เวียงวนาลัย บทที่ ๘ ตามกระแสชล “คนทรยศ”

เวียงวนาลัย บทที่ ๘ ตามกระแสชล “คนทรยศ”

โดย : เนียรปาตี

เวียงวนาลัย เรื่องราวของวิลเลียม หนุ่มอังกฤษที่เดินทางมาทำงานในบริษัทสัมปทานป่าไม้ในภาคเหนือของสยาม เขาไม่เคยนึกฝันมาก่อนว่าต้องเผชิญกับอะไรมากมายในดินแดนที่ไม่คุ้นเคย ทั้งมิตรแท้ สงครามและความรัก มาเอาใจช่วยหนุ่มอังกฤษคนนี้กับชีวิตอันแสนจะโลดโผนในเวียงวนาลัย นวนิยายออนไลน์ โดย เนียรปาตี ที่อ่านเอาภูมิใจนำเสนอ

 

ปะเลหายไป ตามหาอย่างไรก็ไม่พบ

วินาทีนั้นวิลเลียมทั้งคั่งแค้นและผิดหวังเศร้าใจ ปะเลเป็นคนงานและคนเลี้ยงช้างที่เขาไว้ใจ พึ่งพาได้แทบทุกเรื่องรองจากเมือง หวนนึกถึงเรื่องคราวที่เขาลงโทษหม่องฮูโอที่ปางไม้ ปะเลก็ไม่มีทีท่าว่าเข้าข้างฮูโอ ถ้าที่ผ่านมาเป็นการเล่นละครหลอกตาให้วางใจ วิลเลียมก็เชื่อสนิทใจว่าปะเลไม่ใช่คนฉ้อฉลหลวกลวง จนกระทั่งบัดนี้

ไม่มีอะไรให้ต้องสงสัยอีกว่า ปะเลเป็นสายสืบให้พวกเงี้ยว

แรกทีเดียวปะเลอาจไม่มีความคิดกระด้างกระเดื่องต่อสยามและเจ้าหลวงเจ้าเมือง แต่ตอนนี้…ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อใดที่ปะเลถูกโน้มน้าวชักชวนให้หวั่นไหวเอนใจไปทางกลุ่มเงี้ยว เหตุผลเดียวที่ปะเลยังทำงานในปางไม้ ก็เพื่อสอดแนมคอยส่งข่าวทางลำปางไปยังค่ายใหญ่ที่บ้านบ่อแก้ว

เสียอะไรไม่เท่าเสียรู้คนเพราะไว้วางใจ…วิลเลียมกัดฟันกลืนก้อนผิดหวังลงคอ รอเวลาชุมนุมกันอีกครั้งว่าจะรับมือทัพเงี้ยวที่จะบุกลำปางในเร็ววันนี้อย่างไรดี

 

บ้านของหลุยส์ ที เลียวโนเวนส์ กลายเป็นศูนย์รวมของชาวอังกฤษและเป็นกองบัญชาการเพื่อรับศึกเงี้ยว หลุยส์รายงานสถานการณ์ในลำปางไปยังกงสุลเบ็คเก็ตต์ที่เชียงใหม่ ว่าบัดนี้ชาวตะวันตกทุกคนมารวมตัวกันที่บ้านเขาเพื่อความสะดวกในการดูแลความปลอดภัย เรต้าภรรยาของหลุยส์จัดที่พักเป็นสัดส่วนแยกชายหญิงและครอบครัว ยามที่ฝ่ายชายรวมตัวกันเป็นหน่วยยุทธการเพื่อหาวิธีรับมือเงี้ยวที่ห้องโถงและสนามหญ้าหน้าบ้าน กลุ่มผู้หญิงก็ช่วยกันเป็นฝ่ายเสบียงเตรียมอาหาร ทั้งมื้อหนัก มื้อเบา และอาหารที่สะดวกต่อการพกไปกินกลางทาง ถ้าหากว่าเหตุการณ์ลุกลามถึงขั้นต้องเดินทัพ

โทมัสยังยึดมั่นความคิดว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับชาวอังกฤษโดยตรง แม้แต่เงี้ยวเองก็ไม่ใช่คนในบังคับของอังกฤษทุกคน เงี้ยวที่อยู่ในบังคับของอังกฤษคือพวกคนงานในปางไม้เท่านั้น

“เป็นเรื่องของสยามกับเจ้าหลวงที่ต้องช่วยเหลือกัน ถ้าเขายังไม่ขอความช่วยเหลือมา เราจะไปเสนอหน้าเสนอตัวทำไม” น้ำเสียงโทมัสทั้งเยาะและดูแคลน “พระมนตรีล่ะ ตอนนี้ไปมุดหัวอยู่ที่ไหน”

โทมัสหมายถึงพระมนตรีพจนกิจ ข้าหลวงสยามประจำลำปาง ที่ต่างรู้จักกันว่าเป็นผู้อ้างกฎหมายของสยามมารีดไถภาษีชาวบ้าน โดยภาษีที่เก็บได้บางส่วนถูกชักเข้าหีบของตัวเอง วีรกรรมที่เจ้าตัวคิดว่าเก่งกล้าสามารถคือเป็นแม่ทัพการนำกองกำลังไปปราบเงี้ยวที่บ้านบ่อแก้ว แต่แทนที่จะได้เป็นวีรบุรุษ กลับกลายเป็นผู้พ่ายฝ่ายเงี้ยวอย่างน่าอับอาย และทำให้เงี้ยวเห็นว่าฝ่ายสยามไม่มีน้ำยา ก่อจลาจลหนักข้อขึ้นไปเรื่อย ๆ

เจ้านายเมืองแพร่และข้าหลวงสยามที่เงี้ยวจับตัวมาตัดหัวให้ชาวบ้านดูเพื่อข่มขู่ข่มขวัญหลายชีวิตนั้น ไม่มีหัวของพระมนตรีรวมอยู่ด้วย

“คงโร่ไปขอความช่วยเหลือจากที่อื่นอยู่กระมัง” หลุยส์รำพึงครึมครางพลางเล่าให้ฟังว่า “ก่อนหน้านี้เขามาพบฉัน ขอใช้ห้องนิรภัยของบอร์เนียวเป็นที่หลบภัยของข้าราชการสยาม เพราะแน่นหนาแข็งแกร่งดี”

หลุยส์พยักหน้าไปยังอาคารที่เป็นบริษัทบอร์เนียว ตู้เซฟใหญ่ตั้งอยู่กลางห้อง

“ดีแล้วละที่หลุยส์ปฏิเสธไป” นายห้างผู้หนึ่งซึ่งเป็นผู้จัดการปางไม้ของบริษัทสยามฟอเรสต์ ซึ่งเพิ่งจะตั้งตัวได้กับการทำป่าไม้ที่นี่อยู่ด้วยในวันที่พระมนตรีมาเจรจากับหลุยส์ เขาภาวนาให้หลุยส์ปฏิเสธคำขอแกมขู่ของข้าหลวงผู้ถือตัวว่ามีอำนาจเหนือกว่าใคร วางก้ามใหญ่ว่าเป็นตัวแทนรัฐบาลสยาม จะชี้นิ้วสั่งอย่างใดก็ได้ ครั้นไม่ได้ดั่งใจก็โมโหหน้าดำหน้าแดง “พวกสยามนี้เอาแต่ได้ ให้เท่าไหร่ไม่รู้จักพอ ค่าภาษีตอไม้ก็จ่ายให้ตามธรรมเนียมแล้ว พวกนี้ยังตอดเล็กตอดน้อยอ้างเป็นค่านู่นค่านี่ ซึ่งบางทีไม่มีเหตุผลหรือมีแต่ก็ฟังไม่ขึ้น แต่ถ้าไม่จ่ายก็กระทบกับงานของเราอีก มันแกล้งเตะถ่วงให้เวลาล่วงไปโดยไม่ได้งานอะไรเลย ฉันหวั่นใจว่าถ้าเรื่องสยามกับเงี้ยวบานปลาย มันจะยิ่งกระทบกับงานทำไม้ของเรา ไม่ว่าใครจะเป็นฝ่ายชนะก็ตาม”

โทมัสหัวเราะหึ ๆ เขารู้อะไรหลายอย่างเกี่ยวกับเรื่องชวนสมเพชของข้าหลวงผู้นี้

“ไอ้ข้าหลวงคนนี้ดีแต่ปาก จิตใจหม่นมืด แต่ตาขาว ป่านนี้โกยแนบไปมุดหัวอยู่ที่บางกอกแล้ว”

“พวกเราควรทำอย่างไรดี อีกไม่กี่วันก็จะถึงวันนัดหมายของพวกเงี้ยวแล้ว”

วิลเลียมถามคนในวงสนทนา จำวันที่เงี้ยวจะยกทัพมาลำปางได้แม่น ๔ สิงหาคม ผู้นำทัพคือพะกาฮูโอ ถึงอย่างไรเขาก็ต้องเผชิญหน้ากับพะกาฮูโอให้ได้

“ถ้าสยามจะเฉยเมยเช่นนี้ เราควรหารือกับเจ้าหลวง” หลุยส์รำพึงงึมงำอยู่ในคอ

มีความเคลื่อนไหวที่หน้าบ้าน ทุกหน้าจึงเหลียวมองและพร้อมใจกันเดินไปใกล้ขบวนใหญ่สองขบวนที่มาถึงพร้อมกัน ขบวนหนึ่งนั้นคือเจ้าหลวงลำปาง เจ้าราชบุตร และเจ้านายหลายองค์ หนึ่งคนที่วิลเลียมรู้จักคือหนานทิพย์ บิดาของเมืองและมุ่ย…ความผิดหวังจากปะเลทำให้วิลเลียมคลางแคลงที่จะไว้ใจผู้ใดอีก แต่ครั้นเห็นหนานทิพย์มาร่วมกับขบวนเจ้าหลวง ความรู้สึกของวิลเลียมก็ดีขึ้น อย่างน้อยครอบครัวนี้ก็มิได้ตลบตะแลงแสร้งทำเป็นมิตรอย่างปะเล

อีกขบวนหนึ่งคือตำรวจสยาม

ทว่าผู้นำขบวนเป็นนายตำรวจหนุ่มชาวตะวันตกในเครื่องแบบสีน้ำเงินควบม้าขาวดูเด่นเป็นสง่า

หลุยส์และคนอื่น ๆ ที่เคยเห็นหน้าทักทายเขาอย่างยินดีว่า “กัปตัน” แล้วแนะนำอย่างเป็นทางการให้ทุกคนในที่นั้นได้รู้จักว่า

“ท่านผู้นี้คือ ร้อยเอกฮันส์ มาร์กวอร์ด เจนเซ่น พลตำรวจภูธรมณฑลพายัพ ประจำอยู่ที่เชียงใหม่”

วิลเลียมเห็นสีหน้าหลายคนยินดีที่ได้พบ ลีรอยก็ค้อมศีรษะน้อย ๆ เป็นการทักทาย…คงมีโอกาสได้พบที่เชียงใหม่…แต่สำหรับวิลเลียมแล้ว นี่คือการพบกันครั้งแรก

แต่ก็ทำให้ประทับใจและนึกถึงตัวเองก่อนหน้านี้

นายตำรวจหนุ่มชาวเดนมาร์กอายุเพียง ๒๔ ปี อ่อนกว่าเขาเล็กน้อย แต่ได้มาเป็นตำรวจที่เชียงใหม่

วิลเลียมนึกถึงความฝันของตนที่อยากเจริญรอยตามน้าอีวานจึงข้ามน้ำข้ามทะเลจากอังกฤษมาสอบตำรวจที่อินเดีย แต่แล้วก็พลาดหวัง ในตอนนั้นเขาไม่รู้จักสยาม…ถ้าเพียงแต่เขารู้จักสยาม เขาคงมุ่งตรงมาที่นี่ และเขาก็อาจอยู่ในเครื่องแบบสีน้ำเงินควบม้าขาวนำกำลังตำรวจมาช่วยรบอย่างร้อยเอกเจนเซ่นนี้ก็ได้

“พระยานริศให้กระผมนำตำรวจ ๕๐ นายจากเชียงใหม่มาช่วยเจ้าหลวง”

ร้อยเอกเจนเซ่นแจ้งแก่ทุกคน ผู้ที่ถูกอ้างถึงนั้นคือ พระยานริศราชกิจ ข้าหลวงใหญ่นครเชียงใหม่

“หลังทราบข่าวเงี้ยวกับเจ้าเมืองแพร่ร่วมดื่มน้ำสาบาน ต่อต้านสยามเต็มที่ ผมก็รีบเดินทางมาช่วยสกัดทัพเงี้ยวที่นี่ไม่ให้บุกไปถึงเชียงใหม่ ก่อนมา…ผมแวะไปที่จวนก่อน” เขาหมายถึงจวนข้าหลวงที่ลำปาง น้ำเสียงสิ้นหวังเมื่อเล่าว่า “ตอนนี้ไม่ต่างจากจวนร้าง ท่านข้าหลวงก็หายตัวไป ช่างน่าอดสูใจยิ่งนัก”

ร้อยเอกเจนเซ่นเห็นหลายคนพยักหน้าแก่กันอย่างสมเพชบุคคลผู้หนึ่ง ก็รู้ทันทีว่าเรื่องพระมนตรีตัดช่องน้อยแต่พอตัวหนีเอาชีวิตรอดกลับบางกอกไปแล้วเป็นที่รู้กันทั่ว จึงเล่าให้ฟังว่า

“ท่านกงสุลเคลเล็ตต์โทรเลขไปที่บางกอกแจ้งให้ท่านทราบสถานการณ์น่ากังวลที่นี่” ท่านที่ร้อยเอกเจนเซ่นเล่าถึงคือ สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ “พวกท่านก็คงรู้ดีว่าการส่งโทรเลขไปที่บางกอกต้องผ่านมือพระมนตรีก่อน ไอ้ข้าหลวงขี้ขลาดนี่จึงเขียนแสดงความคิดเห็นต่อท้ายรายงานของท่านกงสุลว่า เรื่องที่ท่านแจ้งไม่มีมูลความจริง และหากว่าจะมีเค้าจริงอยู่บ้าง ที่พวกเงี้ยวจะฆ่าชาวสยามไม่เลือกนั้น พวกเงี้ยวก็ไม่สมควรได้รับการผ่อนผันโทษอย่างใด แต่ตอนนี้ตัวมันเองกลับแจ้นหนีหางจุกตูด” ร้อยเอกเจนเซ่นหัวเราะเยาะอย่างดูแคลนแล้วว่า “คงไม่มีใครเดินทางจากลำปางไปบางกอกได้เร็วเท่านี้อีกแล้ว”

ระยะเวลานั้นคือ ๑๑ วัน

“ท่านกงสุลเคลเล็ตต์มีโทรเลขอีกฉบับ ขอโปรดอภัยโทษแก่คนที่ถูกบังคับให้เข้ากับเงี้ยว หากทัพสยามจะบุกเข้ามา ก็ขอจงอย่าได้ทำอะไรชาวบ้านเหล่านี้ เพราะหลายคนก็ถูกจับเป็นเชลยแล้วถูกทารุณบังคับให้เข้าเป็นพวกเงี้ยว ต้องกล้ำกลืนฝืนทนมิได้เต็มใจเลย”

หลุยส์ระบายลมหายใจช้ายาวอย่างระอา ทำให้ทุกคนหันไปมองเขาเป็นตาเดียว

“ดูท่าเขาจะเป็นปัญหามากกว่าที่พวกเรารู้” หลุยส์เล่าให้ฟังถึงเหตุการณ์ที่เขาประสบมาก่อนหน้า “ตอนที่พระมนตรีจะยกพลไปปราบเงี้ยวที่บ่อแก้ว เขามาขอช้างจากฉัน ๑๕ เชือก เพื่อร่วมขบวนลำเลียง ครั้งที่กงสุลเคลเล็ตต์ตามไปด้วยนั่นแหละ” หลุยส์ไม่ขยายความว่ากงสุลเคลเล็ตต์ไปในฐานะหุ้นส่วนธุรกิจ เพราะเกรงว่าช้างที่พระมนตรีขอไปจะได้รับอันตราย ซึ่งจะส่งผลเสียหายมาถึงการทำไม้ “พระมนตรีคงคิดว่าท่านกงสุลเข้าไปจุ้นจ้านวุ่นวาย เลยโทรเลขรายงานไปที่บางกอกว่า ถ้าหากท่านกงสุลได้รับอันตรายใด ๆ ในคราวนี้ ก็เป็นเรื่องพ้นจากความรับผิดชอบของตัว”

“ข้าหลวงคนนี้หาความจริงใจไม่ได้ นี่หรือตัวแทนของสยาม” เจ้าหลวงลำปางเอ่ยออกไป “มาขอร้องอ้อนวอนฉัน เอาเงินรางวัลมาล่อว่าจะกราบทูลเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย ถ้าเรายืนหยัดต่อสู้กับฝ่ายสยามจนถึงที่สุด ทุด!” คำสุดท้ายหนักแน่นอย่างชิงชังรังเกียจ มิได้ชิงชังสยาม แต่รังเกียจคนที่สยามแต่งตั้งมากำกับดูแลการปกครองที่นี่ พินิจไม่ออกหรือไร ว่าคนอย่างไหนสุจริตหรือปลิ้นปลอกกลอกกลิ้งหาประโยชน์ใส่ตัว แต่ตัดช่องเอาตัวรอดเมื่อมีภัย

วิลเลียมฟังอยู่นาน สบช่องเสนอความคิดเห็นออกไป

“ตอนนี้ทางสยามคงมองฝ่ายเงี้ยวเป็นกบฏแน่ และพ่วงเอาเจ้าหลวงเมืองแพร่รวมไปด้วย เพราะได้ถือน้ำสาบานกัน ผมคิดว่าสยามจะคลางแคลงใจไม่น้อยว่า เจ้าหลวงเจ้านายหัวเมืองต่าง ๆ คงถือโอกาสนี้สนับสนุนพวกเงี้ยวทั้งอย่างลับและแสดงตัว เพราะหากเงี้ยวชนะ เจ้าหลวงก็ได้อำนาจคืน”

เจ้าหลวงลำปางเอ่ยขึ้นมา

“ข้าก็ถือน้ำกระจ่าวาที ไม่คิดมีใจออกหากจากพระเจ้ากรุงสยามไปฝักใฝ่พวกเงี้ยวแน่ แม้จะเป็นเชื้อเครือเจ้าผู้ครองนครอย่างเจ้าหลวงเมืองแพร่”

หลายคนในที่นั้นเห็นใจ ลึกลงไปในน้ำเสียงก็ยังสัมผัสได้ว่าเจ้าหลวงเองก็ยังกินแหนงแคลงใจกับการที่ต้องสวามิภักดิ์ใต้ร่มเงาการปกครองของสยาม ยามเข้าพิธีถือน้ำกระจ่าวาทีหรือถือน้ำพิพัฒน์สัตยานั้นก็ใช่ว่าเต็มใจหมดหัวใจ เจ้าหลวงแพร่ครั้งนี้ยิ่งน่าเห็นใจใหญ่ เพราะเหมือนคนอยู่ตรงกลางถูกสองข้างชักเย่อ เพียงแต่ความเจ็บช้ำที่ถูกสยามเอาเปรียบยึดอำนาจไปผ่านการปกครองอย่างใหม่ที่เรียกว่าเทศาภิบาล กับการถือครองกิจการสัมปทานป่าไม้มีมากกว่า ประกอบกับชัยชนะของฝ่ายเงี้ยวที่เห็นประจักษ์ ทำให้เจ้าเมืองแพร่ถือน้ำร่วมสาบานกับพวกเงี้ยว

นับจากนั้นจึงถูกตราหน้าจากฝ่ายสยามว่าเป็นกบฏ

ไม่มีเวลาให้จ่อมจมอยู่กับอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งนานเกินไป จึงกระตุ้นกันให้เร่งคิดแผนรับมือ

สิ่งแรกที่ต้องทำคืออพยพผู้คนให้มาอยู่รวมกัน

หลุยส์ยินดีให้ที่บ้านของเขาและบริษัทบอร์เนียวที่ตั้งอยู่ใกล้กันเป็นที่หลบภัยของชาวตะวันตกในเมืองละกอนและชาวบ้านบางส่วน ส่วนเจ้าหลวงให้เครือญาติและบริวารทั้งหมดรวมกันที่คุ้มหลวง เพื่อความสะดวกในการดูแลความปลอดภัย

ประกาศให้เก็บของย้ายที่อยู่ชั่วคราวดำเนินไปอย่างรวดเร็ว ไม่นานจากนั้นทั้งบ้านหลุยส์และคุ้มเจ้าหลวงก็เต็มไปด้วยผู้คนที่มีทีท่ากึ่งโล่งใจกึ่งหวาดกลัว แต่ความรู้สึกว่าตนและครอบครัวจะปลอดภัยจากพวกเงี้ยวมีมากกว่า

ทว่าเจ้าหลวงก็ยังฉุนเฉียว เล่าด้วยน้ำเสียงกราดเกี้ยวเมื่อนัดหมายหารือกันอีกครั้งในตอนเย็น

“บ้านอ้ายคำหมื่นบ่ยอมย้ายมาอยู่ในคุ้มหลวง หลึกนัก…ดื้อด้านจริง”

อ้ายคำหมื่นที่เจ้าหลวงเอ่ยถึงนั้นคือเจ้าคำหมื่น บิดาของเจ้านางนกน้อยที่วิลเลียมรู้จักมากกว่า ด้วยว่าเป็นเจ้านายเก่าของนางหนูและเป็นคู่ปรับกับมิสเตอร์อีแวนเดอร์

“ดื้อด้านกันตึงครัว…ทั้งบ้าน กึ๊ดว่าอยู่ในหอน้อยนั้นแล้วจะรอดพ้นกา” เจ้าหลวงขุ่นเคืองใจ แต่ก็ไม่อาลัยซ้ำบ่นรำคาญ

ใคร ๆ ก็รู้ว่าเจ้านางนกน้อยฝักใฝ่ในเวทมนตร์คาถาผิดวิสัยสตรี ไม่กลัวเผตผีวิญญาณชั่วร้าย มื้องายมื้อแลงแต่งดอกใส่ขัน ขังตัวอยู่แต่ในนั้น…ในหอน้อย ที่บริวารบ่าวไพร่หวาดกลัวไม่ยอมกรายใกล้ แค่เฉียดผ่านไปก็ขนคิงลุก…ขนลุกซู่ อู้เล่ากันว่าเป็นหอผี

เจ้าหลวงเกรงว่าถ้าเงี้ยวมาถึงคุ้ม บุกทลายคุกได้ นักโทษทั้งหลายก็จะเข้าหมู่สู้เคียงทัพเงี้ยวเช่นเดียวที่เกิดขึ้นในเมืองแพร่ จึงชิงตัดไฟเสียแต่ต้นลม เปิดประตูคุกลากนักโทษเดินเรียงกันมา สั่งเสนาให้ประหารสิ้นอย่าให้เหลือแม้สักคน

ไม่เหลือเวลาครวญคร่ำร่ำไร ร้อยเอกเจนเซ่นแจ้งแผนการต่อไปคือสร้างป้อมปราการ

กำลังพลป้องกันเมืองลำปางวางไว้สี่ด่านตามแนวฝั่งน้ำวังเลียบไปหลังจวนข้าหลวงสยาม ด่านน้อยคอยเดินยามอยู่ตามถนนเพื่อป้องกันคุ้มหลวงและตัวเมือง อันไม้ซุงที่ลากมาสร้างป้อมนั้นก็ขอปันมาจากบริษัททำไม้ นายห้างทั้งหลายก็ให้ด้วยยินดี

 

“ท่านไม่ยอม”

หลุยส์เคาะกระดาษในมืออย่างใช้ความคิด วิลเลียมรับกระดาษแผ่นนั้นไปอ่านดูจึงรู้สาเหตุของความหนักใจนี้

ก่อนหน้านี้ไม่กี่วัน กรมหลวงนเรศรวรฤทธิ์ขอให้ข้าหลวงสยามและครอบครัวอพยพมาพำนักที่บริษัทบอร์เนียว เพราะน่าจะปลอดภัยว่าอยู่ที่จวนหรือบ้านพักข้าหลวงสยาม ดังที่เห็นตัวอย่างจากแพร่แล้วว่า เงี้ยวมุ่งบุกไปยังสถานที่ที่เกี่ยวข้องกับสยามก่อน ฉะนั้น ถ้าให้พักในบริษัททำไม้ของชาวตะวันตกน่าจะปลอดภัยกว่า

นายห้างเกือบทั้งหมดไม่เห็นด้วยกับคำขอนี้ จึงมีหนังสือตอบกลับไปว่าไม่สะดวก และเสนอให้ข้าหลวงสยามและครอบครัวอพยพไปเชียงใหม่

“ท่านได้ชี้แจงมาว่า ถ้าข้าหลวงสยามอพยพไปเชียงใหม่ ก็เท่ากับทำให้เห็นว่ารัฐบาลสยามยอมแพ้ ถึงอย่างไรก็ขอให้หลุยส์จัดที่พักให้ข้าหลวงสยามและครอบครัวด้วย”

วิลเลียมสรุปเนื้อความในเอกสารแจ้งให้ทุกคนฟัง สีหน้าผู้ที่รับรู้ล้วนไม่พอใจ ยุให้หลุยส์เพิกเฉยกับคำขอแกมสั่งที่เอาแต่ได้นั้นเสีย

หลุยส์นิ่งอยู่พักใหญ่ ไตร่ตรองหนทางที่จะยังรักษาความสัมพันธ์ของทุกฝ่ายได้อย่างประนีประนอม แม้หลายคนจะมองว่าเขาเป็นคนมีเล่ห์เหลี่ยมและฉกฉวยเอาประโยชน์จากสยามมามาก แต่เขาก็ไม่เคยลืมว่าในเส้นทางชีวิตที่เขาเติบโตมาจนวันนี้ สยามคือส่วนหนึ่งในตัวเขา เขารู้พระอัธยาศัยของพระเจ้ากรุงสยาม ความเลวร้ายที่เกิดจากฝ่ายสยาม ส่วนหนึ่งเป็นเพราะพวกข้าหลวงที่แอบกระทำการไกลหูไกลตา มิใช่พระองค์   “ถึงอย่างไรก็ต้องอพยพ” หลุยส์สรุปข้อถกเถียงที่หารือกันมาตั้งแต่หัวค่ำ “ในเมื่อท่านไม่ยอมให้คนของสยามอพยพไป เราก็ให้คนของเราอพยพไปแทน”

วิลเลียมแจ้งแผนอพยพให้ชาวตะวันตกซึ่งส่วนใหญ่เป็นมิชชันนารีและครอบครัวนายห้างปางไม้ฟัง หลายคนไม่เห็นด้วย ยืนกรานจะไม่ไป แต่ก็ไม่ยินดีที่จะให้ครอบครัวข้าหลวงสยามมาร่วมชายคาด้วย วิลเลียมต้องใช้เวลาอธิบายเหตุผลความจำเป็นและเกลี้ยกล่อมอยู่พักใหญ่ เพื่อนพ้องชาวอังกฤษจึงค่อยคลายความแข็งลง ยอมเดินทางไปเชียงใหม่ หากกระนั้นก็ยังติดปัญหาเรื่องทรัพย์สินที่มีทั้งสมบัติส่วนตัวและสมบัติของบริษัท

“จะให้ขนสมบัติไปด้วยก็หลายหีบ จะให้ทิ้งไว้ที่นี่ฉันก็ไม่ไว้ใจ”

นายห้างคนหนึ่งที่ขึ้นชื่อว่าเหนียวแน่นในเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ หวาดกลัว เพราะไม่เชื่อถือความสุจริตใจของพวกข้าหลวงสยามที่จะมาหลบภัยที่นี่ เท่าที่เห็นมามีแต่พวกเห็นแก่ได้ และหยิบฉวยเอาสิ่งของพึงใจไปเป็นของตัว ด้วยถือว่าตนมีอำนาจ ก็เท่ากับมีสิทธิ์ในการครอบครองสิ่งนั้น และอาจล่อเป้าให้พวกเงี้ยวนึกอยากบุกมากขึ้นก็ได้ ถ้ารู้ว่าสมบัติของทุกคนมารวมกันอยู่ที่นี่

“ใส่ห่อเขียนชื่อไว้ แล้วโยนลงบ่อหลังบ้านให้หมด” หลุยส์หาทางแก้ปัญหา

ลีรอยคอยจัดการในส่วนนี้ จดบัญชีห่อสมบัติที่โยนลงไปในบ่อน้ำ นึกรำคาญนายห้างขี้เหนียวผู้นั้นที่ไม่เห็นด้วยแต่ก็ยังนึกไม่ออกว่าจะมีทางใดดีไปกว่านี้ ลีรอยจึงบอกไปว่า

“ถ้าผมเป็นโจร คนแรกที่ผมจะมองหา คือคนที่พกเงินไว้กับตัวเป็นตู้เซฟเคลื่อนที่” เขาชะงักที่จะยกตัวอย่างกรณีของแพทริกได้ทัน

ได้ผล…นายห้างผู้นั้นโยนห่อเงินลงในบ่อ แม้ไม่ถึงกับทันที เพราะช่วยกันกับภรรยาตรวจป้ายชื่อให้ถ้วนถี่อีกหลายครั้ง แต่สุดท้ายก็โยนลงไป

ลีรอยสรุปในตอนท้าย

“อย่างน้อยเราก็คงไม่สูญเสียจนหมดตัว”

 

จุดหมายที่จะอพยพไปมีสองแห่ง คือเชียงใหม่และระแหง

ในหนังสือแจ้งข่าวของพวกเงี้ยวไม่พูดถึงที่นั่น แสดงว่าไม่สำคัญที่จะต้องรีบยึดครองเช่น ลำปาง เชียงใหม่ หรือเชียงแสน หลายคนเห็นด้วยและยิ่งอุ่นใจว่าจะปลอดภัยเมื่อผู้นำขบวนอพยพนั่งเรือไปตามแม่น้ำวังสู่เมืองระแหงคือหนานทิพย์

มุ่ยจะเดินทางไปกับพ่อ มีหมอและมิสสซิสสจ๊วต นางหนูและลูกน้อยในห่อผ้า แต่ทว่ามุ่ยยังมีห่วงอีกสองตัวใหญ่ ๆ ไอ้เลี่ยมกับนังเบ็ด

หลุยส์หัวเราะอย่างถูกใจ รับแรงแข็งขอบว่าจะช่วยดูแลให้

“เอามันมาไว้ในคอกที่นี่ ทั้งสองตัวนั่นละ”

แม้ยังไม่เชื่อสนิทใจกับรอยยิ้มของมิตสะหลวย แต่มุ่ยก็ไม่มีทางเลือกอื่น

อีกกลุ่มหนึ่งสมัครใจอพยพไปทางบก มุ่งหน้าสู่เชียงใหม่

“เชียงใหม่เป็นศูนย์กลาง มีทั้งข้าหลวงใหญ่จากสยาม ทั้งกำลังตำรวจมากกว่า กงสุลของเราก็อยู่ที่นั่น ต่อให้ต้องเผชิญหน้ากัน ฉันก็ไม่กลัว” โทมัสว่าและอาสาในตอนท้าย ถูมืออย่างอย่างพร้อมจับอาวุธรบเต็มที่ “ฉันจะไปสมทบกับทัพเชียงใหม่ เงี้ยวมาถึงเมื่อไรต้องได้เห็นดีกัน”

เบ็ตตี้และเรต้าสนับสนุนการเดินทางไปเชียงใหม่ด้วยเหตุผลว่าที่กงสุลน่าจะปลอดภัยที่สุด ด้วยในเขตรั้วกั้นบริเวณกงสุลเทียบเท่ากับเป็นประเทศอังกฤษที่หล่อนจากมา ส่วนโทมัสจะบ้าบอไปร่วมทัพปราบเงี้ยวอย่างไร ไม่อยู่ในความสนใจ

“เช่นนั้นแล้วกลุ่มที่จะไปเจียงใหม่ก็เดินทางไปพร้อมขบวนของเจ้าน้อยที่จะไปห้างสัตว์” เจ้าหลวงลำปางให้เจ้าหลานหนุ่มผู้หนึ่งนำทัพไปเตรียมสกัดเงี้ยวที่จะบุกเข้าเชียงใหม่ หากว่าลำปางต้านทานไม่ไหว

ป่าห้างสัตว์นี้ ในเวลาต่อมาก็เรียกแผลงไป รู้จักกันในชื่อ ห้างฉัตร

“จากตรงนั้นอีกไม่ไกลก็เข้าเขตเจียงใหม่ นายห้างโทมัสคงนำทางต่อเองได้”

โทมัสยักไหล่อย่างไม่เห็นว่าเป็นเรื่องทุกข์ร้อน

คนที่เหลือจัดกำลังตั้งรับทัพเงี้ยว เมืองและลีรอยคอยดูแลความปลอดภัยในบ้านหลุยส์และตู้เซฟบริษัทบอร์เนียว หลุยส์และเจ้าหลวงคุมกองกำลังด้วยกันฟากหนึ่ง ร้อยเอกเจนเซ่นและวิลเลียมขี่ม้าคุมกำลังตำรวจคอยรับอยู่ที่บังเกอร์ไม้สักหัวถนนใหญ่

 

กลุ่มที่อพยพไปเชียงใหม่เดินทางไปแล้วตั้งแต่บ่าย ส่วนกลุ่มที่จะลงเรือไประแหงกำหนดเดินทางในตอนค่ำ วิลเลียมหาโอกาสพบกับมุ่ยตามลำพังได้ยากเต็มที ด้วยหน้าที่คุมคนสร้างบังเกอร์และวางแผนรับศึกสำคัญกว่าในยามนี้

สบโอกาสนิดเดียวก่อนเดินทาง ขณะที่คนงานช่วยกันขนหีบเสื้อผ้าลงเรือ มุ่ยก็ส่งสัญญาณเรียกเขาไปที่มุมหนึ่ง นั่นทำให้วิลเลียมเป็นสุขใจขึ้นมาว่าสาวน้อยเองก็คอยเวลาได้พบปะพูดจากับเขาเป็นส่วนตัวเช่นกัน

มุ่ยส่งผ้าเช็ดหน้าผืนใหญ่ให้วิลเลียม

“นายห้างชุบน้ำแล้วปิดปากปิดดังไว้” บอกให้ใช้ผ้านี้ชุบน้ำให้หมาดปิดปากปิดจมูกไว้ “จะได้ปลอดภัยจากค้างคากจงโคร่ง”

วิลเลียมรับรู้ถึงความห่วงใยผ่านน้ำเสียงนั้น แต่เขายังไม่เข้าใจว่าจงโคร่งคืออะไร ทำไมมุ่ยจึงเตือนเขาเรื่องนี้ ค้างคากนั้นรู้แล้วว่าคือคางคก แต่จงโคร่งยังไม่เคยได้ยิน

มุ่ยไม่เสียเวลาเล่นท่า รีบชี้แจงให้จ่างเพราะใกล้เวลาลงเรือ หมอและมิสซิสสจ๊วตหิ้วกระเป๋าออกมาจากตึกแล้ว

“นายห้างจำตอนที่เฮาฮมยาหมูของมิตสะหลวยได้ก่”

วิลเลียมพยักหน้า ทำไมจะจำไม่ได้…จำได้แม่นเสียด้วย เพราะชัยชนะจากการแข่งหมูนั้นทำให้บริษัทเรียกผลประโยชน์ที่หลุยส์ตุกติกมานานได้ แม้มุ่ยจะใช้วิธีแกมโกงเล็กน้อยด้วยการรมควันพิษให้หมูของหลุยส์สติฟั่นเฟือนไปชั่วขณะ กลับมาที่สถานีป่าไม้ เขายังไล่เรียงจะเอาโทษ

ควันพิษนั้นทำมาจากหนังคางคกตากแห้ง

“จงโคร่งก็คางคกนั่นละ แต่พิษมันแรงกว่า สูตรที่แรงคือจงโคร่งตากแห้งป่นผสมกับเห็ดรังเห่า เผากับฝอยกาบป๊าว…มะพร้าว ควันพิษจะลอยคลุ้ง สูดดมบ่เท่าใด ก็ล้มก้น หลับเหมือนต๋าย บ่ฮู้คิง…ไม่รู้ตัว” มุ่ยบอกละเอียดไม่ปิดบัง “หมู่โจรมันเลยมักรมควันให้คนในบ้านหลับก่อนขึ้นไปปล้น”

วิลเลียมอยากกอดร่างบางของมุ่ยไว้ แต่ที่ทำได้ก็เพียงเอื้อมมือไปรับผ้าเช็ดหน้า ทว่าอ้อยอิ่งกุมมือบางไว้ไม่อยากปล่อย เขากลัวว่าถ้าปล่อยมือไปจะไม่มีโอกาสได้เกาะกุมอีก

เมืองและลีรอยเดินเข้ามา บอกว่าถึงเวลาต้องลงเรือแล้ว

เรือหลายลำลอยเทียบริมฝั่งน้ำเพื่อมุ่งหน้าไปเมืองระแหง กลุ่มนี้ส่วนใหญ่เป็นมิชชันนารีและครอบครัวของนายห้างป่าไม้บางส่วน เรือลำหนึ่งมีหมอและมิสซิสสจ๊วต นางหนูพร้อมลูกน้อย และมุ่ยนั่งไปด้วยกัน หีบหลายใบนั้นแกล้งหลอกตาว่าเป็นกำปั่นเสื้อผ้าข้าวของเครื่องใช้ ทว่าภายในคือเงินที่ถ่ายออกมาจากตู้เซฟเพื่อเก็บไว้ให้ห่างมือโจร จบเรื่องแล้วค่อยเอากลับคืนมา

ดวงจันทร์ทอแสงหม่นสลัว พอเห็นหน้าเห็นตัวราง ๆ ได้โดยไม่ต้องส่องไฟ ครั้นเรือแล่นออกจากฝั่งไป วิลเลียมมองตามไปด้วยความห่วงหาและอาลัย ด้วยเรือลำนั้นคือลำที่มุ่ยโดยสารไปเมืองระแหง

ร่างหนึ่งยืดตัวค้ำถ่อทำหน้าที่เป็นคนคัดท้าย จังหวะผ่านคบไฟที่ปักริมฝั่ง ลมแรงพัดมาพรูหนึ่ง ดึงผ้าที่คนคัดท้ายคลุมหัวไว้ให้หลุดออก

วิลเลียมแทบจะร้องออกมาปากคอสั่น อยากเหนี่ยวไกปืนให้ลั่นไปปะทะร่างนั้นเมื่อเห็นหน้า ทว่าเขาไม่มีอาวุธใด ในมือมีเพียงผ้าเช็ดหน้าที่ตอนนี้ซับเหงื่อจากฝ่ามือเขาจนชื้น หน้าซีดขาว เนื้อตัวเยียบเย็นดุจเลือดไหลออกไปหมดร่าง

“ลีรอย…นายเห็นคนคัดท้ายเรือลำนั้นไหม”

ลีรอยไม่ตอบ แต่กุมมือเพื่อนส่งกำลังใจ แม้มิอาจรับรองได้ตามที่พูด เพราะเขาเองก็ตกใจเช่นกันเมื่อเห็นหน้าฝ่ายนั้น

จินตนาการในทางร้ายเกิดขึ้นทันที

คนคัดท้ายเรือลำนั้นคือ ปะเล!

 

วันพรุ่งนี้เงี้ยวจะบุกลำปาง

บรรยากาศตึงเครียดกุมไปทั่วอาณาบริเวณและทุกดวงหน้าของคนที่ล้อมวงกัน แสงตะเกียงวับวามจับดวงหน้าวิตกราวกับแบกภูเขาหนักไว้คนละหลายลูก

เงี้ยวจะบุกเข้าลำปาง ที่แต่เห็นชักขบวนเข้ามามีไม่กี่สิบ น้อยเกินกว่าจะต้องหวาดหวั่น แต่ร้อยเอกเจนเซ่นไม่ปักใจเชื่ออย่างนั้น มันอาจมีอย่างอื่นที่ตบตาอยู่

“เท่าที่ผมได้รับแจ้งมา พะกาหม่องแบ่งกำลังเฝ้าเมืองแพร่แค่ ๑๐๐ คน ที่ยกไปตั้งทัพที่ท่าอิฐเตรียมสกัดทัพสยามมี ๑๕๐ คน ที่เหลือบุกมาลำปางนี้มีถึง ๒๐๐ คนทีเดียว”

“แต่เราเห็นเดินกันมาไม่กี่สิบ” วิลเลียมมั่นใจเพราะเขาซุ่มจับตาดูตลอดทั้งวัน

ข้อสงสัยนั้นได้คำตอบจากเจ้าหลวงในวินาทีต่อมา วาจาที่บอกเล่าทั้งคั่งแค้นและอับอายระคนกัน

“เงี้ยวที่เห็นนั้นเป็นแค่พวกออกมาตบตา จำนวนที่แท้จริงซุ่มซ่อนอยู่ที่หนึ่ง มีคนรู้เห็นเป็นใจให้ที่พักพิงช่วยเหลือพวกเงี้ยวซ่องสุมกำลังและอาวุธอยู่”

“คุ้มเจ้าคำหมื่นหรือครับ” วิลเลียมถามเสียงเบา เขาคิดว่าใช่ แต่ยังเกรงใจที่จะเอ่ยตรง ๆ ให้เจ้าหลวงสะเทือนใจยิ่งกว่านี้

เจ้าหลวงไม่ตอบ หลับตานิ่งคล้ายกำลังกลืนเลือดลงคอ

เท่านั้นก็เพียงพอจะรู้ถึงความเจ็บร้าวใจของเจ้าหลวง และเหตุผลที่ว่าทำไมเจ้าคำเมาและเจ้านางนกน้อยยืนกรานจะปักหลักอยู่ที่คุ้มของตน ไม่อพยพไปรวมเจ้าญาติคนอื่น ๆ ที่คุ้มหลวง

ร้อยโทชุ่มลูกน้องของร้อยเอกเจนเซ่นเข้ามารายงานที่ทำให้ทั้งโล่งใจและเพิ่มเรื่องวิตกใหม่เข้ามา

“ขบวนที่ไปทางบกถึงเชียงใหม่ปลอดภัยดีทุกคน แต่ขบวนเรือที่ไประแหง…”

เขาทอดเสียงคล้ายจะให้เวลาเตรียมใจรับฟังเรื่องร้าย หนานทิพย์นำขบวนเรือเจ็ดลำไปตามแม่น้ำวัง ส่วนใหญ่เป็นมิชชันนารี หลายคนจึงไม่ห่วงเพราะทางน้ำไม่ใช่จุดซุ่มซ่อนของเงี้ยว และมิชชันนารีก็มิใช่เป้าหมายเด็ดหัวเช่นกัน ศัตรูตัวฉกาจที่เงี้ยวหมายมาดเอาชีวิตและบั่นคอคือพวกข้าหลวงสยาม

“เงี้ยวบุกปล้นขบวนเรือ แต่ไม่ได้อะไรไป นอกจาก…”

นายร้อยโทยังรู้สึกยากลำบากที่จะบอกเรื่อง เมืองกับวิลเลียมรอฟังข่าวใจจดจ่อกว่าใคร ใบหน้าเผือดซีดรออยู่แล้ว

“เรือลำหนึ่งล่ม คนในเรือจมน้ำตาย แต่ที่เหลือรอดไปได้ถึงระแหง”

“มุ่ย!” วิลเลียมอุทาน

“พ่อ!” เมืองร้อง

สองคนมองหน้าประสานสายตา ความคิดตรงกันโดยมิได้นัดหมาย แต่ยังไม่ทันจะซักไซ้ให้รู้แน่เสียงปืนก็ดังขึ้น

ปัง!

ฟ้ามืดสว่างขึ้นแวบหนึ่งเพราะพลุไฟที่จุดขึ้นฟ้า เป็นสัญญาณแจ้งให้รู้ว่าทัพเงี้ยวพร้อมแล้วที่บุกลำปางให้ราบเป็นหน้ากลองเช่นเดียวกับแพร่

เจ้าหลวงกำหมัดแน่น ขบกรามจนเป็นสัน ตาจับนิ่งไปที่พลุไฟ

“ตรงที่บอกไฟขึ้นนั้น คือคุ้มไอ้คำหมื่น”

ความเจ็บแค้นของเจ้าหลวงที่แสดงออกมานั้นคงมีสาเหตุไม่ต่างจากวิลเลียม ความคั่งแค้นที่เกิดจากคนใกล้ตัว…คนที่ไว้ใจไม่เคยคิดระแวง เจ็บร้าวไปถึงปลายเส้นผมยิ่งกว่าคนที่ประกาศตัวชัดว่าเป็นอริกันมากกว่า

ทำไมหนอยามนี้จึงต้องมารับรู้ว่า รอบตัวมีแต่คนทรยศ

 



Don`t copy text!