นิราศรักสองนครา บทที่ 11 : อิสระทั้งกายใจ

นิราศรักสองนครา บทที่ 11 : อิสระทั้งกายใจ

โดย : ปรียนันทนา

นิราศรักสองนครา โดย ปรียนันทนา เรื่องราวของโชติ หญิงสาวชาวสยาม กับทางเลือกสองทาง ความรักของชายหญิงกับความรักหวงแหนแผ่นดินเกิด เธอจะเลือกทางใด และหากไม่สามารถเลือกได้  จะมีหนทางใดที่ใจสองดวงจะมาบรรจบพบกัน ณ จุดที่ลงตัวได้หรือไม่ นวนิยายออนไลน์ที่อ่านเอาอยากให้คุณได้อ่านพร้อมกันที่นี่ anowl.co

เสียงร้องเอะอะของสองสามีภรรยานำทางชายหนุ่มได้เป็นอย่างดีเพราะเขารั้งท้ายอยู่ด้านหลัง ก่อนที่จะหยุดยืนเคียงข้างโชติผู้กำลังตกอยู่ในอาการตระหนกไม่น้อยเมื่อเห็นว่าเด็กหญิงกำลังจะวิ่งหนีไปจนสุดทางซึ่งหากวิ่งต่อไปก็เป็นคลอง แต่ท่าทางเด็กหญิงมิได้หวาดหวั่นกับสิ่งที่จะต้องเผชิญด้วยหนทางที่จากมาก็มิได้ทำให้กลอยเป็นสุขนัก

“ใจเย็นก่อนเถิดแม่กลอย” หลิวผู้อยู่ในอาการตกใจพยายามควบคุมสติแล้วทอดเสียงอ่อนโยน

“แม่กลอยมาหาพี่เถิด พี่จะบอกน้าฉ่ำกับน้าทองก้อนเองว่ามิให้พาเธอไปขายที่เรือนท่านขุน”

“หาทำเช่นนั้นได้ไม่ ข้าตกลงกับท่านไว้แล้ว” เสียงนายฉ่ำดังชัดเจนได้ยินถ้วนทั่วไปทั้งบริเวณ จนมิเชลต้องกระซิบถามโชติว่าเรื่องราวเป็นเช่นไร หญิงสาวกระซิบตอบกลับอย่างรวดเร็ว ในสถานการณ์

คับขันเช่นนี้หล่อนลืมสิ้นถึงความคลางแคลงภายในใจเพราะเรื่องสำคัญตรงหน้าคือการปกป้องเด็กหญิงตรงหน้าเพียงเท่านั้น

“นั่นปะไรเล่าพี่โชติ พ่อมิมีวันยอมดอก ถึงกับไปตกลงโดยที่ฉันมิได้รู้ได้เห็นด้วยเช่นนี้” กลอยพูดจาเกินเด็กจนนายฉ่ำผู้เป็นบิดาออกอาการหมั่นไส้

“ชิชะนังตัวดี ทำมาเป็นพูดจาอวดดี เอ็งมิต้องรู้ดอกว่าข้าจะทำอันใด รู้แต่ว่าข้าเป็นพ่อเอ็งจะทำเช่นไรกับเอ็งแลแม่ของเอ็งก็ย่อมได้” นายฉ่ำเอ่ยเสียงอวดดีด้วยถือสิทธิ์ความเป็นเจ้าของผู้ครอบครองสองชีวิตในเรือนของตนเอง

“แต่เมื่อลูกน้ามิยอมก็มิควรบังคับนะจ๊ะ” โชติพยายามหว่านล้อมด้วยน้ำเสียงรื่นหู “อีกอย่างคือฉันได้ยินมาว่าอีกไม่นานหลวงท่านจะออกประกาศเรื่องการขายลูกเมียว่าหากเจ้าตัวมิยินยอมย่อมมิอาจทำได้”

“หามีประกาศเช่นนั้นไม่ ข้ามิเคยได้ยิน คุณโชติเอามาจากไหนกัน” เขามองโชติอย่างระแวงแต่เพียงครู่เดียวก็เชิดหน้าอย่างดื้อดึง “อย่ามาหลอกข้าเสียให้ยากเลย  เพราะหากทำไม่ได้เหตุใดคุณนายท่านถึงยินยอมเล่า ตอนนี้ทุกอย่างตกลงเรียบร้อยแล้วเพียงแค่ยังมิได้ลงแกงไดเท่านั้น” โชติมีสีหน้าหนักใจอย่างเห็นได้ชัดด้วยว่าเรื่องที่พยายามอธิบายนั้นยังไม่เกิดขึ้นจริงเพียงแค่หล่อนได้ยินมาจากผู้ใหญ่ในบ้านเท่านั้นว่าอีกไม่นานในหลวงจะแก้ไขเรื่องประกาศการขายลูกเมีย หากบุตรอายุสิบห้าปีต้องได้รับความยินยอมเสียก่อนหรือหากเป็นบุตรที่มิใช่ลูกแท้จริงก็มิอาจทำได้ แต่เรื่องนี้เธอพยายามประวิงเวลาเพราะแม่กลอยอายุย่างสิบสี่ปีเท่านั้น ที่สำคัญประกาศที่ว่าก็ยังไม่ออกมาเป็นทางการ หากยืดเวลาออกไปได้จนแม่กลอยอายุสิบห้าปีเด็กหญิงย่อมมีสิทธิ์ที่จะตัดสินใจด้วยตนเองแน่นอน

“น้ามิเชื่อฉันฤๅ หาว่าฉันโกหกหรืออย่างไรกัน” โชติมีสีหน้ายุ่งยากใจเพราะนอกจากจะต้องเจรจากับบิดาของกลอยแล้วยังต้องระวังว่าเด็กหญิงจะหนีเตลิดไปอีก ตอนนี้กลอยมีท่าทางตระหนกเมื่อรู้ว่าพ่อของตนได้ตกลงปลงใจทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว เด็กหญิงเคยบอกโชติว่าอยากอ่านออกเขียนได้เพื่อจะได้ช่วยมิสซิสเฮาส์สอนหนังสือ แต่มาวันนี้ดูเหมือนหนทางที่เจ้าตัววาดฝันไว้จะยิ่งไกลเกินกว่าคำว่ายากเพราะมันดูจะเป็นไปไม่ได้สักนิด

“คุณเป็นใครก็ไม่รู้ อยู่ๆ ก็เข้ามาตามหานังกลอยแล้วพูดจาเพ้อเจ้อเรื่องประกาศอะไรนั่น มีที่ไหนกันผัวขายเมียหรือพ่อขายลูกไม่ได้” น้ำเสียงเยาะหยันอย่างทะนงตนทำเอาโชติถึงกับเก็บโทสะแทบไม่อยู่ หญิงสาวเม้มปากเข้าหากันอย่างข่มอารมณ์เนิ่นนาน กระทั่งได้ยินเสียงหนึ่งทำลายความเงียบในชั่วขณะนั้นที่ถึงกับทำให้หล่อนตั้งสติได้

“แม่กลอย แม่กลอย” โชติตะโกนเรียกเด็กหญิงที่กระโดดลงคลองตรงหน้าแล้วจมลงไปโดยไม่มีทีท่าจะโผล่ขึ้นเหนือน้ำ ทั้งที่คลองก็ไม่ลึกและเด็กหญิงย่อมว่ายน้ำเป็นแน่นอน

“หน็อยแน่ะ นังลูกไม่รักดี คิดจะหนีฤๅ ไม่ต้องสนใจดอกคุณประเดี๋ยวมันก็ขึ้นมาเองแหละ มันว่ายน้ำเก่งราวกับปลา” นายฉ่ำเอ่ยอย่างหมั่นไส้แม้แววตาเริ่มหวั่นเมื่อเห็นนางทองก้อนแม่ของกลอยมีสีหน้าวิตก

“ปกติมันว่ายน้ำเก่งก็จริง แต่นี่มันผิดปกติแล้วนะพี่” ทองก้อนเอ่ยกับสามี

“นั่นสิ ฉันว่าท่าไม่ดีแล้วแหละคุณโชติ” นางหลิวกังวลไม่ต่างจากคนอื่น

มิเชลเห็นกิริยาอาการที่แต่ละคนแสดงออกแล้วไม่สามารถนิ่งเฉยอยู่ได้ เขาคะเนว่าหากเด็กหญิงลงไปนานกว่านี้อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ เขาไม่รอช้าตัดสินใจถอดรองเท้าและเสื้อนอกที่สวมอยู่ออกแล้วทำในสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดคือกระโดดลงไปช่วยโดยมีความมุ่งหวังถึงชีวิตของกลอยเป็นสำคัญเหนืออื่นใด

โชติมองเหตุการณ์ตรงหน้าที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วด้วยใจระทึก หล่อนไม่มีแม้เวลาจะไถ่ถามสักนิดว่าเหตุใดชายหนุ่มจึงตัดสินใจกระโดดลงไปช่วยกลอย เพราะมาคิดได้อีกครั้งก็เมื่อมิเชลพาร่างไร้สติของเด็กหญิงขึ้นมาจากคลองแล้ว

“น้ำมิได้ลึกสักนิด” เขาเอ่ยขณะทำการปฐมพยาบาลเบื้องต้นด้วยท่าทางที่ไม่คุ้นตาหญิงสาว ยิ่งบิดามารดาของเด็กหญิงด้วยแล้วถึงกับพยายามห้ามให้ชายหนุ่มต่างชาติแตะเนื้อต้องตัวกลอย แต่นางหลิวรีบห้ามไว้และอธิบายว่าการที่ชายหนุ่มกำลังเป่าลมเข้าปากเด็กหญิงเป็นวิธีการช่วยเหลือคนตกน้ำที่ในแถบยุโรปมีมานานแล้วซึ่งนางเคยได้รับการบอกเล่ามาจากมิสซิสเฮาส์และสามี

ไม่นานนักเด็กหญิงก็ฟื้นแม้ยังมีอาการเพลียแต่ท่าทีที่อยากหลีกหนีกลับเห็นได้เด่นชัดยิ่ง โชติต้องเข้าไปช่วยประคองและพาไปใต้ถุนเรือนนั่ง หล่อนช่วยปลอบโยนอย่างใจเย็นจนเด็กหญิงเริ่มมีอาการสงบ

“ตกลงเอ็งอยากตายนักใช่ไหมนังลูกไม่รักดี อกตัญญู” นายฉ่ำส่งเสียงหงุดหงิดแม้เมื่อครู่ที่ผ่านมาจะมีสีหน้าหวาดหวั่นในสวัสดิภาพของชีวิตบุตรสาว แต่เมื่อกลอยฟื้นขึ้นมาเรื่องใหญ่ของผู้เป็นบิดาย่อมมีปลายทางที่ขายเด็กหญิงให้เรือนท่านขุนเป็นสำคัญ

“พี่ ฉันว่าถ้านังกลอยมันมิยอมเราก็อย่าให้ลูกไปเลย” นางทองก้อนส่งเสียงเครืออย่างเกรงผู้เป็นสามี

“มิได้ ยอมหรือไม่ข้าก็ตกลงกับคุณนายไว้แล้ว”

“หากฉันจักขอซื้อตัวแม่กลอยเล่า น้าจะยอมหรือไม่” โชติเอ่ยเสียงเรียบทว่าหนักแน่น

“อย่ามาพูดดีเลย คุณน่ะรึจักซื้อตัวมัน” นายฉ่ำยังมองโชติอย่างระแวงด้วยเมื่อครู่หญิงสาวท่าทางเป็นลูกผู้ดีรายนี้ยังห้ามเขามิให้ขายบุตรสาวแก่ท่านขุน แต่เพียงไม่นานนางกลับกลายเป็นคนเจรจาซื้อขายตัวกลอยเสียเอง

“ใช่ คุณโชติเป็นบุตรีของคุณพระนรินทรราชเสนาแลเกี่ยวพันเป็นญาติคุณหญิงของท่านพระยาสุรวงษไวยวัฒน์บุตรท่านเจ้าคุณกลาโหม เยี่ยงนี้แล้วหากนางประสงค์อยากได้แม่กลอยไปดูแลนายฉ่ำจักยอมหรือไม่” นางหลิวอธิบาย

“พี่โชติจะพาฉันไปอยู่ด้วยจริงๆ หรือจ๊ะ” กลอยละล่ำละลักถามหญิงสาวตรงหน้าด้วยน้ำเสียงเปี่ยมความหวัง

“ฉันมิได้ตั้งใจจะพากลอยไปเป็นทาสหรอกนะน้าฉ่ำ น้าทองก้อน พาไปก็จะให้เรียนหนังสือแลคอยติดตามฉันไปไหนๆ ทุกที่จ้ะ” โชติเอ่ยเสียงจริงจังขณะสบตาบิดามารดาของกลอย “แลหากวันใดกลอยต้องการจะไถ่ตัวเป็นไทฉันจะมิห้าม”

“ไถ่ได้เยี่ยงใด ขายแล้วขายเลยฉันมิมีเงินไปเอาตัวมันคืนมาดอก” นายฉ่ำเริ่มเสียงอ่อน แววตาระแวดระวังมีประกายวูบไหวเพียงครู่แล้วกลับมอดดับไปด้วยยังมิอาจไม่เชื่อโชติได้สนิทใจ

“ฉันจะคิดค่าแรงให้กลอยแลหักค่าแรงนั้นตามจำนวนเวลาที่อยู่กับฉัน เมื่อใดครบจำนวนเงินถือว่ากลอยเป็นอิสระ”

ผู้ปกครองเด็กหญิงมีสีหน้าต่างกันไป นายฉ่ำเต็มไปด้วยความสงสัยในแววตาในขณะที่ผู้เป็นมารดาของกลอยนั้นมีน้ำตาเอ่อคลอด้วยความอัดอั้น กระนั้นก็เปี่ยมไปด้วยความตื้นตันในน้ำใจใหญ่หลวงของหญิงสาวตรงหน้า นางอยู่กินกับสามีมานานกว่าอายุของบุตรี แรกเริ่มฐานะมิได้ขัดสนเพราะเป็นคนทำสวน ผลผลิตที่ได้ก็มีคนรับซื้อที่แน่นอน หากนานวันเข้านายฉ่ำเอาแต่เข้าบ่อน เงินที่ควรได้มาก่อร่างสร้างฐานะจึงละลายหายไปทุกเมื่อเชื่อวัน เมื่อทุกอย่างพอกพูนทับถมเท่าทวีผู้เป็นหัวหน้าครอบครัวเริ่มหยิบจับของมีค่าของในบ้านไปขายเพื่อนำเงินไปใช้หนี้ แต่ได้เงินมาเท่าไรก็ไม่พอจนกระทั่งไม่เหลือสิ่งใดที่พอจะขายได้นอกเสียจากลูกกับเมีย

“ฉันยอมจ้ะ” นางทองก้อนเอ่ยเสียงแผ่วเบาทว่าหนักแน่นด้วยความหวังว่าหากกลอยต้องไปจากบ้านในคราวนี้ก็ควรไปเพื่อได้สิ่งที่ดีกว่า มิใช่ต้องกลายเป็นเมียทาสของใครและไม่อาจมีความหวังใดในชีวิตได้อีก

“เอ็งมิมีสิทธิ์ นังทองก้อน ข้าต่างหากที่เป็นคนตัดสิน”

“ข้าเป็นแม่มัน ข้าจะขายมันให้คุณโชติ พี่เอาเงินไป หากมิยอมฉันจักขายทั้งตัวฉันแลลูกไปเป็นทาสรับใช้บ้านคุณโชติ จักได้มิต้องอยู่ที่นี่คอยระแวงว่าผัวจะเอาตัวไปขายเมื่อใดอีก”

โชติมองชายหญิงสองคนตรงหน้าที่กำลังถกเถียงกันหน้าดำคร่ำเครียดด้วยเรื่องของลูกสาวเพียงคนเดียวอย่างใจจดใจจ่อ ส่วนมิเชลที่กำลังยืนรับลมเพื่อให้เสื้อผ้าอันเปียกโชกหมาดลงถึงกับเดินมาถามอย่างสงสัยว่าเหตุใดสองสามีภรรยาจึงดูเคร่งเครียดนัก

“ฉันเสนอจะพาแม่กลอยไปอยู่ด้วย พ่อแม่ของกลอยกำลังตกลงกัน” โชติอธิบายอย่างรวบรัดพลางมองหน้าชายหนุ่มที่บัดนี้ผมสีน้ำตาลอ่อนอันเป็นประกายของเขากำลังเปียกลู่แนบไปกับศีรษะได้รูป แม้เขาเพิ่งช่วยชีวิตเด็กหญิงขึ้นมาและกลอยก็ปลอดภัยดีแต่บรรยากาศตึงเครียดในยามนี้เจ้าของเรือนคงมิได้ใส่ใจเรื่องผ้าผ่อนอันเปียกปอนของผู้มาเยือนเยี่ยงชายหนุ่มเท่าใดนัก

“คุณช่างมีน้ำใจและมีสติดียิ่งนัก ฉันขอบใจมากนะคะที่กระโดดน้ำลงไปช่วยแม่กลอย”

“ผมทำด้วยความเต็มใจยิ่ง หากมิช่วยเหลือทันทีอาจช้าเกินการ” เขาเอ่ยพร้อมรอยยิ้มยินดีด้วยว่าดูเหมือนหญิงสาวตรงหน้าจะคลายความเคลือบแคลงจากเขาไปมากพอควร “ว่าแต่คุณคิดว่าพ่อกับแม่ของเด็กจะยอมหรือ”

“ทำไมเล่าคะ ฉันมิได้พาตัวกลอยไปโดยมิจ่ายเงินให้พวกเขา แลยังมีเงื่อนไขว่าสามารถไถ่ตัวกลอยได้ อีกทั้งฉันยังจะคิดค่าแรงให้กลอยเพื่อจะได้หักกับเงินที่ขายได้ เมื่อถึงเวลากลอยจะเป็นอิสระนะคะ”

“สำหรับแม่ของกลอยผมคิดว่าเธอคงยินยอม แต่สำหรับพ่อของกลอยนั้นผมไม่แน่ใจ”

“เหตุใดจึงคิดเช่นนั้นคะ” โชติมองอีกฝ่ายอย่างใคร่รู้ความคิดอันแตกต่างของเขา

“การที่เขาอยากขายกลอยไปให้เจ้าของที่ก็เพื่ออยากให้กลอยไปเป็นเมียอีกคนหนึ่งของท่านผู้นั้น แล้วคุณคิดว่าหากกลอยได้เป็นเมียจะมีฐานะแตกต่างจากคนงานในบ้านธรรมดาหรือไม่”

โชตินิ่งไปด้วย ที่ผ่านมาคิดเพียงแต่ความรู้สึกของเด็กหญิง หาได้คิดถึงมุมมองของนายฉ่ำผู้เป็นบิดาไม่ เขาคงอยากให้กลอยกลายเป็นภรรยาของท่านขุนผู้มั่งมี แม้จะเป็นเพียงเมียทาสแต่กลอยยังเป็นเด็กที่มีเค้าความงามที่เริ่มฉายชัด เป็นไปได้ว่าหากกลอยได้ไปอยู่บ้านท่านขุนผู้ซึ่งแท้จริงแล้วมิใช่คนหน้าเลือดใช้แรงงานทาสหนักหนาเฉกเช่นบรรดานายเงินบ้านอื่น กลอยก็อาจได้ยกระดับความเป็นอยู่ในบ้านนั้นดีกว่าเมียบ่าวทาสธรรมดาทั่วไป

“ความคิดของมนุษย์ช่างลึกล้ำเกินคาดเดาเสมอ ผู้คนในบ้านฉันมักคิดว่าผู้หญิงต้องมีสามีแลหากมีฐานะด้วยยิ่งดีเพื่อดูแลคุ้มครองชีวิตให้ร่มเย็น ไม่เคยมีใครคิดว่าเราเพียงแค่ต้องการใช้ชีวิตเยี่ยงบุรุษที่สามารถมีความคิดอิสระในการตัดสินใจในชีวิตของตนเองได้เช่นกัน” โชติเอ่ยเสียงเรียบอย่างจริงจัง แววตาเป็นประกายของหญิงสาวกระทบตากระทบใจชายหนุ่มตรงหน้า วงหน้าคมที่เชิดขึ้นอย่างผู้รักศักดิ์ศรีช่างน่าประทับใจยิ่ง หากเพียงครู่เดียวแววตาเจิดจ้ากลับสลดลงพร้อมกับอาการทอดถอนใจ

“น่าเศร้านะคะที่ฉันผู้กำลังเรียกร้องความเป็นอิสระให้กับกลอยก็มิอาจคาดเดาได้ว่าวันหนึ่งวันใดที่ชีวิตของฉันจะเป็นเช่นกลอยหรือไม่ แม้ว่าอาจไม่ต้องถึงกับถูกขายให้ใครแต่การต้องถูกจับคู่ก็มิใช่เรื่องแปลกในสังคมเรา”

“เรื่องการจับคู่คงไม่ใช่เรื่องแปลก ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าอยู่ในสถานะใดในสังคม แต่ทุกอย่างนี้ล้วนถูกกำหนดโดยผู้ได้รับผลประโยชน์เสมอ”

เป็นครั้งแรกที่โชติมองเขาอย่างเต็มตาด้วยความสงสัย ดวงตาสีน้ำตาลเข้มทอประกายฉายแสงวับขึ้นมาแล้วดับลงเพียงครู่เดียวหากก็นานพอที่หญิงสาวจะรับรู้ได้ว่าชายหนุ่มตรงหน้าคงระลึกถึงเหตุการณ์บางอย่างในชีวิตที่ทิ้งร่องรอยหมองหม่นในใจเอาไว้ คงเป็นบาดแผลที่แม้ได้รับการเยียวยาแล้วหากก็ยังสามารถสร้างความรู้สึกลึกล้ำในทุกครั้งที่นึกถึงเสมอ

บทสนทนาระหว่างเธอและชายหนุ่มจบลงโดยปริยายเมื่อชายหญิงผู้เป็นบิดามารดาของกลอยพร้อมใจกันเดินตรงมาหาโชติ

แล้วนายฉ่ำก็เอ่ยความต้องการของตนออกมาด้วยเสียงดังฟังชัดอย่างที่โชติไม่คาดคิดว่าจะได้ยินมาก่อน!

 



Don`t copy text!