นิราศรักสองนครา บทที่ 14 : เรื่องที่ไม่อาจเอ่ย

นิราศรักสองนครา บทที่ 14 : เรื่องที่ไม่อาจเอ่ย

โดย : ปรียนันทนา

Loading

นิราศรักสองนครา โดย ปรียนันทนา เรื่องราวของโชติ หญิงสาวชาวสยาม กับทางเลือกสองทาง ความรักของชายหญิงกับความรักหวงแหนแผ่นดินเกิด เธอจะเลือกทางใด และหากไม่สามารถเลือกได้  จะมีหนทางใดที่ใจสองดวงจะมาบรรจบพบกัน ณ จุดที่ลงตัวได้หรือไม่ นวนิยายออนไลน์ที่อ่านเอาอยากให้คุณได้อ่านพร้อมกันที่นี่ anowl.co

“พี่โชติจ๊ะ”  กลอยส่งเสียงเรียกหญิงสาวที่กำลังสำรวจเครื่องแต่งกายให้รัดกุมเพื่อเตรียมตัวออกไปยังเรือนหลวงภูบดินทร์พิทักษ์  วันนี้เธอให้บ่าวไปส่งจดหมายที่เรือนมิสซิสเฮาส์แต่เช้าตรู่ว่าอาจไปถึงช่วงบ่ายเพราะต้องไปทำธุระเรื่องนายเทิดแทนคุณพ่อซึ่งถูกเรียกเข้าวังไปตั้งแต่เมื่อเช้ามืด  ส่วนแม่ก็ต้องกำกับดูแลบ่าวให้จัดใบลานตามที่มีลูกค้าสั่งไว้ให้ครบจำนวน

“ว่าอย่างไรหรือกลอย”

“เมื่อครู่ฉันลงไปดูคุณท่านกำลังให้พี่ ๆ ในเรือนจัดใบลานก็พอดีมีคนมาพบพี่จ้ะ”

“พบพี่  ใครกันฤา”  หญิงสาวถามขณะกำลังหยิบต่างหูทองลงยามาสวม

“คุณมิเชลจ้ะ”  กลอยจำได้ว่าเขาเป็นผู้กระโดดน้ำลงไปช่วยเธอขึ้นมา  แต่เด็กหญิงไม่รู้จุดประสงค์ที่เขามาหาพี่โชติที่เรือนในวันนี้

“มาหาเรื่องอันใด”  หญิงสาวขมวดคิ้วสงสัย  “คงเป็นเรื่องสอนภาษากระมัง”  โชติกล่าวกับตนเองเมื่อทบทวนเรื่องราวได้ว่าเธอรับปากเรื่องการสอนภาษากับมิเชลไปก่อนหน้านี้  หากแต่มีเรื่องที่เรือนเสียก่อนจึงทำให้การนัดหมายวันนี้ไม่เป็นไปตามที่ตั้งไว้

“พี่รู้จักเขาเมื่อใดกันจ๊ะ”  เมื่อวานนี้เด็กหญิงไม่มีเวลาได้สอบถามอีกฝ่ายว่าเหตุใดฝรั่งหน้าตางดงามผู้นี้จึงติดตามโชติไปถึงเรือนพ่อแม่ของเธอได้

“รู้จักฤา  คราแรกเรียกว่าบังเอิญได้พบกันมากกว่า  หากเพลาต่อมาได้พบกันจึงคนแนะนำให้รู้จักเขา  เขาเป็นผู้ติดตามท่านกงสุลฝรั่งเศสมาจ้ะแต่มิได้ทำงานให้พระเจ้านโปเลียน  เขาเป็นนักเขียน”

“นักเขียนหรือจ๊ะ  เป็นคนที่เขียนหนังสือจำพวกอ่านเล่นที่ครูเอามาให้พวกเราอ่าน  แลเขียนแล้วได้เงินด้วยใช่ไหมจ๊ะ”

“เช่นนั้นแหละ”

“บ้านเมืองเรามิใคร่มีคนทำงานเยี่ยงนี้  แปลกแลน่าสนใจยิ่งนะจ๊ะ”  กลอยเอ่ยด้วยนำ้เสียงสดใส

“พี่ก็เห็นเช่นนั้น  บ้านเมืองของเขาให้อิสระเสรีแก่ผู้คนในเรื่องความคิดจึงมีคนทำงานนี้กันมาก”

“พี่โชติรีบลงไปพบเขาเถิดจ้ะ  อีกเดี๋ยวเราจะต้องไปบ้านสามเสน  จะไม่มีเวลาเอานะจ๊ะ”

“นั่นสินะ  ไปกันเถิด  พี่จะได้บอกคุณมิเชลให้กลับไปรอที่บ้านครูเสียก่อน”

หญิงสาวในชุดสไบสีเขียวตองซึ่งห่มทับเสื้อสีดอกจำปาหันไปสำรวจใบหน้าและผมในกระจกบนเล็กตรงโต๊ะแต่งตัวแบบนั่งพื้น  ดวงตากลมโตเป็นประกายที่ส่องสะท้อนมาเป็นประกายสุกใส  โชติขยับตัวลุกขึ้นแล้วเดินออกจากห้องนอนของตนโดยมีกลอยเดินตามติดไปอย่างใกล้ชิด

 

มิเชลนั่งรอหญิงสาวตรงศาลาใกล้กับเรือนเล็กหน้าบ้านอันเป็นที่สำหรับวางขายใบลาน ชายหนุ่มสังเกตว่ามีคนเข้ามาเป็นระยะมิได้ขาด  ส่วนใหญ่มารับของที่สั่งไว้จากนั้นก็นำใบลานที่ผู้ขายเตรียมไว้ลงเรือ

กิจการบ้านหญิงสาวคงดีมิใช่น้อยเพราะละแวกนี้เป็นแหล่งขายใบลานแต่มีบ้านของโชติเท่านั้นที่มีโรงอบ  นั่นหมายความว่าบ้านอื่น ๆ ต้องนำสินค้าจากบ้านเธอไปวางขายต่อนั่นเอง

“คุณมาพบฉันเรื่องสอนภาษาใช่หรือไม่คะ”  เสียงใสกังวานก้องมาจากด้านหลังชายหนุ่มหากแต่สิ่งที่มาถึงตัวก่อนนำ้เสียงเสนาะหูนั้นคือกรุ่นกลิ่นเครื่องหอมอันเป็นลักษณะเฉพาะของหญิงสาวชาวสยามซึ่งแตกต่างกับน้ำหอมในเขตเมืองหนาวเช่นบ้านเมืองของเขา

“ครับ  มิสซิสเฮาส์บอกว่าคุณจะไปถึงบ้านของเธอตอนบ่ายเพราะมีเรื่องด่วนที่ต้องจัดการ”

“ใช่ค่ะ  มีเรื่องต้องจัดการแทนคุณพ่อของฉันที่ถูกเรียกตัวเข้าวังตั้งแต่เช้ามืด”  หยิงสาวเอ่ยเสียงกังวลเล็กน้อยด้วยไม่แน่ใจว่าเรื่องที่พระนรินทรราชเสนาเข้าวังหลวงคือเรื่องใดกัน

“เช่นนั้นผมจะรอที่นี่เพื่อจะได้กลับไปบ้านมิสซิสเฮาส์พร้อมกับคุณ”

“อย่าเลยค่ะ  คุณกลับไปก่อนหรือวันนี้จะยกเลิกการสอนเสียก็ได้นะคะ”  หญิงสาวไม่แน่ใจว่าต้องอยู่ที่เรือนหลวงภูบดินทร์พิทักษ์นานเท่าใด  “ธุระของฉันอาจนานจนทำคุณเสียเวลา”

“มิเป็นไร  ผมรอได้”  เขาบอกอย่างใจเย็น  “หากมิเป็นการรบกวนคุณจะให้ผมไปด้วยกับคุณก็ได้นะครับ”

“ไปด้วยกันกับฉันที่เรือนคุณหลวงน่ะหรือคะ”  หญิงสาวเล่าเรื่องราวเมื่อคืนคร่าว ๆ ให้ชายหนุ่มฟัง

“เช่นนั้นผมมิขัดข้องหากจะไปด้วย  คุณเห็นว่าเป็นอย่างไร”

เขาเอ่ยน้ำเสียงกระตือรือร้นแสดงกิริยาเตรียมพร้อมช่วยเหลือโชติอย่างเต็มที่  หลังจากนั้นเขาและโชติพร้อมกับกลอยก็ลงเรือโดยมีบ่าวผู้ชายพายเรือ  ส่วนนายเทิดมีบ่าวผู้ชายกำลับลงเรือมาอีกลำหนึ่งตามกันมาใกล้ชิด

 

ลมเย็น ๆ พัดพาเอาความสบายมาสู่เรือนหลังใหญ่ของหลวงภูบดินทร์พิทักษ์  เสียงเด็กเล็กที่ดังเจื้อยแจ้วมาจากบนเรือนพาให้บรรยากาศผ่อนคลายมากยิ่งขึ้น  โชติหันไปบอกมิเชลให้คอยอยู่ด้านล่าง  โดยให้บ่าวผู้ชายที่พานายเทิดมารออยู่ด้วยกัน  ก่อนที่ตนเองจะเดินขึ้นเรือนไปพร้อมกับกลอย

“แม่โชติเองหรือนั่น”  เสียงอ่อนหวานของหญิงผู้กำลังนั่งเล่นกับบุตรสาวที่เริ่มเดินคล่องจนต้องมีพี่เลี้ยงคอยประกบติดตามเพิ่มขึ้นทุกฝีก้าว

“ฉันเองแหละค่ะคุณน้า”  โชติยกมือไหว้จันพร้อมทั้งหันมาแนะนำกลอยอย่างรวดเร็ว  “นี่แม่กลอย  เป็นเด็กที่ฉันเพิ่งพามาอยู่ด้วย  ก่อนหน้านี้เรียนหนังสือด้วยกันที่บ้านครูเลยได้รู้จักกัน  ที่บ้านกลอยมีปัญหาฉันก็เลยตกลงรับมาอยู่ด้วยกันค่ะ”

“ไหว้พระเถิดจ้ะ  อยู่กับแม่โชติท่าทางจะสนุกนะ”  เจ้าของบ้านผู้มีผิวพรรณละเอียดงามตาเอ่ยอย่างใจดีจนทำให้กลอยรู้สึกผ่อนคลาย

“ค่ะ”  เด็กหญิงรับคำพลางหันไปมองเด็กผู้หญิงตัวเล็กผมจุกที่กำลังมองตรงมายังกลอยตาแป๋ว  ก่อนจะร้องเรียกโชติออกมาอย่างจำได้

“พี่โชติ  พี่โชติเจ้าขา”

“ตายแล้ว  มิได้มาไม่นาน  แม่เพ็ญพูดชัดแล้วนะคะคุณน้า  ช่างผิดกับเด็กวัยเดียวกันนัก”

โชติเอ่ยอย่างตื่นเต้นพลางอ้าแขนรับเมื่ออีกฝ่ายทำท่าวิ่งถลามาหาอย่างรื่นเริง

“คงเป็นเพราะคุณพ่อของเขาน่ะ  หากกลับมาจากงานราชการเมื่อใดก็มักขลุกอยู่กับแม่เพ็ญ  นี่ขนาดมิได้กลับมาที่บ้านทุกวันแม่เพ็ญยังช่างเจรจาขนาดนี้”  จันเอ่ยถึงผู้เป็นสามีอย่างภูมิใจ  ยิ่งเห็นบุตรสาวร่าเริงและเข้ากับคนอื่นได้ง่ายเธอก็ยิ่งสบายใจ  “ว่าแต่วันนี้มาเยี่ยมแม่เพ็ญเพียงเท่านี้หรือแม่โชติ  น้าเห็นมีบ่าวมาเสียหลายคนด้านล่าง”

“หามิได้ค่ะ  เมื่อคืนเกิดเรื่องแถวบ้านฉัน  พอดีมีชายคนหนึ่งมาตามหาญาติแต่มาบ้านลานแลเข้าไปที่วัดจนคนคิดว่าเป็นขโมย  กว่าจะไต่ถามจนได้ความก็เกือบรุ่งสาง  สรุปว่าเขาจะมาตามหาญาติที่เป็นคนญวนอยู่แถวสามเสน  ฉันเลยพามาที่นี่”  โชติหยุดพูดแล้วมองลงไปด้านล่างของเรือนก่อนบรรยายต่อไปให้เจ้าของบ้านฟัง  “เขามาจากปากแพรกค่ะ  ตระกูลอพยพมาแต่เป็นคนพุทธเลยไปอยู่ที่นั่น”

“พาเขาขึ้นมาเถิดแม่โชติ  จะได้ถามไถ่ให้รู้แจ้ง”  จันมีสีหน้าจริงจังเมื่อได้ทราบวัตถุประสงค์ของอีกฝ่าย

โชติได้ยินดังนั้นจึงขยับลุกพลางส่งเด็กหญิงตัวเล็กให้กับพี่เลี้ยง  แต่แม่เพ็ญไม่ยอมเพราะเด็กหญิงจ้องตาแป๋วไปยังกลอย  โชติมองหน้ามารดาของเด็กหญิงตัวน้อยเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายพนักหน้าเชิงอนุญาตจึงส่งเพ็ญให้กลอย  จากนั้นหญิงสาวจึงลงไปตามเทิดให้ขึ้นมาบนเรือน

เทิดเดินขึ้นเรือนมาด้วยท่าทางประหม่าเล็กน้อยด้วยชั่วเวลาคืนเดียวเขาต้องเข้าพบผู้คนในบ้านเรือนใหญ่โตถึงสองบ้านด้วยกัน  ต่างจากชีวิตที่เมืองกาญจน์ที่เขาจากมา  เพราะที่นั่นเขาเป็นเพียงพ่อค้าที่ทำมาค้าขายเพื่อเลี้ยงชีพมิได้มีเหลือกินเหลือใช้และมีบ่าวไพร่ในเรือนเช่นขุนนาง  ชีวิตประจำวันจึงมิได้คลุกคลีกับเจ้าใหญ่นายโตมากนักยกเว้นเพียงการเข้าไปในบ้านพระยาผู้เป็นเจ้าเมืองเป็นบางคราวเท่านั้น

“นี่พ่อเทิดค่ะคุณน้า  พ่อเทิด  นี่คุณจันภรรยาหลวงภูบดินทร์พิทักษ์เจ้าของเรือนนี้”  โชติแนะนำสองฝ่ายแก่กันโดยที่เทิดเป็นฝ่ายยกมือขึ้นทำความเคารพจันอย่างนอบน้อมแม้ว่าประเมินด้วยสายตาเขาน่าจะมีอายุมากกว่าอีกฝ่ายหลายปีอยู่ก็ตาม

“ได้ยินว่ามาตามหาญาติใช่ไหมจ๊ะ”  จันเอ่ยเสียงอ่อนหวานพลางส่งยิ้มอย่างใจดี

“ขอรับคุณจัน  กระผมมีญาติเป็นพวกที่เข้ารีต  พ่อแม่บอกว่าอยู่ละแวกนี้จึงมาตามหาขอรับ”

“ตามหาไปไย  ต่างคนก็ต่างตั้งรกรากอยู่ต่างถิ่นแล้ว”  โชติสงสัยตั้งแต่เมื่อคืนจึงเอ่ยออกมาอย่างอยากรู้

“คือว่า”  เทิดอึกอักอย่างไม่คาดคิดว่าหญิงสาวชื่อโชติผู้นี้จะถามเรื่องที่เขาไม่อยากพูดออกมาในที่สุด  “คือกระผมเป็นเพียงพ่อค้าธรรมดา ๆ แต่ดันไปรู้เห็นเรื่องไม่ดีของท่านเจ้าเมืองเข้าก็เลยโดนตามล่าตัวขอรับ  ตอนนี้จึงคิดว่าหลบมาอยู่เสียที่นี่ก่อนน่าจะดีกว่า”

“เรื่องใหญ่ขนาดนี้เชียว  ที่ว่าเรื่องไม่ดีนั้นเรื่องอะไรหรือ”  โชติขมวดคิ้วเคร่งเครียดโดยพลัน  เทิดมีสีหน้าอึดอัดใจ  เขาไม่กล้าเล่าเรื่องให้ผู้หญิงสองคนนี้ฟัง  ความจริงเขาคิดว่าจะเล่าเรื่องนี้ให้คุณพ่อของหญิงสาวที่ชื่อโชติได้รับรู้เพราะฝ่ายนั้นดูเป็นขุนนางผู้เปี่ยมไปด้วยความใจดีและเขาคิดว่าเรื่องราวที่เขาได้รู้มาอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้

“คงยังไม่อยากบอกใช่ไหมจ๊ะ  น้าว่าแม่โชติให้บ่าวพานายเทิดไปพักก่อนเถิด  เรื่องตามหาญาติคงได้พบกันแน่กระมัง  ส่วนเรื่องอื่นรอให้สามีฉันกลับมาก่อนได้หรือไม่”  จันออกความเห็นเพื่อยุติบรรยากาศที่เร่ิมอึดอัด

“ความจริงกระผมก็มิได้อยากปิดบังอันใด  แต่บังเอิญว่าเมื่อคืนคุณหลวงท่านบอกจะฟังเรื่องที่กระผมจะเล่าขอรับ”  เขาหมายถึงบิดาของโชติผู้ที่เขาไถ่ถามบ่าวในบ้านได้ความว่าเป็นขุนนางในวังหลวงและทำงานรับใช้ใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาท

“อยากรอคุณพ่อดอกหรือ  เช่นนั้นเธอเขียนหนังสือได้หรือไม่เล่า”  โชติถามอย่างใจกว้าง

“พอได้ขอรับ  กระผมเรียนที่วัดกับหลวงพ่อ”

จันบอกบ่าวนำกระดาษและปากกามาส่งให้เทิด  ก่อนที่โชติจะเอ่ยออกมาให้อีกฝ่ายสบายใจคลายกังวล

“มิต้องห่วงนะ  ฉันจะนำหนังสือของเธอไปให้ถึงมือคุณพ่อเอง  แลสัญญาจะไม่เปิดอ่านก่อนแน่นอน”

“กระผมมิได้ไม่ไว้ใจคุณโชตินะขอรับ  หากแต่เกรงว่าหน้าต่างมีหูประตูมีช่อง”  เขาเอ่ยอย่างรอบคอบด้วยมิอาจแน่ใจได้ว่าใครเป็นใครในเรือนนี้

“ฉันเข้าใจ”  โชติพยักหน้าอย่างเข้าใจจริง ๆ

ความเงียบเข้าครอบงำขณะเทิดเริ่มจรดปากกาลงบนกระดาษ  เสียงฝีเท้าย่ำอยู่ใต้ถุนเรือนดังราวกับเตือนว่ายังมีใครบางคนที่มิใช่บ่าวอยู่อีกคน

“เอ๊ะ  เสียงรองเท้าใคร  มิได้มีแต่พวกบ่าวดอกหรือแม่โชติ”

โชตินึกได้ว่าปล่อยให้มิเชลรออยู่ด้านล่างนานแล้ว  แววตาเคร่งเครียดจริงจังเปลี่ยนเป็นตกใจพลางชันเข่าเตรียมลุกขึ้นพร้อมกับรีบอธิบายให้จันฟังไปด้วย

“ตายแล้ว  ฉันลืมว่าพาคุณมิเชลมาด้วยค่ะคุณน้า  เขาเป็นคนฝรั่งเศสที่จะมาเรียนภาษาไทยกับฉันที่บ้านครูเฮาส์ค่ะ  ส่วนเขาจะสอนภาษาฝรั่งเศสให้ฉันด้วย”

“จริงหรือ  นี่หล่อนถึงกับสอนภาษาได้เชียวหรือแม่โชติ  ช่างเก่งหาตัวจับยากจริง”  จันหัวเราะพลางคลี่พัดโบกสะบัดไปมา  “ไปพาเขาขึ้นเรือนมากินน้ำกินท่าเสียสิจ๊ะ  ปล่อยให้รออยู่นานคงหิวน้ำแย่แล้ว”

“ค่ะ ๆ “  โชติรีบเดินลงบันไดลงไปด้านล่างแล้วเรียกชายหนุ่มที่ยืนรอสีหน้าสงบด้านล่าง  แม้ว่าเมื่อครู่เขาจะรู้สึกกระวนกระวายที่ถูกทิ้งอยู่ลำพัง  เมื่อขึ้นไปบนเรือนมิเชลสังเกตเห็นสีหน้าค่อนข้างอิดโรยของเจ้าของบ้าน  แม้แววตายินดีต้อนรับขับสู้ผู้มาเยือนก็ตาม

“บงชูร์  เมอร์ซิเออร์”  จันกล่าวต้อนรับอีกฝ่ายด้วยภาษาฝรั่งเศสอย่างชัดเจนด้วยเธอเรียนกับบาทหลวงชาวฝรั่งเศสมาตั้งแต่เล็กเพียงแค่ไม่ค่อยได้ใช้ในชีวิตประจำวันแล้วเท่านั้น

“บงชูร์  มาดาม”  มิเชลก้มศีรษะทักทายอีกฝ่ายอย่างสุภาพ

“คุณน้าพูดภาษาฝรั่งเศสคล่องแคล่วยิ่งนัก  ฉันลืมไปว่าคุณน้าต้องเรียนกับพวกบาทหลวง  ใช่ไหมคะ”  โชติหมายถึงบาทหลวงในโบสถ์คริสต์วัดนักบุญฟรังซิสซาเวียร์ที่สอนเด็ก ๆ ในชุมชนญวนที่นับถือคริสต์ซึ่งเด็ก ๆ  สามารถพูดได้ทั้งภาษาของตนเอง  ภาษาไทยและภาษาฝรั่งเศส

“ใช่จ้ะ  เรียนมาตั้งแต่เล็ก  หากแต่มิใคร่ได้พูดกับใครเท่าใดดอก”

“เช่นนั้นฉันมิจำเป็นต้องเรียนกับชายผู้นี้  มาเรียนกับคุณน้าก็ได้”  หญิงสาวบอกเจ้าของบ้านจากนั้นจึงหันไปบอกชายหนุ่ม  มิเชลมีสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกพาลวิตกกังวลครู่หนึ่ง  กระทั่งเสียงอ่อนหวานของเจ้าของบ้านเอ่ยอย่างใจดีเมื่อแย้มยิ้มส่งมายังชายหนุ่ม

“ฉันคงมิมีเวลามาสอนแม่โชติเป็นแน่  คุณมิต้องกังวลไปดอกมิเชล”

ชายหนุ่มจึงยิ้มออกมาได้อย่างหายกังวลโดยที่หญิงสาวผู้ถูกกล่าวถึงยังนั่งงงว่าเจ้าของบ้านสนทนาเรื่องใดกับชายหนุ่ม  หากเธอก็พอเดาได้ว่าคงเป็นเรื่องเกี่ยวกับตัวเธอ  ด้วยดวงตาสีน้ำตาลเข้มเป็นประกายแวววาวยามจ้องมานั้นทำเอาหญิงสาวต้องเสไปร้องเรียกแม่หนูเพ็ญให้มานั่งใกล้ ๆ เพียงเพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึกพึงใจที่กำลังก่อตัวเงียบ ๆ อย่างลึกล้ำในความรู้สึก

 



Don`t copy text!