ่มดีขึ้น

โดย : ปรียนันทนา

นิราศรักสองนครา โดย ปรียนันทนา เรื่องราวของโชติ หญิงสาวชาวสยาม กับทางเลือกสองทาง ความรักของชายหญิงกับความรักหวงแหนแผ่นดินเกิด เธอจะเลือกทางใด และหากไม่สามารถเลือกได้  จะมีหนทางใดที่ใจสองดวงจะมาบรรจบพบกัน ณ จุดที่ลงตัวได้หรือไม่ นวนิยายออนไลน์ที่อ่านเอาอยากให้คุณได้อ่านพร้อมกันที่นี่ anowl.co

กลิ่นดอกมะลิหอมกรุ่นลอยมาจากมาลัยครอบผมจุกบนศีรษะของแม่หนูตัวน้อยในอ้อมกอดของผู้เป็นบิดา แม่เพ็ญมิได้ขัดขืนแต่กลับหัวร่ออย่างถูกใจเมื่อหลวงภูบดินทร์พิทักษ์บรรจงประทับริมฝีปากตรงหน้าผากกลมมนอย่างคิดถึง

“เป็นอย่างไรเล่าแม่เพ็ญ คิดถึงพ่อบ้างหรือไม่” เขาเอ่ยถามบุตรสาวแม้รู้ดีว่าแม่หนูยังไม่สามารถโต้ตอบประโยคยาวๆ ได้ก็ตาม

“คงจำคุณพี่ได้แหละเจ้าค่ะ เมื่อตอนบ่ายแม่โชติมาเยี่ยมน้องแลนำของมาให้ลูก น้องจึงเล่าเรื่องอาการป่วยให้ฟังแลเมื่อบอกว่าคุณพี่จะมาพาไปหาหมอ แม่เพ็ญได้ยินคำว่าพ่อก็ชี้มาที่รูปทันทีเลย” ภรรยาผู้นั่งอยู่เคียงกันเล่าให้ฟังอย่างปลื้มใจ

“จริงฤๅ เช่นนี้พ่อคงต้องออกมาหาบ่อยๆ เสียแล้ว” เขาเอ่ยอย่างภูมิใจ ดวงตาคมวาวกระจ่างวาบอย่างเป็นสุขหากเพียงไม่นานก็หม่นลงด้วยความกังวล “ว่าแต่อาการของน้องมิดีขึ้นบ้างเลยหรือ แม่จัน”

“ก็ดีขึ้นยามที่ได้รับยาเจ้าค่ะ แต่พอผ่านไปไม่นานก็รู้สึกเหนื่อย แลน้องรู้สึกว่าบางครั้งนั่งเฉยๆ ร้อนเหลือเกิน บางครั้งก็รู้สึกว่าอารมณ์มิใคร่ปกติเพราะอยู่เฉยๆ ก็รำคาญบ่าวไพร่ที่มิได้ดังใจเสียเรื่อยเจ้าค่ะ”

“หรือจะเป็นเพราะมิได้อยู่ไฟตามที่พวกผู้ใหญ่ในวังบอก” เขานึกถึงเจ้าจอมวาดผู้เป็นพี่สาวที่เขานำเรื่องอาการป่วยของภรรยาไปปรึกษา ซึ่งข้าหลวงบางคนได้ยินก็บอกว่าอาจเป็นเพราะไม่ได้อยู่ไฟ หากแต่เจ้าจอมวาดมีแนวคิดเรื่องการดูแลรักษาสตรีที่คลอดบุตรแบบฝรั่งเนื่องด้วยเป็นแนวคิดที่สอดคล้องกับพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าฯ เพราะพระองค์ทรงเรียกหมอฝรั่งเข้าไปดูแลเจ้าจอมมารดาหลายคน แต่อย่างไรเสียเรื่องนี้ก็ยังไม่เป็นที่ยอมรับได้อย่างสนิทใจในหมู่คนที่นิยมการอยู่ไฟแบบโบราณ

“มิใช่ดอกเจ้าค่ะ การอยู่ไฟนั้นทรมานคนเป็นแม่ยิ่งนัก น้องมิคิดจะอยู่ตั้งแต่แรกแล้ว”

“วานนี้พี่ได้ไปหารือกับท่านเจ้าคุณกลาโหมเรื่องการต่อเรือ เสร็จแล้วพี่จึงลองไปร้านยาจีนเปิดใหม่แถวเจริญกรุง มีคนบอกว่าร้านนี้ยาดีแลสามารถกินควบคู่กันไปกับยาฝรั่งได้ พี่จึงให้เขาจัดมาให้น้องหนึ่งชุด” เขาพูดพลางหันไปทางบ่าวผู้ชายซึ่งนำห่อยาส่งให้นายผู้หญิงของบ้าน “วันพรุ่งน้องจะมีแรงไปหาหมอบลัดเลย์กับพี่หรือไม่”

“ตะแรกน้องคิดว่าไหว แต่หากน้องมิใคร่มีแรงคุณพี่ให้หมอมาที่เรือนของเราได้หรือไม่คะ”

“เช่นนั้นพี่จะไปเรียนเชิญหมอด้วยตนเอง ดีหรือไม่”

“หากเป็นเช่นนั้นก็ดีเหลือเกินเจ้าค่ะ”

จันยกมือไหว้สามีอย่างซาบซึ้งในความใส่ใจของเขา แม้ไม่ค่อยได้กลับมาที่เรือนด้วยภารกิจที่ต้องเข้าเฝ้าเจ้านายอีกทั้งหน้าที่รับผิดชอบดูแลการต่อเรือกลไฟสังกัดพระราชวังบวรสถานมงคล แต่เขาก็หมั่นให้คนส่งข่าวมาอย่างสม่ำเสมอและเมื่อได้กลับมาก็ดูแลจันและแม่เพ็ญผู้เป็นบุตรสาวอย่างดี เธอรู้สึกโชคดียิ่งนักที่ได้ออกเรือนมากับคุณพร้อม ทั้งที่รูปร่างหน้าตาและชาติตระกูลของเขาสามารถเลือกหญิงสาวบ้านขุนนางคนใดมาเป็นคู่ครองก็ย่อมได้ แต่เขากลับเลือกหญิงสาวธรรมดาเช่นเธอผู้มีต้นตระกูลเป็นชาวญวนซึ่งอพยพเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารมาแต่ครั้งแผ่นดินก่อน

ความดีของสามีทำให้จันรักเขามากขึ้นกว่าเดิมยิ่งเมื่อเขาปรารภมาแต่ก่อนจะแต่งงานว่าจะมีเธอเป็นภรรยาเพียงคนเดียว จันก็ยิ่งซาบซึ้งที่เขาเห็นค่าผู้หญิงธรรมดาเช่นเธอจนถึงกับปวารณาไว้ในใจว่าหากแม้นวันใดที่เขาเปลี่ยนใจเป็นอื่นเธอจะไม่เสียใจสักนิดเลย

 

บ้านริมน้ำที่หญิงสาวคุ้นเคยคึกคักด้วยมีเด็กผู้หญิงหลายคนกำลังง่วนกับงานปักผ้าบนสะดึง บางคนก็จับกลุ่มอ่านหนังสือโดยมีโชติเป็นเสมือนพี่เลี้ยงคอยช่วยกำกับการอ่านออกเสียงคำง่ายๆ หญิงสาวหน้าตาแช่มชื่นเมื่อได้ก้าวเข้ามาในถิ่นที่คุ้นเคย มิสซิสเฮาส์ผู้เป็นครูเดินมายังบริเวณที่โชตินั่งอยู่ แววตาของผู้เป็นครูดูปลาบปลื้มกับศิษย์เอกมิใช่น้อยเมื่อเห็นหญิงสาวสามารถช่วยงานสอนเล็กๆ น้อยๆ ได้อย่างคล่องแคล่ว

“เดี๋ยวนี้เก่งเหลือเกินนะจ๊ะ ช่วยสอนน้องๆ ได้แล้ว”

“ไม่ถึงขนาดนั้นดอกค่ะ ฉันเพียงแค่ช่วยอธิบายบางคำที่พวกเขายังมิเข้าใจเท่านั้น” หญิงสาวออกตัวพลางหยิบหนังสือเล่มขนาดใหญ่กว่าฝ่ามือส่งให้อีกฝ่าย “ฉันนำมาคืนครูค่ะ”

“อ่านแล้วรู้สึกอย่างไรบ้าง กระท่อมน้อยของลุงทอม”

“รู้สึกว่ามนุษย์เราไม่ควรทำร้ายกันเพียงเพราะเขาขายแรงงานให้เราค่ะ ทาสในบ้านเมืองเราหากได้นายไม่ดีก็มีชีวิตเหมือนตกนรกไม่แพ้กันดอกค่ะครู” หล่อนตอบแล้วถอนหายใจก่อนจะก้มหน้าขมวดคิ้วราวรวบรวมความคิดเพื่อเอ่ยบางสิ่ง เพียงครู่เดียวโชติก็ตั้งคำถามออกมาอย่างอยากรู้ “ครูคะ ฉันอยากรู้ว่าคนที่เขาเขียนเรื่องขายเป็นคนนิสัยอย่างไรคะ”

“ถามสิ่งใดกัน แปลกจริงแม่โชติ” มิสซิสเฮาส์มองหน้าหญิงสาวตาผู้ซึ่งมีแววตามุ่งมั่นอย่างสงสัย ปกติโชติเป็นคนร่าเริงสดใสไม่ใคร่จริงจังยกเว้นเวลาที่สนทนาเรื่องความเป็นไปของดินแดนสยาม “เธอหมายถึงผู้เขียนงานเล่มนี้หรือไปพบเจอเรื่องใดจนต้องนำมาถามครู”

“มิได้เกี่ยวกับหนังสือเล่มนี้ดอกค่ะ คือฉันไปเจอคนฝรั่งเศสที่มากับท่านกงสุลค่ะ เขาบอกว่าเป็นนักเขียน หากเป็นเช่นนั้นจริง ไยเขามิอยู่ที่ประเทศของตนเองแล้วเขียนหนังสือเล่าคะ”

“คงจะมาหาข้อมูลเพื่อสร้างแรงบันดาลใจ แต่มาอยู่ที่นี่เขามิได้ทำงานอื่นเลยหรือ” มิสซิสเฮาส์ขยับแว่นสายตา

“เช่นนั้นแหละค่ะที่ฉันสงสัย หรือความจริงเขาอาจเป็นสายให้กับทางการก็ได้ใช่หรือไม่คะ”

“หมายถึงมาสืบความลับบางอย่างน่ะหรือ” สตรีชาวอเมริกันผู้มีแววตาสุขุมเป็นนิจเอ่ยเสียงสูงอย่างเหลือเชื่อในความคิดของศิษย์รัก “นี่เธอช่างมีจินตนาการดีเหลือเกินนะแม่โชติ ความจริงเธอควรไปเป็นนักเขียนเช่นบุรุษผู้นั้น อาจรุ่งเรืองขึ้นมาก็ได้นะแม่โชติ”

“เขียนเป็นเรื่องเช่นนั้นฉันคงไม่ถนัดดอกค่ะ แลในเมืองนี้ก็มิมีใครเขียนเรื่องขายยกเว้นแต่เขียนเป็นบทกลอน ส่วนใหญ่เป็นผู้ชายแต่ผู้หญิงก็มีเช่นคุณพุ่มอย่างไรเล่าคะ” โชติเอ่ยถึงกวีหญิงเลื่องชื่อแห่งยุคผู้ครั้งหนึ่งเคยประชันสักรวากับพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวขณะทรงดำรงพระอิสริยยศเป็นกรมขุนอิศเรศรังสรรค์

“เอาเถิด เรื่องเขียนหรือไม่เขียนนั้นมิใช่เรื่องที่ครูใส่ใจเท่ากับว่าเหตุใดเธอจึงคิดว่าชายฝรั่งเศสคนนั้นเป็นสายให้ทางการของประเทศเขา”

โชติถ่ายทอดเรื่องราวตั้งแต่คราวแรกที่ได้เจอกับมิเชลที่บ้านญวนกระทั่งบังเอิญพบกันที่หน้าบ้านของเธอ และเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาที่ร้านนายเจมส์บนถนนเจริญกรุง เหตุการณ์ระทึกเรื่องที่ตำรวจกำลังจับผู้ร้ายและเธอได้ยินด้วยว่าชายผู้นั้นตะโกนออกมาอย่างท้าทายทางการว่าตนเองเป็นคนในร่มธงฝรั่งเศสทำให้โปลิศไม่อาจนำตัวเขาไปลงโทษได้

“ถึงกับท้าทายเช่นนั้นเชียวหรือ” คิ้วเรียวยาวสีน้ำตาลประกายสีทองขมวดอย่างจริงจัง

“เช่นนั้นค่ะ หนำซ้ำชายผู้อ้างตนว่าเป็นนักเขียนก็ยืนอยู่ท่ามกลางคนมากมาย เขากลับนิ่งเฉยมิเอ่ยสิ่งใด” โชติเอ่ยถึงมิเชลอย่างหัวเสีย “แต่พอเข้าร้านมากลับอ้างว่าตนเองก็มิได้เห็นด้วยกับการกระทำของโจรผู้นั้น แต่ฉันยังมิปักใจเชื่อดอกค่ะครู”

“หมายความว่าเธอก็เชื่อเขาอยู่บ้างใช่หรือไม่จ๊ะ” รอยยิ้มที่มุมปากของอีกฝ่ายทำเอาโชติเสียหน้าเพราะถูกจับได้ว่าคิดเช่นไร

“แหม ครูว่าไม่แปลกดอกหรือคะที่เขามากับท่านกงสุลเพียงติดตามเพื่อเขียนหนังสือ”

“เชื่อหรือไม่มิได้สำคัญไปกว่าเรามิควรตัดสินใครหากยังมิรู้จักเขาแท้จริงนะจ๊ะ”

น้ำเสียงเปี่ยมด้วยความอารีต่อศิษย์หยุดความคิดของหญิงสาวได้ ตลอดเวลาหลายวันที่ผ่านมาโชติปักใจเพียงว่าชายผู้นั้นคือคนไม่ดีที่อาจมาทำให้บ้านเมืองของเธอเดือดร้อน หากแต่หล่อนกลับไม่มีสิ่งใดที่ยืนยันชัดเจนดังความคิด คำพูดของมิสซิสเฮาส์ผู้เป็นครูกระตุกเตือนโชติให้ผ่อนคลายความกังวลลงได้ แม้ยังมิอาจวางใจต่างชาติรายนี้ได้หากแต่หญิงสาวจะหมั่นย้ำกับตนเองว่าเขาเป็นเพียงหนึ่งในคนต่างบ้านเมืองที่เข้ามายังดินแดนแห่งนี้ และไม่ว่าจุดประสงค์ของเขาจะคือสิ่งใดแต่โชติเชื่อมั่นว่าสยามก็คงมีวิธีรับมือกับผู้ไม่หวังดีได้อย่างงดงามเสมอ

 

โชติเดินลัดเลาะมาตามถนนสายเล็กเลียบคลองใกล้บริเวณเรือนใหญ่ของท่านเจ้าคุณกลาโหมอย่างเพลิดเพลิน สายลมยามบ่ายพัดพาความเย็นจากริมคลองปะทะใบหน้างดงาม ชายสไบสีหมากสุกไหวตามแรงลม หญิงสาวบอกให้บ่าวผู้ชายจากเรือนคุณป้าที่นำเรือไปรับจากบ้านครูส่งหล่อนที่หน้าวัดประยุรวงศาวาสเพราะอยากเข้าไปไหว้พระในโบสถ์ก่อนที่วันนี้จะกลับบ้านตนเอง

เสียงฝีเท้าที่เดินตามหลังขณะหญิงสาวก้าวข้ามธรณีประตูทำให้โชติชะงักและหันกลับไปมอง ดวงหน้าของผู้ที่เดินมาทำเอาหญิงสาวตกใจด้วยไม่คาดคิดว่าเขาจะมายืนตรงหน้า ณ สถานที่และเวลานี้

“คุณโชติ” เสียงทุ้มกังวานแฝงด้วยความยินดีฉายชัดเจนไปยังแววตายามทอดมองมายังวงหน้าหมดจด

“คุณนั่นเอง” หญิงสาวฉงน

“ช่างบังเอิญเสียจริง ยินดีที่ได้พบอีกครั้งนะครับ” ท่าทีสุภาพพาให้ใจที่คิดตั้งแง่ของโชติอ่อนลง

“ค่ะ คุณมาวัดหรือคะ” หญิงสาวมองไปยังพระอุโบสถอันเป็นที่ประดิษฐานพระประธานเบื้องหน้า

“ผมได้ยินว่ามีวัดที่ตระกูลเจ้าคุณกลาโหมสร้างตรงนี้ วันนี้มาเยี่ยมเพื่อนใหม่ที่เพิ่งได้พบกันที่ร้านคุณเจมส์ คุณคงจำคุณเฮนรี่แลคุณทอมได้ใช่หรือไม่” เขาถามอย่างกระตือรือร้นจนลืมสิ้นว่าเหตุใดหญิงสาวตรงหน้าจึงไร้ท่าทีเฉยชาเช่นทุกคราที่พบกัน

“จำได้ค่ะ พวกเขาเช่าบ้านท่านเจ้าคุณกลาโหมอยู่ไม่ไกลจากนี้”

“นั่นแหละครับ ผมมาหาพวกเขาแล้วเลยมาเดินเล่นชมย่านนี้ คิดว่าน่าอยู่มากทีเดียว มีคลองเล็กๆ แลบ้านเรือนก็สวยงามร่มรื่นยิ่งนัก”

“บ้านละแวกนี้ต่างเป็นเครือญาติท่านเจ้าคุณ สืบเชื้อสายมาแต่ท่านเจ้าพระยาองค์ใหญ่แลท่านเจ้าพระยาองค์น้อย” โชติหมายถึงสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยูรวงศ์และสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาพิไชยญาติ

“รวมถึงบ้านคุณป้าของคุณผู้เป็นสะใภ้ใหญ่ของท่านเจ้าคุณใช่หรือไม่ครับ” เขาเอ่ยอย่างผู้รู้ทั้งที่เพิ่งซักถามข้อมูลเหล่านี้มาจากเพื่อนใหม่ชาวอังกฤษ

“ใช่ค่ะ ดูเหมือนว่าคุณจะรู้เรื่องของฉันดีนะคะ”

มิเชลไม่ตอบหากเดินตามหญิงสาวผู้กำลังเร่งฝีเท้าเข้าไปในโบสถ์ซึ่งมีบ่าวชายเดินตามห่างๆ มิเชลเห็นชายหน้าตาขึงขังจ้องมองเขาอย่างระแวดระวัง แต่เมื่อเห็นว่าโชติสนทนากับเขาโดยปราศจากความกลัวชายผู้นั้นก็เริ่มคลายกังวลและเพียงระวังอยู่ห่างๆ

“หามิได้ เผอิญเพื่อนใหม่ของผมเล่าให้ฟังเท่านั้น”

“สองท่านนั้นเป็นชาวต่างชาติที่เข้ามาทำกิจการค้าขาย แลเป็นมิตรกับชาวสยามดี” หญิงสาวเอ่ยน้ำเสียงเรียบๆ มิได้ชื่นชมและตำหนิใครแม้ชายหนุ่มจะรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าตนเองมิได้ถูกจัดอยู่ในกลุ่มคนต่างชาติที่เข้ามาทำการค้าขายก็ตามที แต่เขาแน่ใจว่าตนเองนั้นมีไมตรีกับผู้คนในดินแดนนี้อย่างเปี่ยมล้นไม่แพ้ใครแน่นอน หากก่อนที่เขาจะได้เอ่ยคำใดออกไปกลับมีดวงตาคมปลาบคู่หนึ่งซึ่งกำลังจ้องมองทั้งเขาและโชติจากภายในโบสถ์ มิเชลหยุดยืนนิ่งอย่างสงสัยต่างกับหญิงสาวผู้กำลังจะก้าวเท้าพ้นธรณีประตูที่เอ่ยอุทานออกมาอย่างแปลกใจระคนยินดี

“คุณหลวง” โชติทำความเคารพอีกฝ่ายพลางเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น “มาไหว้พระหรือเจ้าคะ แล้วคุณน้ามาด้วยหรือไม่” หญิงสาวชะเง้อมองไปยังเบื้องหลังชายหนุ่มหากไม่พบใครนอกจากทนายหน้าหอของหลวงภูบดินทร์พิทักษ์

“แม่จันมิได้มาด้วยกันดอก บ่นว่าอยากพัก”

“วานนี้ฉันไปพบคุณน้ามาเจ้าค่ะ แลได้นำบ้านตุ๊กตาแบบฝรั่งไปให้แม่เพ็ญด้วย”

“ขอบใจมากแม่โชติ แม่เพ็ญถูกใจยิ่งนัก” เขายิ้มจนดวงตาเป็นประกายยามเอ่ยถึงบุตรสาว หากเพียงครู่เดียวก็แปรเปลี่ยนเป็นความฉงนเมื่อเห็นชายต่างชาติผู้ติดตามหญิงสาว “นี่ผู้ใดกันแม่โชติ” โชติรู้สึกคล้ายกับได้ยินเสียงราวของคุณพ่อยามเมื่อหล่อนเป็นเด็กเล็กแล้วไปวิ่งเล่นตรงท่าน้ำโดยไม่ได้บอกกล่าวคนในบ้าน หญิงสาวลอบยิ้มแล้วตอบเขาเสียงเป็นการเป็นงาน

“เขาชื่อมิเชลเจ้าค่ะ เพิ่งมาอยู่พระนครได้ไม่นานนักเพราะมาด้วยท่านกงสุลฝรั่งเศสคนใหม่เจ้าค่ะ” โชติสังเกตว่าเมื่อเอ่ยถึงกงสุลฝรั่งเศสทำเอาแววตาบุรุษหนุ่มใหญ่ตรงหน้ามีร่องรอยประหวั่นเพียงเล็กน้อยหากเพียงครู่เดียวก็กลับเป็นปกติ

“กระนั้นเอง ยินดีที่ได้รู้จักนะคุณมิเชล” ท่าทางองอาจเป็นการเป็นงานยามยื่นมือให้ชายหนุ่มจากดินแดนตะวันตกสัมผัส

“ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันขอรับ” มิเชลยิ้มสดใสให้อีกฝ่าย แม้ยังมิรู้ว่าบุรุษตรงหน้าคือใครคือหากนิสัยชื่นชอบการผูกมิตรนั้นฝังติดอยู่ในจิตใจของเขาเสียแล้ว

“คุณหลวงภูบดินทร์พิทักษ์เป็นข้าราชการอยู่วังหน้า ท่านทำงานกับสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวน่ะค่ะ” โชติแนะนำอย่างเป็นงานเป็นการ หากเมื่อเห็นดวงตาสีน้ำตาลใสแจ๋วราวลูกแก้วยังมีแววสงสัยหญิงสาวจึงอธิบายขยายความให้เขาเข้าใจง่ายขึ้น “คิงพระองค์ที่สองอย่างไรเล่าคะ”

“ยินดีมากเลยขอรับที่ได้รู้จักคุณหลวง คุณหลวงใช่ไหม” เขาเอ่ยตำแหน่งของอีกฝ่ายซ้ำๆ เป็นภาษาไทยพลางหันไปมองหน้าหญิงสาว

“ใช่ค่ะ ถูกแล้ว”

“กระผมชอบสยามมาก เมืองสวยงามแลชาวเมืองก็ใจดี”

“ท่านมาทำอันใดที่นี่ฤๅ” หลวงภูบดินทร์พิทักษ์ถามอย่างสนใจ เขาได้ยินว่าโอบาเรต์เดินทางมาถึงสยามแล้วแต่ไม่รู้ว่ามีผู้ติดตามมาด้วยกี่คนจึงแปลกใจที่พบชาวฝรั่งเศสท่าทางดีผู้นี้

“กระผมมาเพื่อเก็บข้อมูลไปเขียนหนังสือขอรับ ได้ติดตามท่านกงสุลตั้งแต่ท่านอยู่ที่ไซ่ง่อนแล้ว เมื่อมาสยามกระผมจึงคิดอยากเรียนรู้วิถีชีวิตของคนที่นี่ในทุกๆ ด้าน ไม่ว่าจะเรื่องความเป็นอยู่ ความเชื่อหรือประเพณีต่างๆ แลหากได้เรียนภาษาไทยคงจักได้เข้าใจสิ่งเหล่านั้นลึกซึ้งมากขึ้น” เขาเอ่ยพลางมองไปยังโชติผู้กำลังยืนทำหน้านิ่งเฉยราวกับไม่รับรู้ความนัย

“เช่นนั้นเอง แลรู้จักกับแม่โชติได้เยี่ยงไรเล่า” หลวงภูบดินทร์พิทักษ์ถามตรงๆ ด้วยถือว่าตนเองเป็นผู้ใหญ่ที่ควรสอดส่องความเป็นไปของหญิงสาวที่เห็นมาแต่เล็กแต่น้อย

“มิได้รู้จักสนิทสนมกันดอกเจ้าค่ะ” โชติชิงตอบอย่างรวดเร็ว หญิงสาวใช้ภาษาอังกฤษได้คล่องแคล่วจนหลวงภูบดินทร์พิทักษ์เองยังอดรู้สึกแปลกใจไม่ได้ “บังเอิญเจอเท่านั้น”

“แต่ทุกครั้งที่เจอเราสองคนก็รู้จักกันมากขึ้นทุกทีนะขอรับ” มิเชลเอ่ยเสียงสดชื่นดวงตารื่นเริงอย่างชัดเจน “แลวันนี้กระผมยังได้รู้จักคนสยามเพิ่มอีกหนึ่งคน ถือว่าเราได้เป็นมิตรกันแล้วนะขอรับ”

ดวงตาประกายมีแววใสซื่อมองมายังโชติและคุณหลวงผู้กำลังพิจารณาอีกฝ่ายเงียบๆ ทำให้โชติไม่สามารถเอ่ยคำใดออกไปได้ หญิงสาวเกรงว่าการตัดรอนอาจส่งผลกระทบถึงเรื่องการบ้านการเมือง แต่หากจะให้เธอตอบรับอย่างยินดีหญิงสาวก็รู้สึกกระอักกระอ่วนใจยิ่ง ด้วยหวนนึกถึงกิริยาที่เคยแสดงออกในคราวที่ผ่านมาของเธอนั้นช่างห่างไกลสำหรับคำว่ามิตรที่เขาคิดจะมอบให้ยิ่งนัก



Don`t copy text!