คุณหลวงเจ้าขา…ข้ากลัวผี บทที่ 28 : รมณ์เสีย !

คุณหลวงเจ้าขา…ข้ากลัวผี บทที่ 28 : รมณ์เสีย !

โดย : พงศกร

คุณหลวงเจ้าขา…ข้ากลัวผี นวนิยายโรแมนติกคอมเมดี้จากอ่านเอา โดย พงศกร เมื่อวิญญาณของแพทย์หญิงยุคปัจจุบันเข้าไปอยู่ในร่างแม่หญิงแห่งกรุงศรีผู้บอบบางที่มีคนหมั่นไส้ทั้งเมือง เธอจึงต้องลุกขึ้นมาปฏิวัติชีวิตของแม่หญิงคนนี้ให้แข็งแกร่ง ไม่ต้องพึ่งพาผู้ชายคนไหน โดยเฉพาะคุณหลวงกำแหงฤทธิรณ หนุ่มหล่อ…อยุธยาคิ้วต์บอยคนนั้น!

ดาราเรศหลับตาพริ้ม เผยอริมฝีปากบางราวกลีบกุหลาบรอรับจูบจากอยุธยาคิ้วต์บอย มือข้างหนึ่งพยายามเหนี่ยวคอเขาให้เข้ามาใกล้ๆ หากรออยู่นานก็ไม่เห็นเขาจะจูบหล่อนเสียที

ยังไม่ทันจะได้ลืมตาอ้าปากถามไถ่ว่าเกิดอะไรขึ้น ร่างสูงใหญ่ก็ล้มคว่ำหน้าลงมาบนเตียงเสียก่อน ออกหลวงเข้มนอนทับร่างแบบบางของหล่อนจนขยับไม่ได้

“คะ คุณพี่” ดาราเรศพยายามผลักร่างของออกหลวงหนุ่มออกด้วยความยากลำบาก ครั้นพอดันตัวของเขาให้หงายหน้าได้ ก็พบว่าออกหลวงหนุ่มเมาหลับไปเรียบร้อยแล้ว แถมยังกรนเบาๆด้วยท่าทางมีความสุขอีกต่างหาก

รมณ์เสีย !

ดาราเรศถอนใจยาว นึกว่าจะได้เข้าหอกันเสียแล้ว อีตาคุณหลวงดันเมาหลับไปเสียก่อน

แต่จะว่าไปจะโทษใครได้ เป็นฝีมือหล่อนเองใช่หรือ

เอาเถอะ…สัญญาว่าหนหน้าจะไม่ใส่เหล้าหนักมือเหมือนอย่างหนนี้ ดาราเรศพึมพำกับตัวเอง ก่อนจะทิ้งตัวลงนอนข้างๆสามี แล้วหลับสนิทไปอย่างรวดเร็ว…

 

เป็นค่ำคีนที่นอนหลับฝันดีอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ดาราเรศรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาอีกทีก็เมื่อท้องฟ้าสว่างรำไร นกกาออกหากินส่งเสียงร้องแว่วมาให้ได้ยินเป็นระยะ กรุ่นหอมของดอกไม้จากในสวนอวลอยู่ในอณูอากาศ

ปกตินังแหวนจะต้องมาปลุกให้ไปใส่บาตรทุกเช้า หากวันนี้นางบ่าวกลับไม่โผล่หน้ามาให้เห็น ท่าทางคงจะยังไม่ตื่นนอน ดาราเรศบิดกายไล่อาการเมื่อยขบ ครั้นพอพลิกตัวตะแคงไปด้านข้างก็ต้องตกใจ เมื่อหน้าเกือบชนเข้ากับดวงหน้าหล่อๆของใครคนหนึ่งที่กำลังนอนมองเธออยู่

“ตื่นแล้วรึ แม่ดารา” เสียงทุ้มๆเอ่ยทักทาย

“คุณหลวง” ดาราเรศร้องตกใจ “มานอนอยู่ตรงนี้ได้อย่างไรเจ้าคะ”

“อ้าว…ก็เมื่อคืนฉันเป็นคนพาหล่อนมาส่งที่ห้องนอนยังไงล่ะ” ออกหลวงหนุ่มหัวเราะหึๆ ไรหนวดสีเขียวอ่อนจางเหนือริมฝีปากสีแดง ขับให้ดวงหน้าของเขายิ่งเข้มคมสัน “เมาจนจำอะไรไม่ได้เลยรึ”

ตายแล้ว !

ดาราเรศก้มลงมองท่อนล่างของตัวเอง ครั้นเมื่อพบว่าทุกอย่างยังอยู่เรียบร้อยดี ผ้านุ่งทุกชิ้นยังอยู่ในที่ในทางที่ควรจะเป็น ไม่มีชิ้นส่วนใดบุบสลาย ก็ถอนใจออกมาอย่างโล่งอก

อะไร อย่างไร มายังไง ไปยังไง…หัวสมองของเธอกำลังหมุนติ้ว ดาราเรศพยายามนึกทบทวนเหตุการณ์ต่างๆ และค่อยๆนึกออกในที่สุดว่าเกิดอะไรขึ้น

“ว่าไง จำได้ไหม” ออกหลวงถามเสียงยั่วเย้า

“จำไม่ได้” หล่อนรีบตอบเสียงแข็ง

“มา” เขาขยับเข้าใกล้ดวงหน้าสวยหวานของแม่หญิงดารา “งั้นพี่จะช่วยทบทวนความทรงจำให้เอง”

“บ้า” ดาราเรศผลักเขาออกห่าง “อย่ามาทำรุ่มร่ามนะเจ้าคะ ไม่อายผีสางเทวดาบ้างหรืออย่างไร”

“ไม่อาย” ออกหลวงหนุ่มทำหน้าตาย “ผัวเมียเขาจะรักกัน ไม่เห็นเป็นไร”

“คุณหลวงไม่อาย แต่ฉันอาย” ดาราเรศหยิกแขนออกหลวงเข้มเต็มแรง

“โอ๊ย” สามีของเธอร้องเสียงหลง “ตอนนี้มาทำเป็นอาย ทีเมื่อคืนหล่อนยังเป็นคนเหนี่ยวคอฉัน ให้มาจูบหล่อนเลย”

“บ้า” ดาราเรศร้องเสียงหลง “ใครจะทำยังงั้น”

“หล่อนนั่นแหล่ะทำ” เขาว่า

“ไม่ได้ทำ” เธอเถียง

“ทำ” เขาไม่ยอมแพ้

“ไม่ได้ทำ” เธอไม่ยอมแพ้เหมือนกัน

“อ้ะ…ไม่ได้ทำก็ไม่ได้ทำ เฮ้อ…ตกลงหล่อนจำไม่ได้จริงๆเสียด้วย” เขาหัวเราะชอบใจ

“ไม่เอาละ ไม่พูดด้วยแล้ว” ดาราเรศผุดลุกขึ้นจากเตียง “คุณพี่ต้องรีบไปทำงานไม่ใช่หรือ มัวนอนอยู่แบบนี้เดี๋ยวก็ไปไม่ทันหรอก”

“ยังมีเวลา” เขาว่า

“รีบลุกได้แล้ว เร็วๆ อย่าขี้เกียจ” ดาราเรศพยายามดึงให้คนตัวโตลุกจากที่นอน หากร่างของเขาไม่ขยับเขยื้อน

“ไม่” เขาส่ายหน้า

“คนอะไร ตัวหนักอย่างกับภูเขา ลุกเลยนะคุณหลวง” ดาราเรศพึมพำ

“ไม่เอา ยังไม่อยากลุก” เขาทำเสียงอ้อน “มาให้ผัวกอดหน่อย”

“ไม่”

“ใจร้าย” เขาตัดพ้อ

“อยากนอน งั้นก็นอนต่อไปคนเดียวแล้วกัน” ดาราเรศแกล้งทำใจแข็ง ทั้งที่ใจจริงก็แอบอยากกอดเขาอยู่เหมือนกัน “ฉันไปเตรียมอาหารเช้าให้คุณพี่ดีกว่า”

เดี๋ยวเรียกคุณหลวง เดี๋ยวเรียกคุณพี่ สรรพนามที่ดาราเรศเรียก สามีเปลี่ยนไปเรื่อยๆตามอารมณ์ หวังว่าเขาคงไม่ได้สังเกต

โดยไม่รอคำตอบของออกหลวงกำแหงฤทธิรณ ดาราเรศเดินดุ่มๆออกจากห้องไปล้างหน้าล้างตา แล้วลงไปที่ห้องครัวเพื่อเตรียมอาหารเช้าให้เขา รู้สึกถึงสายตาแปลกๆของบรรดาบ่าวไพร่ที่มองมา ก่อนจะหันไปป้องปากหัวเราะกันคิกคัก

“นังพวกนั้นมันหัวเราะอะไรกัน” ดาราเรศหันไปทางนังแหวน

“ก็…แหม…” นังแหวนพลอยหัวเราะไปด้วยอีกคน “ทุกคนรู้สึกตื่นเต้นดีใจที่เมื่อคืนคุณหลวงมาค้างห้องแม่หญิงนะสิเจ้าคะ”

“แล้วยังไง” ดาราเรศยังตามความคิดของบ่าวไม่ทัน

“ก็แม่หญิงลุกขึ้นมาทำอาหารแต่เช้า” แหวนเล่นหูเล่นตา “ไม่เหนื่อย ไม่พลียรึเจ้าคะ ถ้าเหนื่อยให้แหวนทำแทนก็ได้นะเจ้าคะ”

“เหนื่อยอะไร เพลียอะไร” ดาราเรศนิ่วหน้า

“ก็แบบว่า…เมื่อคืนที่ผ่านมา…คุณหลวงกับแม่หญิง…แบบนี้กันอ่ะเจ้าค่ะ” นังแหวนเอามือสองข้างประกบกัน ขยับไปมา

“บ้า” ดาราเรศหน้าแดง เธอเอื้อมมือไปตีไหล่นังบ่าวเสียงดังเพียะ “ไม่ได้เป็นอย่างที่หล่อนคิดสักหน่อย”

“อ้าว” นังแหวนมีสีหน้าผิดหวัง “ยังไง ทำไม ถึงไม่เป็นแบบนั้นล่ะเจ้าคะ”

“โอ๊ย” ดาราเรศแกล้งเอ็ด “หล่อนจะซักจะถามอะไรนักหนานะ มีอะไรก็ไปทำไป๊”

“เจ้าค่ะ” ไม่ใช่แค่นังแหวนเท่านั้น หากบ่าวทั้งครัวพร้อมใจกันขานรับคำสั่งของแม่หญิงผู้เป็นนายโดยพร้อมเพรียงกัน…

 

ล่วงมาถึงวันนี้ บ่าวที่ดาราเรศส่งไปสังเกตการณ์กลับมารายงานว่า สถานการณ์ท้องร่วงระบาดที่ป่าผ้ายังไม่ดีนัก วันนี้ร้านค้าทั้งหลายจึงพร้อมใจกันปิดกิจการต่อ ดาราเรศจึงพอจะมีเวลาเป็นส่วนตัว

รอจนกระทั่งสามีออกไปทำงานเรียบร้อย หญิงสาวจึงจัดแจงแต่งตัว ลงเรือไปเยี่ยมท่านเจ้าคุณโชดึกฯ ที่เรือนหมอพัน

ท่านเจ้าคุณบิดารักษาตัวอยู่ที่นั่นมาเป็นสัปดาห์แล้ว อาการดีขึ้นเรื่อยๆจนเกือบจะหายเป็นปกติ ล่าสุดหมอเริ่มลดยาลง และท่านเจ้าคุณวางแผนจะกลับไปทำงานเร็วๆนี้ หากสามีของเธอห้ามเอาไว้ ด้วยยังไม่อยากให้ใครรู้ว่าท่านเจ้าคุณอาการหายเป็นปกติแล้ว

‘อาห่วงงาน ป่านนี้พวกพ่อค้าญี่ปุ่นจะวุ่นวายอย่างไรบ้างแล้วก็ไม่รู้’ ท่านเจ้าคุณบ่นเมื่อครั้งสุดท้ายที่ได้พบหน้ากัน

‘พวกญี่ปุ่นยังเงียบๆอยู่ขอรับ อีกอย่าง…งานของท่านเจ้าคุณมีลูกน้องทำแทนอยู่แล้ว คุณพระชาญพาณิชย์ ผู้ช่วยของท่านเจ้าคุณก็คล่องตัวดีอยู่ ทำแทนท่านเจ้าคุณได้แทบทุกเรื่อง พระเจ้าอยู่หัวเองก็ทรงทราบว่าท่านเจ้าคุณป่วย แถมยังมีรับสั่งให้รักษาตัวจนหายดีเสียก่อน ดังนั้น กระผมว่าไม่มีอะไรจะต้องเป็นห่วงเลยนะขอรับ’ ออกหลวงผู้เป็นบุตรเขยว่า

‘ลูกเห็นด้วยนะเจ้าคะ’ ดาราเรศออกความเห็น ‘ช่วงนี้ยังไม่มีใครรู้ว่าเจ้าคุณพ่อดีขึ้นแล้ว และไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเจ้าคุณพ่ออยู่ที่ไหน ลูกคิดว่านี่เป็นโอกาสอันดีที่จะสืบหาตัวคนร้ายที่วางยาเจ้าคุณพ่อ เพราะอีกไม่นานพวกมันจะต้องร้อนตัวจนต้องเปิดเผยโฉมหน้าออกมาให้เราเห็นแน่ๆ’

‘ตกลง’ ออกญาโชดึกฯพยักหน้า ยอมรับปากลูกสาวและลูกเขย ‘พ่อจะอดทนรออย่างที่ลูกว่า’

ตอนที่หล่อนไปถึงท่าน้ำเรือนหมอพันนั้น ที่เรือนของพ่อหมอกำลังเกิดเรื่องโกลาหลอยู่พอดี ดาราเรศได้ยินเสียงเอะอะโวยวาย และเห็นชายฉกรรจ์จำนวนมากยืนกระจายตัวกันอยู่ทั่วบริเวณ สังเกตจากผ้านุ่งของคนพวกนั้นเหมือนจะเป็นขุนนางสังกัดกรมเวียง หาใช่สามัญชนคนธรรมดาไม่

หมอพันกำลังยืนถกเถียงกับใครบางคนอยู่ด้วยท่าทางหน้าดำคร่ำเคร่ง ครั้นเมื่อใครคนนั้นหันมาเห็นดาราเรศเข้า ก็เดินตรงเข้ามาหาทันที

“นังดารา”

“คุณหญิงเนียน” ดาราเรศใจหายวาบ แม่เลี้ยงของหล่อนนั่นเอง

ทางด้านหลังนั้น ทั้งแม่ดวงจันทร์และแม่เดือนมากันพร้อมหน้า พวกนางคงรู้แล้วว่าท่านเจ้าคุณโชดึกฯรักษาตัวอยู่ที่นี่

“ในที่สุดฉันก็รู้ว่าหล่อนเอาท่านเจ้าคุณมาซ่อนไว้ที่เรือนหมอพัน” คุณหญิงเนียนหัวเราะอย่างผู้มีชัย “ร้ายมากนะยะ…ฉันส่งคนตามหาตัวท่านเจ้าคุณไปทั่ว ไปถึงหัวเมืองเหนือ หัวเมืองใต้ หัวเมืองตะวันออกตะวันตก ไม่นึกเลยว่าที่จริงหล่อนเอาท่านเจ้าคุณมาซ่อนอยู่ที่ปลายจมูกของฉันแค่นี้เอง…เป็นยังไง งงเลยละสิ ไม่คิดว่าฉันจะสืบจนพบใช่ไหม”

คุณหญิงเนียนไม่รอให้ดาราเรศได้ตอบโต้อะไร เธอหันไปทางชายฉกรรจ์ที่พามาด้วย และออกคำสั่งว่า

“ขึ้นไปค้นเรือนให้ทั่ว ฉันมั่นใจว่าท่านเจ้าคุณอยู่ที่นี่”

“ไม่ได้” หมอพันยืนขวางเอาไว้ “นี่เป็นเขตเรือนของฉัน ถ้าพวกแกขึ้นไป ฉันจะถือว่าบุกรุก”

“ถ้าพ่อหมอไม่ให้คนของฉันขึ้นไป ฉันถือว่าขัดขวางการทำงานของทางการ” คุณหญิงเนียนถือไพ่เหนือกว่า “ค้นเลยเจ้าค่ะคุณหลวง”

“ไม่ได้” หมอพันยังไม่ยอมถอย

“ทำไมจะไม่ได้ พ่อหมอไม่รู้จักออกหลวงพิชิตเมืองหรือ”

คุณหญิงเนียนหันไปทางชายวัยกลางคนที่ถือดาบในมือ ท่าทางของเขาดูจะเป็นหัวหน้ากลุ่มชายฉกรรจ์เหล่านั้น

“ออกหลวงพิชิตเมือง” ดาราเรศพึมพำ ไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน

“ออกหลวงพิชิตเมือง เป็นลูกน้องคนสนิทของออกญาเสนาเมือง เจ้าคุณบิดาของแม่หญิงแก้วเจ้าค่ะ” แหวนกระซิบบอกผู้เป็นนาย “ออกญาเสนาเมืองมีหน้าที่ดูแลเรื่องการจัดกำลังไพร่พลของพระนครศรีอยุธยา…ในหลวงพระราชทานอำนาจให้คนของออกญาเสนาเมือง สามารถตรวจค้นเรือนของทุกคนได้ ไม่ว่าคนผู้นั้นจะเป็นขุนนางยศใหญ่แค่ไหน”

แม่หญิงแก้ว…

ดาราเรศพยักหน้ากับตนเอง มือสองข้างกำแน่นด้วยวามเจ้บใจ…เมื่อวานนี้แน่ๆ ที่เจอกันโดยบังเอิญที่เรือนหมอพัน นังแม่หญิงแก้วจะต้องทันเห็นเจ้าคุณพ่อของเธอ และคาบข่าวไปบอกคุณหญิงเนียน ไม่อย่างนั้นสามแม่ลูกจะบุกมาถึงเรือนหมอพันได้อย่างไร

“ขอฉันขึ้นไปดีๆเถอะนะพ่อหมอ” ออกหลวงพิชิตเมืองเอ่ยเสียงราบเรียบ “ถ้าพ่อหมอไม่ยอมให้ความร่วมมือ ถ้าคนของฉันพบตัวออกญาโชดึกราชเศรษฐีอยู่ที่นี่ละก็…พ่อหมออาจจะมีความผิดฐานกักขังหน่วงเหน่ยวเพิ่มอีกกระทงก็เป็นได้”

หมอพันหันมาทางดาราเรศ ส่งสายตาเป็นทำนองปรึกษาว่าจะทำอย่างไรดี ดาราเรศเองไม่อยากให้คนของคุณหญิงเนียนเจอตัวท่านเจ้าคุณบิดา หากถึงขนาดนี้แล้วคงไม่มีทางห้ามคนของออกญาเสนาเมืองได้

ไม่เป็นไร…ดาราเรศพยักหน้า…ค้นก็ค้นไป ถ้าพวกมันเจอตัวท่านเจ้าคุณบิดา ค่อยหาทางแก้ปัญหาเฉพาะหน้ากันอีกที

คนของออกญาเสนาเมืองไม่สนใจว่าจะมีคนไข้มารอตรวจกับหมอพันมากมายหลายสิบ พวกเขาเดินค้นไปตามห้องต่างๆอย่างละเอียด หากหาไม่พบว่าท่านเจ้าคุณโชดึกฯซ่อนตัวอยู่ที่ไหน

“ค้นดีแล้วหรือ” ออกพระพิชิตเมืองตวาดลูกน้อง ก่อนจะหันไปทางคุณหญิงเนียนอย่างจะสอบถาม เพราะก่อนจะมาที่นี่ คุณหญิงยืนยันหนักแน่นว่ามีคนเห็นท่านเจ้าคุณอยู่ที่เรือนหมอพัน

“ค้นดีแล้วขอรับ” ลูกน้องของออกพระพิชิตเมืองตัวสั่น

“ยังค้นไม่หมด” เสียงใสๆของสตรีผู้หนึ่งดังขึ้น ไม่ต้องหันไปมองดาราเรศก็จำได้ว่าเป็นเสียงของแม่หญิงแก้ว

“หมายความว่ายังไง แม่แก้ว” แม่ดวงจันทร์หันไปทางเพื่อนสนิทที่มาปากฏตัวโดยกะทันหัน

“ท้ายเรือนหมอพัน ยังมีกระท่อมเล็กๆปลูกซ่อนอยู่กลางสวน” แม่แก้วเอ่ยเสียงเยียบเย็น ดวงตาที่มองมายังดาราเรศเต็มไปด้วยความสาแก่ใจ “ลองไปค้นที่นั่นดูสิ”

“ไปไม่ได้”

“อย่านะ”

ทั้งดาราเรศและหมอพันร้องขึ้นพร้อมกัน

“ท้ายสวนมีคนไข้เป็นโรคติดต่อ ฉันแยกเอาไปกักตัวไว้ที่นั่น” หมอพันรีบอธิบาย หากท่าทางกลับมีพิรุธ เสียงสั่น ท่าทางดูไม่หนักแน่นเหมือนเดิม “พวกท่านอย่าไปเลย…อันตราย ฉวยติดโรคขึ้นมาจะเดือดร้อน”

“ฉันไม่กลัว” ออกพระพิชิตเมืองหัวเราะเบาๆ ยิ่งหมอพันแสดงพิรุธให้เห็น นั่นยิ่งทำให้เขามั่นใจว่าคนที่กำลังติดตามหาอยู่ที่นั่นแน่นอน “ไปโว้ยพวกเรา”

ออกพระพิชิตเมืองหันไปโบกมือให้ลูกน้อง ก่อนจะเดินนำหน้าไปตามทางเดินคดเคี้ยวอย่างรวดเร็ว โดยมีทุกคนตามไปติดๆ

มีกระท่อมหลังเล็กอยู่ที่ท้ายสวนจริงๆอย่างที่แม่แก้วว่า และที่หลังกระท่อมมีราวตากผ้า บนนั้นมีผ้าตากอยู่สองสามผืน ดาราเรศใจหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม เพราะจำได้แม่นว่านั่นเป็นผ้านุ่งของบิดา

“ใครอยู่ในนั้น” ออกพระพิชิตเมืองตะโกนถาม หากทุกอย่างเงียบสนิท ไม่มีเสียงตอบ

ออกพระวัยกลางคนกุมดาบในมือมั่น หันไปพยักหน้าให้ลูกน้องที่ยืนระวังอยู่ทางด้านหลัง และออกคำสั่งว่า

“พวกมึง…พังประตูเข้าไปเลย”

 



Don`t copy text!