
หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 18 : ภูเตศวร
โดย : กันต์พิชญ์
หริณจันทร์กังสดาล นวนิยายจาก กันต์พิชญ์ นักเขียนจากช่องวันอ่านเอาปี 1 ที่เปิดตัวด้วยผลงานสุดระทึกวางไม่ลง ‘ม่อนเมิงมาง’ ตามด้วย ‘วายัง’ และ ‘สีตคีตา’ ที่ประดาผู้อ่านกล่าวขานว่างานเขียนของกันต์พิชญ์นั้นช่างโดดเด่นและแตกต่าง และวันนี้เขามากับผลงานเรื่องนี้ที่อ่านเอานำมาให้คุณได้อ่านบนเว็บไซต์ anowl.co และเพจอ่านเอา
ในฉับพลันทันที ศศินรู้สึกถึงแรงกระตุกในช่องท้อง มันเป็นความเจ็บปวดทรมานแสนสาหัสอย่างที่ชายหนุ่มไม่เคยรู้สึกมาก่อนในชีวิต แผ่นกังสดาลขนาดเล็กครึ่งซีกเลื่อนหลุดจากมือขวาขณะเรียวนิ้วทั้งห้าสั่นสะท้านอย่างยากจะควบคุม
“อดทนอีกนิดนะพ่อหนุ่ม” ยายเฒ่าลงผีกระซิบให้กำลังใจ
หญิงชราผู้นี้เป็นผู้หยั่งรู้ของชนเผ่ารุ้งพราย ด้วยความที่แม่เฒ่ามักประกอบพิธีทรงเจ้าเข้าผี ถ่ายทอดถ้อยคำทั้งของเทวตาและคนตาย คนในเผ่าจึงเรียกขานหญิงชรากันว่า ‘ลงผี’
บัดนี้หยาดน้ำตากำลังเอ่อท้นท่วมเบ้าของหญิงชรา ขณะกรีดปลายมีดสำริดบางเฉียบและคมกริบลงบริเวณกระดูกสันหลังข้อที่สามนับจากก้นกบ ระมัดระวังไม่ให้เฉือนลึกเกินไปกระทั่งปลายมีดสัมผัสเนื้อเยื้อ ไม่อย่างนั้นทั่วองคาพยพของศศินจะตายด้าน ไม่อาจขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวได้อีกต่อไป
“พระอิศวรโปรดสถิตอยู่ตามป่าช้าแลเชิงตะกอน มีภูตผีเป็นบริวาร จึ่งเรียกว่าภูเตศวร”
ยายเฒ่าลงผีงึมงำคล้ายสังวัธยาย จากนั้นใช้แผ่นเงินเรียวเล็กสองแผ่นแยกปากแผลไม่กว้างนัก แล้วสอดสูรยกานต์ที่กะเทาะออกจากศาลิครามศิลาไว้ระหว่างช่องว่างระหว่างข้อกระดูก ผนึกติดด้วยเส้นไหมต้มน้ำร้อนจากรังผีเสื้อรัตติกาล
ยามนี้ศศินอยู่ในท่านอนคว่ำ พยายามขบฟันกรามไม่ให้ขากรรไกรสั่นกระทบ พลางแหงนหน้าขึ้นสูดอากาศ ทว่านัยน์ตาทั้งสองข้างกลับมองไม่เห็นสิ่งใด ความปวดร้าวทำให้ดวงเนตรถึงกับมืดบอดไปชั่วขณะ ขมับเต้นตุบราวกับกะโหลกจวนเจียนจะแตกออกเป็นเสี่ยง
“จวนเสร็จแล้ว”
หญิงชราเย็บแผลไวว่อง
ศศินปิดเปิดหนังตาถี่เร็ว พยายามเพ่งมองรอบด้านที่มีเพียงความมืดมิดและกอหญ้าขึ้นสูง
“รู้บ่ ผีเสื้อรัตติกาลมักอพยพลงใต้ช่วงเดือนสิบสองไปจนถึงเดือนอ้าย” ยายเฒ่าลงผีพยายามเบนความสนใจของศศินออกจากความเจ็บปวด “ก่อนหน้านั้นพวกมันมักอยู่ท่ามกลางหมู่เรา เกาะอยู่บนขอบตับจากหลังคากระท่อม ปีกของพวกมันหุบลงเชื่องช้าเนิ่นนาน เมื่อลมหนาวพัดผ่าน พวกมันพลันขยับปีกพึ่บพั่บพร้อมออกเดินทาง”
เงาดำทะมึนของรูปเคารพคร่ำคร่าปรากฏให้เห็นท่ามกลางกอวัชพืช หินทรายแท่งนี้ถูกสลักเสลาเป็นรูปนาคเศษะแผ่พังพานเหนือเศียรวิษณุดูลึกลับ ก่อบรรยากาศที่รายรอบเงียบสงัดชวนขนลุก
“อือ…” ศศินครวญด้วยความเจ็บปวด
“พวกมันจำเป็นต้องยกพวกย้ายถิ่น เพราะความหนาวเย็นสุดขั้วเพียงริตติเดียวก็ฆ่าเหี้ยนทั้งชั่วโคตร เช่นนั้นการมีลมหายใจต่อไปบนโลกอันโหดร้ายใบนี้จึงขึ้นกับเพลา…ขึ้นกับท่วงจังหวะของเพลา…”
ใบหน้าชายหนุ่มบิดเบี้ยวเหยเก หายใจหอบ
สงครามยังคงคืบคลานอยู่ในกายศศิน นับแต่คืนที่ไอ้หาญพาหน่วยสมิงบุก สงครามนั้นก็ไม่เคยจากชายหนุ่มไปไหน เสียงกรีดร้องของเผ่ารุ้งพรายสะท้อนก้อง บางคราวมันประกอบขึ้นเป็นใบหน้าบิดามารดาและผู้วายวาง
“บริเวณนี้คือจุดมณีปุระ หนึ่งในจักรทั้งเจ็ดที่อยู่กึ่งกลางของร่างกาย…” ยายเฒ่าออกเสียงเน้นคำ ‘จัก-กระ’ แล้วเอ่ยต่อ “ศูนย์รวมพละกำลังภายในร่างกายของรุ้งพราย พลังงานอันละเอียดอ่อนไหลเวียนเป็นวัฏจักร เชื่อมต่อกันเป็นรูปร่างสัตตบงกช แปลบปลาบดุจสายฟ้าแล่นปราดไปทั่วร่าง”
เริ่มจากจุดมูลธาร ส่วนปลายสุดของกระดูกสันหลัง สวาธิษฐาน ต่ำกว่าหน้าท้องราวสามนิ้วมือทาบ มณีปุระ กระดูกสันหลังตรงกลางสะดือ อนาหตะ อยู่แถวหน้าอกซ้ายบริเวณหัวใจ วิสุทธิคือจุดที่อยู่บริเวณลูกกระเดือก อาชญะอยู่กลางหน้าผากดุจดวงตาที่สาม และสหัสราระ ตำแหน่งสูงสุดกลางกระหม่อม
ชั่วพริบตานั้นเองแสงเจิดจ้าสีเหลืองนวลก็สว่างวาบผ่านกระจกตาของชายหนุ่ม
ความเจ็บปวดจากกระดูกสันหลังเสียดแทงถึงขีดสุดจนศศินคลื่นไส้ ความหวาดหวั่นในสิ่งที่ตนกำลังจะเป็นจู่โจมขั้วหัวใจ
“นี่คือวิถีเดียว เหล่าดวงวิญญาณเผ่ารุ้งพรายทุกตัวทุกผู้จักหวนสู่ผีบรรพบุรุษ ตายตาหลับชั่วกัลป์ชั่วอสงไขย”
แม้หญิงผู้นี้ล่วงเข้าสู่วัยชรา ทว่ายังแคล่วคล่องแข็งแรง นางคว้าใบสาบเสือที่ตำผสมใบบัวบก คลุกเคล้ากับว่านหางจระเข้ ป้ายเบาๆ ลงบนแผลเย็บสด
ปลายนิ้วมือทั้งสองข้างของศศินกระตุกขยับแผ่วเบาเพราะรู้สึกปวดแสบกลางแผ่นหลัง บัดนี้เล็บมือที่เคยสุขภาพดีสีแดงอมชมพูได้แปรเปลี่ยนเป็นแต้มเฉดดำสนิท ก่อนลามเลียกินพื้นที่ทั้งหมดของปลายนิ้วทั้งสิบ
“สูรยกานต์เชื่อมต่อเส้นวัชระ เปิดดวงตาที่สามกึ่งกลางหน้าผาก บัดนี้จักรของเตถูกทะลวงเปิดสิ้นแล้ว…”
ฟ่อ!
ยังไม่ทันสิ้นคำยายเฒ่าลงผีดี เสียงลมหายใจของทับสมิงคลา ลำตัวดำสลับขาวตัวโตเลื้อยออกจากพงหญ้า ประหนึ่งยินยอมปฏิบัติตามสัญญาณรหัสจากปลายนิ้วที่เผลอขยับของชายหนุ่มรูปงาม
ยายเฒ่าลงผีกลับสะบัดมือไวว่อง คว้างูพิษมาสะบั้นส่วนหัวออกจากลำตัวยาวเฟื้อยของมันในฉับเดียว เสียงลมหายใจของสตรีสูงวัยกระชั้นถี่ ขณะทอดตามองส่วนที่เหลือของอสรพิษที่กำลังส่ายสะบัดดิ้นเร่า นิ้วมือหงิกงอและเหี่ยวย่นบีบส่วนหลังของหัวทับสมิงคลา จนขากรรไกรดิรัจฉานเลือดเย็นอ้ากว้างแล้วแยกเขี้ยว
ยายเฒ่าลงผีบรรจงหยดพิษลงในของเหลวปริศนาสีเกษียรสมุทร
ไม่นาน ของเหลวในภาชนะดินเทศปากผายเริ่มเดือดปุด พรายฟองผุดขึ้นทั่วทั้งพื้นผิวของของเหลวสีขาวราวกับว่ามันกำลังจะระเบิดเป็นเปลวเพลิง ขณะน้ำอมฤตเปลี่ยนเฉดเป็นฟ้าสดไม่ต่างกับพิษร้าย
“พระอินทราธิราชทรงพระสุบินว่า แก้วมณีโชติหลุดจากปากพระโอษฐ์ ตกลงไปในเปือกตมมนุษยโลก…”
หญิงชราไล้ปลายนิ้วเช็ดเหงื่อบนหน้าผากให้ศศิน แล้วยกถ้วยจดริมฝีปาก ป้อนของเหลวให้ชายหนุ่มพลางว่าต่อ
“เมื่อครั้งปฐมกัลป์ ประเทศนี้ยังเป็นห้วงมหรรณพ พญานาคนามท้าวชมภูปาปะกาศไปรับอาสาพระอิศวร ขนดกายพันเข้ากับเขาพระเมรุมิให้เอนเอียง ฝ่ายพระพายขัดใจ จึ่งพัดให้มหาบรรพตเอนเอียง พระพายเอาพระขรรค์ตัดศีรษะพญานาค ขว้างมาตกลงที่นั้น เกิดเป็นโคกมีต้นทลอกใหญ่ จึ่งขนานนามว่าโคกทลอก (1) ”
ชั่วพริบตาหนึ่ง ชายหนุ่มรับรู้ได้ถึงความกลัวแผ่ซ่านออกจากฝ่ามือยายเฒ่าลงผี
“สูรยกานต์อย่างนั้นฤๅที่หล่นร่วงลงไปในหล่มโคลน” ศศินกระซิบถาม
หญิงชราพยักหน้า
“มันคือแก้วมณีที่ฝังอยู่ในศาลิครามศิลา ตกทอดจากรุ่นสู่รุ่นของเผ่ารุ้งพรายมาตั้งแต่บรรพกาล แต่โชคร้ายนัก มณีศักดิ์สิทธิ์ถูกโขลญทหารและนายจำกอบแย่งชิงไปเก็บงำตั้งแต่รุ่นยายสังกะสาตาสังกะสี” ของยายเฒ่าลงผีแผ่ซ่านรังสีสังหารชัดเจน
“หมายความว่าเผ่ารุ้งพรายของหมู่เราเป็นหน่อเนื้อเชื้อไขจากโคกทลอก?”
คำถามหลุดจากริมฝีปากสั่นระริกของศศิน หลังน้ำอมฤตสีฟ้าหยดสุดท้ายไหลเข้าปาก
สตรีสูงวัยผงกศีรษะอีกครั้ง
“แล้วขรรค์พระพาย…” ชายหนุ่มนิ่วหน้าคล้ายกำลังกลืนเข็มพิษ
“อย่าได้เข้าใกล้เป็นอันขาด มิถูกโฉลกกับรุ้งพรายเท่าไรนัก” ยายเฒ่าลงผีวางภาชนะดินเทศลงข้างตัว
ทันทีที่ศศินกลืนน้ำเกษียรลงกระเพาะ ความแสบร้อนรุนแรงภายในร่างกายก็เพิ่มพูนขึ้นทีละน้อย อาการสะบัดร้อนสะบัดหนาวสุมกันชั้นแล้วชั้นเล่า มันไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตนเผลอจิกปลายเล็บดำมืดเข้าไปในเนื้อฝ่ามือ
“เผ่ารุ้งพรายล้วนกล้าหาญชาญชัย…แม้ยามที่ต้องเผชิญหน้ากับความตาย”
สตรีสูงวัยเอ่ยพลางยกมือลูบกระหม่อมศศิน จากนั้นค่อยๆ ยกศีรษะอีกฝ่ายให้หนุนบนตักตน ไพล่นึกถึงตอนที่ตนดั้นด้นค้นหาศศินกระทั่งพบในถ้ำม่านน้ำตก หลังมหาเสนาปติพาหน่วยสมิงเข้าเข่นฆ่าเผ่ารุ้งพราย
สภาพด้านในคูหาย่ำแย่เหลือคณา ใบหน้าศศินในยามนั้นสกปรกมอมแมมจนมองเค้าหน้าไม่ออก กลิ่นคาวโลหิตน่าสะอิดสะเอียนอบอวลอยู่ทุกอณูของอากาศ
ศศินนั่งพิงผนังหินปูนกอดซากงูตัวเขื่องเอาไว้แน่น เปลือกตาปิดสนิท คราบเลือดของงูยังคงเปื้อนเปรอะแถวมุมปากของเด็กหนุ่ม
เมื่อยายเฒ่าลงผีเห็นรอยกัดจนเกิดเป็นแผลถลอกที่ข้อเท้าศศิน จึงเข้าในสถานการณ์ทันที
งูตัวนี้คงคิดว่าเด็กหนุ่มร่างกายผ่ายผอมผู้นี้จวนเจียนจะหมดลมหายใจ มันจึงกัดข้อเท้าของศศิน หวังม้วนลำตัวยาวเฟื้อยกอดรัดให้กระดูกแหลกละเอียดทีละน้อยค่อยกลืนกิน ทว่ามันกลับถูกศศินจับกินเป็นอาหารแทน
ยามนั้นเด็กหนุ่มกำงูตายเอาไว้ในมือแน่น ประหนึ่งต้องการกกกอดความหวังเพียงหนึ่งเดียวที่เหลืออยู่ในชีวิต ทั้งที่งูตัวนี้เริ่มส่งกลิ่นเหม็นเน่าจนแสบคอ
ยายเฒ่าลงผีรู้ดีว่าศศินเจนจัดด้านพรานไพร เพียงออกจากถ้ำเข้าป่าล่ากระต่ายสักตัวย่อมไม่ใช่เรื่องเหลือบ่ากว่าแรง ทว่าบัดนี้ความจริงอันโหดร้ายได้ทำลายศศินให้ตายด้าน กระทั่งไม่อยากกระดิกกระเดี้ยเนื้อตัวแม้สักกระผีกริ้น
ริมฝีปากเหี่ยวย่นของยายเฒ่าลงผีสั่นระริก ด้วยความสมเพชเวทนากดทับหัวใจจนหนักอึ้ง
“อัญ…ปวด…เหลือเกิน…” ร่างกายของศศินที่เริ่มกระตุกเพรียกให้ยายเฒ่าหลุดจากภวังค์
“ครั้งหนึ่งนานมา มีหมาในติดบ่วงแร้วของพรานโฉดศกุนตะ มันตัดสินใจกัดขาตัวเองจนขาดเพื่อให้หลุดพ้นจากกับดัก นั่นคือวิถีเดียรัจฉาน แต่ขึ้นชื่อว่ารุ้งพราย ย่อมเลือกอดทนอยู่ในบ่วงวิชชาแห่งเศษะอนันตนาคราช ทนรับความเจ็บปวด แสร้งตายเพื่อหาโอกาสสังหารพรานโฉดศกุนตะ แก้แค้นแด่พวกพ้องร่วมเผ่าพันธุ์”
ทั่วทั้งสรรพางค์ของชายหนุ่มเต้นตุบแสบร้อน ทุกอณูของดวงจิตร่ำร้องให้ละทิ้งจากกองเพลิงของกายหยาบและกระดูกที่ปวดปร่า
ขณะที่ศศินรู้สึกได้ว่าลมหายใจของตนกำลังขาดห้วง ความเจ็บปวดพลันหายไปประหนึ่งพนมเทียนที่ถูกเป่า
ฉับพลันสิ่งที่ปรากฏในแววตาของศศินล้วนมีแต่ความเลือดเย็น
ชายหนุ่มลองขยับเขยื้อนปลายนิ้วมือขวาทั้งห้าที่ตกอยู่ข้างร่างกำยำ ทั้งหมดเคลื่อนไหวส่ายประสานคล้ายกำลังดีดพิณซุงเป็นท่วงจังหวะบอกรหัสในอากาศ เพียงชั่วพริบตาอสรพิษตัวเขื่องก็เลื้อยออกจากพงหญ้าเข้ามาคลอเคลียแถวข้อเท้าของชายหนุ่ม
ศศินไล้ปลายนิ้วดำทมิฬยิ่งกว่าถ่านไม้ติ้วลงบนส่วนหัวของมัน
สีเขม่าดำที่ติดแน่นอยู่ปลายนิ้วมือทั้งสิบก็เป็นผลพวงจากการทะลวงปราณจักรทั้งเจ็ดด้วยสูรยกานต์
“หากเอ็งฟังคำพล่ามของอัญออก คงเข้าใจกระมังว่าอัญเลือกวิชชานอกรีต มรรคาแห่งความชั่วร้ายด้วยเหตุใด” ชายหนุ่มกระตุกมุมปากขึ้นเพียงเล็กน้อย
“ผู้กล้าหาญย่อมเลือกหนทางนี้” มุมปากเหี่ยวย่นของยายเฒ่าลงผีค่อยๆ แสยะยิ้ม
“เพื่อบรรลุเป้าหมาย ความเป็นมนุษย์แลมโนธรรมย่อมต้องละทิ้ง”
ศศินพยายามยันกายลุกขึ้นยืนบนฝ่าเท้าทั้งสองข้างอย่างเชื่องช้า ไม่แยแสความเจ็บปวดจากแผลสดกลางกระดูดสันหลังอีกต่อไป สายตาจับจ้องรูปสลักนาคเศษะแผ่พังพานเหนือเศียรวิษณุเขม็ง ภาพเหตุการณ์เมื่อสามปีก่อนอันเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่นำพาให้ชายหนุ่มจำต้องเลือกเดินหนทางนี้ผุดพร่างแจ่มชัดหลังม่านตา
แม้ศศินกับยายเฒ่าลงผีรู้ดีว่ากฎแห่งเหตุและผลของการกระทำจักดำเนินเป็นวัฏจักรไปชั่วกัปชั่วกัลป์ ทว่ามีเพียงผู้ถูกบดขยี้จนไม่หลงเหลือความเป็นมนุษย์เท่านั้นที่สามารถดุ่มเดินไปบนวิถีอนธการนี้ได้…
โดยไม่สนว่าต้องแลกด้วยสิ่งใด!
เชิงอรรถ :
(1) โคกทลอก (โคกธฺลก) โคก หมายถึง ที่เนิน ที่บก ส่วน ธฺลก คือ ต้นหมัน ซึ่งในตำนานท้องถิ่นเชื่อว่าพญานาคเนรมิตบริเวณเกาะโคกทลอกเป็นพระนครให้แก่พระทองและนางนาค
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 18 : ภูเตศวร
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 17 : ศาลิครามศิลา
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 16 : โหมกูณฑ์
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 15 : ความหวัง
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 14 : เชื้อไข้
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 13 : รุ้งพราย
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 12 : พรานโจร
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 11 : หอสังคีต
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 10 : ผลึกเศษะ
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 9 : จตุรงค์
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 8 : ป้อมแดง
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 7 : เฒ่าเกิบ
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 6 : จันทบเพชร
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 5 : ประลัย
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 4 : ข้างนอก
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 3 : คู่ชีพิต
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 2 : สาลิกา
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 1 : อาตมัน
- READ หริณจันทร์กังสดาล : อาทิบรรพ