คุณหลวงเจ้าขา…ข้ากลัวผี บทที่ 26 : ผีผมจุกแย่แล้ว

คุณหลวงเจ้าขา…ข้ากลัวผี บทที่ 26 : ผีผมจุกแย่แล้ว

โดย : พงศกร

คุณหลวงเจ้าขา…ข้ากลัวผี นวนิยายโรแมนติกคอมเมดี้จากอ่านเอา โดย พงศกร เมื่อวิญญาณของแพทย์หญิงยุคปัจจุบันเข้าไปอยู่ในร่างแม่หญิงแห่งกรุงศรีผู้บอบบางที่มีคนหมั่นไส้ทั้งเมือง เธอจึงต้องลุกขึ้นมาปฏิวัติชีวิตของแม่หญิงคนนี้ให้แข็งแกร่ง ไม่ต้องพึ่งพาผู้ชายคนไหน โดยเฉพาะคุณหลวงกำแหงฤทธิรณ หนุ่มหล่อ…อยุธยาคิ้วต์บอยคนนั้น!

 

“ฉันเองจ้ะพี่เข้ม” เจ้าของเสียงหวานๆนั้นก็คือแม่หญิงแก้ว !

ดวงหน้าสวยหวานของเธอโผล่เข้ามาในสวน แม่แก้วถือวิสาสะเดินเข้ามาโดยไม่มีใครเชิญ ดาราเรศใจหายวาบ เธอหันกลับไปทางเจ้าคุณบิดาก็พบว่าบริเวณที่ท่านยืนอยู่ มีแต่ความว่างเปล่า เจ้าคุณโชดึกราชเศรษฐีไวพอที่จะหลบไปก่อนแม่แก้วจะทันเห็น

“แม่แก้ว…เจ้ามาเรือนหมอพันได้อย่างไร” สามีของหล่อนทักทายอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ขณะที่ดาราเรศลอบถอนใจเบาๆด้วยความโล่งอก

“เจ้าคุณพ่อไม่สบายเจ้าค่ะ” แม่แก้วทำเสียงอ่อน “กินอะไรไม่ได้มาหลายวันแล้ว หมอหลวงมารักษาก็ไม่หาย ได้ยินว่าหมอพันรักษาโรคเก่ง น้องก็เลยมาเชิญพ่อหมอไปรักษาที่เรือน…พี่เข้มล่ะจ๊ะ มาที่นี่ทำไม”

แม่แก้วพูดกับสามีของดาราเรศด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน ไม่แม้แต่จะทักทายแม่หญิงดารา ทำราวกับหล่อนไม่มีตัวตน

“พาแม่ดารามาหาหมอน่ะ” สามีของหล่อนตอบไปแบบนั้น ดาราเรศเลยต้องแกล้งทำเป็นไอออกมาชุดใหญ่ ให้สมบทบาท

“แค่ก แค่ก แค่ก”

“ตายจริง” แม่แก้วปรายสายตามาทางดาราเรศ “ดูอาการหนักมากเลยนะเจ้าคะ แล้วนี่หาหมอเสร็จแล้วหรือยัง”

“เรียบร้อยแล้ว” ออกหลวงหนุ่มตอบ พร้อมกับตัดบทว่า “กำลังจะกลับเรือนกันพอดี”

“ดูเหมือนคุณพี่กำลังคุยกับผู้ใดอยู่” แม่แก้วชะเง้อมองข้ามร่างสูงใหญ่ของคุณหลวงไปทางด้านหลัง

“ฉันกำลังคุยอยู่กับเมีย” เขาเน้นคำว่า ‘เมีย’ จนแม่หญิงแก้วหน้าเสีย

“แต่ที่น้องได้ยิน ไม่ใช่เสียงของแม่ดารา” แม่แก้วหน้าตึง หากยังไม่ยอมแพ้ “เป็นเสียงของผู้ชาย”

“เสียงฉันไง” ดาราเรศดัดเสียงให้ทุ้มต่ำเป็นโทนเสียงของผู้ชาย “ฉันเจ็บคอ เสียงเลยห้าว แม่แก้วเลยเข้าใจผิด”

“แต่เมื่อตะกี้ เสียงแม่ดารายังใสอยู่เลยนี่จ๊ะ” แม่แก้วรุกไล่

“เสียงฉันประเดี๋ยวก็ใส ประเดี๋ยวก็แหบห้าว เป็นโรคประหลาดอะไรก็ไม่รู้” ดาราเรศแกล้งทำเสียงแหลมและเสียงทุ้มต่ำสลับกันไปมา ท่าทางดูน่าขันจนออกหลวงหนุ่มต้องยกมือขึ้นปิดปากตัวเอง เพราะกลัวว่าจะเผลอหัวเราะออกมาให้อีกฝ่ายจับโกหกได้

“พ่อหมอพันยังบอกด้วยนะว่าโรคนี้อาจจะติดต่อไปยังคนอื่นได้” ดาราเรศแกล้งขยอบไปใกล้ๆแม่แก้วและไอออกมาอีกชุดใหญ่ “แค่ก แค่ก”

“ฉันไปละ ขอให้หล่อนหายไวๆก็แล้วกันนะแม่ดารา” แม่แก้วเริ่มกลัว ประกอบกับเห็นท่าทางสองผัวเมียดูประหลาดๆ ท่าทางจะพูดต่อไปไม่รู้เรื่อง เลยถอดใจยอมแพ้ “ไม่เจอหน้ากันหลายวัน ฉันละคิดทึ๊ง คิดถึง…เอาไว้เจ้าคุณพ่ออาการดีขึ้นแล้ว ฉันจะแวะไปหาที่เรือนนะจ๊ะพี่เข้ม”

“ตามใจแม่แก้วสิจ๊ะ” คำตอบองออกหลวงหนุ่มสร้างรอยยิ้มให้ปรากฏบนดวงหน้าของแม่แก้ว ก่อนที่เธอจะเดินจากไปด้วยอาการร่าเริง แม่แก้วไม่วายทิ้งสายตาเยาะหยันมาให้ดาราเรศที่ยืนหน้าคว่ำอยู่ทางด้านหลัง

“โอ๊ย”

เสียงของออกหลวงหนุ่มร้องดังลั่น เมื่อโดนเมียหยิกเข้าที่ต้นแขน

“แม่ดาราหยิกฉันทำไม”

“หมั่นไส้” ดาราเรศทำปากยื่น

“หมั่นไส้อะไรพี่” ออกหลวงหนุ่มยังไม่เข้าใจ

“ตาม-ใจ-แม่-แก้ว-สิ-จ๊ะ” ดาราเรศทำเสียงล้อเลียน “เสียงอ่อนเชียวนะเจ้าคะ”

“อ้อ…หึง” ออกหลวงหนุ่มหัวเราะเบาๆ มีรอยยิ้มอ่อนโยนบนดวงหน้าคมสัน

“บ้า” ดาราเรศเอื้อมมือไปหยิกเขาอีก “ใครหึง หึงอะไรกัน”

“โอ๊ย” ออกหลวงหนุ่มสะดุ้งโหยง “นี่ละหึง”

“ไม่ได้หึง” ดาราเรศเถียง

“หึง” เขาว่า

“ฉันแค่หงุดหงิด” ดาราเรศหน้าคว่ำ “คุณพี่ไปพูดดีกับแม่แก้วทำไม”

“อ้าว ก็เขาบอกว่าจะแวะไปหา พี่ก็ต้องตอบไปตามมารยาท” ออกหลวงหนุ่มยักไหล่ “จะให้ตอบว่าไม่ได้ แม่แก้วห้ามไปเรือนของพี่อย่างงั้นหรือ”

“ฉันไม่ชอบแม่แก้ว” ดาราเรศพึมพำ

“น้ำขุ่นเอาไว้ใน น้ำใสเอาไว้นอก” คุณหลวงสอนเมีย “ถึงแม่ดาราจะไม่ชอบแม่แก้วก็ควรเก็บไว้ในใจ ไม่ควรแสดงออกให้ทุกคนเห็น”

“ทำไม” ดาราเรศเอื้อมมือจะหยิกสามีอีก แต่คราวนี้ออกหลวงเข้มรู้ทัน เลยกระโดดหนี “เป็นห่วงแม่แก้วมากนักหรือไง”

“ใครว่า” ออกหลวงหนุ่มหัวเราะชอบใจ “เป็นห่วงแม่ดาราต่างหาก คนฉลาดเขาต้องไม่แสดงออกให้ศัตรูรู้ว่าเราคิดอย่างไร เข้าใจไหม”

“ไม่เข้าใจ” ดาราเรศแกล้งว่า หากลึกลงไปแล้วเธอรู้สึกว่าออกหลวงหนุ่มมีความคิดลึกล้ำกว่าที่เห็นมากมายนัก

“ก็ไม่ต้องเข้าใจ” คนเป็นสามีว่า “รู้แค่ว่า…พี่เป็นห่วงเจ้าก็พอ…”

 

เมื่อกลับถึงเรือน คุณหลวงแยกตัวไปนั่งทำงานที่หอนั่ง มีเรื่องที่เขาต้องตระเตรียมหลายอย่าง ขณะที่ดาราเรศเตรียมลงครัวเพื่อทำอาหารเย็น

นังแหวนทำท่าทางลับๆล่อๆ ครั้นพอเห็นแม่หญิงดาราเดินแยกจากสามี นางบ่าววิ่งหน้าตาตื่นมาหา พร้อมกับกระซิบเสียงสั่นว่า

“เกิดเรื่องแล้วเจ้าค่ะแม่หญิง”

“เอ็งมีอะไรนังแหวน ค่อยๆพูดค่อยๆจา” ดาราเรศนึกทึ่งกับภาษาของตัวเอง ที่นับวันก็เริ่มเหมือนสาวกรุงศรีอยุธยาเข้าไปทุกที

“ตอนแม่หญิงไม่อยู่ คุณหญิงแป้นย้อนกลับมาอีกครั้ง พาหมอผีมาด้วย” นางแหวนรายงาน

“ยังไม่เข็ดอีกหรือ” ดาราเรศหัวเราะเบาๆ

“คราวนี้เป็นหมอคงเลยนะเจ้าคะ” หมอคงที่แหวนพูดถึง คือหมอผีผู้เชี่ยวชาญด้านวิชาอาคมและเป็นที่เลื่องลือไปทั่วพระนคร “มาถึงหมอก็เดินไปรอบเรือนเราเลยเจ้าค่ะ…ถือหม้อดินมาด้วยใบหนึ่ง ตอนที่พ่อหมอบริกรรมคาถา รอบเรือนเราลมพายุพัดแรงเลยนะเจ้าคะ ฝุ่นปลิวคละคลุ้ง”

แหวนบรรยายจนดาราเรศเห็นภาพ

“เหมือนผีต่อสู้กันเลยเจ้าค่ะ สักพักหมอคงก็หัวเราะชอบใจ พึมพำว่าจับได้แล้ว จากนั้นคุณหญิงกับหมอก็พากันเดินลงเรือนหายไป”

“อะไรนะ” ดาราเรศใจหายวาบ นึกถึงหนูยอดในทันทีนั้น

ร่างโปร่งบางผุดลุกขึ้นทันใด เธอร้องเรียกหนูยอดในใจด้วยความร้อนรน

…หนูยอด หนูยอด อยู่ที่ไหน ออกมาหาน้าหน่อย…

เงียบ

ไม่มีเสียงตอบรับจากเลขหมายปลายทางที่ท่านเรียก

…หนูยอด น้ามีขนมต้มให้ในครัวด้วยนะ อยู่ที่ไหน ออกมาหาหน่อย…

ดาราเรศใจหายวาบ รู้สึกขึ้นมาในตอนนั้นเองว่า ตั้งแต่กลับมาถึง…เรือนทั้งเรือนมีแต่ความเงียบ…เงียบจนสงัด…

…แม่ศรีเจ้าคะ…แม่ศรีอยู่หรือเปล่า…

เงียบ

ไม่มีคำตอบจากแม่ศรีผู้ปกปักรักษาเรือนเช่นกัน

เวรละ สงสัยโดนจับแล้วไปทั้งคู่…

“แหวน…” ดาราเรศหันไปทางทางบ่าว “ตอนหมอเขมรลงจากเรือนไป เขาพูดว่าอะไรนะ…บอกให้ฉันฟังอีกทีสิ”

“หมอพูดว่าจับได้แล้ว” แหวนตอบด้วยท่าทางงุนงง

“เวรละ” ดาราเรศอุทานออกมาดังๆ แน่นอนว่าทั้งหนูยอดและแม่ศรีโดนไอ้หมอผีจับไปเรียบร้อยแล้ว

“เวรอะไร ยังไงเจ้าคะ” แหวนใจเต้นตึ้กตั้ก พอจะรู้อยู่หรอกว่ามีผีเด็กผมจุกอยู่ในเรือน เคยเห็นแวบๆด้วยหางตา แถมบางครั้งยังเคยโดนแกล้งดึงโจงกระเบนอีกด้วย

“หมอเอาหม้อดินไปไหน”

“ไม่รู้สิเจ้าคะ” แหวนส่ายหน้าดิก “คงเอาไปถ่วงน้ำที่ไหนสักแห่ง”

“โธ่…แล้วจะทำยังไงดี” ดาราเรศถอนใจ

“ถ่วงน้ำยังดีนะเจ้าคะ” แหวนเล่าต่อ “หมอผีบางคนที่เหี้ยมโหดหน่อย ก็จะบังคับผีที่จับได้ให้เป็นบริวาร ส่งไปทำร้ายผู้คน”

“ไปกันแหวน” ดาราเรศผุดลุกขึ้น ข้าวปลาอาหารไม่ต้องทำมันแล้ว ยังไงวันนี้คุณหลวงหาอะไรง่ายๆกินไปก่อนนะเจ้าคะ

“ไปไหนเจ้าคะ” แม้แหวนจะสงสัย แต่ก็วิ่งตามผู้เป็นนายไปแต่โดยดี

“ไปหาหมอคง” ดาราเรศพูดทั้งที่ไม่รู้ว่าหมอคงอยู่ที่ไหน “ฉันจะไปเอาหม้อดินคืนมา”

“หมออาจจะถ่วงน้ำไปแล้วนะเจ้าคะ” แหวนว่า

“ก็งมเอาขึ้นมา” ดาราเรศเม้มริมฝีปากแน่น

“งมยังไงล่ะเจ้าคะ” แหวนเกาศีรษะแกรก “หมอเอาไปถ่วงที่ไหนยังไม่รู้เลย แม่น้ำลำคลองของพระนครศรีอยุธยามีเป็นร้อยสาย จะไปตามหายังไงล่ะเจ้าคะ”

“ไม่รู้เหมือนกัน” ดาราเรศส่ายหน้า “ฉันว่าเราต้องตามไปที่หมอคงก่อน สืบให้รู้ว่าหมอเอาหม้อดินถ่วงน้ำไปแล้วหรือยัง ถ้าถ่วงแล้ว ถ่วงแถวไหน…จากนั้นค่อยหาทางช่วยอีกที”

“ช่วยอีกที ช่วยใครเจ้าคะ” แหวนหยุดวิ่ง เธอดึงมือเจ้านายให้หันกลับมา “แม่หญิงบอกแหวนมาเสียดีๆ ทำไมต้องเดือดร้อนขนาดนี้…เล่ามาให้หมด”

“ตกลงใครเป็นนาย ใครเป็นบ่าวกันแน่” ดาราเรศขึ้นเสียง

“ไม่รู้ละ” แหวนได้ที “ถ้าจะให้แหวนช่วย แม่หญิงต้องเล่ามาให้หมดว่าหม้อดินนั้นสำคัญอย่างไร ทำไมเราต้องตามเอากลับมาด้วย”

“เฮ้อ…” ดาราเรศถอนใจยาว ก่อนจะตัดสินใจเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้แหวนฟัง ตั้งแต่ไปดูศพของหนูยอด และผีเด็กเลยตามกลับมา

“มิน่าล่ะ บ่าวไพร่บนเรือนมันถึงว่าได้ยินเสียงเด็กวิ่งอยู่บ่อยๆ ที่แท้เป็นกุมารของแม่หญิงน่ะเอง”

แหวนพยักหน้าด้วยความเข้าใจ คนอยุธยากับเรื่องผีไม่ใช่อะไรที่เข้าใจยาก หากเล่าเรื่องเดียวกันให้คนในยุคปัจจุบันฟัง เขาคงหาว่าเธอเพ้อเจ้อ

ที่จริงดาราเรศจะไม่สนใจ ปล่อยให้หมอผีจับหนูยอดกับแม่ศรีไปเสียก็ได้ แต่หลายวันที่อยู่กันมา เธอและผีเด็กเริ่มมีความผูกพันกันมากขึ้นเรื่อยๆ

จะว่าไปหนูยอดนับว่าเป็นผีที่ดี ไม่เคยหลอกหลอนให้เธอหวาดกลัว อาจจะมีบ้างก็คือความงอแงตามประสาเด็ก แต่พอได้กินขนมถูกใจก็หาย ที่สำคัญคือหนูยอดคอยช่วยเหลือเธอมาตลอด หลายครั้งที่เธอตกอยู่ในอันตราย รอดมาได้ก็เพราะผีผมจุกนี่ละ

ดังนั้น เมื่อหนูยอดกำลังเดือดร้อน เธอก็ต้องหาทางช่วยให้จงได้

 

การติดตามหาหนูยอดและแม่ศรี เริ่มต้นจากตามไปที่เรือนของหมอคง ซึ่งอยู่นอกเมืองไกลออกไปแถวเพนียดคล้องช้าง

เวลาพายเรือนานเกือบหนึ่งชั่วโมง ตอนที่ดาราเรศกับแหวนไปถึงนั้นตะวันชิงพลบแล้ว บรรยากาศรอบกายสงัดวังเวงราวกับอยู่คนละโลก

ที่พำนักของหมอคงเป็นเรือนใต้ถุนสูง สร้างด้วยไม้ไผ่เก่าๆผูกเข้าด้วยกันแบบง่ายๆ ตามแบบฉบับของเรือนเครื่องผูกที่คนอยุธยานิยมกันในเวลานั้น มีแสงตะเกียงจุดเอาไว้วับๆแวมๆ เมื่อเดินเข้าใกล้ บรรยากาศยิ่งเย็นยะเยือกจนดาราเรศขนลุก

“มะ แม่หญิง” แหวนเอื้อมมือมาสะกิดนาย “กะ กลับกันไหมเจ้าคะ เอาไว้ค่อยมาใหม่”

“ไม่” ดาราเรศส่ายหน้า “มาจนถึงที่แล้ว ยังไงฉันต้องได้คำตอบ”

“ตะ แต่” แหวนเสียงสั่น

“ถ้าหล่อนกลัวก็รออยู่ตรงนี้ ฉันไปเอง” ดาราเรศชี้ไปที่ห่อสัมภาระที่นางแหวนแบกมาด้วย “ส่งกำปั่นเงินมานี่”

“จะแบกมาทำไมก็ไม่รู้” แหวนพึมพำ “หนักออกจะตาย”

“เหอะน่ะ” ดาราเรศยักคิ้วให้นางบ่าว “เดี๋ยวก็รู้ ถ้าหล่อนกลัวก็ส่งกำปั่นมา แล้วรอฉันอยู่ตรงนี้ละ…ฉันไปคนเดียวก็ได้”

“บ่าวไปด้วยเจ้าค่ะ เป็นไงเป็นกัน” แหวนเป็นห่วงเจ้านาย เพราะกำปั่นเงินที่แม่หญิงดารากำชับให้แบกมาด้วย ถึงจะเป็นกำปั่นขนาดเล็กสุด แต่ก็บรรจุเงินจำนวนไม่น้อย จึงมีน้ำหนักไม่ใช่เล่น

รวบรวมความกล้า เดินนำหน้าแหวนไปยังเรือนที่อยู่ใต้ต้นไทรใหญ่ที่มีรากอากาศห้อยย้อยปกคลุมราวกับเป็นม่าน

“มาหาใคร”

เสียงทุ้งก้องเป็นกังวานดังมาจากชั้นสองของเรือน ก่อนที่ชายคนหนึ่งจะโผล่หน้าออกมา

ดาราเรศจ้องมองชายหนุ่มรูปร่างล่ำสัน ดวงหน้าคมสัน ไว้ผมยาว มุ่นเป็นมวยไว้ที่ท้ายทอย ท่อนล่างของชายหนุ่มนุ่งโจงขาว ท่อนบนเปลือยเปล่าเผยให้เห็นแผงอกล่ำสัน มีสร้อยประคำสวมรอบคอ

“มาหาหมอคงเจ้าค่ะ” ดาราเรศตอบเสียงหนักแน่น

“ฉันนี่ละ หมอคง” ชายหนุ่มวัยไม่เกินสามสิบตอบ ขณะที่ดาราเรศได้แต่จ้องมอง พร้อมกับอ้าปากค้าง

“หา…พ่อคือหมอคงหรือจ๊ะ” ดาราเรศกะพริบตาปริบๆ

หล่อมากกกกก…ดาราเรศกลืนน้ำลายเอื๊อก…ไม่เห็นจะเหมือนหมอผีที่เธอจินตนาการเลยสักนด

“ใช่” หมอคงว่า “มีธุระอะไรก็ว่ามา”

ดาราเรศยังไม่อาจละสายตาไปจากหมอผีหนุ่มได้ เธอพึมพำในใจว่า

อุ๊ต่ะ…พระนครศรีอยุธยานี่ มีคิวต์บอยเยอะจริงๆ…

 



Don`t copy text!