คุณหลวงเจ้าขา…ข้ากลัวผี บทที่ 9 : จ๊ะเอ๋

คุณหลวงเจ้าขา…ข้ากลัวผี บทที่ 9 : จ๊ะเอ๋

โดย : พงศกร

คุณหลวงเจ้าขา…ข้ากลัวผี นวนิยายโรแมนติกคอมเมดี้จากอ่านเอา โดย พงศกร เมื่อวิญญาณของแพทย์หญิงยุคปัจจุบันเข้าไปอยู่ในร่างแม่หญิงแห่งกรุงศรีผู้บอบบางที่มีคนหมั่นไส้ทั้งเมือง เธอจึงต้องลุกขึ้นมาปฏิวัติชีวิตของแม่หญิงคนนี้ให้แข็งแกร่ง ไม่ต้องพึ่งพาผู้ชายคนไหน โดยเฉพาะคุณหลวงกำแหงฤทธิรณ หนุ่มหล่อ…อยุธยาคิ้วต์บอยคนนั้น!

ออกหลวงหนุ่มพิจารณาบาดแผลหน้าท้องของหนูยอด และพบว่าขอบของแผลเป็นรอยเรียบเหมือนถูกมีดผ่าจริงดังที่แม่หญิงดาราว่า

หากเป็นฝีมือของผีปอบจริงๆ ขอบของแผลน่าจะรุ่งริ่ง เพราะผีปอบใช้มือฉีกหน้าท้องของเหยื่อ

นอกจากแผลที่มีขอบเรียบผิดสังเกตแล้ว ยังจะอวัยวะภายในที่ถูกปอบควักออกไปนั่นก็อีก ดูแล้วขอบแผลเรียบร้อยเหมือนคนร้ายใช้ของมีคมตัดออกไปเช่นกัน

“แผลแบบนี้…ผีปอบคงใช้มีดตัดไปแน่ๆ…คุณพี่คิดเหมือนฉันไหมเจ้าคะ” แม่หญิงดาราพูดเหมือนที่เขาคิดพอดี ดวงตาคู่คมของคุณหลวงจ้องมองเมียอย่างจับสังเกต ดาราเรศไม่ทันเห็นสายตาทำนองนั้น เพราะกำลังสนใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นตรงหน้า หัวคิ้วเรียวยาวของเธอขมวดมุ่น สัญชาตญาณของหมอนิติเวชกำลังทำงานอย่างหนัก

ดาราเรศมองดูร่างของเด็กชายผมจุกด้วยความสงสาร ยังเด็กอยู่แท้ๆ ไม่น่าต้องมาตายไปแบบนี้เลย ทุกครั้งที่เธอต้องตรวจศพเด็กที่เสียชีวิต แพทย์หญิงดาราเรศจะจิตตกทุกครั้ง เธอคิดว่าเด็กทุกคนควรจะได้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ดีในวันข้างหน้า

“พี่อาจ” ออกหลวงกำแหงฤทธิรณไม่ตอบคำถามของแม่หญิงดารา ร่างสูงใหญ่หันไปหาขุนนางรุ่นพี่ พร้อมกับอธิบายให้อีกฝ่ายดูบาดแผลบนหน้าท้องของบุตรชาย ก่อนจะสรุปด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “เรื่องนี้มีเงื่อนงำ…พี่อย่าเพ่อนำศพไปวัด ฉันอยากขอตรวจศพของหนูยอดให้ละเอียดกว่านี้ก่อน จะได้ไหม”

“ตกลง” ออกพระอาจอาสาแค่นเสียง เขากัดกรามแน่นเพื่อสะกดกลั้นน้ำตาลูกผู้ชาย “พ่อเข้มเอาร่างหนูยอดไปตรวจได้เลย…เสร็จเรียบร้อยแล้วฉันค่อยไปรับกลับมาทำพิธี”

“ขอบใจพี่มาก ฉันสัญญาว่าจะจับผีปอบที่ฆ่าหนูยอดให้ได้” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงซาบซึ้ง ก่อนจะหันไปสั่งบ่าวของออกพระอาจอาสาที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ให้ห่อร่างของเด็กชายผมจุกด้วยผ้าขาว แล้วนำไปที่ศาลานครบาล เพื่อทำการตรวจสอบต่อไป

บรรยากาศขากลับเต็มไปด้วยความเคร่งเครียด ทั้งออกหลวงกำแหงฤทธิรณและดาราเรศต่างจมอยู่ในความคิดของตัวเอง มีเพียงหิ่งห้อยบนต้นลำพูที่เรือแล่นผ่านไปกะพริบแสงสว่างวาบ และสายลมที่พัดผ่านมาอ้อยอิ่ง อากาศรอบกายดาราเรศกำลังเย็นสบาย ผิดจากโลกปัจจุบันราวสวรรค์กับนรก

“แม่ดารา”

“คุณพี่”

จู่ๆ เขาและเธอต่างเรียกชื่อของอีกฝ่ายขึ้นพร้อมๆกัน

“มีอะไร”

“มีอะไรเจ้าคะ”

และต่างฝ่ายต่างก็สอบถามขึ้นพร้อมกันอีก

“คุณหลวง…เอ๊ย คุณพี่พูดก่อน”

“แม่ดารานั่นละพูดก่อน”

ถามขึ้นพร้อมกันอีกแล้ว…อุ๊ย…อะไรจะใจตรงกันขนาดนั้น ดาราเรศแอบนึก

“คุณพี่คิดว่าคนอื่นๆที่ถูกปอบกิน…ศพจะเป็นแบบเดียวกันหรือไม่เจ้าคะ” ดาราเรศสงสัยจริงๆ เธอนั่งอยู่กลางเรือ หันหน้าไปทางสามีที่พายคัดท้ายอยู่ทางด้านหลัง

“น่าคิดเหมือนกัน ฉันเองก็ไม่เคยสังเกตมาก่อน จนกระทั่งวันนี้” ออกหลวงหนุ่มตอบตรงๆ ตามนิสัย ดวงตาของเขามองแลเลยไปข้างหน้า ดาราเรศไม่รู้เลยว่าอยุธยาคิ้วต์บอยของเธอกำลังคิดอะไรอยู่

นั่งนิ่งกันไปอีกพักใหญ่ จู่ๆออกหลวงกำแหงฤทธิรณก็เปลี่ยนทิศทางขึ้นมาเสียอย่างงั้น แทนที่จะกลับบ้านเขาวาดหัวเรือเลี้ยวลัดเข้าไปที่คลองแยกสายหนึ่ง พายผ่านเรือนแพและเรือนที่ตั้งเรียงรายอยู่ริมน้ำ มุ่งหน้าไปยังวัดที่อยู่ไม่ไกลนัก

“แม่ดารายังไม่ง่วงใช่ไหม” เขาหันมาถาม

“ยังจ้ะ” เธอส่ายหน้า ตอนเป็นหมอนิติเวช เธอเข้านอนหลังเที่ยงคืนทุกวัน มหานครอย่างกรุงเทพเต็มไปด้วยแสงสี มาอยู่อยุธยาไม่มีนาฬิกาบอกเวลา ตอนนี้กี่ทุ่มแล้วก็ไม่รู้ ดาราเรศแหงนหน้ามองพระจันทร์บนฟ้า เห็นยังไม่ขึ้นถึงกลางฟ้า จึงคิดว่าเวลาน่าจะยังไม่ดึกมาก ตัวเธอเองก็ยังไม่รู้สึกง่วงสักนิด

“ดีละ ถ้าเช่นนั้น…พี่ขอแวะไปธุระที่วัดประดู่สักหน่อย” เขาบอกสั้นๆ

ดาราเรศนึกในใจว่าดีเหมือนกัน เพราะตั้งแต่มาอยู่ในร่างของแม่หญิงดารา วิถีชีวิตของเธอก็เปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ อยู่ที่นี่ต้องเข้านอนตั้งแต่พลบค่ำ เพราะถ้าไม่นอนก็ไม่รู้จะทำอะไร มือถือก็ไม่มีให้เล่น เฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์นั้นไม่ต้องพูดถึง ไฟฟ้ายังไม่มีใช้เลยด้วยซ้ำ ป่านนี้โลกที่เธอจากมาจะเป็นอย่างไรบ้างน้อ บางครั้งดาราเรศก็อดคิดถึงไม่ได้

ตอนนี้กิจวัตรประจำวันของเธอเริ่มจะเข้าที่ หลังจากนอนหลับทั้งคืนจนเต็มอิ่ม นังแหวนก็ปลุกแต่เช้ามืด ให้ตื่นไปตักบาตร ชีวิตในโลกใบนี้เรียบง่ายจนตอนแรกๆดาราเรศก็รู้สึกเบื่อ แต่ครั้นพออยู่ไปนานเข้า เธอก็ค่อยๆปรับตัว และค้นพบว่าบางครั้งการมีชีวิตเรียบง่ายแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน

หากทว่าชีวิตที่เคยคิดว่าเรียบง่ายกำลังจะเปลี่ยนไปเพราะผีปอบนี่ละ

“น้าๆ”

นั่งคิดโน่นคิดนี่เพลินไป ดาราเรศถึงกับสะดุ้ง เมื่อมือเย็นๆของใครคนหนึ่งเอื้อมมาสะกิดจากทางด้านหลัง

“อะไรเจ้าคะคุณพี่ สะกิดฉันทำไม” ดาราเรศขานรับไป ขณะที่คุณหลวงเข้มชะโงกหน้ามามองดาราเรศด้วยความประหลาดใจ

“แม่ดาราว่าไงนะ” คุณหลวงขมวดคิ้ว

“ก็คุณพี่เรียกฉันไงเจ้าคะ” ดาราเรศว่า

“เปล่า” คุณหลวงส่ายหน้า “ฉันพายเรืออยู่…จะไปเรียกหล่อนตอนไหน”

จริงด้วย…ดวงตาของดาราเรศเบิกกว้าง

เธอนั่งหันหลังให้หัวเรือ ส่วนคุณหลวงพายเรืออยู่ข้างหน้าหล่อน แต่มือเย็นๆนั่นสะกิดมาจากทางด้านหลัง

ค่อยๆเหลียวกลับไปมองที่มาที่ไปของเสียงเรียกนั้น แล้วดาราเรศก็ต้องสะดุ้งสุดตัว เมื่อเห็นเด็กชายหน้าตามอมแมมคนหนึ่งนั่งอยู่ที่หัวเรือ

“จ๊ะเอ๋”

เด็กชายไว้ผมจุก ไม่สวมเสื้อ นุ่งโจงกระเบนสีคล้ำ หน้าตาจิ้มลิ้มน่ารัก ดวงตาดำคล้ำของเด็กชายมองสบตาดาราเรศ ก่อนที่จะหัวเราะคิกคักออกมาเบาๆ

“น้าเห็นหนูด้วยเหรอ” เด็กผมจุกถามเสียงเยือกเย็น

“เฮ้ย…เดี๋ยวนะ”

ดาราเรศเผลอร้องอุทานออกมา ก่อนจะชี้นิ้วไปที่คุณหลวงผู้เป็นสามีแล้วนับหนึ่ง ชี้มาที่ตัวเองแล้วนับสอง

“หนึ่ง…สอง…”

ชี้ไปที่เด็กชายหน้าตาขะมุกขมอมแล้วนับ

“…สาม…”

ขึ้นเรือมาแค่สองคน…แล้วผู้โดยสารคนที่สามมาได้อย่างไรกัน…ถ้าไม่ใช่…

“กรี๊ดดดด”

คราวนี้คนไม่กลัวผีอย่างดาราเรศถึงกับร้องเสียงลั่น ทำท่าเหมือนจะผุดลุกขึ้นแล้วโผไปหาคุณหลวง เล่นเอาเขารีบวางพายแล้วจับตัวเธอเอาไว้มั่น

“อย่าลุกแบบนี้ เดี๋ยวเรือจะล่มเอา”

“ผะ ผะ ผี…คุณหลวงเจ้าขา ข้ากลัวผี” คราวนี้ดาราเรศกลัวจริงๆ ถึงจะเป็นหมอนิติเวชผ่าศพคนตายมาแล้วนับไม่ถ้วน แต่ไม่เคยเจอผีตัวเป็นๆมาให้เห็นแบบนี้

“ผีอะไรกันแม่ดารา” คุณหลวงดึงร่างผอมบางมากอด “นั่งนิ่งๆ”

“ผะ ผะ ผี” แม่หญิงยกมือข้างหนึ่งขึ้นปิดตา มืออีกข้างชี้ไปทางหัวเรือ “ผีเด็กผมจุก…นั่งอยู่โน่นเจ้าค่ะ”

“ผีเผอที่ไหนกัน ไม่เห็นมีอะไรเลย” คุณหลวงยืนยัน “ไม่เชื่อก็ลองลืมตาดูสิ”

ดาราเรศรวบรวมความกล้า ค่อยๆลืมตาขึ้นแล้วกันกลับไปทางหัวเรือ…เด็กผมจุกหายไปแล้ว…

“ฉันว่าแม่ดาราติดตา ภาพศพของหนูยอดนะสิ เลยเอามานึกเป็นตุเป็นตะว่าผีหลอก” ผู้เป็นสามีวิเคราะห์

“อือม…ยังงั้นหรือเจ้าคะ” หล่อนยังไม่หายเสียงสั่น

“ยังงั้นแหล่ะ” เขาพยักหน้า อ้อมแขนแข็งแรงยังโอบเธอไว้แน่น

“ถ้าคุณหลวงว่ายังงั้น สงสัยก็จะเป็นยังงั้นละเจ้าค่ะ” ดาราเรศถอนใจ พยายามเขม้นมองบริเวณหัวเรือ ก็พบเพียงความว่างเปล่า

หรือจะเป็นภาพติดตาอย่างที่เขาว่า…แต่ไม่นะ ปกติเธอเคยเห็นศพมานับไม่ถ้วน ทั้งศพจมน้ำตาย ไฟคลอก โดนฆาตกรรม แต่ไม่เคยมีครั้งไหนจะติดตา อีกอย่าง เธอเองก็ไม่ใช่คนขวัญอ่อนสักหน่อย…

“อุ๊ย” เพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่ายังอยู่ในอ้อมกอดแกร่งของอยุธยาคิวต์บอย เธอก็รีบผลักเขาให้ออกห่าง “ปล่อยน้องเจ้าค่ะ…กลับไปพายเรือได้แล้ว”

“ฮื่อ” คุณหลวงพยักหน้า ก่อนจะปล่อยให้ร่างแบบบางเป็นอิสระ และถอยกลับไปนั่งพายเรือต่อด้วยความงุนงง เมียของเขานับวันยิ่งแปลกขึ้นเรื่อยๆ แต่…แปลกแบบนี้ก็น่ารักดีเหมือนกัน…เขาแอบคิดในใจก่อนจะตั้งหน้าตั้งตาพายเรือต่อไป ขณะที่ดาราเรศได้แต่นั่งกระสับกระส่าย คอยเหลียวมองบริเวณหัวเรือไปตลอดทาง…

 

วัดประดู่เป็นวัดเล็กๆอยู่นอกเกาะเมือง ยามค่ำเช่นนี้เต็มไปด้วยความเงียบสงัด มีเพียงเสียงพระสวดดังแว่วมาจากศาลาไม้หลังเก่าที่ตั้งอยู่ทางด้านหลังโบสถ์

“คุณหลวง”

ทันทีที่ย่างเท้าเข้าไปในงานศพ ชายวัยกลางคนที่เป็นสามีของผู้ตายก็หันมาทางออกหลวงกำแหงฤทธิรณด้วยความประหลาดใจ

“อุตส่าห์แวะมางานแม่เยื้อน กระผมขอบน้ำใจนะขอรับ”

“พ่อพันว่างไหม” ออกหลวงกระซิบถาม “ฉันมีเรื่องสำคัญอยากคุยด้วย”

“ได้สิขอรับ” เขาเดินเลี่ยงออกมาจากบริเวณงาน ฟังจากที่บุรุษทั้งสองสนทนากัน ดาราเรศพอจะจับใจความได้ว่า พ่อพันเป็นทนายหน้าหอของออกหลวงประจัญพาล เพื่อนสนิทของสามีของเธอ เขาเพิ่งเสียแม่เยื้อนผู้เป็นเมียไปเมื่อสองวันที่แล้วเนื่องจากถูกปอบกินตับไตไส้พุงเช่นเดียวกับศพอื่นๆในพระนคร

“อะไรนะขอรับ” ฟังวัตถุประสงค์ของออกหลวงกำแหงฤทธิรณเสร็จเรียบร้อย พ่อพันถึงกับอุทานด้วยความตกใจ “ขอเปิดโลงเพื่อตรวจศพแม่เยื้อน…จะดีหรือขอรับ”

ดีจ้ะ…ดาราเรศอยากจะตะโกนออกไปเช่นนั้น หากทำไม่ได้ เพราะจะผิดสังเกต

เธออดหันไปมองอยุธยาคิ้วต์บอยไม่ได้…อือม…ดาราเรศนึก คุณหลวงนี่ก็ฉลาดเหมือนกันนะเนี่ย

“แล้วแต่พ่อพันเถิดนะ” สามีของเธอทำเสียงทุ้มต่ำในลำคอ “สิ่งที่ฉันขอร้องมันออกจะมากมายไปสักหน่อย แต่ถ้าพ่อพันยอมอนุญาต เราอาจจะได้คำตอบเรื่องผีปอบที่กำลังอาละวาดอยู่ในพระนครเพลานี้”

“ได้ขอรับ” พ่อพันตอบหลังจากนิ่งไปนาน

“ขอบใจพ่อพันมาก” ออกหลวงหนุ่มเอื้อมมือไปตบบ่าทนายหน้าหอของเพื่อนสนิทเบาๆ

รอจนกระทั่งพระสวดเสร็จ พ่อพันไปส่งแขกกลับบ้านจนหมดแล้ว เขาและออกหลวงกำแหงฤทธิรณก็ไปแจ้งเจ้าอาวาสว่าจะขอตรวจศพแม่เยื้อน เพราะสงสัยเรื่องการตาย

ตอนแรกเจ้าอาวาสก็มีท่าทางลังเล แต่ครั้นพอออกหลวงหนุ่มยืนยันว่าจำเป็นจะต้องทำเช่นนั้น ท่านก็พยักหน้าอนุญาต พร้อมกับสั่งให้ลูกศิษย์วัดสองสามคนช่วยกันจัดการยกโลงศพลงมาจากแท่นที่ตั้ง แล้วเปิดฝาโลงออกกว้าง

“แม่ดาราไม่กลัวรึ” เจ้าอาวาสเอ่ยถาม ท่าทางของท่านเหมือนรู้จักกับแม่หญิงดารา

“ไม่กลัวเจ้าค่ะ” ดาราเรศส่ายหน้า

สัญชาญาณของหมอนิติเวชทำให้ดาราเรศอดไม่ได้ที่จะต้องเข้าไปดูอย่างใกล้ชิด เธอชะโงกหน้าข้ามไหล่แข็งแรงของสามี เพื่อดูสภาพศพของแม่เยื้อน

แน่นอน ตายมาหลายวันย่อมมีกลิ่นและบวมอืด มีน้ำเหลืองไหลเยิ้ม

พ่อพันเบือนหน้าหนีเมื่อเห็นหน้าตาเขียวคล้ำของเมีย ออกหลวงหนุ่มใช้มือแหวกผ้าบริเวณหน้าท้องออก แล้วก็ต้องอุทานออกมาเบาๆ เพราะลักษณะของแผลที่ผีปอบควักไว้ออกไปกินนั้น มีลักษณะเรียบเหมือนกับศพของหนูยอดไม่มีผิด

ลองแหวกเพื่อดูขั้วตับและขั้วไตห็พบว่าโดนตัดออกไปด้วยของมีคมเช่นเดียวกัน !

คุณหลวงหันมาทางแม่หญิงดารา ก็พบว่าเมียของเขากำลังจ้องมองศพตาไม่กะพริบ อาการกลัวผีเหมือนตอนนั่งเรือไม่ปรากฏให้เห็นแม้สักนิด คุณหลวงเห็นท่าทางเช่นนั้นเลยเอื้อมมือไปสะกิดเบาๆ และเอ่ยสุ้มเสียงแผ่วเบา

“เหมือนศพหนูยอดไม่มีผิด”

“นั่นสิเจ้าคะ” ดาราเรศขมวดคิ้ว “ผีปอบเมืองนี้ไม่ธรรมดาเลยนะเจ้าคะ”

“วันพรุ่ง ฉันจะสั่งคนตรวจศพที่ถูกปอบฆ่าตายทั้งหมด” เขาหมายมั่น

“พนันได้เลยว่าแผลจะต้องเหมือนกัน” ดาราเรศมั่นใจ

“เธอกำลังจะบอกอะไรฉัน” คุณหลวงถาม ทั้งที่พอจะเดาได้

“ฉันไม่มีอะไรจะบอก” ดาราเรศส่ายหน้า “เพราะศพพูดแทนหมดแล้ว…แต่ฉันอยากจะถามคุณพี่มากกว่าว่า…การที่ผีปอบออกอาละวาดในเมืองแบบนี้ มีใครได้ผลประโยชน์มากที่สุด…คุณพี่พอจะนึกออกไหมเจ้าคะ”

 



Don`t copy text!