ละเล่นลานรัก บทที่ 33 : คนหนึ่งแพ้ย่อยยับ หนึ่งคนชนะขาดรอย
โดย : กุลวีร์
ละเล่นลานรัก นวนิยายออนไลน์จากอ่านเอา anowl.co โดย กุลวีร์ เมื่อนักกิจกรรมบำบัดสาวที่ต้องคอยแก้ปัญหาการเลี้ยงลูกด้วยมือถือ ต้องการช่วยเหลือหนุ่มรุ่นน้องข้างบ้านที่ไม่กล้าออกไปนอกบ้าน เธอจึงใช้กิจกรรมการละเล่นไทยเป็นตัวช่วย จนเขาได้เรียนรู้หลายสิ่งหลายอย่างโดยเฉพาะหัวใจตัวเอง แต่เธอก็มีทั้งคนเก่าและคนใหม่มาให้เลือก
ปรียานุชสบายอกสบายใจได้จวนจะครบหนึ่งอาทิตย์ เมื่อชายหนุ่มสองคนนั้นไม่เข้ามารบกวนเวลาของเธออีกเลยนับจากวันที่จัดกิจกรรมการละเล่นไทยครั้งล่าสุด แต่มีคนอีกคนที่ทำตัวต่างไปจากเดิมจนเธอรู้สึกได้ คือชายหนุ่มรุ่นน้องที่อยู่ข้างบ้านซึ่งมักจะชวนคุยกันมากขึ้น
เมื่อก่อนมีแค่โทรศัพท์ขอคำปรึกษา หากปัจจุบันมาเยือนบ้านเธอเสมือนบ้านของเขาเอง โดยมีพ่อแม่ของเธอให้ความต้อนรับไขศิลป์เป็นอย่างดี
ในยามที่ใช้เวลาอยู่กับตัวเอง เธอเริ่มพิจารณาหัวใจมากขึ้น
จากที่เคยมีแค่สองคนคือฉัตรพงษ์กับเอกลักษณ์ซึ่งเหมือนจะตั้งท่าพิชิตใจเธอ แต่ตอนนี้อาจมีเพิ่มขึ้นมาเป็นสามคน เธอยังตอบตัวเองไม่ได้เลยว่าเหตุใดต้องคิดเช่นนั้น
ปรียานุชไม่เชื่อเลยว่าวันหนึ่งไขศิลป์จะมาเป็นตัวเลือกให้กับหัวใจเธอ
หรือเพราะเจอหน้ากันทุกวันจึงทำให้ไหวหวั่นโดยไม่รู้ตัว
หญิงสาวไม่เคยรู้เลยว่าตั้งแต่เกิดความห่วงใยและปรารถนาดีที่อยากให้เขามีชีวิตดีขึ้น ค่อยๆ ถักทอความผูกพันล้ำลึกทางใจ พอถึงวันหนึ่งที่ได้ลองค้นดูหัวใจตัวเองจึงได้เจอเขาอยู่ในนั้น
การมีแฟนเด็กอาจเป็นเรื่องแปลกใหม่ในชีวิต หากนึกขึ้นมาทีไรก็กระชุ่มกระชวยหัวใจชอบกล
ปรียานุชยิ้มอย่างพึงใจระหว่างก้าวขาไปตามทางพลางใช้ความคิดวนเวียนอยู่กับคนทั้งสาม แต่เหมือนจะมีไขศิลป์เป็นส่วนใหญ่ จนต้องออกจากภวังค์พร้อมทั้งหยุดชะงักขา เมื่อเธอได้เจอใครบางคนยืนรออยู่ระหว่างทางกลับบ้านและยังส่งยิ้มให้คล้ายคนมีเจตนาดีต่อกันไม่เคยเปลี่ยน
“ปรีเพิ่งเลิกงานเหรอ เรามาคอยอยู่นานเลย” เอกลักษณ์ทักขึ้นทันทีที่เห็นหน้าเธอ
“เอกมีอะไรกับเราหรือเปล่า” แม้เธอจะเคยรู้จักคนตรงหน้ามาก่อน แต่ก็อดไม่ได้ที่จะก้าวขาถอยหลัง เพื่อให้อยู่ห่างจากอีกฝ่ายให้มากที่สุดในระยะเท่าที่จะสามารถพูดคุยกันได้
“ปรีไม่ต้องกลัวเราขนาดนั้น เราไม่ทำอะไรปรีหรอก แค่อยากมาคุยให้เข้าใจ”
เธอเชื่อถ้อยคำที่ได้ยิน ยืนนิ่ง ยอมให้เอกลักษณ์เดินเข้าไปใกล้ หากสายตามองผ่านตัวอีกฝ่ายไปทางด้านหลัง ซึ่งอีกไม่กี่สิบเมตรก็จะถึงบ้านของเธอ
ถ้ามีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นก็คงรีบวิ่งไปที่บ้านได้ทัน หรือร้องเรียกให้เพื่อนบ้านออกมาช่วยก็ย่อมได้
ปรียานุชจำเป็นต้องระแวดระวังตัวไว้ก่อนเพราะคนเรารู้หน้าไม่รู้ใจ แม้จะเคยรู้ใจกันมาบ้างก็ตาม แต่ไม่ได้รู้ใจจนหมดจดขนาดนั้น
“เอกอยากคุยอะไรกับเราเหรอ ไปนั่งคุยกันในบ้านดีกว่าไหม ป่านนี้พ่อกับแม่คงรอเราอยู่ในบ้าน” เธอเอ่ยให้อีกฝ่ายได้รู้ว่ายามนี้ไม่ได้อาศัยในบ้านเพียงลำพัง
“ไม่เป็นไรหรอก ยืนคุยกันตรงนี้ก็ได้ เรามีเรื่องอยากตกลงกันนิดหน่อยเท่านั้นเอง”
เอกลักษณ์ตัดสินใจมาพบเธอเพื่อที่จะลุกขึ้นสู้ต่อไปกับหนทางที่อาจสมความปรารถนา
แม้ในการแข่งขันกลายเป็นผู้แพ้ แต่ไม่ใช่การพ่ายแพ้ในชีวิตจริง ถ้ายังมีหนทางให้สู้ต่อไปก็ต้องสู้ นี่คือคำพูดของเพื่อนที่เอกลักษณ์ทบทวนอยู่หลายวัน จนกล้าที่จะมาเผชิญหน้าและอยากทราบความจริงจากปากเธอ
ถ้าปรียานุชยังไม่บอกว่าตนแพ้ในหนทางรักครั้งใหม่นี้ เอกลักษณ์ก็คงพร้อมที่จะพิชิตใจเธอได้อีก แม้จะมีคู่แข่งมากกว่าสองคนนั้นก็ตาม เหมือนยกให้เธอเป็นคณะกรรมการตัดสิน เอกลักษณ์จะยอมรับคำตัดสินด้วยความยินดี หากเธอบอกว่าแพ้อย่างสิ้นเชิง
“ปรีคิดจะเป็นแฟนกับเราเหมือนที่เคยเป็นอีกได้ไหม”
เมื่อสถานการณ์ส่อเค้าเปิดใจคุยกัน เธอพร้อมที่จะบอกให้อีกฝ่ายรับรู้ถึงความรู้สึกจริงๆ ที่เกิดขึ้นกับใจตัวเอง
“ถ้าให้บอกตรงๆ เราบอกได้เลยว่าไม่มีทางที่เราจะคบกับเอกเป็นแฟนได้อีกแล้ว เอกตัดใจจากเราเถอะนะ” แม้อยากจะถนอมน้ำใจกันสักแค่ไหน หากเธอเอ่ยออกไปเช่นนั้นคงจะเป็นการดีกับทั้งสองฝ่าย “เราคิดว่าเป็นเพื่อนกันดีกว่านะเอก”
“ปรีเลือกใครไว้ในใจแล้วใช่ไหม เราถึงไม่มีสิทธิ์นั้นอีกแล้ว”
“เอกจะรู้ไปทำไม เราจะเลือกใครก็ได้แต่ไม่ใช่เอก เราสองคนกลับมาเป็นเพื่อนกันได้ แต่อย่ามาเป็นแฟนกันเลย” เธอย้ำถึงความต้องการและความสัมพันธ์ระหว่างกันที่จะเกิดขึ้นต่อไป
ในที่สุดเอกลักษณ์ก็รู้ตัวแล้วว่าต่อให้มีแรงสู้แค่ไหนคงไม่มีทางเป็นคนชนะใจเธอได้แน่นอน จึงจำยอมเป็นฝ่ายแพ้ย่อยยับอย่างราบคาบ
เมื่อเอกลักษณ์พอจะเห็นว่าใครคือผู้ชนะแท้จริงก็ยิ้มน้อยๆ ให้กับเธอ “ขอบคุณมากๆ ที่บอกกันให้รู้ เราจะได้ไม่ต้องพยายามให้เสียเวลา วันนี้เราเข้าใจทุกอย่างดีแล้ว”
ปรียานุชส่งยิ้มพร้อมทั้งแววตาซึ่งสื่อถึงการขอให้อภัยแก่กันที่เป็นอย่างที่หวังไม่ได้
“ปรีคงไม่รู้ เก่งชื่นชมปรีให้เราฟังทุกวันเลยนะ ที่ปรีช่วยให้กีตาร์เป็นเด็กนิสัยดีขึ้น เราเพิ่งรู้ว่านักกิจกรรมบำบัดก็มีส่วนทำให้พวกเด็กๆ เติบโตไปเป็นเด็กที่ดีและมีพัฒนาการสมวัยได้” เอกลักษณ์ชวนเธอคุยต่อ เพราะอาจจะเป็นครั้งสุดท้ายที่ได้มาเจอกันจึงขอใช้เวลาอยู่กับเธอให้นานที่สุด
“ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเราคนเดียวหรอก พ่อแม่ก็มีส่วนสำคัญมากกว่าที่จะเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมหรือพัฒนาการของเด็ก เราภูมิใจในอาชีพของเรา แต่คนน้อยนักจะรู้จักนักกิจกรรมบำบัด” เธอยิ้มได้มากขึ้น ยามพูดถึงวิชาชีพของตน
“แต่เราก็ได้รู้จักนักกิจกรรมบำบัดอย่างปรี โดยเฉพาะการละเล่นไทยที่เราเพิ่งรู้จักเป็นครั้งแรก สนุกมากๆ เลยนะ”
“มาเล่นด้วยกันอีกสิ” เธออยากให้มิตรภาพในคำว่าเพื่อนนั้นยังคงอยู่เรื่อยไป
“ถ้าเราทำใจเป็นเพื่อนกับปรีได้เมื่อไร เราจะกลับมาพูดคุยกับปรีอีกแน่นอน ตอนนั้นเราคงเล่นสนุกด้วยกันได้สนิทใจมากกว่านี้ เราผิดเองที่ทำให้ปรีออกไปจากชีวิตเราตั้งแต่วันนั้นแล้ว วันนี้จึงไม่อาจกลับมาคืนดีเหมือนเดิมได้ เราขอให้โชคดี พบคนที่รักและดูแลปรีได้จริงๆ” เอกลักษณ์ตั้งใจจะไม่รับปากเธอ เพราะไม่รู้ว่าจะต้องใช้เวลานานแค่ไหนที่ตัดใจจากเธอได้เสียที
“เราเชื่อว่าอีกไม่นานเอกจะได้พบคนที่รักเอกและเอกก็รักเขาด้วยใจมั่นคง” ปรียานุชนึกไม่ถึงเลยว่าแค่พูดให้อีกฝ่ายเข้าใจกันจะเป็นเรื่องง่ายกว่าที่คิดไว้ เพราะดูท่าทีของเอกลักษณ์ที่ยอมรับความจริงแบบไม่มีคำโต้แย้งหรือจะเอาแต่ได้ฝ่ายเดียว
แม้เธอพอจะรู้ว่าแฟนเก่ายังไม่ลืมกัน หากคนเจ็บแล้วจำจึงขอไม่กลับไปคบกันอีก แต่ยังอภัยและให้โอกาสรู้จักกันได้เสมอ “อย่าลืมมาเล่นด้วยกันอีกนะ เราขอให้เอกโชคดี”
ไม่มีความโกรธเคืองหลงเหลือในจิตใจของหญิงสาวจนเอกลักษณ์สัมผัสได้ และรับรู้ด้วยว่าเธอไม่ได้มีความรักที่เคยมีให้กันในกาลก่อน นอกจากความสัมพันธ์ฉันเพื่อนซึ่งยังคงเหลืออยู่ระหว่างกัน
“เราขอเดินไปส่งปรีถึงหน้าประตูบ้านได้ไหม”
เธอพยักหน้าตอบรับคำขอของอีกฝ่าย ก่อนจะก้าวขาเดินนำไป
ชีวิตของปรียานุชนับตั้งแต่บัดนี้ คงมีเอกลักษณ์เป็นแค่เพื่อนร่วมทางเดินเพียงเท่านั้น แม้ครั้งหนึ่งเคยคิดหวังจะให้เป็นคู่ร่วมชีวิตกันก็ตาม แต่วันเวลาผันผ่านจึงทำให้รู้แน่ชัดว่า…คนบางคนสามารถเป็นได้แค่เพื่อนกันตลอดไป
เมื่อเธอเดินมาถึงหน้าประตูบ้านก็พบไขศิลป์เดินออกมาจากบ้านของเขาเข้าพอดี หากสายตาของไขศิลป์มองเลยไปยังคนที่ยืนอยู่ด้านหลังเธอ
“มาทำไมมืดค่ำ ไม่รู้จักกลับบ้านตัวเอง”
ปรียานุชยิ้มให้กับคำของเขาที่เหมือนเข้าตัวโดยไม่รู้ตัว “ศิลป์ออกจากบ้านมาทำอะไรล่ะ”
“ผมมาคุยกับพี่ปรีเหมือนปกติ” เขาเอ่ยอย่างหน้าตาเฉย
“เรากับก่อนนะปรี โชคดีนะ” เอกลักษณ์กล่าวลาเธอ ก่อนผละออกไปโดยไม่สนใจไขศิลป์แม้แต่น้อย
“แฟนเก่ากลับมาวุ่นวายกับพี่ปรีอีกแล้วเหรอ” เขาถามขึ้นเพราะอยากรู้เหตุผลของคนที่มาพบเธอ
“แค่เพื่อนมาเจอหน้ากันจะไม่ได้เลยเหรอ เอกคงไม่มาวุ่นวายกับพี่อีกแล้ว สบายใจได้” ปรียานุชไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมต้องบอกให้เขาสบายใจ
พอเขามีสีหน้าไม่เข้าใจคำของเธอและจ้องมองแบบขอคำขยายความ ไม่นานเธอก็ยอมเล่าเรื่องราวที่พูดคุยกับเอกลักษณ์จนเข้าใจกันดีทั้งสองฝ่ายให้เขารับรู้
“ตกลงพี่ปรีปิดประตูไม่ให้ฝ่ายนั้นมีโอกาสพัฒนาความสัมพันธ์กันอีกแล้ว” ไขศิลป์สรุปตามความเข้าใจตัวเอง พร้อมทั้งลิงโลดในใจที่หมดคู่แข่งไปหนึ่งราย “นึกว่าแค่แพ้ในการแข่งขัน แล้วคิดจะถอดใจไปง่ายๆ” เขาปิดท้ายด้วยการหัวเราะในลำคออย่างผู้มีชัย
“แค่ชนะในการละเล่น ไม่ได้ชนะในชีวิตจริงสักหน่อย” เธอย้ำกับเขา
“ทำไมพี่ปรีต้องพูดแบบนั้นด้วยล่ะ” เขาถามด้วยความสงสัย
“แล้วทำไมต้องอยากจะรู้ด้วยล่ะ” เธอถามกลับ “รู้ไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรกับศิลป์หรอก”
เมื่อไม่ได้คำตอบที่ต้องการ ไขศิลป์ก็เริ่มทำหน้ามุ่ย “สมมุติว่ามันมีประโยชน์กับผม ผมพอจะรู้ได้ไหมว่าเพราะอะไรถึงเป็นผู้ชนะในชีวิตจริงไม่ได้”
“จะมีประโยชน์อะไรกับศิลป์บ้างล่ะ ถ้าพี่บอกให้รู้” เธอยังถามกลับอีกครั้ง
ไขศิลป์ถอนหายใจที่เธอไม่ยอมบอกกันง่ายๆ จึงไม่อยากเซ้าซี้เอาคำตอบ “ถ้าวันหนึ่งพี่ปรีไม่มีใครเป็นตัวเลือก อาจมองเห็นประโยชน์ที่ผมได้รับบ้างก็ได้”
“พูดอะไร พี่ไม่เห็นเข้าใจเลย มีเรื่องจะพูดกับพี่เท่านี้ใช่ไหม จะได้เข้าบ้านสักที”
“พรุ่งนี้ผมจะออกไปดีลงานข้างนอกแล้วนะ” ไขศิลป์เข้าเรื่องที่มาคุยกับเธอ
“พี่ดีใจด้วยนะที่ศิลป์จะออกไปข้างนอก ขอให้ทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดี และขอให้ได้งานทำตามต้องการ” ปรียานุชส่งยิ้มให้เขา
“สาธุ” ไขศิลป์ยกมือสองข้างขึ้นมา พนมมือไหว้ท่วมหัว แล้วค่อยนำมือลงมาไว้ข้างลำตัวตามเดิม “ผมต้องขอบคุณพี่ปรีมากๆ ที่ทำให้ผมมีวันนี้”
“ไม่เป็นไรหรอก ยังไงศิลป์ก็เป็นเหมือนน้องชายคนหนึ่งของพี่” เธอยังเอ่ยด้วยถ้อยคำเดิมที่เคยบอกกันตั้งแต่ครั้งแรกที่เข้ามาช่วยเหลือเขา แม้ตอนนี้ในใจจะไม่อยากเป็นแค่พี่สาวแล้วก็ตาม
หากถ้อยคำนั้นรบกวนจิตใจเขาจนเกิดอารมณ์ขุ่นเคือง
เธอไม่รู้จริงๆ หรือว่าเขาคิดอยากจะเป็นมากกว่าน้องชายของเธอมาหลายวัน
ไขศิลป์หุนหันพลันแล่น หมุนตัวกลับเข้าบ้านตัวเองโดยไม่ได้กล่าวลาเหมือนอย่างเคย
ปรียานุชได้แต่ยืนมองด้วยความข้องใจว่าทำสิ่งใดให้เขาต้องเป็นเช่นนั้น แต่พอนึกทบทวนตอนที่ยืนคุยกันเมื่อสักครู่ คงมีบางคำที่อาจพูดไปแล้วไม่เข้าหูกันจึงทำให้ไม่สบอารมณ์
ส่วนจะเป็นคำพูดใด ปรียานุชก็ยังไม่รู้เลย
- READ ละเล่นลานรัก บทที่ 38 : ยังไม่บอกให้รู้ดีกว่า
- READ ละเล่นลานรัก บทที่ 37 : lucky in game and lucky in love
- READ ละเล่นลานรัก บทที่ 36 : คุยกันแบบเปิดอก รับฟังแบบเปิดใจ
- READ ละเล่นลานรัก บทที่ 35 : ใครเห็น...ใครก็ต้องคิด
- READ ละเล่นลานรัก บทที่ 34 : สุดแสนเสียดาย
- READ ละเล่นลานรัก บทที่ 33 : คนหนึ่งแพ้ย่อยยับ หนึ่งคนชนะขาดรอย
- READ ละเล่นลานรัก บทที่ 32 : ช่วงชิงชัย
- READ ละเล่นลานรัก บทที่ 31 : ขอลงแข่ง
- READ ละเล่นลานรัก บทที่ 30 : ตัวเลือกไม่รู้ตัว
- READ ละเล่นลานรัก บทที่ 29 : ต้องลองอีกสักครั้ง
- READ ละเล่นลานรัก บทที่ 28 : คืนของให้แก่กัน
- READ ละเล่นลานรัก บทที่ 27 : ดมดอกไม้
- READ ละเล่นลานรัก บทที่ 26 : ท่าควายกับท่าสีซอ
- READ ละเล่นลานรัก บทที่ 25 : คิดผิดถนัด
- READ ละเล่นลานรัก บทที่ 24 : ต้นเหตุความกลัว
- READ ละเล่นลานรัก บทที่ 23 : แหวนแฟนเก่า
- READ ละเล่นลานรัก บทที่ 22 : ขอหวนคืน
- READ ละเล่นลานรัก บทที่ 21 : มัวรอรี ไม่รีรอ
- READ ละเล่นลานรัก บทที่ 20 : ฉันจะตีก้นเธอ
- READ ละเล่นลานรัก บทที่ 19 : งูกินหาง...ห้ามใกล้กัน
- READ ละเล่นลานรัก บทที่ 18 : หลายอย่างช่างถูกจังหวะ
- READ ละเล่นลานรัก บทที่ 17 : ผิดทั้งสองคน
- READ ละเล่นลานรัก บทที่ 16 : สัญญาณเหมือนจะดี
- READ ละเล่นลานรัก บทที่ 15 : จ้ำชิงหลัก
- READ ละเล่นลานรัก บทที่ 14 : หลานชายก่อกวน
- READ ละเล่นลานรัก บทที่ 13 : กำทายขอถาม
- READ ละเล่นลานรัก บทที่ 12 : ต้องตาต้องใจ
- READ ละเล่นลานรัก บทที่ 11 : ตัดไฟแต่ต้นลม
- READ ละเล่นลานรัก บทที่ 10 : กิจกรรมวันแรกเริ่ม
- READ ละเล่นลานรัก บทที่ 9 : ปัญหาเกินกว่าหนึ่ง
- READ ละเล่นลานรัก บทที่ 8 : ตบแผละแซะคำตอบ
- READ ละเล่นลานรัก บทที่ 7 : เด็ก (เริ่ม) มีปัญหา
- READ ละเล่นลานรัก บทที่ 6 : เด็กชายวุ่นวาย
- READ ละเล่นลานรัก บทที่ 5 : ร่วมด้วยช่วยกัน
- READ ละเล่นลานรัก บทที่ 4 : หาทางเข้าหา
- READ ละเล่นลานรัก บทที่ 3 : เหตุจากหิน
- READ ละเล่นลานรัก บทที่ 2 : หินเข้าห้อง
- READ ละเล่นลานรัก บทที่ 1 : เสียงลือเสียงเล่าอ้าง