นิราศรักสองนครา บทที่ 6 : พบกันอีกครา

นิราศรักสองนครา บทที่ 6 : พบกันอีกครา

โดย : ปรียนันทนา

นิราศรักสองนครา โดย ปรียนันทนา เรื่องราวของโชติ หญิงสาวชาวสยาม กับทางเลือกสองทาง ความรักของชายหญิงกับความรักหวงแหนแผ่นดินเกิด เธอจะเลือกทางใด และหากไม่สามารถเลือกได้  จะมีหนทางใดที่ใจสองดวงจะมาบรรจบพบกัน ณ จุดที่ลงตัวได้หรือไม่ นวนิยายออนไลน์ที่อ่านเอาอยากให้คุณได้อ่านพร้อมกันที่นี่ anowl.co

อาคารแถวสองชั้นเพิ่งสร้างเสร็จไม่นานยังสวยงาม ถนนตัดใหม่เป็นระเบียบมีรถลากและรถม้าวิ่งบางตา หากแต่ร้านรวงที่เพิ่งเปิดเริ่มคึกคักเพราะผู้คนเริ่มทยอยมาหาซื้อสินค้าที่นำเข้าจากต่างประเทศ ห้องแถวตรงตึกหัวมุมถนนไม่ไกลจากปากทางเข้าที่ทำการกงสุลเป็นที่ชุมนุมของชาวต่างชาติในละแวกถนนใหม่หรือที่ชาวจีนเรียกว่า “ซิงพะโล่ว” หนึ่งในผู้ที่นั่งสนทนารวมกลุ่มเป็นผู้มาใหม่ เขาคุ้นเคยกับการใช้ภาษาอังกฤษดีแม้จะไม่ใช่เจ้าของภาษาก็ตาม

“คุณมิเชล นี่คุณทอมแลคุณเฮนรี่” ชายวัยกลางคนหน้าตาใจดีเอ่ยแนะนำมิเชลกับบุรุษผู้ที่นั่งอยู่ก่อน “คุณมิเชลเป็นนักเขียนมาจากฝรั่งเศส”

“กู๊ดมอร์นิ่งคุณมิเชล” ชายหนุ่มชื่อทอมซึ่งนั่งข้างชายคนแรกกล่าวทักทายยามเช้าพร้อมก้มศีรษะให้

“กู๊ดมอร์นิ่งครับ” ผู้มาใหม่ก้มศีรษะให้ทุกคนในวงสนทนาเป็นเชิงทักทาย มิเชลตื่นแต่เช้าหลังจากพักผ่อนอยู่แต่ในบ้านพักกงสุลมาหลายวัน เขาตั้งใจเดินสำรวจถนนละแวกบ้านจึงได้มาเจอร้านนี้ซึ่งมีของนำเข้ามาขายจากต่างประเทศมากมาย โดยผู้เป็นเจ้าของเป็นชายชาวอังกฤษชื่อเจมส์ที่พาเขามาแนะนำให้รู้จักทุกคน

“คุณเพิ่งเดินทางมาสยามครั้งแรกหรือ”

“ใช่ครับ ผมกำลังคิดหาบ้านให้เช่าอยู่ด้วย พวกคุณพอจะทราบหรือไม่ว่ามีที่ใด”

“ละแวกนี้หรือ” เฮนรี่ผู้นั่งข้างเขาเป็นหนุ่มใหญ่ผมสีขาวสวมแว่นตากรอบสีเงินแวววาว เขาขยับแว่นสายตาพลางวางหนังสือพิมพ์ในมือลงบนโต๊ะ

“หากเป็นเช่นนั้นคงดี ไม่ทราบว่าพอมีหรือไม่”

“มีสิ ห้องถัดไปที่มีเจ้าของเป็นพ่อค้าเชื้อสายจีนเขาบอกว่าหากมีคนสนใจจะเช่าบ้านให้บอกได้” เฮนรี่เอ่ยอย่างเอื้อเฟื้อ

“เช่นนั้นผมจะไปถามเขานะครับ ว่าแต่เขาชื่ออะไร คุณเจมส์รู้จักหรือไม่ครับ”

“เขาชื่อนายฮก พูดภาษาอังกฤษได้ดีเพราะเคยช่วยงานที่ห้างนายฮันเตอร์ใกล้กับวัดประยุรวงศาวาส ตอนนี้เขามาเปิดร้านขายยาจีนอยู่ข้างๆ นี้เอง ตามมาสิมิเชล ผมจะพาคุณไปหาเขาเอง” เจมส์เดินนำมิเชลไปอย่างกระตือรือร้น เพียงอึดใจเดียวทั้งสองก็หยุดอยู่หน้าร้านชายหนุ่มผิวขาวหน้าตาฉลาดทันคนซึ่งเดินส่งยิ้มมาให้เจมส์อย่างดีใจ

“คุณเจมส์ต้องการสิ่งใดฤๅ” เขาถามพลางมองมิเชลอย่างเป็นมิตร

“ผมมิได้ต้องการสิ่งใดดอก แต่เป็นหนุ่มคนนี้ต่างหาก” เขาผายมือมาทางมิเชลที่ยืนยิ้มพลางมองสำรวจในร้านอย่างชื่นชม “เขาชื่อมิเชล เป็นชาวฝรั่งเศส เพิ่งเดินทางมาถึงสยามกับท่านกงสุลคนใหม่น่ะ มิเชลกำลังหาบ้านเช่า ผมก็เลยแนะนำให้มาหาคุณ”

“เช่นนั้นเอง ห้องที่ผมให้เช่าอยู่ถัดไปนี้ เป็นห้องใหม่มิได้เปิดทำกิจการ ว่าแต่คุณคนนี้จะเปิดร้านขายสิ่งใดฤๅ” เขาอธิบายเสร็จก็ส่งคำถามมายังมิเชล

“มิได้เปิดกิจการใดดอก ผมเป็นนักเขียน อยากมาศึกษาผู้คนในเมืองนี้จึงเดินทางมากับท่านกงสุล”

“เขียนหนังสือฤๅ เขียนให้หนังสือพิมพ์เช่นของหมอปลัดเลฤๅ” เขาเอ่ยชื่อมิชชันนารีชาวอเมริกันด้วยสำเนียงแบบคนไทย

“หามิได้ ผมจะรวบรวมข้อมูลเพื่อเขียนเป็นเรื่องครับ”

“เขียนบันทึกเรื่องเมืองสยามเช่นนั้นใช่หรือไม่” เจมส์ซักอย่างสนใจเช่นกัน

“อาจจะเป็นเช่นนั้นครับ แต่ก่อนหน้านี้ผมเขียนนวนิยายมาบ้าง ได้รวมเล่มวางขายที่ปารีส แต่ขายไม่ใคร่ดีนักดอก” เขาเอ่ยเก้อๆ แม้งานเขียนของเขายังไม่เป็นที่นิยมหากเขาก็มุ่งมั่นทำต่อไป อาจด้วยฐานะที่ไม่ได้ขัดสนประกอบกับทางบ้านสนับสนุนงานด้านศิลปะจึงทำให้เขาอยู่มาได้โดยไม่มีปัญหา

“ถ้าเช่นนั้นคุณอยากไปดูห้องเลยหรือไม่ ผมจะได้พาไป” นายฮกเจ้าของร้านยาถามอย่างใจดี

“ไปสิครับ”

ถัดไปเพียงหนึ่งคูหามีห้องว่างที่ปิดอยู่ นายฮกตรงเข้าไปไขกุญแจแล้วเปิดก่อนเดินนำเขาและเจมส์เข้าไปอย่างเต็มใจ

“ห้องนี้ผมเช่าไว้พร้อมกับตอนที่เช่าห้องขายยา ตอนแรกคิดจะเปิดสองห้องแต่คิดว่าเริ่มแรกทำเล็ก ๆ ไปก่อนดีกว่า เลยตัดสินใจปล่อยเช่า” เขาเดินนำมิเชลไปสำรวจมุมต่าง ๆ ซึ่งยังใหม่และเรียบร้อยสะอาดตา แม้ไม่กว้างขวางใหญ่โตแต่มิเชลคิดว่าเขาน่าจะมีมุมส่วนตัวสำหรับทำงานได้เป็นสัดส่วนดี

“ผมตกลงเช่าที่นี่แหละครับคุณเจมส์ คุณฮก” มิเชลหันไปบอกนายห้างชาวอังกฤษผู้เอื้อเฟื้อ

“เช่นนั้นผมจะไปนำสัญญามาให้ ไปรอที่ร้านคุณเจมส์ก่อนก็ได้ครับ”

เจ้าของร้านขายยาจีนเอ่ยสีหน้ายิ้มแย้มด้วยดีใจที่สามารถปล่อยเช่าห้องได้ เขาเพิ่งเปิดกิจการได้ไม่นานและห้องนี้เพียงแต่คิดว่าจะนำมาปล่อยเช่าต่อพวกฝรั่งพ่อค้าที่เดินทางเข้าออกสยามบ่อยๆ เพราะระยะสองสามปีมานี้นับแต่ถนนสร้างเสร็จความเจริญก็เข้ามาแทนที่บรรยากาศที่เคยเงียบสงบ ถนนตัดใหม่มีทั้งชาวสยามและชาวต่างชาติที่รวมคนจีนผู้เข้ามาตั้งรกรากและเริ่มค้าขายเยี่ยงเขา การซื้อขายบรรดาของสวยงามจากต่างชาติเป็นที่นิยมมากทำให้มีพ่อค้าต่างชาติเข้ามาเปิดร้านเช่นนายเจมส์ ส่วนเขานั้นเคยทำงานที่ห้างนายฮันเตอร์แต่ตอนนี้ห้างนั้นปิดตัวลงจากปัญหาของนายฮันเตอร์หรือหลวงอาวุธวิเศษประเทศพานิชกับทางการจนถึงกับถูกขับให้ออกจากสยาม

“เชิญคุณมิเชล” บุรุษเจ้าของร้านนำเข้าสินค้าผู้ใจดีเดินนำมิเชลกลับไปยังร้านของเขา เพียงไม่กี่อึดใจทั้งคู่ก็กลับมาถึงบริเวณหน้าร้านของชายชาวอังกฤษ มิเชลเห็นลูกค้าเริ่มเดินเข้ามาชมสินค้าเขาจึงเพียงยืนมองห่างๆ เมื่ออีกฝ่ายรีบเข้าไปกำกับดูแลลูกจ้างซึ่งกำลังหยิบโคมไฟและบ้านตุ๊กตาออกมาให้หญิงสองคนเลือกชม มิเชลไม่ได้เดินเข้าไปนั่งด้านในเพราะบัดนี้ทอมและเฮนรี่กำลังลุกจากโต๊ะเดินตรงมาทางเขาเพื่อบอกลา

“วันนี้ผมขอตัวก่อน หากมีโอกาสคงได้พบกันอีกนะคุณมิเชล” หนุ่มใหญ่เอ่ยพร้อมรอยยิ้มพลางขยับแว่น

“ผมก็เช่นกัน เราสองคนต้องรีบไปเจรจางาน หวังว่าจะได้พบคุณอีกครั้ง” ชายหนุ่มวัยไล่เลี่ยกับมิเชลเอ่ยอย่างเป็นมิตร

“พวกท่านพักอยู่ที่ใดกันครับ หากผมมีโอกาสอาจได้ไปเยี่ยมเยียน”

“เราสองคนเช่าบ้านอยู่ฟากโน้น มิไกลบ้านท่านเจ้าคุณกลาโหม ละแวกคลองสาน”

“ผมยังมิเคยไปแถบนั้น”

“หญิงสาวผู้นั้นก็อยู่มิไกล นางเป็นหลานบ้านนั้นหรือมิใช่คุณทอม” เฮนรี่เอ่ยถามทอมผู้เป็นหุ้นส่วนของเขาด้วยเคยเห็นชายหนุ่มทักทายกับฝ่ายหญิงยามที่นางติดตามคุณหญิงผู้เป็นภรรยาของบุตรชายคนโตเจ้าคุณกลาโหมเพื่อไปหาหมอบลัดเลย์ เฮนรี่มองไปยังหญิงสาวผู้ยืนหันหลัง มิเชลจึงมองตามสายตาเขาแล้วพบกับหญิงสาวผู้ที่บัดนี้ยืนหันข้าง เธอสวมเสื้อแขนยาวสีดอกไม้สีม่วงที่กำลังบานตามถนนซึ่งเขาไม่รู้จักชื่อตัดกับสไบสีเขียว ท่อนล่างสวมโจงกระเบนสีน้ำตาลมีลวดลายดอกไม้เล็กๆ กระจายไปทั่ว แสงอาทิตย์อ่อนจางยามสายคล้ายกำลังสาดส่องไปที่ดวงหน้างดงามนั้นที่เขามิมีวันลืมเลือน ดวงตาของเขาราวกับกำลังสะท้อนประกายสว่างไสวแห่งพลุเฉลิมฉลองในงานเลี้ยงรื่นเริงจนผู้ยืนอยู่ใกล้สังเกตได้

“หญิงผู้นั้นเป็นหลานสาวของคุณหญิง เธอชื่อว่าโชติ เธอเรียนภาษาอังกฤษกับมิสซิสเฮาส์น่ะครับ” ทอมผู้เคยสนทนากับหลานสาวคุณหญิงอธิบายสิ่งที่อยู่ในใจมิเชลมาหลายวัน เมื่อสองคนนั้นเอ่ยคำร่ำลามิเชลแล้วเดินไปขึ้นรถม้าชายหนุ่มจึงรีบสาวเท้ากลับเข้าไปในร้านอย่างตื่นเต้น ทว่าก่อนที่เขาจะทันได้ทักทายหญิงสาวกลับมีเสียงตะโกนเอะอะดังมาจากทางถนนหน้าร้าน ชายหนุ่มหมุนตัวกลับไปมองก็เห็นชาวบ้านกำลังมุ่งหน้าเดินไปมุงอย่างสนใจรวมทั้งโชติที่เดินตัวปลิวผ่านเขาไปโดยมิได้สังเกตว่าใครกำลังยืนจดจ่อเพื่อรอทักทายเธอสักนิด

“เกิดเรื่องร้ายแรงใดหรือครับ” มิเชลสาวเท้าตามเจ้าของร้านไปอย่างสงสัยใคร่รู้ไม่แพ้คนอื่น

“ผมก็มิรู้ดอก แต่คงมิใช่เรื่องดีเป็นแน่” เจมส์เอ่ยอย่างเคร่งเครียดด้วยกลัวว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีหน้าร้านของตน

กลุ่มชาวบ้านกำลังยืนล้อมเป็นวงกลมอย่างสนใจ มิเชลได้ยินเสียงโต้ตอบระหว่างคนที่ยืนตรงกลางวงล้อมนั้น เขารู้สึกคลับคล้ายคลับคลาชายผมเปียซึ่งยืนหันหลังแต่นึกไม่ออกว่าเคยพบที่ใด แม้เขาไม่เข้าใจความหมายที่ชายคนนั้นเอ่ยหากทว่าอารมณ์ที่สะท้อนออกมาก็บ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าชายผู้นั้นมิได้เกรงกลัวอีกฝ่ายเลย

“โปลิศมาจับผู้ร้ายฆ่าคนน่ะคุณ แต่ชายผู้นี้ยืนยันว่าทางการมิมีสิทธิ์ด้วยเขาเข้าเป็นคนในบังคับฝรั่งเศสแล้ว” เจมส์อธิบายให้มิเชลฟังด้วยเข้าใจภาษาไทยเป็นอย่างดี ดวงตาเขาจับจ้องมองเพื่อนใหม่ชาวฝรั่งเศสอย่างคลางแคลงใจว่าจะมีส่วนรู้เห็นหรือไม่เพราะมิเชลเพิ่งบอกว่าเดินทางมาพร้อมกับกงสุลคนใหม่

“คุณว่ากระไรนะ เขาเป็นคนในบังคับฝรั่งเศสฤๅ” คิ้วของชายหนุ่มขมวดเข้าหากัน ฉับพลันเขาก็นึกขึ้นได้ถึงคืนก่อนหน้านี้ไม่กี่วันที่เขาได้พบเหตุการณ์ประหลาดตรงท่าน้ำบ้านกงสุล เพียงไม่นานมิเชลก็ประมวลเรื่องราวได้กระจ่างแจ้งแก่ใจเขาว่าในคืนนั้นท่านโอบาเรต์ที่เขาเคยคุ้นและนับถือประดุจญาติผู้ใหญ่ไร้ทีท่าพิรุธ อาจเป็นได้ว่าท่านก็ไม่ทราบว่าชายคนนี้กระทำการอุกฉกรรจ์ถึงขั้นฆ่าคนตาย บัดนี้แววตาร่าเริงของชายหนุ่มแปรเปลี่ยนเป็นวิตกกังวลทันทีแม้รู้ว่าสัญญาข้อนี้มิอาจทำให้ผู้อยู่ในบังคับต้องรับผิด หากความรู้สึกผิดชอบในใจทำให้เขามิอาจปล่ยอผ่านเรื่องนี้ไปได้

“ผมมิรู้จักเขาดอก แต่คิดว่าเคยเห็นเมื่อไม่กี่วันที่ท่าน้ำ คงเป็นวันที่เขามาพบท่านกงสุลเป็นแน่”

“ประเดี๋ยวตำรวจคงจักต้องถอยกลับไปด้วยมิอาจทำสิ่งใดได้” เสียงเจ้าของร้านมีความก้ำกึ่งระหว่างโล่งใจและหนักใจ มิเชลคิดว่าเจมส์คงรู้สึกไม่ต่างจากเขานัก “เรามันเป็นพ่อค้าก็ได้แต่ทำการค้าขาย เรื่องสนธิสัญญาระหว่างสยามแลประเทศของพวกเรา” เขาเว้นวรรคและมองหน้าชายหนุ่ม “บางเรื่องผมก็มิใคร่เห็นด้วยนัก เช่นเรื่องนี้อาจทำให้ทางสยามอึดอัด คุณคิดเช่นไรบ้างล่ะมิเชล”

“ผมก็คิดเช่นนั้น อันที่จริงหากคนของเราทำผิดก็ควรจักต้องลงโทษ”

“แต่ความจริงกลับมิเป็นเช่นนั้น ด้วยสัญญาข้อที่ว่าคนในบังคับของเราทำผิดทางสยามไม่มีสิทธิ์ตัดสินนี้ทำให้มีผู้ร้ายหัวใสแปรพักตร์เอาง่ายๆ เมื่อทำผิด” เจมส์เอ่ยเสียงเรียบแววตานิ่งอย่างใช้ความคิด เขาไม่อาจทำใจให้เข้าใจในข้อนี้ได้สักทีแม้ว่าตนเองจะเป็นฝ่ายได้ประโยชน์ก็ตาม

บรรดาชาวบ้านที่ยืนมุงดูชายผู้นั้นเริ่มทยอยถอยออกมาด้วยสุดท้ายตำรวจที่พยายามเข้าไปจับกุมมิอาจทำการใดได้เพราะเขาอ้างว่าเป็นคนของฝรั่งเศส หลายคนเดินกลับไปจับกลุ่มพูดจาด้วยหน้าตาเคร่งเครียด ก่อนที่มิเชลจะหันหลังกลับเดินตามเจมส์เข้าร้านเขาเห็นโชติหมุนตัวกลับมา แววตาสีนิลราวมีประกายไฟของหญิงสาวเคร่งเครียดมิใช่น้อย เขายืนนิ่งอยู่ที่เดิมเมื่อเห็นเธอเดินตรงมาหยุดตรงหน้า หญิงสาวไม่ได้เอ่ยคำใดหากแต่สิ่งที่สะท้อนออกมาในแววตาอัดแน่นไปด้วยความรู้สึกมากมายที่ทำเอาเขารู้สึกละอายจนไม่กล้าเอ่ยคำทักทายออกไป แม้เขาจะมั่นใจว่าโชติคงจำเขาได้แน่นอนแต่ ณ เวลานี้ย่อมไม่ใช่ช่วงเวลาที่เขาควรยินดีสักนิด

ชายหนุ่มรู้สึกว่าการพบกันครานี้ระหว่างเขาและเจ้าหล่อนช่างเป็นการพบเจอในสถานการณ์ประหลาดที่สุดนับตั้งแต่เขาเคยประสบมาทีเดียว

 



Don`t copy text!