รักในรอยน้ำตา บทที่ 11 : ลมหายใจที่ปลิดปลิว
โดย : ปิ่นฟ้า
รักในรอยน้ำตา นวนิยายโดย ปิ่นฟ้า เมื่อรักที่ต้องการมาทั้งชีวิต กลับต้องแลกมาด้วยน้ำตาจากผู้ชายที่เธอรักจนหมดหัวใจ แต่เขากลับทำร้ายเธออย่างเลือดเย็น…เรื่องราวสุดเข้มข้นจากการคัดสรรโดยอ่านเอา มาให้อ่านแล้วทางเว็บไซต์ anowl.co และเพจอ่านเอา anowldotco
ยังไม่ทันที่จะได้สนทนากันต่อ เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นพร้อมกับหมอและพยาบาลเดินเข้ามาในห้อง ก่อนที่หมอจะขอให้ญาติคนไข้ออกไปรอด้านนอกก่อนเพื่อทำการตรวจ
“คนไข้รู้ตัวไหมครับ ว่ามาที่นี่ด้วยอาการยังไงบ้าง”
“จำได้ว่า ปวดท้องมากค่ะแล้วก็จำอะไรไม่ได้อีกเลย”
“เมื่อคืนคนไข้ตกเลือดมาก”
“ตกเลือด หมายความว่ายังไงคะ”
“คนไข้รู้ไหมครับว่าตัวเองตั้งครรภ์”
“ตั้งครรภ์เหรอคะ” รินรดาทวนคำเสียงเบาหวิว แทบไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน
“ครับ หลังจากที่หมอตรวจเพิ่มเติม พบว่าคนไข้ตั้งครรภ์ แต่…หมอเสียใจด้วยนะครับ เด็กไม่อยู่แล้ว คนไข้ต้องนอนพักดูอาการอยู่ที่นี่อีกสัก 2-3 วันนะครับ ถึงจะกลับบ้านได้ แล้วคนไข้อยากให้หมอบอกญาติให้ไหมครับ”
“ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยว…บอกเองค่ะ ขอบคุณนะคะ” เธอตอบน้ำเสียงแผ่วก่อนที่หมอและพยาบาลจะเดินออกไป
‘ตั้งครรภ์’
‘เด็กไม่อยู่แล้ว’
‘นี่ฉันท้องอย่างนั้นเหรอ’
ท้องกับผู้ชายที่ทรยศต่อความรักอย่างสรวิชญ์เนี่ยนะ
ในสมองของเธอหนักอึ้ง มือเรียวสั่นสะท้านอย่างควบคุมไม่อยู่ลูบที่หน้าท้องของตัวเอง น้ำตาไหลพร่างพรูออกมาไม่ขาดสาย จนคนเยี่ยมไข้ที่กลับเข้ามาเห็นเข้าพอดี
“ระริน ร้องไห้ทำไมกันลูก เมื่อกี้หมอพูดอะไรเหรอ” พรพรรณถามอย่างแปลกใจ
“น้าอ้อย…”
รินรดาพูดได้เพียงแค่นั้นก็ปล่อยโฮออกมาอย่างสุดกลั้น ความรู้สึกจุกแน่นกลางอก เธอรู้สึกสับสนปนเปทั้งดีใจและเสียใจไปพร้อมๆ กัน
แวบแรกเธอดีใจที่ตัวเองตั้งท้องขึ้นมาขณะเดียวกันก็รู้สึกกังวลเมื่อตระหนักได้ว่า เธอตั้งครรภ์ในช่วงเวลาที่ยังเรียนไม่จบ แต่เพียงชั่วเสี้ยววินาที เธอก็ต้องเสียใจเมื่อรับรู้ว่าเลือดเนื้อเชื้อไขของตัวเองได้จากไปอย่างไม่มีวันกลับ
“ระริน หมอบอกว่าป่วยเป็นอะไรเหรอ ทำไมหนูเอาแต่ร้องไห้แบบนี้ล่ะ”
“นั่นสิแก หมอบอกว่าเป็นอะไรไป อย่าเอาแต่ร้องไห้สิ ฉันใจคอไม่ดี”
“น้าอ้อย หนูขอโทษ…หนูขอโทษนะคะ”
“ขอโทษเรื่องอะไรระริน นี่ยังไม่บอกน้าเลย หมอบอกว่าเราป่วยเป็นอะไร”
“หมอบอกว่าหนูแท้งค่ะ น้าอ้อย…หนูขอโทษ”
คำว่า ‘แท้ง’ จากรินรดา ทำเอาคนทั้งสามอึ้งไปด้วยความรู้สึกหลากหลาย
“หนูขอโทษที่ทำตัวไม่รักดี ทำให้น้าผิดหวัง”
“ระริน…”
พรพรรณมองหลานสาวที่กำลังนั่งร้องไห้อยู่บนเตียงด้วยความรู้สึกที่ปนเปกันไปทั้งผิดหวัง ระคนสงสาร และเสียดาย ในตอนแรกที่เธอรู้ว่ารินรดาเลิกกับแฟน เธอคิดว่าเป็นเรื่องธรรมดาของความรักหนุ่มสาว แต่เธอไม่คาดคิดว่า หลานสาวคนเดียวจะปล่อยตัวปล่อยใจไปมีอะไรเลยเถิด จนปล่อยให้ตัวเองตั้งท้องขึ้นมาจนกระทั่งแท้งในครั้งนี้
คนเป็นน้าน้ำตารื้นจนต้องหันหน้าหนีไปอีกทาง ก่อนจะพยายามกลั้นน้ำตาและสงบสติอารมณ์กับปัญหาของหลานสาวตรงหน้า แล้วกลับไปหาหลานสาวตัวเองอีกครั้ง
“ระริน น้ายอมรับว่าน้าผิดหวัง แต่ในเมื่อเรื่องมันเกิดขึ้นมาแล้ว ต่อว่าไปก็คงไม่มีประโยชน์อะไรขึ้นมา แล้วหนูไม่ได้ป้องกันหรือ”
“ป้องกันค่ะ แต่ก็มีบางวัน…ที่หนูลืมกินยา หนูไม่คิดเลยว่าแค่ลืมกินยาไม่กี่วัน จะทำให้ตั้งท้องได้ ที่ผ่านมา เวลาประจำเดือนไม่มา หนูคิดแค่ว่าตัวเองอาจจะเครียดโหมงานหนักมากเกินไป ร่างกายเลยรวนเพราะพักผ่อนไม่เพียงพอ อาจทำให้ประจำเดือนมาช้ากว่าปกติ ไม่คิดเลยว่า ตัวเองจะท้อง…”
เสียงแผ่วเบากลืนหายไปในลำคอก่อนจะยกมือทั้งสองปิดหน้าสะอื้นไห้ออกมาจนตัวโยน พลางพร่ำขอโทษน้าสาวด้วยความรู้สึกผิด
“หนูขอโทษ หนูขอโทษนะคะน้าอ้อย”
“ไม่เป็นไรนะ ไม่เป็นไรนะลูก”
พรพรรณสวมกอดหลานสาวปลอบโยนโดยมีกนกอรนั่งอยู่ข้างเตียงไม่ห่าง ขณะที่เจตต์เฝ้ามองภาพตรงหน้าด้วยความสงสารเห็นใจ ก่อนจะทรุดตัวนั่งบนโซฟาอย่างอ่อนแรง
“โธ่เอ๊ย มันเวรกรรมอะไรของแกวะเนี่ยระริน ไหนจะเพิ่งเลิกกับแฟน ไหนจะแท้งลูก ฉันนี่สงสารแกจริงๆ เลย”
“ไม่เป็นไรหรอกนะลูก คิดเสียว่า หนูโชคดีแล้วที่เด็กไม่ได้เกิดมา ถ้าเกิดมาตอนนี้ มีแต่จะเกิดปัญหาตามมาอีกไม่รู้จบ ระรินเองก็ยังต้องเรียนและทำงานหาเงินอีก การดูแลรับผิดชอบเลี้ยงเด็กหนึ่งคนโดยที่พ่อแม่แยกทางกันมันไม่สนุกหรอกนะ หลานก็รู้ดี”
“ค่ะน้าอ้อย การที่ลูกไม่เกิดมาในตอนนี้ก็ดีเหมือนกัน หนูเอง…ก็ไม่อยากให้ลูกต้องเกิดมาลำบากเหมือนอย่างที่หนูเคยเป็น”
รินรดาใช้มือเรียวลูบท้องน้อยของตัวเอง
“ลูกแม่…แม่ขอโทษนะลูก วันข้างหน้าหนูมาเกิดเป็นลูกของแม่อีกนะ แม่สัญญา แม่จะดูแลหนูให้ดีที่สุด” น้ำเสียงปนสะอื้นทำให้คนทั้งสามต้องเบือนหน้าหนีด้วยความสะเทือนใจ
“แล้วนี่น้องระริน จะบอกเรื่องนี้ให้ไอ้ต้นฟังไหมครับ”
ราวกับสายฟ้าฟาดลงมากลางวง คำถามของเจตต์ทำให้บรรยากาศตึงเครียดขึ้นมาอีกครั้ง คนทั้งสามต่างมองไปที่คนป่วยเป็นตาเดียว ก่อนที่รินรดาจะสบตาเจตต์ผ่านม่านน้ำตา แล้วตอบด้วยหัวใจเด็ดเดี่ยว
“ไม่ค่ะ ไม่บอก หากเป็นเมื่อก่อนที่เรายังคบกันอยู่ ระรินก็คงจะบอกค่ะ แต่ตอนนี้…” รินรดาเงียบไปอึดใจราวกับกำลังเรียกความเข้มแข็งให้ตัวเอง “แต่ตอนนี้ บอกไปแล้วจะได้อะไรขึ้นมา ลูกก็ไม่ได้อยู่แล้ว สู้ปล่อยให้เขาไปมีชีวิตใหม่ กับครอบครัวใหม่ของเขาดีกว่าค่ะ”
“จะดีเหรอระริน พี่กลับคิดว่าระรินควรบอกไอ้ต้น ในฐานะผู้ชายด้วยกัน พี่คิดว่าไอ้ต้นมีสิทธิ์จะรู้ อย่าหาว่าพี่อย่างโน้นอย่างนี้เลยนะ พี่แค่ไม่อยากเห็นระรินต้องแบกรับความทุกข์นี้ไว้คนเดียว อย่างน้อย เขาก็เป็นพ่อของเด็กในท้อง”
“ฉันเห็นด้วยกับพี่เจตต์นะระริน แกจะให้พี่ต้นทำตัวเป็นทองไม่รู้ร้อน ลอยตัวเหนือปัญหาแบบนี้ได้ที่ไหน แกให้เขามีความสุขกับคนใหม่ แล้วแกล่ะ แกจะกอดความทุกข์ไว้คนเดียวหรือไง ถ้าแกไม่บอก เขาจะไม่รู้เลยนะ ว่าแกต้องทุกข์ใจขนาดไหนที่ต้องสูญเสียลูกไป อย่างน้อยพี่ต้นก็ควรจะรับรู้ความเจ็บปวดนี้เหมือนอย่างที่แกได้รับ ฉันคิดว่า มันไม่แฟร์เลยที่แกจะต้องเป็นคนที่แบกรับความทุกข์ไว้คนเดียว”
“ฉันยังไม่พร้อมที่จะคุยอะไรกับเขาตอนนี้ ฉันขอร้องละค่ะ พี่เจตต์ อร อย่าเอาเรื่องวันนี้ไปบอกพี่ต้นเลยนะคะ ฉันขอร้อง…ให้ทุกคนเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับนะคะ”
คำตอบของรินรดาทำให้กนกอรรู้สึกขัดใจ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้จำต้องรับคำ
“ก็ได้…ฉันจะไม่เอาเรื่องนี้ไปบอกใคร ความลับของแก ฉันจะปิดให้สนิท”
“ส่วนพี่ ระรินไม่ต้องเป็นห่วง พี่ไม่เอาไปบอกใครแน่นอน”
“ขอบคุณมากนะคะพี่เจตต์ อร”
พลันสายตากนกอรมองดูนาฬิกาในห้องพักคนไข้ เมื่อนึกขึ้นได้ว่าถึงเวลาเข้าเรียน เธอจึงรีบขอตัวไปมหาวิทยาลัยพร้อมกับเจตต์ แต่ก่อนที่ทั้งสองคนจะออกไปจากห้อง รินรดากลับเรียกขึ้น
“พี่เจตต์คะ เรื่องครั้งนี้ขอบคุณมากนะคะ ถ้าไม่ได้พี่เจตต์ช่วยไว้ ระรินคงแย่”
“ใช่ น้าเองก็ต้องขอบคุณเจตต์มากนะลูก หากไม่ได้เจตต์ ไม่รู้เลยว่าหลานน้าจะเป็นยังไงบ้าง”
“ไม่เป็นไรครับ น้าอ้อย น้องระริน สำหรับน้องระริน ถ้ามีปัญหาหรือเรื่องอะไรบอกพี่ได้เสมอ พี่ยินดีช่วยครับ” เขาบอกยิ้มๆ ก่อนที่จะเดินออกจากห้องไปพร้อมกนกอร
เมื่ออยู่ตามลำพังสองน้าหลาน พรพรรณก็หันมา เธอเห็นหลานสาวยกมือพนมไว้กลางอกเอ่ยกับน้าสาวอย่างรู้สึกผิด
“น้าอ้อย หนูขอโทษนะคะ”
พรพรรณมองใบหน้าซีดเซียวของหลานสาว ร่างกายทรุดโทรมซูบผอมลงกว่าที่ควรจะเป็น ทั้งที่อีกฝ่ายยังอยู่ในวัยสาวที่ควรจะสดใส มีชีวิตที่ดี มีอนาคตที่ไกล แต่กลับต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ แต่ก็นั่นแหละ จะโทษใครได้
“ขอโทษเรื่องอะไรเหรอลูก”
“หนูขอโทษที่ปล่อยตัวปล่อยใจ จนทำให้เกิดตั้งท้องในวัยเรียนแบบนี้”
“โธ่เอ๊ย พูดเรื่องนี้อีกแล้ว น้าไม่โกรธหนูหรอก”
“น้าไม่โกรธจริงๆ เหรอคะ”
“ไม่โกรธหรอกจ้ะ น้าแค่รู้สึกผิดหวังนิดหน่อย แต่มาคิดดูอีกทีถ้าน้าจะโกรธ คงโกรธที่ระรินไม่ดูแลตัวเองให้ดี ปล่อยให้ตัวเองมีสภาพย่ำแย่แบบนี้”
“น้าอ้อย” ความเมตตาของพรพรรณทำให้รินรดาน้ำตารื้นขึ้นมาด้วยความปลื้มใจอีกครั้ง
“อ้าว ร้องไห้ทำไมอีกล่ะเนี่ย ไม่เป็นไรนะลูก ระรินเอ๊ย น้าจะบอกอะไรให้ คนเราทำผิดพลาดกันได้ น้าขอแค่หนูอย่าโทษตัวเองอีกเลย สำหรับน้าไม่ได้ต้องการอะไรนอกจากให้หนูหายไวๆ กลับมาแข็งแรงขึ้นเป็นระรินที่เข้มแข็งคนเดิม แค่นี้…น้าก็ดีใจมากแล้วล่ะ”
“น้าอ้อยไม่โกรธหนูจริงๆ เหรอคะ”
“น้าจะโกรธหนูทำไม น้าเองก็ไม่มีลูกไม่มีผัว น้าก็รักและเลี้ยงหนูเหมือนลูกแท้ๆ คนหนึ่ง อีกอย่าง เรื่องที่หนูได้เจอมามันก็หนักหนามากพอแล้ว เพราะผลของการกระทำที่หนูได้ทำลงไป ไม่ว่าจะผิดหรือถูก หนูก็ได้รับมันไปแล้ว ไม่มีเหตุผลอะไรที่น้าจะต้องซ้ำเติมให้หนูต้องทุกข์ใจไปมากกว่าเดิม เอาเป็นว่า…ถ้าระรินอยากให้น้าสบายใจ แค่กลับมาเข้มแข็งและเดินหน้าต่อไปก็พอ”
คนเป็นน้ายื่นมือไปลูบศีรษะของหลานสาวอย่างให้กำลังใจ
“น้ารู้ แผลในใจของหนูยังสดใหม่ อาจจะต้องใช้เวลาสักพัก กว่าบาดแผลจะจางลง แต่น้าอยากให้หนูเข้าใจไว้ด้วยว่า แฟนก็คือคนคนหนึ่งซึ่งเข้ามาในชีวิตเรา พอถึงเวลาก็จากไป ไม่จากเป็น ก็จากตาย มีรักได้ก็เลิกได้ เป็นเรื่องธรรมดา ส่วนลูกที่เสียไป คิดเสียว่า เขายังไม่มีบุญมาเกิดกับเรา เอาเป็นว่า เมื่อถึงเวลาที่เราพร้อม ค่อยให้เขามาเกิดกับเรานะลูก เมื่อถึงตอนนั้น หนูก็ตั้งใจดูแลเขาให้ดีจะได้ไม่ต้องเสียใจอย่างวันนี้อีกรู้ไหม”
“ค่ะน้าอ้อย”
“น้าจะสอนอะไรให้อย่างหนึ่ง ชีวิตคนเรามันก็อย่างนี้แหละ มีทุกข์มีสุขปะปนกันไป ในความทุกข์ย่อมมีความสุข ขึ้นอยู่กับเราว่าจะมองทางไหน หลายคนอาจจะโทษโชคชะตา แต่น้าเชื่อว่า ความสุขและความทุกข์ของเราในวันนี้ ขึ้นอยู่กับผลของการกระทำของเราในอดีตที่ผ่านมาต่างหาก ทุกการตัดสินใจของเราในวันนี้ เราจะได้รับผลในภายภาคหน้า ขึ้นอยู่กับว่า จะเร็วหรือช้าเท่านั้นเอง พูดง่ายๆ ก็คือ ถ้าหนูอยากให้ชีวิตของตัวเองในอนาคตดีและมีความสุข หนูก็แค่พยายามทำปัจจุบันให้ดีที่สุด”
“แล้วน้าอ้อยเคยตัดสินใจผิดพลาดบ้างไหมคะ”
“เยอะแยะไป น้าแค่ไม่เคยบอกให้ใครรู้ ต่อให้น้าเสียใจ น้าก็ไม่เคยปล่อยให้ตัวเองเสียใจนาน น้าก็แค่ต้องพยายามลุกขึ้นมาให้เร็วที่สุด”
“น้าอ้อยเป็นผู้หญิงเก่งและเข้มแข็งมากเลยนะคะ”
“เปล่าหรอกระริน น้าไม่ได้เป็นผู้หญิงเก่งหรือเข้มแข็งอะไร น้าก็เป็นคนธรรมดาคนหนึ่งเหมือนคนทั่วไปนั่นแหละ มีสุขบ้างทุกข์บ้างเป็นธรรมดา น้าแค่อยู่มานาน ผ่านความทุกข์มาก็เยอะ น้าถึงได้เรียนรู้ว่า เรื่องพวกนี้อยู่กับเราไม่นาน เดี๋ยวมันก็ผ่านพ้นไป หนูเพิ่งเจอเรื่องแค่ครั้งนี้ ปล่อยให้เวลาทำงาน เดี๋ยวมันก็ผ่านพ้นไปเหมือนอย่างที่น้าเคยเจอ และถ้าหนูผ่านไปได้ก็จะรู้ว่า ตัวเองเติบโตและเข้มแข็งขึ้นมาก แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคืออะไรรู้ไหม…”
“อะไรเหรอคะ”
“สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ เราต้องรักตัวเองให้เป็น ให้เกียรติตัวเอง ซื่อสัตย์ต่อตัวเอง และเห็นคุณค่าของตัวเองให้มากๆ เพราะถ้าเรารักตัวเองมากพอ ไม่ว่าใครจะเข้ามาทำให้เราเจ็บช้ำเสียใจมากแค่ไหน เราจะยังเข้มแข็งลุกขึ้นยืนได้ด้วยตัวของเราเอง”
พรพรรณดึงมือหลานสาวมากุมไว้ในมือ ราวกับจะถ่ายทอดความเข้มแข็งให้กับอีกฝ่าย
“ชีวิตเรา อยู่ในมือของเราเองนะลูก และต่อไปในชีวิต ระรินยังจะต้องเจอเรื่องราวอีกมากที่ต้องตัดสินใจ น้าจะไม่บอกว่าหนูต้องเลือกอะไร แต่น้าจะแนะนำว่า ในทุกครั้ง ก่อนที่หนูจะตัดสินใจ น้าอยากให้หนูคิดทบทวนให้ถี่ถ้วนเสียก่อน เมื่อเราตัดสินใจเลือกไปแล้ว ไม่ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร เราก็ต้องยอมรับมัน เข้าใจที่น้าพูดไหมลูก”
“เข้าใจค่ะน้าอ้อย หนูจะจำคำที่น้าสอนค่ะ”
“ส่วนเรื่องแท้งลูก หนูควรจะบอกต้นหรือไม่ น้าอยากให้หนูคิดทบทวนให้ดี ค่อยๆ คิดค่อยตัดสินใจนะ”
คำสั่งสอนของพรพรรณทำให้รินรดารู้สึกอบอุ่นหัวใจ ความเศร้าโศกค่อยๆ จางลงแม้ยังไม่หายไป แต่เธอก็ยิ้มออกมาได้เป็นครั้งแรกหลังจากที่ผ่านเรื่องเลวร้ายมา
หนึ่งสัปดาห์ต่อมา หลังจากรินรดาออกจากโรงพยาบาล เธอกลับมาเรียนและสอนพิเศษตามปกติ โดยมีกนกอรและเจตต์คอยสลับกันอยู่ดูแลเป็นเพื่อน คอยระแวดระวังสรวิชญ์หากเขาจะเข้ามาใกล้รินรดา ถึงขนาดที่กนกอรหอบเสื้อผ้าใส่กระเป๋ามานอนค้างเป็นเพื่อนรินรดาที่หอพัก จนอีกฝ่ายร้องโอดครวญออกมาด้วยความเกรงใจ
“พี่เจตต์ อร ทั้งสองคนไม่ต้องทำแบบนี้หรอก ระรินหายแล้ว ดูแลตัวเองได้ ส่วนอรไม่ต้องมานอนเป็นเพื่อนฉันหรอก นี่ห้องฉันเอง ฉันอยู่คนเดียวได้สบายมาก”
“พี่รู้ว่าระรินดูแลตัวเองได้ แต่พี่เป็นห่วง หากไอ้ต้นบุกเข้ามาหา น้องจะเป็นอันตรายน่ะสิ”
“ใช่แก พี่เจตต์พูดถูก”
กนกอรเห็นด้วย โดยไม่ได้สังเกตเห็นรินรดาที่หน้าเจื่อนไป เมื่อชื่อของคนที่เธอพยายามจะลืมถูกพูดขึ้นมาอีกครั้ง จนกนกอรต้องสะกิดเจตต์ให้รู้ตัว
“พี่ขอโทษนะระริน พี่นี่มันปากไม่ดีจริงๆ”
คนปากสว่างตบปากตัวเอง โทษฐานพูดไม่ระวังก่อนจะชวนกันเปลี่ยนเรื่องคุย แล้วปิดท้ายด้วยเย็นวันเดียวกัน เจตต์พาสองสาวไปเลี้ยงข้าวโดยมีเขาเป็นเจ้ามือเพื่อไถ่โทษ
ทางด้านสรวิชญ์ ตลอดระยะเวลากว่าหนึ่งสัปดาห์ที่รินรดาย้ายออกไปจากคอนโดฯ ชายหนุ่มก็พยายามตามหาเธอไปทุกที่ ที่คิดว่าเธอจะไป แต่จนแล้วจนรอดเขาก็ไม่พบเจอเธอเลย
สรวิชญ์ทำได้เพียงกลับมานอนหมดอาลัยตายอยากที่คอนโดฯ ของตัวเอง ซึ่งไม่ว่าเขาจะมองไปทางไหนล้วนแต่มีความทรงจำของรินรดาอยู่ทุกหนทุกแห่งภายในห้อง ยิ่งเขามองเขาก็ยิ่งคิดถึงคนที่จากไป
“ระริน…หนูไปอยู่ที่ไหน พี่ขอโทษกลับมาหาพี่เถอะนะที่รัก”
สรวิชญ์กระดกขวดเหล้าเข้าปาก เขาดื่มเหล้าย้อมใจเพื่อให้ลืมความรวดร้าวในอก ความเปล่าเปลี่ยวอ้างว้างในใจซึ่งไม่มีใครมาแทนที่ได้ เขาดื่มเหล้าเข้าไปจนใบหน้าแดงก่ำ กระทั่งเสียงเคาะประตูดังมาขึ้น
ชายหนุ่มเดินโซซัดโซเซไปเปิดประตู ทันทีที่เขาเห็นเอกวิทย์และชนิศา ผู้เป็นต้นเหตุทำให้เขากับรินรดาเลิกกัน สรวิชญ์ถึงกับชี้หน้าด่าไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม
“ไอ้เอก มึงจะพาอีเวรนี่มาทำไม มึงก็รู้ กูไม่ชอบมัน กูเกลียดมัน กูไม่อยากเห็นหน้ามัน มึงพามันมาทางไหน มึงพากลับไปทางนั้นเลย”
“กูขอโทษ…”
“อย่าโทษเอกเลยค่ะ กีต้าร์ขอให้เอกพามาเอง อีกอย่าง…เราอุตส่าห์มาถึงนี่แล้ว จะไล่กลับไปไม่ใจร้ายไปหน่อยเหรอคะ” ชนิศาพูดแทรกขึ้นพร้อมผลักสรวิชญ์ที่กำลังยืนโงนเงนเซไปอีกทาง ก่อนที่เจ้าตัวจะถือวิสาสะเดินเข้ามาในห้องอย่างถือดี
“ออกไป! กูบอกให้ออกไป!”
“เรามีเรื่องอยากคุยกับต้น แต่ต้นเมาแบบนี้จะคุยกันรู้เรื่องได้ยังไง แล้วนี่ทำไมห้องถึงได้เละเทะแบบนี้ล่ะ เสียดายคอนโดหรูห้องสวยเสียเปล่า สภาพนี่ดูไม่ได้เลย”
ไม่มีคำตอบจากเจ้าของห้อง ขณะที่ชนิศาส่ายหน้าอย่างเอือมระอา ก่อนจะเดินสำรวจไปทั่วทุกมุมห้อง แล้วกลับมาทรุดนั่งลงที่โซฟาฝั่งตรงข้ามกับสรวิชญ์ที่นั่งตาแดงก่ำมองผู้บุกรุกอย่างไม่สบอารมณ์ แต่ก็ไม่มีปัญญาจะไล่ได้ เพราะเมาเต็มที
ขณะที่เอกวิทย์รีบไปเปิดตู้เย็นเพื่อจะหาน้ำเย็นๆ มาดับความคุกรุ่นให้ทั้งสอง แต่ก็ต้องพบเพียงความว่างเปล่า เขาเลยกลับมาทรุดนั่งข้างสรวิชญ์ด้วยความเป็นห่วง
“เรื่องของเรา ต้นจะรับผิดชอบยังไง”
“รับผิดชอบอะไร”
“ก็เด็กในท้องนี่ เป็นลูกของต้น ต้นต้องรับผิดชอบ”
“เดี๋ยวนะ เข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า กูจำเรื่องคืนนั้นไม่ได้ด้วยซ้ำ แล้วจู่ๆ จะมายัดเยียดความเป็นพ่อให้น่ะเหรอ ใครเชื่อก็โง่ละ”
“ทำไมต้นพูดแบบนี้ ต้นก็รู้ เราไม่ได้คบใคร ที่ผ่านมา เราก็คบกับต้นเพียงคนเดียว เราอุตส่าห์ยอมทุกอย่าง ยอมให้ต้นเป็นแฟนกับระรินออกนอกหน้า เราก็ไม่เคยว่า แต่ต้นจะมาหาว่าเรายัดเยียดความเป็นพ่อให้เธอได้ยังไงกัน” ชนิศาบีบน้ำตาเมื่อเห็นว่าไม้แข็งดูจะใช้ไม่ได้กับสรวิชญ์
“เดี๋ยวนะกีต้าร์ เราว่าเธอเข้าใจอะไรผิด เราสองคนไม่เคยคบกัน เราเป็นแค่เพื่อนกันเท่านั้น”
“เป็นเพื่อนกัน…แต่มีอะไรกับเรา ต้องให้เอกเป็นพยานไหม ว่าคืนนั้นต้นลวนลามเราขนาดไหนก่อนที่จะไปจบที่ห้อง” ชนิศาปล่อยโฮออกมา ทำให้สรวิชญ์ถึงขั้นเกาศีรษะด้วยความสงสัย
“จริงเหรอวะไอ้เอก กูเป็นแบบนั้นจริงเหรอวะ”
“จริงไอ้ต้น คืนนั้นมึงเมาหนักมาก กูห้ามยังไงก็ไม่ฟัง จนกูโมโหเลยกลับบ้านก่อน”
“ไอ้เหี้ยเอก แล้วมึงก็ทิ้งกูไว้กับกีต้าร์เนี่ยนะ มึงเป็นเพื่อนประสาอะไรวะ”
“กูไม่ได้ทิ้งมึงไว้กับกีต้าร์ แต่มึงนั่นแหละไล่กูกลับบ้าน หาว่ากูเป็นก้างขวางคอ แล้วมึงก็ไปกับกีต้าร์เอง กูจะพามึงกลับห้อง แต่ไม่ว่ายังไงมึงก็ไม่ยอม เอาแต่บ่นว่าเบื่อระริน เบื่อระริน กูก็นึกว่ามึงเบื่อแฟนจนอยากเลิกเหมือนที่ผ่านมา กูก็เลยไม่ห้ามมึงกับกีต้าร์ไง เพราะเมื่อก่อนมึงก็เป็นแบบนี้ทุกที”
“อะไรวะ ทำไมกูจำอะไรไม่ได้เลย” สรวิชญ์สบถ
“ต่อให้ต้นไม่อยากรับผิดชอบ ต้นก็ต้องรับเพราะเด็กในท้องคือลูกของต้น ต้นจะใจร้ายใจดำทิ้งเมียกับลูกในท้องได้ลงคอเหรอ โธ่ลูกแม่…น่าสงสารจริงๆ ยังไม่ทันเกิดมาพ่อก็จะไม่รับแล้ว โธ่ลูก…” ชนิศาบีบน้ำตาร้องไห้คร่ำครวญหนัก
“โธ่เว้ย”
สรวิชญ์เดือดดาล ก่อนจะกระดกเหล้าเข้าปากอึกใหญ่ โดยไม่ทันสังเกตเห็นชนิศาที่ลอบยิ้มให้เอกวิทย์อย่างมีเลศนัย
สรวิชญ์หนักใจมาก หากพ่อแม่รู้ว่าเขาทำผู้หญิงท้องทั้งที่ยังเรียนไม่จบ เขาคงจะต้องโดนที่บ้านคาดโทษหนักอย่างแน่นอน เพราะที่ผ่านมาพ่อกับแม่เฝ้าสอนให้เขาเป็นเด็กดีและตั้งใจเรียน เขาก็ไม่เคยทำให้พวกท่านผิดหวัง อย่างน้อยท่านทั้งสองก็ไม่เคยรับรู้เบื้องหลังอันเหลวแหลกของเขา แม้ภาพลักษณ์ภายนอกจะดูดีมากแค่ไหนก็ตาม
กอปรกับปัญหาของครอบครัวที่เพิ่งเกิดขึ้นในตอนนี้หนักหน่วงเกินกว่าจะรับได้ เขาจึงไม่อยากเอาเรื่องปวดหัวไปเพิ่มให้กับพ่อแม่อีกเรื่อง
- READ รักในรอยน้ำตา บทที่ 24 : หัวใจรัก (จบบริบูรณ์)
- READ รักในรอยน้ำตา บทที่ 23 : ให้ทุกข์แก่ท่าน...ทุกข์นั้นถึงตัว
- READ รักในรอยน้ำตา บทที่ 22 : กรรมตามสนอง
- READ รักในรอยน้ำตา บทที่ 21 : เส้นขนาน
- READ รักในรอยน้ำตา บทที่ 20 : เริ่มต้นชีวิตใหม่
- READ รักในรอยน้ำตา บทที่ 19 : หย่า
- READ รักในรอยน้ำตา บทที่ 18 : เจรจา
- READ รักในรอยน้ำตา บทที่ 17 : โรงพยาบาล
- READ รักในรอยน้ำตา บทที่ 16 : คนที่เลือก
- READ รักในรอยน้ำตา บทที่ 15 : มิตรภาพ
- READ รักในรอยน้ำตา บทที่ 14 : กาลเวลาผันผ่าน
- READ รักในรอยน้ำตา บทที่ 13 : กลับตัวแต่ไม่กลับใจ
- READ รักในรอยน้ำตา บทที่ 12 : โอกาสครั้งที่สอง
- READ รักในรอยน้ำตา บทที่ 11 : ลมหายใจที่ปลิดปลิว
- READ รักในรอยน้ำตา บทที่ 10 : เรื่องไม่คาดฝัน
- READ รักในรอยน้ำตา บทที่ 9 : หอพัก
- READ รักในรอยน้ำตา บทที่ 8 : แก้ไขหรือแก้ตัว
- READ รักในรอยน้ำตา บทที่ 7 : ความจริง
- READ รักในรอยน้ำตา บทที่ 6 : คำเตือน
- READ รักในรอยน้ำตา บทที่ 5 : แผนลับ
- READ รักในรอยน้ำตา บทที่ 4 : แผนขั้นต่อไป
- READ รักในรอยน้ำตา บทที่ 3 : สรวิชญ์
- READ รักในรอยน้ำตา บทที่ 2 : ชีวิตใหม่ของรินรดา
- READ รักในรอยน้ำตา บทที่ 1 : งานศพ
- READ รักในรอยน้ำตา : บทนำ