คุณหลวงเจ้าขา…ข้ากลัวผี บทที่ 22 : ความวัวยังไม่ทันจะหาย ความควายมาอีกแล้วเจ้าค่ะ

คุณหลวงเจ้าขา…ข้ากลัวผี บทที่ 22 : ความวัวยังไม่ทันจะหาย ความควายมาอีกแล้วเจ้าค่ะ

โดย : พงศกร

คุณหลวงเจ้าขา…ข้ากลัวผี นวนิยายโรแมนติกคอมเมดี้จากอ่านเอา โดย พงศกร เมื่อวิญญาณของแพทย์หญิงยุคปัจจุบันเข้าไปอยู่ในร่างแม่หญิงแห่งกรุงศรีผู้บอบบางที่มีคนหมั่นไส้ทั้งเมือง เธอจึงต้องลุกขึ้นมาปฏิวัติชีวิตของแม่หญิงคนนี้ให้แข็งแกร่ง ไม่ต้องพึ่งพาผู้ชายคนไหน โดยเฉพาะคุณหลวงกำแหงฤทธิรณ หนุ่มหล่อ…อยุธยาคิ้วต์บอยคนนั้น!

 

ดาราเรศฟังถ้อยวาจาอ่อนโยนของมิโนโกะแล้วถึงกับอ้าปากค้าง ไม่นึกว่าเห็นท่าทางเสงี่ยมหงิม ปากบอกไม่เอาเรื่องเอาราว หายโกรธแล้ว หากแท้จริงผู้หญิงคนนี้ยังเจ็บแค้นฝังลึก

มองดูปลายเท้าเรียวๆ ที่ยื่นมาตรงหน้า ดาราเรศถอนใจยาว ก่อนจะถามใจตัวเองว่าเอายังไงดี จะไปต่อหรือพอแค่นี้

สติบอกเธอว่าต้องไปต่อ ถึงตอนนี้ถอยไม่ได้เสียแล้ว คงจะต้องยอมเสียส่วนน้อย เพื่อผลประโยชน์ส่วนใหญ่ที่จะได้รับ อีกอย่าง…ภายในห้องโถงแห่งนี้มีแค่เธอ ท่านไดเมียวและภรรยา ก้มกราบไปก็คงไม่เสียหาย เพราะไม่มีใครคนอื่นเห็น

คิดได้ดังนั้นดาราเรศก็ตัดอกตัดใจ เตรียมจะก้มลงเพื่อกราบขอขมามิโนโกะ หากยังไม่ทันจะได้ก้มลงไปจริงๆ มือเรียวยาวของมิโนโกะกลับดึงดาราเรศขึ้นเสียก่อน

“ไม่ต้องแล้ว ฉันอยากลองใจเธอดูว่าตั้งใจจะมาขอโทษจริงๆ หรือแค่มาเล่นๆ” น้ำเสียงของมิโนโกะยังคงอ่อนหวานดุจเดิม “อย่ามองฉันอย่างนั้นสิแม่ดารา…ฉันไม่ใช่คนใจร้ายนักหรอกนะ พูดว่าหายโกรธแล้วก็หมายความเช่นนั้นจริงๆ เอาเป็นว่าจากนี้ไปเราเลิกแล้วต่อกัน”

“ฉัน…” ดาราเรศกะพริบตาปริบๆ ตั้งสติไม่ทัน ไม่นึกว่าสถานการณ์จะเปลี่ยนไวเช่นนี้ เธอส่งพวงมาลัยที่นังแหวนร้อยไปให้กับท่านไดเมียวและภรรยา “ยังไงก็ช่วยรับพวงมาลัยนี้ไว้เถิดนะจ๊ะ ฉันตั้งใจนำมาขอโทษท่านไดเมียว และขอโทษหล่อนจริงๆ นะ”

“ฉันรู้” มิโนโกะรับพวงมาลัยมาดม พร้อมกับส่งยิ้ม “เลิกพูดเรื่องนี้ได้แล้วละ”

“เข้าใจกันก็ดีแล้ว” ท่านไดเมียวเอ่ยด้วยน้ำเสียงสุขุม เขาเอื้อมมือแข็งแรงมารับพวงมาลัยไปวางไว้ที่ข้างกาย “เธอมีพวงมาลัยมาขอขมา ฉันก็มีของกำนัลจะมอบให้เช่นกัน”

สิ้นประโยคนั้น ท่านไดเมียวก็ปรบมือดังๆ สามครั้ง จากนั้นประตูกรุกระดาษทางด้านหลังก็เปิดเลื่อนออกอีกวาระหนึ่ง สาวใช้ในชุดยูกาตะสีขาวสะอาดก็คลานเข้ามาพร้อมกับห่อผ้าในมือ

ท่านไดเมียวรับห่อผ้าจากสาวใช้ โบกมือให้ถอยกลับไปรอข้างนอก ก่อนจะคลี่ห่อผ้าออกกว้าง และส่งให้กับดาราเรศ

เมื่อหญิงสาวเห็นของกำนัลที่หัวหน้าหมู่บ้านญี่ปุ่นมอบให้ ก็ต้องห่อปากอุทานว่า

“โอ…สวยจังเจ้าค่ะ”

ในห่อคือผ้าไหมสีเขียวสด เป็นผ้าไหมเรียบๆ ปราศจากลวดลายใดๆ หากสีเขียวของผืนผ้านั้นสดใสแตกต่างจากสีเขียวอื่นๆ ที่ดาราเรศเคยเห็นมาในอยุธยา

หลายเดือนที่มาอยู่ในร่างของแม่หญิงดารา ดาเรศได้เรียนรู้ว่าในยามปกติ คนอยุธยาแต่งกายเรียบง่าย ไม่หรูหราอลังการอย่างที่เคยคิด ชาวบ้านทั่วไปนิยมใช้ผ้าสีพื้น ย้อมจากพืชธรรมชาติ เช่น สีน้ำตาล สีดำ ผ้าที่ย้อมด้วยสีพิเศษอย่างเช่น สีน้ำเงินและแดง รวมถึงผ้าที่มีลวดลายหรูหรา สงวนไว้ใช้สำหรับเจ้านาย ขุนนาง และใช้อยู่ภายในราชสำนักเท่านั้น

แม้สีเขียวไม่ใช่สีต้องห้าม แต่ไม่ค่อยมีคนใช้เพราะการจะย้อมให้สวยนั้นทำได้ยาก ส่วนมากสีเขียวที่ดาราเรศเห็นคือสีเขียวเข้ม สีเขียวใบไม้ หรือไม่ก็สีเขียวหม่นๆ ไปเลย

“ผ้าจากริวกิว” ท่านไดเมียวเอ่ยชื่อเมืองท่าค้าขายสำคัญของญี่ปุ่น “เราขอมอบให้เธอเป็นของขวัญเป็นที่ระลึก”

“ให้ฉันสองผืนเลยหรือเจ้าคะ” ในห่อมีผ้าไหมอยู่สองผืน

“ใช่” ท่านไดเมียวพยักหน้า

“มากไปไหมเจ้าคะ” ดาราเรศออกจะเกรงใจ

“ไม่มากหรอก” ไดเมียวหัวเราะเบาๆ “เรายังมีผ้าเขียวแบบนี้อีกมากมายในคลัง”

“ได้ไปก็อย่าเก็บเฉยๆ ล่ะ เอาไปใช้ด้วยนะ” มิโนโกะว่า “รับรองว่าผ้าสีสวยแบบนี้ ใครเห็นก็ต้องอิจฉา อยากได้บ้างเป็นแน่”

และก็จริงอย่างที่มิโนโกะว่า เพราะทันทีที่ออกมาจากเรือนของไดเมียว เข็มและมีนาก็ตรงเข้ามาหาดาราเรศด้วยท่าทางร้อนใจ ทั้งสองรุมกันซักถามรายละเอียดเหตุการณ์ ครั้นพอได้ฟังเรื่องราวจากปากของเพื่อนจบลง พวกเธอก็พาถอนใจยาวด้วยความโล่งอก และพอดาราเรศอวดผ้าที่ท่านไดเมียวให้มา ทั้งเข็มและมีนาก็พากันห่อปาก ร้องอุทานด้วยความตื่นเต้น

“สวยจังเลย” เข็มว่า

“ไม่เคยเห็นผ้าไหมสีเขียวสดแบบนี้มาก่อน” มีนาทำตาโต

“เขียวเหมือนอะไรนะ…จะว่าเหมือนใบตองก็เหมือน เหมือนใบเตยก็เหมือน” เข็มเอื้อมมือไปลูบๆ คลำๆ ผ้า “ผ้าเนื้อดีแบบนี้ ถ้าขายก็คงจะแพงมากเลยนะ”

“ผ้าอินเดียย้อมยังไม่ได้สีเขียวสวยอย่างนี้” มีนาวิเคราะห์ “วิธีการย้อมคงจะพิเศษมากๆ”

“อยากได้ก็เอาไปสิ” ดาราเรศเอ่ยง่ายๆ “ฉันให้พวกเธอ”

“ให้ฉัน” เข็มชี้ที่ตัวเอง และหันไปยิ้มกับมีนา

“แม่ดาราไม่เก็บเอาไว้ใช้เองหรือ ผ้าสวยขนาดนี้” มีนาถาม

“เห็นพวกเธออยากได้ เอาไปเถอะ” ดาราเรศหมายความอย่างนั้นจริงๆ เธอเป็นคนชอบสีฉูดฉาดโทนร้อน เช่น สีแดง สีส้ม ไม่นิยมสีโทนเย็น เก็บเอาไว้เองก็คงไม่ได้หยิบออกมาใช้ เห็นเพื่อนอยากได้ขนาดนั้น เธอจึงยกให้ด้วยความเต็มใจ

“จะดีหรือ” มีนาลังเล อยากได้ก็อยาก แต่ก็อดจะเกรงใจเพื่อนมิได้

“ดี” ดาราเรศพยักหน้าแข็งขัน

“ขอบใจนะดารา” เข็มหัวเราะเหมือนเด็กๆ ขณะที่มีนารับผ้าไปอย่างทะนุถนอม

“แม่ดาราใจดีมากๆ”

ดาราเรศพยักหน้าให้เพื่อน ก่อนที่ทุกคนจะเดินพูดคุยกันสนุกสนานติดตามคนนำทาง ย้อนผ่านเส้นทางวกวน เพื่อมุ่งหน้าไปยังทางออกของหมู่บ้าน

ยังไม่ทันจะได้เดินกลับออกไปถึงท่าน้ำที่เรือจอดรออยู่ บุรุษผู้หนึ่งก็เดินตรงเขามาหาพวกเธออย่างรวดเร็ว เขาสวมชุดซามูไรญี่ปุ่นรัดกุม ดาราเรศประเมินด้วยสายตาคิดว่าชายผู้นี้น่าจะอายุราวสามสิบปลาย ดวงหน้าของเขาดุดัน ดวงตาคู่เรียวยาวจ้องมองผ้าในมือของเข็มและมีนา ก่อนจะเอ่ยเสียงเข้มว่า

“ส่งผ้าคืนมา”

“ผ้าอะไรเจ้าคะ” ดาราเรศนิ่วหน้า

“ผ้านั่นไง” เขาชี้ไปที่ผ้าไหมในมือของเข็มและมีนา “มันเป็นสมบัติของคนญี่ปุ่น”

“เดี๋ยวก่อน” ดาราเรศขยับขึ้นหน้า จ้องมองชายวัยกลางคนชาวญี่ปุ่นด้วยสายตาแปลกใจ “นี่ฉันฟังอะไรผิดไปหรือเปล่า”

“ไม่ผิด” เขายืนยันคำเดิม “ส่งผ้าไหมมาให้ข้า”

“ไม่ ทำไมพวกเราต้องส่งผ้าให้ท่านด้วย” ดาราเรศรู้สึกไม่ถูกชะตากับผู้ชายตรงหน้าเอาเสียเลย เป็นใครมาจากไหน มาไถเอาผ้ากันซึ่งๆ หน้าแบบนี้เลยเนี่ยนะ

“ส่งมา” เขายืนยันเสียงเข้ม

“ทะ ท่าน…ยามาดะ” เข็มหน้าซีดปากสั่น

“หา…อะไรนะ…นี่คือท่านยามาดะงั้นหรือ” ดาราเรศหันไปพึมพำ เคยได้ยินชื่อนี้หลายครั้ง ไม่นึกว่าวันนี้จะมีโอกาสได้พบตัวจริงของหัวหน้ากองทหารอาสาญี่ปุ่น

“ใช่แล้ว แม่ดารา” เขาตอบ นัยน์ตาคู่กล้าแกร่งยังจับจ้องมองดวงหน้าของดาราเรศ

“นี่ท่านรู้จักชื่อฉันด้วยหรือ” ดาราเรศตกใจ

“บุตรสาวปากกล้าของออกญาโชดึกราชเศรษฐี” ยามาดะหัวเราะในลำคอ “ผู้ใดบ้างจะไม่รู้จัก…ว่าแต่แม่หญิงเถอะ…ที่จริงเราก็เคยพบกันมาก่อน เหตุใดจึงทำเป็นจำเราไม่ได้”

“ฉะ…ฉัน” ดาราเรศพึมพำ เอาละสิ จะแก้ตัวว่าอย่างไรดี

“แม่ดาราความจำเสื่อม” เข็มช่วยตอบ “ช่วงนี้เธอเลยป้ำๆเป๋อๆ จำอะไรไม่ใคร่ได้ ท่านอย่าถือสาเธอเลยนะจ๊ะ”

“ผ้า” เขาไม่สนใจคำแก้ตัวต่างๆ สายตายังจ้องมองผ้าไหมทั้งสองผืน “ส่งคืนมาบัดเดี๋ยวนี้”

“นี่จ้ะ…ท่านยามาดะ”

“นี่จ้ะ”

มีนาเตรียมยื่นผ้าให้ยามาดะด้วยท่าทางเสียดาย เข็มเองก็ยื่นผ้าไหมสีเขียวสดในมือคืนให้เช่นกัน

“หยุดเลยมีนา หยุดนะเข็ม” ดาราเรศหันไปคว้ามือเพื่อนทั้งสอง ก่อนจะหันไปทางท่านยามาดะ “ทำไมพวกเราต้องส่งผ้าให้ท่าน…ในเมื่อผ้าพวกนี้ท่านไดเมียวเป็นคนให้ฉันมาเอง”

“ท่านไดเมียว…ให้มาหรือ” บุรุษร่างสูงใหญ่นิ่วหน้า มีประกายตาบางอย่างฉายวูบวับให้เห็น

“ใช่” ดาราเรศยืดอกตอบ

“แต่…” ยามาดะมีท่าทางลังเล เหมือนอยากจะเอ่ยอะไรออกมาสักอย่าง หากแล้วก็กลับเปลี่ยนใจในที่สุด  “เอาเถอะ…ในเมื่อท่านไดเมียวมอบให้ ก็แปลว่าท่านคงมีเหตุผลอันสมควร”

เขาถอนใจเบาๆ ก่อนจะยอมขยับถอยหลัง เปิดทางให้กับกลุ่มของดาราเรศเดินผ่านไปในที่สุด…

 

“กลับกันได้แล้ว” ตอนเดินผ่านรูปปั้นยักษ์ที่หน้าหมู่บ้าน ดาราเรศหันไปเรียกผีเด็กผมจุกที่เล่นอยู่แถวนั้น

“พูดอะไรนะแม่ดารา” เข็มหันกลับมา นึกว่าเพื่อนพูดกับตัวเอง

“เปล่านี่” ดาราเรศรีบปฏิเสธ ขณะผีเด็กวิ่งตามหลังเธอมา “ไม่ได้พูดอะไรสักหน่อย”

“เอ…” เข็มยกมือขึ้นเคาะหัวตัวเอง “สงสัยฉันจะหูแว่ว”

“ไปกันได้แล้ว” มีนาหันมาเร่งเพื่อน “ไม่รู้ป่านนี้ร้านของเราจะเป็นอย่างไรบ้าง ปล่อยนังปูน นังปีบไว้สองคน ฉันชักเป็นห่วง”

ร้านค้าของพวกเธอขายดิบขายดี มีลูกค้าแวะเวียนกันเข้ามาซื้อของตลอดเวลา ครั้นจะพากันไปหมู่บ้านญี่ปุ่นก็เสียดายรายได้ มีนาและเข็มจึงใช้ให้บ่าวของพวกเธอที่ชื่อนังปูนและนังปีบเฝ้าอยู่ที่ร้าน นางบ่าวทั้งสองคนเป็นคนฉลาดเฉลียว ไว้ใจได้

“อีตายามาดะ จะอะไรกับผ้านักหนาก็ไม่รู้นะ” ดาราเรศบ่นเมื่อนั่งอยู่บนเรือด้วยกันกับเพื่อนและนางบ่าว

“ท่านเป็นผู้คุมกฏหมู่บ้าน” เข็มเสียงอ่อน “เห็นคนแปลกหน้าเข้าไป และมีผ้าไหมติดมือกลับออกมา อาจจะคิดว่าเราขโมยผ้านะสิ”

“ลูกสาวออกญาอย่างพวกเราสามคนเนี่ยนะ จะไปเที่ยวขโมยของคนอื่น คนอย่างเรามีศักดิ์ศรีนะจ๊ะ ไม่มีใครทำให้เสื่อมเสียไปถึงเจ้าคุณพ่อของพวกเราหรอก” มีนาฮึดฮัด “ยามาดะนะยามาดะ มันน่านัก”

“เดี๋ยวก่อน ใจเย็น” ดาราเรศรีบห้ามเพื่อน “ท่านยามาดะยังไม่ทันได้ว่าพวกเราสักหน่อย แม่เข็มแค่สันนิษฐานเอาเอง”

“ก็จริงของแม่ดารา” มีนาใจเย็นลง

ขากลับจากหม่บ้านญี่ปุ่นไปร้านที่ป่าผ้าใช้เวลานานกว่าขาไป เพราะคนเรือต้องพายทวนน้ำขึ้นไปทางเกาะเมือง เมื่อมาถึงร้านเสริมความงามที่ป่าผ้า สามสาวก็ต้องตกใจเพราะที่หน้าร้านของพวกเธอมีคนมุงกันอยู่จำนวนมาก

“เกิดอะไรขึ้น” เข็มหันมาทางดารา

“นั่นสิ” ดาราเรศพึมพำ สีหน้าของผู้คนที่มุงกันอยู่หน้าร้านดูไม่ค่อยดีนัก

“ท่าไม่ดีแล้วละ” มีนาพึมพำ และรีบแหวกผู้คนเข้าไปในร้าน นังปูนและนังปีบเห็นเจานายกลับมา ก็รีบวิ่งเข้ามารายงานเหตุการณ์ปากคอสั่น

“แม่หญิง…แย่แล้วหนา”

“อะไร ยังไง” ดาราเรศเหลียวมองไปรอบๆ แล้วก็ต้องตกใจเมื่อเห็นผู้หญิงรูปร่างอ้วนสองสามคนยืนเท้าเอวจ้องมองมาด้วยท่าทางขมึงทึง

“มาแล้วเรอะ แม่หญิงดารา” หนึ่งในนั้นแผดเสียง

“มีอะไรกันหรือจ๊ะ” ดาราเรศรีบเดินเข้าไปหา

“แม่หญิงใช่ไหม ที่ปรุงน้ำปรุง” ผู้หญิงคนเดิมจ้องหน้าดาราเรศ

“ใช่จ้ะ” ดาราเรศถอยหลังไปนิดหนึ่งด้วยท่าทางเตรียมพร้อม “มีอะไรหรือเปล่า”

“มีสิ” ผู้หญิงคนนั้นตะโกนเสียงดัง “ไม่มีจะมาเหรอ…น้ำปรุงของแม่หญิงใช้อะไรทำ ดูสิ…ฉันซื้อไปใช้ นึกว่าจะดี กลับทำให้ผิวไหม้หมดเลย”

“ใช่ๆ” ผู้หญิงคนที่สองเดินเข้ามาร่วมวง “ผิวของฉันก็ไหม้…น้ำปรุงอะไรกันเนี่ย”

“ฉันใช้แล้วคันคะเยอ” ผู้หญิงคนที่สามโวยบ้าง เธอยกแขนที่เกาจนเป็นรอยเล็บมีเลือดออกซิบให้ผู้คนหน้าร้านได้เห็นทั่วกัน “ดูสิจ๊ะ เกาทั้งคืน ไม่ได้หลับไม่ได้นอน เกาจนเนื้อหลุดก็ยังไม่หายคัน น้ำปรุงดอกตำแยหรือเปล่าก็ไม่รู้”

“อ้าว อ้าว” เข็มอดรนทนไม่ไหว เดินเท้าเอวออกมา “พูดแบบนี้หาเรื่องกันหรือไง”

“นั่นสิ” มีนาหน้าคว่ำ “ร้านเราใช้แต่ของดีๆ ไม่มีทางจะเป็นแบบนี้ไปได้”

“แล้วหน้าฉันไหม้ได้ยังไง” ผู้หญิงคนเดิมร้องเสียงดัง

“ใช่” คนที่สองผสมโรง เธอชูแขนขึ้นสูงให้ทุกคนที่มุงดูได้เห็นโดยทั่วกัน “ดูแขนฉันสิทุกคน ทาน้ำปรุงปุ๊บ แสบร้อนยังกับโดนน้ำร้อนลวก ไหม้หมดเลยจ้า”

“ฉันด้วย ฉันด้วย ทั้งแสบ ทั้งคัน โอ๊ย ใครจะช่วยฉันได้ ไม่น่าซื้อน้ำปรุงไปใช้เลย” ผู้หญิงคนที่สามส่งเสียงแหลม ทำท่าเการุนแรงประกอบให้ผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาเห็น “เอาของอะไรมาขายไม่รู้…คนซื้อไปใช้แล้วทั้งไหม้ ทั้งคัน พวกเราอย่าซื้อนะจ๊ะ ของเน่า ของเสีย เอาของไม่ดีมาขาย”

“แล้วจะรับผิดชอบพวกเรายังไง” ผู้หญิงคนแรกร้องถาม

“ใช่” ผู้หญิงคนที่สองย่างสามขุมเข้ามาหาดาราเรศ “จะรับผิดชอบพวกเรายังไง”

“แม่ดารา” เข็มสะกิดเพื่อน “พวกนี้มันจงใจมาแกล้งเราชัดๆ เลย”

“แหงอยู่แล้ว” มีนากำหมัดแน่น ท่าทางของสตรีทั้งสามจงใจมาหาเรื่องชัดๆ “เอาไงดีดารา…ให้ฉันตบพวกมันเลยไหม”

“เดี๋ยวก่อน อย่าเพิ่งตบ…เก็บแรงไว้ก่อน” ดาราเรศรีบห้ามเพื่อน ดวงตาของเธอจ้องมองสตรีทั้งสามด้วยความพินิจพิเคราะห์ ก่อนจะเหยียดมุมปากแล้วแค่นเสียงว่า

“ให้ฉันจัดการพวกนางเอง”

 



Don`t copy text!