คุณหลวงเจ้าขา…ข้ากลัวผี บทที่ 17 : เมียข้าอยู่ไหน

คุณหลวงเจ้าขา…ข้ากลัวผี บทที่ 17 : เมียข้าอยู่ไหน

โดย : พงศกร

คุณหลวงเจ้าขา…ข้ากลัวผี นวนิยายโรแมนติกคอมเมดี้จากอ่านเอา โดย พงศกร เมื่อวิญญาณของแพทย์หญิงยุคปัจจุบันเข้าไปอยู่ในร่างแม่หญิงแห่งกรุงศรีผู้บอบบางที่มีคนหมั่นไส้ทั้งเมือง เธอจึงต้องลุกขึ้นมาปฏิวัติชีวิตของแม่หญิงคนนี้ให้แข็งแกร่ง ไม่ต้องพึ่งพาผู้ชายคนไหน โดยเฉพาะคุณหลวงกำแหงฤทธิรณ หนุ่มหล่อ…อยุธยาคิ้วต์บอยคนนั้น!

 

 

“แม่หญิง…” ทันทีที่นังแหวนรู้สึกตัว สิ่งแรกที่นางบ่าวร้องเรียกหาก็คือหญิงสาวผู้เป็นนาย “แม่หญิงดารา”

“ฟื้นแล้ว ฟื้นแล้ว” เสียงผู้คนที่ล้อมอยู่รอบกายนางบ่าวดังอื้ออึง หากที่ดังกึกก้องกว่าใครก็คือเสียงของบุรษหนุ่มผู้หนึ่ง ตะคอกถามด้วยความร้อนรนว่า

“นังแหวน…เมียข้าอยู่ไหน”

“แม่หญิง…แม่หญิงดารา” แหวนกะพริบตาปริบๆ พยายามตั้งสติลำดับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

นางบ่าวเหลียวมองไปรอบๆ กายก็พบว่า ตัวเองกำลังนั่งเอนกายอยู่ที่ศาลาริมท่าน้ำแห่งหนึ่งที่ไม่ใช่เรือนของตนเอง เนื้อตัวของนังแหวนเปียกปอน รอบกายมืดมิดมองไม่เห็นสิ่งใดนอกจากเงาตะคุ่มของแมกไม้ที่ขึ้นกันแน่นขนัด และผู้คนมากหน้าหลายตาที่มุงดูเหตุการณ์

“ฉันถามว่าแม่ดารา…เมียของฉันอยู่ไหน หูหนวกหรือไง”

ออกหลวงกำแหงฤทธิรณนั่นเอง !

นังแหวนตกใจจนหน้าที่ซีดอยู่แล้ว กลับซีดลงไปกว่าเก่า ไม่เคยเห็นคุณหลวงมีท่าทางร้อนอกร้อนใจเช่นนี้มาก่อน ดวงหน้าคมเข้มของเขาแดงก่ำด้วยความโมโห มือที่ถือดาบกำแน่นจนเห็นเส้นเอ็นปูดโปน ออกหลวงหนุ่มขบกรามแน่น

“ไม่ทราบเจ้าค่ะ แม่หญิงดาราหายไปไหนบ่าวก็ไม่รู้เหมือนกัน” แหวนตั้งสติได้แล้วในตอนนั้น “มีคนร้ายปล้นเรือของเรา บ่าวกับแม่หญิงจำต้องกระโดดหนีลงไปในน้ำเพื่อเอาชีวิตรอด…แล้ว…แล้ว…แล้วน้ำก็พัดเราออกจากกัน จากนั้นบ่าวก็จำอะไรไม่ได้อีกเลย รู้ตัวอีกทีก็มาอยู่ตรงนี้แล้วเจ้าค่ะ”

เป็นความจริงอย่างที่นางบ่าวว่า

หลังจากกระโดดหนีคนร้ายลงไปในแม่น้ำ ทุกอย่างก็เต็มไปด้วยความสับสนอลหม่าน

นังแหวนเป็นห่วงแม่หญิงดาราเป็นที่สุด เพราะรู้ว่าแม่หญิงว่ายน้ำไม่เป็น นางบ่าวพยายามจะประคองผู้เป็นนายเอาไว้จนสุดความสามารถ หากกระแสอันเชี่ยวกรากของน้ำพัดแรงจนมือของแม่หญิงดาราหลุดไปจากมือของหล่อน

นางแหวนเห็นกระแสน้ำม้วนกลืนเอาร่างบอบบางของแม่หญิงดาราหายไปต่อหน้าต่อตา เธอพุ่งตัวไปหา ตั้งใจจะช่วยแม่หญิง หากไม่อาจจะต้านทานความแรงของน้ำเชี่ยวได้ จึงถูกพัดห่างออกไปเรื่อยๆ

แหวนพยายามว่ายน้ำประคองตัวเอง และส่งเสียงกรีดร้องขอความช่วยเหลือ เรี่ยวแรงของเธอถดถอยลงไปเรื่อยๆ และก่อนที่แหวนจะหมดสติไป เธอคว้าเอาต้นกล้วยที่ลอยผ่านมาไว้ได้พอดี จากนั้นทุกอย่างก็ดับวูบไป มารู้สึกตัวอีกทีก็มีคนช่วยเอาไว้ และแหวนก็พบว่าตัวเองมาอยู่ที่ท่าน้ำแห่งนี้แล้ว

“แล้วคุณหลวง…คุณหลวงมาได้อย่างไร”

“พวกบ่าวของแม่ดารานะสิ” ออกหลวงหนุ่มเสียงเคร่งขรึม “เห็นว่าเรือของฉันยังกลับไม่ถึงเรือนสักที จึงให้คนออกไปตาม เลยพบว่าเรือของฉัน…”

เขานิ่งไปด้วยความสะเทือนใจ ก่อนจะเอ่ยออกมาว่า

“พบว่าเรือของฉันคว่ำอยู่กลางน้ำ แม่ดาราหายตัวไป”

“คนร้าย” แหวนละล่ำละลัก “มีคนร้ายปล้นเรือเจ้าค่ะ”

“ฉันรู้แล้ว” ออกหลวงเข้มแค่นเสียง “พอเจอเรือคว่ำ พวกบ่าวของแม่ดาราเลยรีบไปเรือนของท่านเจ้าคุณเพื่อแจ้งข่าวให้ฉันรู้ พวกเรารีบติดตามมาทันที แต่พอมาถึงบริเวณที่เรือล่ม ก็พบศพของฝีพายกับคนของฉันลอยอยู่แถวนั้น พวกเขาถูกคนร้ายฟันจนตกเรือ…ฉันระดมคนออกค้นหาผู้ที่ยังรอดชีวิต จึงพบว่าหล่อนลอยน้ำมาที่ท่าน้ำเรือนแม่แก้วนี่ละ…แต่จนบัดนี้ยังไม่พบตัวแม่ดารา”

ท่าน้ำที่ทุกคนรายล้อมกันอยู่นั้นเป็นเขตเรือนของแม่หญิงแก้ว ดังนั้น นอกจากจะมีออกหลวงกำแหงฤทธิรณและคนของเขาแล้ว นังแหวนเห็นยังมีแม่แก้ว นังจวงและบ่าวไพร่ของแม่แก้วมามุงดูเหตุการณ์อยู่ด้วย แต่คนที่นังแหวนคาดไม่ถึงว่าจะมาอยู่ที่ตรงนี้ด้วยก็คือคุณหญิงแป้น แม่หญิงบัวและแม่หญิงใจ สตรีทั้งสามบังเอิญแวะมาเยี่ยมแม่หญิงแก้วพอดี

“พุทโธ ธัมโม สังโฆ” คุณหญิงแป้นยกมือขึ้นทาบอก น้ำเสียงเหมือนจะตกใจ หากสีหน้าหาได้ตกใจเช่นน้ำเสียงไม่ “แม่ดารา…ไม่น่าเลย เคยได้ยินว่าว่ายน้ำไม่เป็นด้วยไม่ใช่หรือ”

“แม่หญิงดาราว่ายน้ำไม่เป็นเจ้าค่ะ…บ่าวพยายามช่วยแม่หญิงจนสุดความสามารถแล้ว” นางแหวนน้ำตาไหลพราก “แต่น้ำแรงเหลือเกินเจ้าค่ะ”

“น้องว่าพี่เข้มทำใจดีๆไว้ก่อนนะเจ้าคะ แม่ดาราอาจจะไม่เป็นอะไรก็ได้ บางทีอาจจะมีขอนไม้ มีต้นกล้วยลอยมาให้เกาะเหมือนนังแหวน คุณพี่รอฟังข่าวจากคนของคุณพี่ดีกว่านะเจ้าคะ”

แม่แก้วได้จังหวะเหมาะ รีบเดินเข้ามาแตะแขนของชายหนุ่มเพื่อปลอบใจ หากคราวนี้เขากลับขยับตัวหนี สร้างความประหลาดใจให้กับแม่แก้วเป็นอย่างมาก เพราะออกหลวงหนุ่มไม่เคยแสดงกิริยาเช่นนี้กับเธอมาก่อน

“นั่นสิ พ่อเข้มสั่งให้คนระดมกันติดตามหาแล้ว ไม่นานคงจะได้ข่าว” แม่ใจว่า

“ถ้าคืนนี้ยังไม่พบ วันพรุ่งคงจะพบลอยไปติดที่ท่าน้ำไหนสักแห่งละเจ้าค่ะ” แม่บัวพูดเสียงกลั้วหัวเราะ “รอฟังข่าวได้เลย”

“หุบปากไปเลย พี่ไม่ขำด้วยหรอกนะแม่บัว เรื่องเป็นเรื่องตาย ไม่ใช่เรื่องจะเอามาพูดเล่น หากเป็นบ่าวไพร่ในเรือนปากเสียเช่นนี้ พี่จะสั่งให้เอาไปเฆี่ยนเสียให้หลังลาย”

ออกหลวงกำแหงฤทธิรณตวาด แม่บัวกำลังจะพูดอะไรออกมาอีกยืดยาว ครั้นพอเห็นสีหน้าเคร่งเครียดของพี่ชายแล้วเลยได้แต่ทำคอหด

“พี่เข้มใจร้าย” แม่บัวทำท่าเบะปากเหมือนจะร้องไห้ “พี่เข้มพูดกับน้องเช่นนี้ได้อย่างไรกันเจ้าคะ”

“น้องต่างหาก..พูดกับพี่เช่นนี้ได้อย่างไร” คุณหลวงเริ่มจะทนไม่ไหว “แทนที่จะพูดเรื่องมงคล กลับพูดจาเหมือนจะแช่งกัน”

“น้องแค่พูดความจริง” แม่บัวยังเถียง “พี่เข้มลองคิดดู ว่ายน้ำไม่เป็น และน้ำเชี่ยวขนาดนี้ ถ้ารอดก็ปาฏิหาริย์เกินไปละเจ้าค่ะ”

“หยุดเดี๋ยวนี้นะแม่บัว” ออกหลวงเข้มหน้าเข้มสมชื่อ “หยุดพูดจาอัปมงคลได้แล้ว”

“เอาเถอะ เอาเถอะ…ไม่ต้องพูดอะไรแล้วแม่บัว” คุณหญิงแป้นเห็นไม่เข้าทีเลยรีบเอ่ยขึ้น “พ่อเข้มเองก็ใจเย็นๆก่อน…แม่คิดว่าแม่ดาราคงไม่เป็นไรมากหรอกน่ะ…ว่ากันว่าคนดีผีคุ้มไม่ใช่หรือ เคยรอดจากความตายมาแล้วครั้งหนึ่ง ครั้งนี้ก็คงจะรอดได้เช่นกัน…”

 

คนดีอย่างดาราเรศไม่ต้องรอให้ผีคุ้มก็รอดมาได้ หัวแข็งอย่างหล่อนไม่ยอมตายในกระแสน้ำง่ายๆ แน่นอน

พวกคนร้ายคงไม่คิดสินะว่าแม่หญิงรูปร่างบอบบางอย่างหล่อนจะว่ายน้ำเก่งกาจราวกับเงือกสาวเจ้าสระ นางเอกหนังญี่ปุ่นชื่อดัง ดีแค่ไหนที่หล่อนไม่กลับตัวเหินฟ้าให้พวกมันตกตะลึงจนตาค้าง

ทันทีที่กระโดลงไปในน้ำ ดาราเรศรู้ว่าถ้ามัวแต่เกาะกันกับนังแหวน จะทำให้โอกาสรอดชีวิตน้อยลง เพราะถ้าคนร้ายตั้งใจจะตามมาฆ่าหล่อน แล้วกระโดดตามลงมา เธออาจจะไม่รอดทั้งคู่

ดังนั้น ดาราเรศจึงรวบรวมกำลังแล้วสลัดมือนังแหวนให้หลุดไป กระแสน้ำพัดแรง พานางบ่าวผู้จงรักภักดีให้ลอยห่างไป ตัวเธอนั้นรวบรวมพละกำลังที่ยังมีเหลือว่ายทวนน้ำไปทิศตรงกันข้าม เธอมั่นใจว่าพวกคนร้ายต้องคิดไม่ถึงแน่นอน

แต่ถึงจะว่ายน้ำเก่งแค่ไหน กระแสน้ำนั้นเชี่ยวกรากรุนแรงจนดาราเรศเริ่มหมดแรง เธอเหลียวกลับไปมองก็พบว่าคนร้ายช่วยกันล่มเรือแล้วกระโดดกลับไปที่เรือของพวกมัน จากนั้นก็จ้วงพายหนีไปอย่างรวดเร็ว ไม่มีใครคิดจะติดตามหล่อนหรือนังแหวนมา

แต่กระนั้นก็ยังไว้ใจไม่ได้ ยังขึ้นฝั่งตอนนี้ไม่ได้ เพราะพวกมันอาจจะซุ่มรออยู่ที่ไหนสักแห่ง ท่าทางของคนร้ายไม่ได้จะมาปล้น แต่หมายจะเอาชีวิตกันเลยทีเดียว

และหล่อนมั่นใจว่าเป้าหมายที่คนร้ายต้องการฆ่าไม่ใช่เธอ แต่เป็นออกหลวงกำแหงฤทธิรณสามีของเธอ พวกมันน่าจะดักซุ่มรออยู่อย่างใจเย็น ครั้นพอเห็นเรือออกจากท่าจึงเร่งไล่ตามมาติดๆ ครั้นพอเห็นว่าคนที่นั่งในกัญญาเรือเป็นเธอไม่ใช่เขา พวกมันถึงตะโกนบอกกันว่าไม่ใช่คนที่ต้องการ…

ดาราเรศจึงพยายามประคองตัวไปเรื่อยๆ ไม่รู้หรอกว่าที่ว่ายไปนั้นมุ่งหน้าไปที่ไหน เธอรู้แต่ว่าจะต้องพาตัวออกห่างจากจุดเกิดเหตุให้มากที่สุด จังหวะที่กำลังจะหมดแรงนั่นเอง หนูยอดก็มาปรากฏตัวอยู่ข้างๆ ดำผุดดำว่ายด้วยอาการสนุกสนาน

“น้านี่ว่ายน้ำเก่งจัง” ผีผมจุกว่า “เก่งกว่าหนูอีก”

“จะหมดแรงอยู่แล้ว” ดาราเรศอ้าปากหอบ

“มา หนูช่วย” หนูยอดไม่พูดเปล่า หากเอื้อมเอามือของดาราเรศมากอดคอของตัวเองเอาไว้ “เป็นไง…สบายขึ้นไหมน้า”

“เออ ดี” ดาราเรศรู้สึกเหมือนมีห่วงยางให้เกาะ “เดี่ยวกลับไปฉันทำขนมต้มให้ร้อยลูกเลย”

“จริงนะน้า” ดวงตาผีเด็กวาวโรจน์

“ฉันเคยโกหกเหรอ” ดาราเรศพึมพำ ยังไม่หายเหนื่อย แต่พอมีผีเด็กช่วยประคอง เธอก็รู้สึกเบาแรงขึ้นมาก

“น้าใจดี๊ ใจดี” เด็กชายยอดหัวเราะชอบใจ

“เดี๋ยวก่อน อย่าเพิ่งหัวเราะ” ดาราเรศนึกอะไรขึ้นได้ “หนูยอดเห็นหน้าคนร้ายชัดไหม…พวกมันเป็นใคร”

“ไม่เห็นจ้ะ” เด็กชายส่ายหน้า “มันเอาผ้าคลุมหน้าคลุมหัวหมดเลย แต่หนูว่าดาบของพวกมันแปลกๆ นะน้า ไม่เหมือนดาบของคุณพ่อหนู”

ออกพระอาจอาสา บิดาของเด็กชายเป็นเพื่อนรุ่นพี่ของออกหวงกำแหงฤทธิรณ ขุนนางอยุธยาจะมีดาบประจำตำแหน่ง และดาบประจำตัวของขุนนางเหล่านั้นเป็นดาบที่มีลักษณะเฉพาะ คือทำมาจากเหล็กเนื้อดีตีจนขึ้นเขียว มีลักษณะด้ามตรง โค้งตรงปลายนิดหน่อย

“ไม่เหมือนยังไง” ดาราเรศซัก

“ดาบเล็กและเรียวยาว…แถมยังอ่อนโค้งได้ด้วยนะสิน้าดารา” ยอดพยายามอธิบายลักษณะดาบของคนร้าย

ดาราเรศฟังแล้วครุ่นคิดตาม ลักษณะการสะพายดาบคู่ ไขว้อยู่ที่กลางหลัง มีสายคาดหน้าอก…แบบนั้นก็ไม่ใช่ลักษณะการสะพายดาบของคนอยุธยา

คุณพระช่วย…

ดวงตาของดาราเรศเบิกกว้าง

หรือจะเป็นพวกญี่ปุ่น !

เรื่องนี้เธอจะไม่เก็บเอาไว้คนเดียวแน่ๆ ยิ่งตอนนี้ญี่ปุ่นมีปัญหากับอยุธยา มีปัญหากับพ่อของเธอ มีความเป็นไปได้สูงมากว่าเหตุการณ์ทั้งหมดอาจจะเกี่ยวข้องกัน แต่ก่อนจะทำอะไรต่อไป ดาราเรศเพิ่งนึกได้ว่าว่ายน้ำกันมาไกลแล้ว เธอเหลือบมองไปรอบๆ พร้อมกับขมวดคิ้วสงสัยว่าตอนนี้อยู่ที่ไหน

“วัดประดู่”

เด็กผมจุกอ่านใจของดาราเรศได้ จึงตอบสิ่งที่หญิงสาวกำลังนึกสงสัย

“นี่เราว่ายกันมาไกลมากๆ เลยนะน้า มาจวนจะถึงท่าวัดประดู่อยู่แล้ว”

ดาราเรศพยักหน้า จำวัดประดู่ได้เพราะบิดาของเธอมารักษาตัวอยู่ที่เรือนหมอพัน ละแวกวัดประดู่นี่เอง

“ขึ้นที่นี่ไหมน้า” เด็กผมจุกถาม “รับรองว่าปลอดภัย ถ้าพวกมันตั้งใจจะดักจับตัวน้าละก็ หนูว่าป่านนี้พวกมันไปดักรออยู่ที่ปลายน้ำกันแล้ว คนร้ายนึกไม่ถึงหรอกว่าเราจะว่ายทวนน้ำมาตั้งไกล”

ใช่ นึกไม่ถึงหรอก ดาราเรศเถียงใจ ไม่นึกมากกว่าจะมีใครบ้าระห่ำว่ายทวนน้ำหนีพวกมันมาแบบนี้

“อ้ะ ขึ้นมาหลบที่นี่ก่อนก็แล้วกัน” เธอตั้งใจว่าจะไปขอหลบที่เรือนของหมอพันสักพัก ถือโอกาสเยี่ยมท่านเจ้าคุณบิดาไปด้วยเสียเลย

“ได้” ผีเด็กผมจุกว่า “หนูส่งน้า แล้วกลับเรือนไปก่อนนะ ไม่ค่อยถูกกับวัดเท่าไหร่”

ไม่รอให้ดาราเรศตอบ เด็กชายยอดประคองหญิงสาวไปส่งจนถึงท่าน้ำหน้าวัด ดาราเรศเหลียวซ้ายแลขวาเห็นไม่มีผู้ใดก็เลยรีบขึ้นบันไดมานั่งพักที่ศาลาท่าน้ำเก่าแก่ ตั้งใจว่าหายเหนื่อยแล้วจะเดินต่อไปยังเรือนหมอพันที่อยู่ไม่ไกล

หากยังไม่ทันจะได้ทำตามที่ตั้งใจเอาไว้ เธอก็ต้องสะดุ้งสุดตัว เมื่อเสียงแหบพร่าของใครคนหนึ่งดังขึ้น ท่ามกลางความสงัดเงียบรอบกาย

“หนีใครมา”

“อุ๊ย” ดาราเรศอุทาน ครั้นเมื่อเหลือบสายตามองไปในศาลา ก็พบภิกษุสูงวัยรูปหนึ่งยืนสงบเงียบอยู่ตรงนั้น ดวงหน้าของท่านมีรอยเหี่ยวย่น ดวงตาเต็มไปด้วยความเมตตา

…พระจริงๆ ไม่ใช่ผีใช่ไหม…

ถ้าเจอกลางวันคงจะแยกได้ไม่ยาก แต่นี่พอมาเจอกลางคืน ดาราเรศชักไม่แน่ใจแล้วว่าที่ตัวเองเห็นตรงหน้าคือคนหรือผีกันแน่

“อาตมาเป็นพระ” เหมือนกับท่านจะอ่านใจเธอได้ “ไม่ต้องกลัว”

“เจ้าค่ะ” ดาราเรศถอนใจยาว ยกมือขึ้นพนม “ดีฉันตกเรือมาเจ้าค่ะ”

ไม่ได้มุสานะเจ้าคะ แค่ไม่ได้เล่าให้ละเอียดเท่านั้น

“หนาวไหม” ท่านถามด้วยน้ำเสียงเมตตา

“หนาวเจ้าค่ะ” พอท่านถามแบบนั้น ดาราเรศเลยรู้สึกหนาวยะเยือกขึ้นมา ยกมือขึ้นกอดอกแล้วก็ยังไม่หายสั่น พร้อมกันนั้นก็นึกได้ว่าหลวงลุงคือเจ้าอาวาสวัดประดู่นั่นเอง เธอเพิ่งพบกับท่านเมื่อหลายวันก่อนที่ตามออกหลวงกำแหงฤทธิรณมาดูศพของแม่เยื้อน

“อาตมาจะให้เด็กวัดเอาผ้ามาให้เปลี่ยน” ท่านหันไปส่งเสียงเรียก สักพักก็มีเด็กชายไว้จุก ผิวเนื้อดำแดง รูปร่างผอมสูงวิ่งมาที่ศาลาพร้อมกับผ้าในมือ พอลูกศิษย์วัดส่งผ้าให้ดาราเรศแล้ว หลวงพ่อก็เอ่ยขึ้นว่า “โยมเข้าไปผลัดผ้าที่ศาลาไม้หลังวิหารโน่น…เสร็จเรียบร้อยแล้วตามไปพบอาตมาที่โบสถ์…อาตมามีเรื่องอยากจะสอบถามสักหน่อย…ไม่แน่นะ บางที เรื่องที่อาตมาจะสอบถาม อาจจะช่วยตอบคำถามที่โยมกำลังนึกสงสัยอยู่ในใจก็เป็นได้”

 



Don`t copy text!