เวียงวนาลัย บทที่ ๖ ผูกเสี่ยวเกลียวสัมพันธ์ “ข่าวด่วน”

เวียงวนาลัย บทที่ ๖ ผูกเสี่ยวเกลียวสัมพันธ์ “ข่าวด่วน”

โดย : เนียรปาตี

เวียงวนาลัย เรื่องราวของวิลเลียม หนุ่มอังกฤษที่เดินทางมาทำงานในบริษัทสัมปทานป่าไม้ในภาคเหนือของสยาม เขาไม่เคยนึกฝันมาก่อนว่าต้องเผชิญกับอะไรมากมายในดินแดนที่ไม่คุ้นเคย ทั้งมิตรแท้ สงครามและความรัก มาเอาใจช่วยหนุ่มอังกฤษคนนี้กับชีวิตอันแสนจะโลดโผนในเวียงวนาลัย นวนิยายออนไลน์ โดย เนียรปาตี ที่อ่านเอาภูมิใจนำเสนอ

ตะวันลับเหลี่ยมเขาไปแล้วเมื่อคณะสำรวจป่ากลับมาถึงสถานีป่าไม้ ในยามปกติเวลานี้จะเงียบเหงา มีเพียงเสียงแมลงกลางคืนร้องระงมอยู่ทั่วไปแต่ไม่เห็นตัว ทว่าวันนี้กลับมีความครึกครื้นกระจายแผ่ออกมาตั้งแต่ย่างเท้าก้าวเข้าไป เบ็ตตี้ยกอาหารจานสุดท้ายมาวางที่โต๊ะโดยมีนางหนูเป็นผู้ช่วย ครั้นเห็นวิลเลียมก้าวเข้ามาจึงส่งยิ้มกว้างนำไปก่อน ยื่นตะกร้าขนมปังให้หนูรับไปจัดการต่อราวนายหญิงสั่งการสาวรับใช้ ก่อนจะสาวเท้าเร็ว ๆ เกือบเป็นลิ่วไปยังชายหนุ่ม

“เธอกลับมาถึงทันเวลาพอดี ถ้าจะอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าสักหน่อยก็ยังได้”

ชายอังกฤษหกคนส่วนใหญ่อยู่ในวัยหนุ่มที่กระจายตัวอยู่ในบริเวณต่าง ๆ รวมกันเข้ามา มิสเตอร์อีแวนเดอร์ยิ้มรับทักทาย ‘การกลับบ้าน’ แล้วแนะนำให้รู้จักกันอย่างรวดเร็วโดยเฉพาะกับผู้มาใหม่อย่างวิลเลียมและลีรอย

“บางคนไปสำรวจป่าอื่นก่อนหน้าเธอจะมาถึง บางคนก็เพิ่งกลับมาจากอังกฤษ อินเดีย และพม่า” มิสเตอร์อีแวนเดอร์หันไปยังผู้หนึ่งที่เพิ่งกลับจากเยี่ยมบ้านเกิด “โทมัส หวังว่าเธอได้ใช้เวลาแห่งความสุขกับครอบครัวจนคุ้มค่ากับที่ต้องจากบ้านมาห้าปีนะ”

ดวงหน้าผ่องใสและยิ้มเต็มอารมณ์ของนายห้างหนุ่มส่งมาแทนคำตอบ เบ็ตตี้บอกแก่วิลเลียมถึงการเตรียมมื้อค่ำสุดพิเศษ

“ตอนที่คนแจ้งข่าวบอกว่าพวกเธอออกจากป่าแล้ว กะว่าคงมาถึงกันวันนี้แน่ พวกเราเลยตกลงกันว่าจะเลี้ยงต้อนรับกันวันนี้” เบ็ตตี้กวาดสายตาไปทั่วทุกหน้าและใช้สรรพนามว่า ‘พวกเรา’ แทนชาวอังกฤษทั้งหมดในที่นั้น แม้จะบ่นพึมว่ารู้ข่าวฉุกละหุก มีเวลาเพียงน้อยนิด หล่อนต้องเตรียมอาหารและจัดการเรื่องต่าง ๆ มือเป็นระวิง แต่ใบหน้าของหญิงสาวกลับเต็มไปด้วยรอยยิ้มและความเบิกบาน

อาหารที่จัดเตรียมสำหรับมื้อพิเศษค่ำนี้มีสี่คอร์สเต็มมาตรฐานตะวันตก เริ่มจากซุปไก่ ตามด้วยริสโซลส์ไก่ ไก่อบในน้ำมันหมู และมีคาราเมลคัสตาร์ดเป็นของหวาน

เบ็ตตี้เสิร์ฟยอร์กเชอร์พุดดิ้งกับเกรวีหอมใหญ่เป็นอาหารเรียกน้ำย่อยก่อนเริ่มจานหลัก เสียงชมรสมือของหล่อนดังขึ้นจากผู้ร่วมโต๊ะไม่ขาดปาก ทำให้หญิงสาวยิ้มชื่นบานราวแม่บ้านทำหน้าที่ต้อนรับเพื่อนของสามีได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง

อีแวนเดอร์อาบน้ำเปลี่ยนชุดใหม่สำหรับดินเนอร์ ไม่ลืมนุ่งคิลท์ที่เจ้าตัวภาคภูมิใจเสมอเมื่อสวมใส่ วิลเลียมและลีรอยเปลี่ยนชุดใหม่แล้วเช่นกัน เสียงหัวเราะอย่างขบขันดังขึ้นเป็นระยะจากเรื่องประสบการณ์ในป่าแถบนี้ วิลเลียมฟังอย่างสนใจเพราะถือเป็นเรื่องใหม่สำหรับตน แต่จิตใจก็ไม่ปลอดโปร่งนัก ด้วยเหลือบแลหาหาคนที่คำนึงอยู่มิรู้วายแต่ไม่เห็นตัวตั้งแต่เขากลับมาถึงสถานีป่าไม้ จนกระทั่งมิสเตอร์อีแวนเดอร์เคาะแก้วเป็นสัญญาณว่ามีเรื่องที่ขอให้ทุกคนตั้งใจฟัง ครั้นแล้วเขาก็ประกาศข่าวดีแก่ผู้ที่เพิ่งกลับมาที่สถานีป่าไม้ว่าเขากำลังจะเป็นพ่อคน เรียกนางหนูภรรยามารับคำอวยพรยินดี วิลเลียมจึงสบโอกาสถามถึงคนที่มองหา

“หนู มุ่ยหายหน้าไปไหน ฉันยังไม่พบตั้งแต่มาถึง”

น้ำเสียงวิลเลียมติดจะฉิว เท่าที่เก็บปากมาถึงตอนนี้ก็ถือว่าอดทนรอจังหวะมานานแล้ว ยิ่งได้ยินคำตอบ คิ้วทั้งสองยิ่งลู่ลงมาเกือบจะชนกัน

“มุ่ยไปแล้วเจ้า พ่อหนานพาไปก่อนนายห้างปิ๊กมากำเดียว”

นางหนูเล่าให้ฟังว่าหนานทิพย์มารับลูกสาวกลับไปอาศัยกับครอบครัวสจ๊วตแล้ว ก่อนคณะสำรวจป่าจะกลับมาถึงเพียงไม่นาน ข่าวคณะสำรวจป่ากำลังจะกลับมาที่สถานีป่าไม้คงลอยไปเข้าหูหนานทิพย์เช่นกัน

“เช่นนั้นแล้วเราควรเชิญหมอกับมิสซิสสจ๊วตมาดินเนอร์ด้วยกัน” วิลเลียมไม่รู้ตัวว่าน้ำเสียงของเขาฉุนเฉียว ไม่สังเกตเห็นหน้าเบ็ตตี้ที่เจื่อนจางลงไป ฉับพลันเขาก็เลื่อนเก้าอี้ลุกขึ้น “ฉันจะไปเชิญหมอด้วยตัวเอง”

“เธอจะบ้าไปแล้ว วิลเลียม” เบ็ตตี้ทักท้วง “เรากินกันเกือบจะเสร็จอยู่แล้ว เชิญหมอสจ๊วตมาตอนนี้ยิ่งเสียมารยาทหนัก คืนนี้ฉลองแค่พวกเรากันเองก่อนดีกว่า แล้ววันหน้าค่อยเชิญหมอสจ๊วตมาร่วมโต๊ะกัน”

สีหน้าวิลเลียมยังฟึดฟัดหาทางจะเอาให้ได้ดั่งใจ หนูจึงค่อยบอกเสียงอ่อนให้ล้มเลิกความตั้งใจ

“เห็นทีจะยากเจ้า เพราะคืนนี้หมอสจ๊วตกับนายห้างสถานีอื่นไปเลี้ยงกันที่บ้านมิตสะหลวย มุ่ยก็คงไปตวยกั๋นเจ้า”

คำตอบนั้นทำให้วิลเลียมฉุนหนักขึ้น แต่ไม่อาจผลุนผลันพุ่งไปยังบ้านของหลุยส์ที่ท่ามะโอได้

โทมัส นายห้างผู้เพิ่งกลับจากเยี่ยมบ้านที่อังกฤษพอจะจับเรื่องได้ว่า คนสำคัญของเรื่องนี้คือหญิงพื้นเมืองสักคน ที่นายห้างหนุ่มผู้มาใหม่นี้ให้ความสำคัญ ในขณะที่หญิงสาวเชื้อชาติเดียวกันได้แต่นั่งปั้นหน้าให้ดูว่าปกติ ทั้งที่แววตาและท่าทางของหล่อนดูกล้ำกลืน โทมัสจึงช่วยเตือนสติแก่วิลเลียมว่า

“คุณคงหลงเล่ห์แม่ลิงป่าแถบนี้แล้วแน่ ๆ วิลเลียม ในฐานะที่ผมอยู่ที่นี่มาก่อน ผมอยากจะบอกให้คุณรู้ว่าผู้หญิงพวกอาจจะนี้ดูราคาถูกในสมุดบัญชี ถ้าต้องผูกไว้ใช้ประจำ ปีหนึ่งต่ำกว่าร้อยรูปี…ก็แค่เดือนละยี่สิบห้ารูปีเท่านั้น ถูกกว่าที่คุณจ่ายให้กุ๊กของเราเสียอีก แต่นี่แน่ะ…เชื่อผมเถอะว่าจริง ๆ แล้วมันไม่คุ้มเลย หากคิดรวมทั้งหมดที่ต้องจ่ายไปแทบไม่ต่างจากค่าจ้างอีตัวชาวยุโรปมาจากอังกฤษ”

เบ็ตตี้ตัวแข็งชาวาบไปทั้งตัว ไม่รู้ว่าโทมัสแค่พูดไปด้วยคะนองปากหรือจงใจกระทบมาถึงหล่อน เพราะหากว่ากันตามจริงแล้ว ทุกคนที่ชุมนุมกันอยู่ขณะนี้ล้วนมีสถานะ มีตำแหน่งแห่งที่และตัวตนที่ชัดเจน ไม่เว้นแม้แต่นางหนูที่ต่อให้เป็นหญิงพื้นเมือง แต่นางก็เป็นภรรยาออกหน้าของมิสเตอร์อีแวนเดอร์

มีเพียงหล่อนเท่านั้นที่ไม่มีตำแหน่งอันใดในสถานีป่าไม้ และมิได้เป็นภรรยาของนายห้างคนใดเลย

เช่นนี้แล้ว หล่อนจะต่างอะไรจากโสเภณีผิวขาว หรืออีตัวชาวยุโรปที่โทมัสเอ่ยถึงเล่า

“เกรงว่าคุณจะเข้าใจผิด มิสเตอร์โทมัส” วิลเลียมเน้นเสียงเรียกขานอีกฝ่ายชัดทีละพยางค์ บอกอารมณ์ขุ่นขึ้งไม่พอใจ “มุ่ยไม่ใช่หญิงหากินอย่างที่คุณเข้าใจ แต่หล่อนเป็นครูสอนภาษาของผม”

“คุณอย่าอ่อนไหวไปกับสาวชาวบ้านพวกนี้จนเผลอให้เกียรติยกย่องถึงขนาดนั้น คุณรู้จักหล่อนมานานแค่ไหน เรียนคำเมืองได้กี่คำแล้วล่ะ ไอ้เสียงที่ร้องออกมาตอนอยู่บนเตียงหรือในมุ้งน่ะ มันไม่เป็นคำหรอกนะ คุณไม่จำเป็นต้องรู้เลยว่าคำนั้นแปลว่าอะไร แต่คุณอาจจะอยากรู้ว่าเสียงร้องที่เจ้าหล่อนเปล่งออกมานั้นเพราะกำลังเจ็บปวดหรือเป็นสุขจนถึงขีด” โทมัสว่าสนุก หัวเราะนำขึ้นก่อน คนอื่น ๆ ก็หัวเราะครืนขึ้นมา โทมัสจึงแนะนำต่ออย่างได้ใจ “มองหล่อนเป็นของใช้ยามจำเป็นก็พอ คุณคงยังไม่รู้ว่าพวกนี้ร้ายกาจแค่ไหน การลงทุนกับผู้หญิงบางคนต้องรวมพ่อแม่ของพวกหล่อนเข้าไปด้วย นางลิงป่าพวกนี้รู้วิธีป้องกันไม่ให้ตัวเองท้องเป็นอย่างดี แต่ถ้าพวกหล่อนได้นอนกับนายห้างอย่างพวกเราแล้ว พวกหล่อนจะรีบมีลูกให้เร็วที่สุด เพื่อใช้เป็นข้อต่อรองเรียกร้องเอาจากคุณไม่สิ้นสุด ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า อาหาร หรือแม้แต่การศึกษา คุณคงยังไม่รู้ว่านางลิงป่าบางตัวเรียกร้องให้ส่งลูกของมันไปอยู่โรงเรียนดัดสันดานในยุโรป”

ก่อนที่โทมัสจะได้เอ่ยอะไรต่อไป กำปั้นหนัก ๆ ก็พุ่งเข้าอย่างจังที่หน้า ส่งให้ร่างของคนปากดีกองลงไปกับพื้น โทมัสยันตัวลุกเพื่อจะตอบโต้บ้าง แต่เพื่อนนายห้างต่างเข้ามากุมตัวไว้มิให้ปรี่เข้าหากัน

“คุณพูดได้ถี่ถ้วนละเอียดลออ ราวกับเล่าเรื่องของตนเองอย่างนั้นละ” วิลเลียมชี้หน้าคนที่ยังเค้เก้อยู่บนพื้น “คุณอย่าเที่ยวพูดถึงใครอย่างนี้อีก เพราะคุณก็ไม่รู้หรอกว่า คนที่คุณกำลังพูดถึงอย่างสนุกปากว่าโง่เง่าและร้ายกาจนี้ เขาก็อาจจะพูดถึงคุณไม่ต่างกัน และนั่นก็เท่ากับว่า ทัศนคติที่ชั่วช้าของคุณนี่แหละ ที่ทำลายเกียรติศักดิ์ชาวตะวันตกผู้ยกย่องตนเองว่าศิวิไลซ์”

มิสเตอร์อีแวนเดอร์กดบ่าวิลเลียมตบเบา ๆ ให้สติและใจเย็นลง พยักไปยังหนุ่มน้อยร่างท้วมคนหนึ่งให้ช่วยยุติพายุอารมณ์ในห้องนี้ให้หยุดพัด

“คอร์นีย์ มิลเลอร์…ฉันคิดถึงฝีปากและคารมคมคายของเธอจะแย่อยู่แล้ว ช่วยย่อยอาหารด้วยเรื่องตลกของเธอสักหน่อยเถิด”

เสียงปรบมือสนับสนุนดังขึ้นระรัว นายห้างหนุ่มร่างท้วมก็ขยับตัวลุกยืนควงแขนโค้งคำนับดุจนักแสดงแนะนำตัวแก่ผู้ชมบนเวทีละคร

แพทริก มิลเลอร์ เป็นนายห้างหนุ่มร่างท้วมที่ไม่เหมาะกับการทำงานใช้แรง แต่เขาละเอียดถี่ถ้วนในการทำบัญชีและเอกสารที่เกี่ยวข้องทั้งหมดกับการซื้อขายและทำสัมปทานป่าไม้ ทว่าด้วยความสามารถในการเล่าเรื่องตลกโปกฮาเคล้าเสียงเปียโนอย่างคอร์นีย์ เกรย์ ผู้มีชื่อเสียงโด่งดังของลอนดอนมิวสิกฮอลล์ เพื่อนฝูงชาวสถานีป่าไม้จึงตั้งสมญานามให้แพทริกว่าเป็น คอร์นีย์ มิลเลอร์ และให้เขามีหน้าที่สร้างความรื่นรมย์ในเวลาหลังอาหารหรืองานเลี้ยงต่าง ๆ

ชายหนุ่มร่างท้วมตรงไปที่เปียโน รัวนิ้วไล่เสียงสักพักแล้วก็ร้องเป็นเพลง Spanish Cavalier เพื่อปลุกอารมณ์ผู้ฟังให้ครึกครื้นฮึกเหิมขึ้นมาก่อน แล้วจึงค่อยเริ่มบทสนทนาเคล้าเสียงเปียโนเรียกเสียงหัวเราะเป็นระยะด้วยมุกตลกเสียดสีสังคมของนายห้างป่าไม้ในป่าภาคเหนือของสยาม

Say darling say, when I’m far away, sometime you may think of me dear.

เอ่ยออกมาสิยอดรัก แม้เราจักถูกพรากไป ในยามเราห่างไกล ยังคะนึงคิดถึงกัน…ยอดรัก

 

ข่าวด่วนจากระแหงมาถึงหนานทิพย์ที่ดูแลการบูรณปฏิสังขรณ์วัดเก่าในเวียงละกอนเมื่อตอนที่เขากำลังเตรียมตัวจะพามุ่ยไปฝากไว้กับครอบครัวสจ๊วต ประจวบเหมาะกับที่เมืองส่งนายห้างที่สถานีป่าไม้เรียบร้อยแล้วมาพบบิดา ทั้งหมดจึงได้ทราบเรื่องพร้อมกัน

หม่อนหรือยายทวดตาบอดของเมืองและมุ่ยกำลังจะเข้าสู่วาระสุดท้ายของชีวิต

หนานทิพย์จึงสั่งให้ลูกทั้งสองเก็บข้าวของเท่าที่จำเป็นและออกเดินทางโดยไม่รั้งรอ ทั้งหมดมาถึงระแหงทันเวลาก่อนผู้ชราจะวายชนม์ ระหว่างจัดพิธีศพก็พร่ำบ่นเล่าสู่กันว่าแท้จริงหม่อนถึงเวลาต้องจากไปหลายวันแล้ว แต่เหมือนรู้ว่าลูกหลานที่อยู่ไกลกำลังเร่งดั้นมา จึงฝืนกายคอยท่าแม้ตามองไม่เห็น ครั้นผิวเหี่ยวย่นที่อ่อนแรงสัมผัสไออุ่นจากมือหลานวัยหนุ่มสาวทั้งสองเป็นการแจ้งว่ามาถึงแล้วและขอขมา ผู้ชราก็จากไปไม่ทุกข์ทน

เจ้าอาวาสวัดประจำหมู่บ้านที่ทุกคนล้วนเรียกว่า ‘ตุ๊ลุง’ แม้ชราภาพแต่ก็ยังมีสิ่งที่ปรารถนาคือทำพิธีศพ สวดอภิธรรมส่งสการวิญญาณยายของตนให้สู่ภพภูมิใหม่ ตุ๊ลุงเป็นพี่ชายของนางเที่ยงเมียหนานทิพย์ จึงมีศักดิ์เป็นลุงของหลาน ๆ ด้วย พบหน้าเมืองหลานชายคนใหญ่ก็ทักทายยินดี ด้วยว่าครั้งสุดท้ายที่เห็นตัว เมืองยังเป็นหนุ่มน้อยเพิ่งพ้นวัยละอ่อน หากบัดนี้เป็นหนุ่มแน่นหน้าตางาม ดังคำเปรียบเปรยว่า ดั่งเทวาลงมาหล่อเบ้า…งามดุจเทวดาลงมาจุติ แต่ครั้นเพ่งพิศทะลุเข้าไปข้างในดวงชะตาของหลานชายก็ไม่สบายใจนัก

“หม่อนไปสบายดีแล้ว เมืองบวชหน้าไฟหื้อหม่อนเน่อ”

ตุ๊ลุงปลอบให้ปลง การเสียชีวิตของยายทวดนับว่าดีแล้วสำหรับผู้มีอายุขัยยาวนานจนคนรุ่นเดียวกันล้มหายตายจากไปหมดสิ้น ขณะเดียวกันก็บอกสิ่งที่หลานชายควรทำคือการบวชหน้าไฟ หากจริงแท้ในใจหลวงพ่อมาดหมายยิ่งกว่านั้น

เมืองอดนึกถึงชีวิตของตุ๊ลุงที่พ่อเล่าให้ฟังเมื่อครั้งยังเยาว์ไม่ได้

หม่อนหรือยายทวดมีชีวิตยืนยาวกว่าลูกหลาน ลูกตายก่อนไปหมดแล้วเหลือหลานสองคนให้ดูแล หลวงพ่อเองเมื่อครั้งยังหนุ่มก็สุขภาพไม่ใคร่ดี เจ็บป่วยออดแอด จึงไม่ค่อยได้ออกไปวิ่งเล่นกับใคร คลุกคลีชิดใกล้อยู่กับยาย จนกระทั่งแม่ตัวตายไปด้วยโรคระบาด เขาจึงบวชหน้าไฟให้มารดา เวลาสั้น ๆ ในร่มธรรมนำใจให้เป็นสุข จึงหมายใจว่าจะครองผ้าเหลืองเป็นธุเจ้าหรือตนบุญ…พระสงฆ์ อันออกเสียงว่า ตุ๊เจ้า และต๋นบุญ ไปอีกหน่อย รอให้ออกวัสสาแล้วค่อยสึกก็ได้

จากวันนั้นผ่านมาหลายปีตุ๊ลุงก็ยังบ่สิก…ลาสิกขา ครองผ้าเหลืองสืบมาถึงวันนี้

“เฮาตั้งใจไว้เหมือนกัน ตุ๊ลุง” เมืองขานรับ หลวงพ่อจึงพยักหน้าน้อย ๆ อย่างพึงใจ แต่จะปลอดโปร่งโล่งแท้หาใช่ไม่ ยังเก็บงำความวิตกไว้ไม่เอ่ยออกมา จนพิธีศพเสร็จสิ้นเรียบง่ายทว่าครบถ้วนตามประเพณี หลวงพ่อจึงปรารภกึ่งหารือกับหนานทิพย์ผู้เป็นน้องเขยและเมืองผู้หลานชายว่า

“จะสิกเลยก่? ถ้าบ่มีก๋านเร่งร้อนต้องฟั่งปิ๊กคืนไป ตุ๊ลุงก็อยากให้อยู่ในผ้าเหลืองเมินแหมน่อย…สักพรรษาก็จะดี” หลวงพ่อท่านว่าหากไม่มีธุระเร่งร้อนต้องรีบกลับไป ก็อยากให้บวชต่อไปอีกสักหน่อย อย่างน้อยก็สักหนึ่งพรรษา

“มีอะหยังก่ ตุ๊พี่?” หนานทิพย์ถามหลวงพ่อทันทีด้วยสะกิดใจว่ามีนัยแอบแฝง

“ดวงชะตาอ้ายเมืองยามนี้บ่ค่อยดีนัก บ่ถึงกับต๋ายหรอกเน่อ แต่มันก็บ่ค่อยดี”

ได้ยินดั่งนั้นหนานทิพย์ก็หนักใจเหมือนมีทั่งมาถ่วงไว้จนไหล่ค้อม แต่ก็รู้ว่าหลวงพ่อต้องถนอมคำ มิอาจแถลงไขให้แจ้งกว่านี้ได้ บอกลูกชายที่บัดนี้อยู่ในสมณเพศให้ออกไปก่อน ครั้นแล้วจึงหารือกับหลวงพ่อแต่ลำพัง

“ฝืนชะตามันยากแต๊เน่อ หนานติ๊บ” น้ำเสียงเรียบดุจรำพึงมิให้ผู้ฟังรู้ถึงความหนักใจ แต่หลวงพ่อก็ต้องการเตือนสติน้องจาย…น้องเขยไว้ “ถึงสูเป็นสล่าช่างไม้ แต่ก็บ่ได้พะญ๋าปึก…โง่เง่า…เรื่องโหรา ถามแต๊เต๊อะ…เคยคำนวณชะตาลูกดูก่ว่า ดีฮ้ายจะใด”

หลวงพ่อกับหนานทิพย์นั้นเคยมีช่วงเวลาที่บวชเรียนด้วยกัน สิ่งที่สองพระหนุ่มในตอนนั้นสนใจตรงกันคือโหราศาสตร์ ดูฤกษ์พานาที และผูกดวงตรวจชะตาชีวิต เมื่อหลวงพ่อเปรยมาเช่นนี้ แม้หนานทิพย์เม้มปากก้มหน้าไม่เอ่ยคำใด หากนั่นก็เป็นคำตอบได้ว่าทำมาหมดแล้วทุกสิ่งอัน

“ถ้าจะอั้น…หากเป็นเช่นนั้น…ก็ยอมฮับเต๊อะ ว่าลูกเฮาจะได้คู่เป็นคนเมืองไกล…อีหน้อยนั้นบ่เท่าใด” ท่านหมายถึงฟ้ามุ่ย “สุดปลายมันดีอยู่ แต่ไอ้เมืองนี้ก่ะ”

หลวงพ่อไม่เอ่ยต่อ จบคำพูดไปดื้อ ๆ คู่สนทนาก็ไม่รบเร้าซักไซ้ให้ขยายความกระจ่างชัดเจน ด้วยก็พอเดาได้เลือน ๆ ว่าชะตาชีวิตของลูกชายจะเป็นอย่างไร เบาใจเมื่อได้พบหน้าหารือเรื่องการสึก เมืองก็ว่าจะครองตนอยู่ในผ้าเหลืองสักหนึ่งสัปดาห์แล้วจึงลาสิกขากลับไปทำงานที่สถานีป่าไม้ดังเดิม หนานทิพย์ผู้บิดาต่อรองแกมเกลี้ยกล่อมว่า

“บวชสักพรรษาได้ก่ ที่ปางไม้คนหลาย ลูกบ่อยู่สักหว่างก็คงบ่เป็นหยังนัก” ผู้เป็นบิดาเกลี้ยกล่อมว่าคนงานที่สถานีป่าไม้มีมาก หากขาดเมืองไปในช่วงเวลาสั้น ๆ ก็คงไม่ส่งผลกระทบอะไรมาก

ฟ้ามุ่ยน้องรักและนางเที่ยงผู้มารดาต่างสนับสนุนกันถ้วนหน้า แม้ไม่รู้ความนัยเหมือนหนานทิพย์และหลวงพ่อ เมืองจึงโอนอ่อนคล้อยตามตั้งใจจะบวชให้ครบหนึ่งพรรษา เขียนจดหมายเตรียมฝากบิดาไปส่งให้มิสเตอร์อีแวนเดอร์ ขอพักการทำงานที่ออฟฟิศสักสามเดือน

ตะวันเคลื่อนไปได้เพียงห้าวัน หลังจากฉันเพลพระเมืองก็เห็นร่างหนึ่งในชุดสีทรายของนายห้างฝรั่งเข้ามาใกล้ ใบหน้าตื่นตกใจแกมกังวล

เป็นน้อยครั้งที่นายห้างลีรอยมาลำพังโดยไม่มีนายห้างวิลเลียมอยู่ด้วยดุจเงาตามตัว

“มีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นแล้ว เมือง” ลีรอยรีบบอกไปไม่รอช้า “ปู้คำแสนหายไป ตามหาแทบพลิกป่า ทุกซอกมุมในปางไม้ก็ไม่พบ”

ลีรอยเล่าให้ฟังถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น คนที่ปางไม้แตกตื่นกันค้นหา ช้างตัวใหญ่ขนาดนั้นจะหลุดพ้นจากสายตาง่าย ๆ ได้อย่างไร แต่เมื่อหาเท่าไรก็ไม่พบ วิลเลียมก็ทวนทบความทรงจำเมื่อครั้งเดินทางจากระแหงไปละกอนได้ว่า ปู้คำแสนเป็นช้างร้าย แต่มันฮู้กำ…เชื่อฟัง…อยู่สามคนเท่านั้นคือหนานทิพย์ เมือง และมุ่ย

นอกจากแรงงานคนแล้ว ช้างก็เป็นกำลังสำคัญที่จะขาดไม่ได้ในการทำป่าไม้โดยเฉพาะการชักลากและขนส่ง ปางไม้แต่ละแห่งจึงเลี้ยงช้างไว้ส่วนหนึ่ง และเช่าช้างของชาวบ้านมาใช้งานเป็นรายปีอีกส่วนหนึ่ง ลีรอยเล่าให้ฟังอย่างกระชับหากครบถ้วนว่า แพทริก มิลเลอร์ ผู้รับผิดชอบบัญชีของบริษัทดูบัญชีไม้ที่พร้อมตัดในปีนี้แล้วพบว่ามีจำนวนมากกว่าทุกปี จำเป็นต้องใช้ช้างมากขึ้นกว่าที่ผ่านมา มิสเตอร์อีแวนเดอร์จึงเสนอให้รีบไปทำสัญญาเช่าช้างของชาวบ้านแต่เนิ่น ๆ หาไม่แล้วบริษัทอื่นที่ต้องการแรงงานช้างเหมือนกันก็จะปาดหน้าไป ในวันรุ่งขึ้นวิลเลียมและลีรอยจึงไปสำรวจช้างในสถานีแล้วก็พบว่าปู้คำแสนหายไป

ถามคนงานคนเลี้ยงก็ไม่รู้เรื่อง ด้วยว่ายามนี้เป็นช่วงเวลาให้ช้างได้อยู่อย่างอิสระในป่าใกล้สถานีป่าไม้ วิลเลียมสั่งคนงานตามหาอย่างถ้วนถี่ก็ไม่พบ จึงตกลงกันว่าเขาจะเดินหน้าเรื่องขอเช่าช้างจากชาวบ้าน ส่วนลีรอยให้เดินทางไประแหงเพื่อขอความช่วยเหลือจากเมืองหรือหนานทิพย์

พระเมืองฟังเรื่องนี้อย่างไม่ทุกข์ร้อนนัก ด้วยเข้าใจธรรมชาติของช้างหนุ่ม ตอนนี้ปู้คำแสนอาจกำลังผูกเสี่ยวกับช้างสักตัวเชือก และอาจพากันไปหลบอยู่ที่ใดสักแห่งไม่ให้ใครเข้าไปกวน และแม้จะเป็นสัตว์ตัวใหญ่มองเห็นได้แต่ไกล แต่ช้างก็มีวิธีพรางตัวในป่าใหญ่ไม่ให้ใครเห็น ดุจว่ามันเป็นมดหลบหลังใบไม้ คนผ่านไปสิบรอบก็ไม่สังเกตเห็น

แม้รู้กระนั้น แต่ท่าทีวิตกกังวลใจของนายห้างลีรอยก็ทำให้พระเมืองใจอ่อน

หนึ่งชั่วโมงต่อมาพระเมืองก็ลาสิกขา ปลงผ้าจีวรเปลี่ยนชุดใหม่ เร่งร้อนเดินทางกลับไปละกอนกับนายห้างป่าไม้ชาวอังกฤษ

ตุ๊ลุงจำต้องสึกให้พระหลานทั้งที่มิใช่ฤกษ์ยามที่เหมาะสม ด้วยการลาสิกขานี้เปรียบเหมือนการเกิดครั้งใหม่ ควรใคร่พินิจยามเหมาะเคราะห์ดี ทว่ายามนี้แม้จะฝืนก็ต้องทำไป ปรารภกับหนานทิพย์ผู้เป็นพ่อของพระสึกใหม่ว่า

“ฝืนชะตานี่ยากแท้หนอ หนานติ๊บ”

“แล้วแต่บุญกรรมทำมาเต๊อะ ตุ๊พี่”

หนานทิพย์ปลงแกมยอมรับอยู่ในที ไม่มีทางใดไหนอื่นให้ไปได้อีก

 



Don`t copy text!