คุณหลวงเจ้าขา…ข้ากลัวผี บทที่ 14 : น้ำปรุงขวดพิเศษ

คุณหลวงเจ้าขา…ข้ากลัวผี บทที่ 14 : น้ำปรุงขวดพิเศษ

โดย : พงศกร

คุณหลวงเจ้าขา…ข้ากลัวผี นวนิยายโรแมนติกคอมเมดี้จากอ่านเอา โดย พงศกร เมื่อวิญญาณของแพทย์หญิงยุคปัจจุบันเข้าไปอยู่ในร่างแม่หญิงแห่งกรุงศรีผู้บอบบางที่มีคนหมั่นไส้ทั้งเมือง เธอจึงต้องลุกขึ้นมาปฏิวัติชีวิตของแม่หญิงคนนี้ให้แข็งแกร่ง ไม่ต้องพึ่งพาผู้ชายคนไหน โดยเฉพาะคุณหลวงกำแหงฤทธิรณ หนุ่มหล่อ…อยุธยาคิ้วต์บอยคนนั้น!

 

“กรี๊ด ผีหลอก” นางเจียมร้องเสียงดังลั่น ก่อนจะวิ่งลนลานออกจากครัวด้วยความตกใจสุดขีด

“จะหนีปายยย หนายยยยยย” เสียงผีเด็กร้องเยือกเย็น “กลับมาก่อนนนนนน”

“ไม่เอาแล้ว” นางเจียมสะดุดขาตัวเองล้ม ผ้าผ่อนหลุดลุ่ย “ผีหลอก…กลัวแล้วจ้า ไปให้พ้น ไอ้เด็กผี”

ดาราเรศกำลังนั่งคุยกับสามีอยู่อย่างเคร่งเครียด ได้ยินเสียงร้องโวยวายข้างล่างก็ผุดลุกขึ้นทันที คุณหลวงเข้มว่องไวกว่า สมกับที่เป็นตำรวจ ร่างสูงล่ำสันเผ่นพรวดลงบันไดไปอย่างรวดเร็ว

ดาราเรศกำลังจะลุกตามไปบ้าง หนูยอดก็มาปรากฏกายขึ้นตรงหน้า พร้อมกับดึงมือหญิงสาวเอาไว้ กระซิบบอกว่า

“นางบ่าวเรือนโน้นมันมาสืบข่าวเรือนเรา หนูจัดการมันเรียบร้อยแล้วนะน้าดารา” กุมารตัวแสบรีบรายงาน

“ฝีมือหนูยอดเองนะหรือ” ดวงตาของดาราเรศเบิกกว้าง

“แหงละ” กุมารตัวแสบว่า “ผู้หญิงคนนั้นดูไม่น่าไว้วางใจ หนูเลยสั่งสอนมันเสียหน่อย”

“ดีมาก” ดาราเรศยกนิ้วโป้งชูให้ “ขอบใจนะ”

“ไหนล่ะ รางวัล” ผีเด็กทวง

“งกจริง…เดี๋ยวก่อนสิ” ดาราเรศถลึงตามองเด็กชาย “ขอฉันลงไปดูเหตุการณ์ก่อน”

“อย่าลืมนะ” เด็กชายเน้น “หนมต้มสิบลูก”

“เออน่ะ ไม่ลืมหรอก ให้สิบห้าลูกเลยเอ้า” ดาราเรศสัญญา แล้วรีบวิ่งตามสามีลงไปดูว่าข้างล่างเป็นอย่างไรกันบ้างแล้ว

ที่ล้มกลิ้งอยู่หน้าห้องครัวคือนางเจียมที่ผ้าคาดอกหลุดลุ่ยจนเห็นหน้าอกยานคล้อย ยังดีที่ผ้านุ่งไม่ได้หลุดจนอุจาดตาไปมากกว่านี้ นางบ่าวของคุณหญิงแป้นยกมือขึ้นปิดหน้า ร้องกรี๊ดๆ ผมเผ้าเป็นกระเซิง ท่าทางเต็มไปด้วยความหวาดกลัว

“ผีหลอก…ช่วยด้วย ผีหลอก” นางเจียมยังเพ้อไม่ได้สติ

คุณหลวงเข้มยังไม่ทันจะสอบถามว่าเกิดอะไรขึ้น คุณหญิงแป้น แม่ใจ และแม่บัวก็พากันวิ่งกรูกันเข้ามาล้อมนางบ่าวเอาไว้ คุณหญิงแป้นยกมือขึ้นชี้หน้าแม่หญิงดารา ตวาดว่า

“แม่ดารา…หล่อนทำอะไรบ่าวของฉัน”

“ทำอะไรเจ้าคะ” แม่หญิงดาราเลิกคิ้ว “ไม่ได้ทำสักหน่อย”

“ไม่ได้ทำแล้วทำไมนังเจียมถึงเป็นแบบนี้” คุณหญิงแป้นร้องเสียงแหลม

อ๊ะ…ดาราเรศของขึ้น…แบบนี้ก็สวยสิคะ

ส่งคนมาสืบข่าวบ้านของคนอื่น แล้วยังจะมาหาเรื่องกันแบบนี้ ก็ต้องเจอกันสักหน่อย

“ฉันไม่ได้ทำอะไรเลยนะเจ้าคะ” ดาราเรศพยายามควบคุมน้ำเสียงให้ฟังดูอ่อนโยน “ต้องถามคุณหญิงแม่มากกว่าว่าส่งแม่เจียมมาทำอะไรที่เรือนหลังนี้…จะว่าเป็นบ่าวที่เรือนนี้ก็ไม่ใช่”

“ไม่ต้องมาเบี่ยงประเด็น” แม่บัวช่วยมารดาอีกคน “พี่ดาราทำอะไรนังเจียมจนเป็นแบบนี้”

“ฉันไม่ได้เบี่ยงประเด็น” ดาราเรศไม่ยอมให้อีกฝ่ายเบี่ยงเบนเรื่องไปทางอื่น “ตอบมาก่อนว่านังเจียมมาทำอะไรที่เรือนของฉัน”

“นั่นสิขอรับคุณแม่” ออกหลวงหนุ่มถามขึ้นบ้าง มันเป็นเรื่องผิดปกติมากที่นังเจียมจะมาปรากฏตัวที่เรือนของเขาในยามวิกาลเช่นนี้ “นังเจียมมาทำอะไร”

“เอ้อ…เอ้อ…” คุณหญิงแป้นอึกอัก

“ฉันอยากกินชามะตูม บังเอิญมะตูมที่เรือนใหญ่หมด เลยสั่งให้แม่เจียมมาขอจากเรือนแม่ดารา…” แม่ใจรีบออกรับแทนทุกคน “ไม่นึกเลยว่าจะกลายเป็นอย่างนี้ไปได้”

“นังเจียม แม่ดาราทำอะไรหล่อน…พูดออกมาเลย ไม่ต้องกลัว” คุณหญิงแป้นเขย่าร่างอ้วนๆ ราวจะเรียกสติ หากนังเจียมเหมือนจะคิดอะไรไม่ออกแล้วในตอนนั้น

“ผะ ผะ ผี…ที่นี่มีผี” นังเจียมยังเอะอะโวยวาย

“หา” พูดถึงผี แม่หญิงบัวถึงกับร้องลั่น “ผีเหรอ”

“เจ้าค่ะ” นังเจียมระล่ำระลัก “ผีเด็กผมจุก…มันนั่งอยู่ในครัว แล้วก็ยืดมือมาจับเจียมด้วยนะเจ้าคะ”

“ที่นี่ไม่มีผี” แม่หญิงดาราว่า “นังเจียมตาฝาดมากกว่า”

“นั่นสิขอรับ” ออกหลวงหนุ่มเห็นด้วยกับเมีย “เรือนของเราไม่มีผีไม่มีสาง…นังเจียมเอาที่ไหนมาพูด”

“แต่เจียมเห็นจริงๆนะเจ้าคะ” นังเจียมเริ่มจะได้สติ

“ผีบ้านผีเรือนหรือเปล่า” แหวนได้ที แม้ว่านางบ่าวคนสนิทของแม่หญิงดาราเพิ่งจะมาถึงที่เกิดเหตุ แต่ก็ทันได้ยินถ้อยสนทนาตั้งแต่ต้น “ทำไม่ดี ผีบ้านผีเรือนเลยหลอกเอา”

“สรุปว่านังเจียมทำตัวเองทั้งนั้น” แม่หญิงดาราว่า “ไม่มีใครทำอะไรบ่าวของคุณหญิงแม่เลยนะเจ้าคะ”

“ไม่รู้ละ พี่ดาราต้องรับผิดชอบ” แม่บัวยื่นหน้ามาพูด

“รับผิดชอบ” ดาราเรศมองบน “ประเดี๋ยวนะแม่บัว…ส่งคนมาสืบข่าวจากเรือนของคนอื่น แล้วโดนผีหลอก เจ้าของเรือนต้องรับผิดชอบอย่างไรไม่ทราบ”

“พี่เข้ม” แม่บัวเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ยอมลดราวาศอกให้ เลยหันไปฟ้องพี่ชาย “ดูเมียของพี่สิ เมียของพี่หาเรื่องน้อง”

“หาเรื่องน้อง” ออกหลวงเข้มนิ่วหน้า “พี่ว่าน้องนั่นละ ที่มาหาเรื่องแม่ดารา”

“พี่เข้มเปลี่ยนไป” แม่บัวผงะถอยหลัง “เห็นเมียดีกว่าน้อง”

“พี่พูดไปตามเนื้อผ้า ถูกก็ว่าถูก ผิดก็ว่าผิด ไม่ได้เห็นใครดีกว่าใครทั้งนั้นละ” ออกหลวงหนุ่มเอ่ยเสียงราบเรียบ

“พ่อเข้มหลงเมีย” คุณหญิงแป้นต่อว่า “เห็นเมียดีกว่าแม่ ดีกว่าน้อง”

“ไปกันใหญ่แล้วนะครับคุณแม่” ออกหลวงหนุ่มหันไปทางแม่หญิงใจแล้วว่า “แม่ใจรีบพานังเจียม พาคุณแม่กับแม่บัวกลับเรือนไปก่อนดีกว่า เอาไว้ให้ทุกคนใจเย็นกว่านี้แล้วค่อยคุยกัน”

“ไม่คุยเจ้าค่ะ”

แม่หญิงดาราแทรกขึ้นมา และคุณหลวงเข้มก็หันขวับมามองเมียด้วยความประหลาดใจ เพราะไม่คิดว่าแม่หญิงผู้อ่อนแอจะลุกขึ้นมาพูดอะไรแบบนี้ อุตส่าห์หาทางลงให้สวยๆ แต่เมียของเขากลับถีบบันไดทิ้งเสียนี่

“ไม่มีการคุยอะไรทั้งนั้น ในเมื่อเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ได้มีอะไรสลักสำคัญเลย กับแค่บ่าวเรือนโน้นมาสอดแนมเรือนนี้ แล้วโดนผีหลอก มีอะไรต้องคุยกันอีกเจ้าคะคุณพี่” เธอหันมามองอยุธยาคิ้วต์บอยอย่างขัดใจ “บอกไว้ตรงนี้เลยนะเจ้าคะคุณหญิงแม่ แม่ใจ แม่บัว…ต่อจากนี้ไป ถ้าไม่จำเป็นแล้วละก็…ห้ามคนเรือนใหญ่มายุ่งที่เรือนเล็กอีก ไม่เช่นนั้นฉันไม่รับรองความปลอดภัย เพราะผีบ้านผีเรือนของฉันอาจจะไม่ใจดีอย่างครั้งนี้ก็ได้”

“โอย…แม่บัว” คุณหญิงแป้นลมตีขึ้นจนหน้ามืด ยืนแทบไม่อยู่ แม่บัวและแม่ใจต้องเข้าประคองปีก “แม่จะเป็นลม พาแม่กลับเรือนที…เกิดมาไม่เคยเจอลูกสะใภ้เรือนไหนเป็นแบบนี้มาก่อนเลย…”

“ไปเจ้าค่ะคุณแม่” แม่บัวแค่นเสียง เธอเหลียวกลับมามองแม่หญิงดาราด้วยสายตาไม่เป็นมิตร ริมฝีปากบางขยับขมุบขมิบเป็นทำนองว่า

…ฝากไว้ก่อนเถอะ อย่าให้ถึงทีของฉันบ้างก็แล้วกัน…

 

เข้านอนคืนนั้นด้วยความเงียบสงบ ออกหลวงกำแหงฤทธิรณไม่ได้ถามอะไรให้เมียไม่สบายใจ เขาแยกกลับไปนอนที่หอนั่งเช่นทุกคืนที่ผ่านมา ตอนที่ดาราเรศตื่นเช้าเพื่อตักบาตรนั้น ออกหลวงหนุ่มออกไปทำงานแล้วจึงไม่ได้คุยกัน

ดาราเรศไม่มีเวลาคิดอะไรมากนัก ด้วยมีเรื่องที่ต้องทำหลายอย่าง อย่างแรกเลยคือต้องคุมบ่าวไพร่ช่วยกันกรอกน้ำปรุงใส่ขวดแก้วใบเล็ก เพื่อนำกลับไปเติมที่หน้าร้าน

ดาราเรศแทบไม่เชื่อสายตาเมื่อเห็นผู้คนมามุงที่ร้านเสริมความงามของเธอและเพื่อนกันอย่างเนืองแน่น ทันทีที่เปิดร้าน ผู้คนเหล่านั้นต่างพากันเข้ามาหยิบน้ำปรุง ผ้าลายสุหรัดและกำไลหางช้าง ควักเบี้ยออกมาจ่ายกันจ้าละหวั่น ยื้อแย่งกันราวกับของแจกฟรีก็ไม่ปาน

“ถ้าขายได้อย่างนี้ทุกวันละก็ กำปั่นไม่พอใส่เงินแน่” แม่เข็มยิ้มดีใจ วันนี้เธอขายกำไลหางช้างไปได้หลายวง ผ้าของแม่มีนาขายจนหมดเกลี้ยง ในขณะที่น้ำปรุงของแม่หญิงดาราก็เหลือไม่มากนัก

ยังไม่ทันจะได้คุยอะไรกันต่อ เสียงหัวเราะของแม่เข็มและแม่มีนาก็ชะงักไป เมื่อดาราเรศหันกลับไปดูที่หน้าร้าน ก็เห็นว่าเหตุใดเพื่อนทั้งสองถึงเงียบเสียงลงอย่างกะทันหัน

แม่หญิงแก้วนั่นเอง !

เธอมาที่ร้านของแม่หญิงดาราพร้อมกับนังจวงบ่าวคนสนิท ท่าทางดูตั้งใจมาหาเรื่องโดยเฉพาะ

“ไว้มาใหม่วันหน้านะจ๊ะ วันนี้ร้านปิดแล้วจ้ะ” แม่เข็มพอจะเดาได้ว่าอีกฝ่ายไม่ประสงค์ดี จึงรีบออกไปยืนขวางทางเอาไว้

“ปิดอะไรกัน…ของยังขายไม่หมดเลยไม่ใช่รึ” แม่แก้วเอ่ยเสียงเยือกเย็น ดวงตายาวรีของเธอหรี่มองไปรอบๆ ร้านราวต้องการจะจับสังเกต

“ขายไม่หมด แต่วันนี้พวกฉันรู้สึกเหนื่อย…ไม่ขายแล้ว” แม่มีนาเดินไปสมทบกับแม่เข็ม ตลอดเวลานั้นแม่หญิงดาราได้แต่เฝ้ามองเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างใจเย็น

“ทำเช่นนั้นออกจะเสียมารยาทไปหน่อยไหม” แม่แก้วถามเสียงเรียบ “ลูกค้ามาถึงหน้าร้าน แต่กลับไล่ไม่ยอมขาย”

“ใครไล่หล่อนกัน” แม่มีนาไม่ยอมลดลาวาศอก ด้วยถือว่าเป็นลูกสาวขุนนางผู้ใหญ่ “บอกว่าร้านปิด หล่อนกลับไปได้แล้ว…”

“กลัวฉันหรือไง” แม่แก้วถามแม่มีนา หากดวงตานั้นจ้องมองตรงมายังดาราเรศ

“ไม่เป็นไรมีนา” ดาราเรศบอกเพื่อนเสียงเรียบ “ในเมื่อเขาอยากซื้อ เราก็ขายให้เขา…เชิญแม่หญิงเลือกสินค้าได้ตามสบายจ้ะ”

แม่แก้วหันไปยิ้มกับนังจวง จากนั้นสองนายบ่าวก็เดินดูสินค้าในร้านของแม่หญิงดาราด้วยความสนใจใคร่รู้

มือเรียวยาวชี้ไปที่ขวดแก้วบรรจุน้ำปรุงสีเหลืองอ่อน สั่งให้นังจวงหยิบมาให้เธอลองทดสอบกลิ่น

“กลิ่นอะไร” นังบ่าวหันมาถามลอยๆ ไม่จำเพาะเจาะจงว่าถามใคร นังแหวนเห็นไม่ได้การเลยรีบตอบแทนเจ้านายว่า

“กลิ่นดอกมะลิเจ้าค่ะ”

“เหม็น” แม่แก้วดมแล้วส่ายหน้า เสียงพูดของเธอดังจนผู้คนที่เดินผ่านไปมาต้องหยุดมอง “กลั่นมาอย่างไรกัน ไม่เห็นเหมือนดอกมะลิจริงๆเลย”

“จมูกไม่ดีหรือเปล่าหล่อน” แม่เข็มอดไม่ได้ “ใครดมน้ำปรุงกลิ่นมะลิของร้านเรา ก็ต้องว่าหอมกันทุกคน”

“ก็ไม่รู้สินะ” แม่แก้วยักไหล่ “หอมจริงๆ หรือพูดเอาใจก็ไม่รู้…แต่สำหรับฉันแล้ว…เหม็นจนอยากจะอ้วก”

“ลองขวดนี้ดีกว่าเจ้าค่ะแม่หญิง” นังจวงกระวีกระวาดหยิบน้ำปรุงขวดใหม่ขึ้นมาส่งให้เจ้านาย น้ำปรุงในขวดแก้วใสเป็นสีชมพูหวาน นังแหวนรีบบอกก่อนที่อีกฝ่ายจะถาม

“กลิ่นกุหลาบมอญเจ้าค่ะ ฮ๊อม หอม ทำก็ยากมาก” นังแหวนสาธยาย “แม่หญิงดาราต้องลุกขึ้นมาเก็บกุหลาบแรกแย้มตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่างเลยเชียวนะเจ้าคะ เพราะช่วงเวลานั้นอับน้ำหอมของกุหลาบจะส่งกลิ่นหอมอย่างเต็มที่”

“เหรอ” แม่แก้วยกขวดขึ้นดมแล้วทำหน้าเบ้ “อี๋…เหม็นเขียว”

“นี่ หล่อน” คราวนี้มีนาทนไม่ไหว ลุกขึ้นเท้าเอวเตรียมฟาดเต็มที่ “จะหาเรื่องเกินไปแล้ว นั่นก็ไม่ดี นี่ก็ไม่หอม…ถ้ายังงั้นมาซื้อของร้านเราทำไม”

“ก็มันไม่หอมจริงๆ” แม่แก้วลอยหน้าตอบ “ฉันก็เป็นคนตรงแบบนี้แหล่ะ ดีก็ว่าดี ไม่ดีก็ว่าไม่ดี ไม่ใช่พวกชอบประจบเอาใจ”

“งั้นลองน้ำปรุงกลิ่นนี้ไหมจ๊ะ” ดาราเรศหยิบเอาน้ำปรุงขวดหนึ่งออกมาจากตะกร้าที่วางไว้ใกล้ตัว “เหลือขวดสุดท้ายพอดีเลย ตอนแรกฉันก็อยากจะเก็บไปใช้เอง แต่แม่แก้วลองดมกลิ่นไหนก็ไม่ชอบ บางทีกลิ่นนี้อาจะเหมาะกับแม่แก้วก็ได้”

“ไหน…ขอฉันลองทดสอบกลิ่นสักหน่อย” แม่แก้วเอื้อมมือไปข้างหน้า

ดาราเรศหยิบขวดแก้วเจียระไนที่ภายในบรรจุน้ำปรุ่งสีเขียวอ่อนๆส่งให้ นางจวงทำท่าจะถามว้ำปรุงกลิ่นอะไร หากดาราเรศชิงพูดขึ้นเสียก่อน

“ฉันจะยังไม่บอกละนะว่าน้ำปรุงกลิ่นอะไร…แม่แก้วลองดมดูแล้วพอจะบอกได้ไหมจ๊ะ”

แม่แก้วยกขวดน้ำปรุงขึ้นดม กลิ่นของมันหอมอ่อนๆ ระคนด้วยความหวานเอียนๆ มือเรียวยาวของแม่หญิงผู้นั้นชะงักไปนิดหนึ่ง ดวงตาเบิกกว้างด้วยความตกใจ

“อ้าว” กิริยาผิดปกติของแม่แก้วไม่พ้นจากการสังเกตของดาราเรศไปได้ เธอถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบดุจเดิม “เป็นอะไรไปล่ะจ๊ะ…ชอบไหม น้ำปรุงขวดพิเศษขวดนี้”

“กลิ่น…” แม่แก้วเสียงสั่น มือที่ถือขวดแก้วก็พลอยสั่นไปด้วย “นี่มันกลิ่น…”

“คุ้นใช่ไหมล่ะจ๊ะ” ดาราเรศหัวเราะเสียงแผ่วต่ำในลำคอ ดวงตาจ้องมองดวงหน้าเผือดซีดของแม่หญิงแก้วแน่วนิ่ง

“น้ำปรุงกลิ่นดอกลำโพงอย่างไรล่ะจ๊ะ…ฮ๊อม หอมนะ…แม่แก้วว่าไหม…กลิ่นเดียวกับกลิ่นกำยานที่ใช้จุดในห้องนอนของฉันยังไงล่ะ…แบบเดียวกันเปี๊ยบเลย…”

 



Don`t copy text!