รักในรอยน้ำตา บทที่ 7 : ความจริง
โดย : ปิ่นฟ้า
รักในรอยน้ำตา นวนิยายโดย ปิ่นฟ้า เมื่อรักที่ต้องการมาทั้งชีวิต กลับต้องแลกมาด้วยน้ำตาจากผู้ชายที่เธอรักจนหมดหัวใจ แต่เขากลับทำร้ายเธออย่างเลือดเย็น…เรื่องราวสุดเข้มข้นจากการคัดสรรโดยอ่านเอา มาให้อ่านแล้วทางเว็บไซต์ anowl.co และเพจอ่านเอา anowldotco
ช่วงบ่ายหลังจากเรียนเสร็จ รินรดาและกนกอรก็ได้ยินเสียงกระซิบกระซาบจากเพื่อนนักศึกษาชี้ชวนกันดูบางสิ่งในมือถือ ก่อนหันมามองที่รินรดาเป็นตาเดียว ก่อนที่จะมีเพื่อนใจกล้าคนหนึ่งเดินเข้ามาถาม
“พวกเธอเห็นนี่หรือยัง”
“เห็นอะไรเหรอ” พอขาดคำ เพื่อนคนดังกล่าวก็จัดการเปิดคลิปให้รินรดาดูทันที
“ก็นี่ไง คลิปที่พี่ต้นกับพี่เจตต์ต่อยกันที่โรงอาหาร ตอนนี้เขาลือกันให้แซ่ดว่า ทั้งสองทะเลาะกันเพราะแย่งระริน”
“หา! ว่าไงนะ”
หญิงสาวทั้งสองต่างดูภาพเหตุการณ์ที่สรวิชญ์กับเจตต์กำลังต่อยกันในโรงอาหาร ก่อนที่สรวิชญ์จะตะโกนต่อว่าเจตต์ซึ่งถูกบันทึกไว้ได้ทัน “ไอ้เจตต์ มึงจะด่าว่าใครก็ได้ แต่มึงจะมาด่าว่าน้องระรินของกูไม่ได้”
‘น้องระรินของกู’
จู่ๆ เธอกลายเป็นของเขาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน แล้วทำไมสรวิชญ์ถึงได้พูดแบบนี้ออกมาทั้งๆ ที่เรายังไม่ได้เป็นอะไรกันด้วยซ้ำ
ในคลิป เธอเห็นเจตต์เป็นฝ่ายพุ่งเข้าไปต่อยสรวิชญ์ก่อน แล้วถูกเอกวิทย์และผู้ชายอีกคนห้ามไว้ ทั้งสองทะเลาะกันอีกยกใหญ่โดยมีชื่อของเธอเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย ก่อนที่คลิปจะจบลง
กนกอรหันมองหน้ารินรดาที่ซีดเผือด เพราะบัดนี้เธอกลายเป็นต้นเหตุทำให้ผู้ชายสองคนทะเลาะกัน จนทำให้ทุกสายตาที่ได้เห็นคลิปนี้ต่างเข้าใจไปในทิศทางเดียวกันว่า…
เพื่อนรักต้องมาแตกคอกันเพราะผู้หญิงเพียงคนเดียว!
“เมื่อกี้พี่ต้นกับพี่เจตต์ก็ยังคุยกันดีๆ นี่นา แล้วทำไมถึงได้มาทะเลาะกันเพราะแกได้ล่ะ” กนกอรกระซิบถามด้วยความเป็นห่วง
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน อรเรารีบไปจากที่นี่กันเถอะ”
รินรดารีบคว้ามือเพื่อนรักเดินหนีออกไปเพื่อหลีกเลี่ยงความสนใจของผู้คน แต่ทว่าตอนที่มาถึงหน้าตึก จู่ๆ ก็มีรถเก่งสีขาวคันหนึ่งมาจอดตรงหน้า พร้อมเจตต์ที่ตะโกนมาจากในรถ
“น้องระริน น้องอรครับ ขึ้นรถสิครับ เดี๋ยวพี่ไปส่ง”
รินรดาไม่คาดคิดว่าจะเจอเจตต์ในสถานการณ์แบบนี้ แต่ว่าสายตาหลายคู่ที่จับจ้องมายังเธอ พร้อมเสียงกระซิบกระซาบที่ดังขึ้นเรื่อยๆ ทำให้กนกอรรีบพูดขึ้นอีกคน
“รีบขึ้นรถก่อนเถอะแก อย่างน้อยก็ไปให้พ้นจากตรงนี้ คนมองใหญ่แล้ว”
กนกอรไม่พูดเปล่า รีบเปิดประตูหน้าแล้วดันเพื่อนสาวขึ้นไปนั่งบนรถของเจตต์ ก่อนที่ตัวเองจะขึ้นไปนั่งที่เบาะด้านหลัง โดยเจตต์รีบขับรถพาสองสาวออกไป
เขาขับรถพาสองสาวออกมานอกมหาวิทยาลัยก่อนจะไปจอดสงบนิ่งอยู่ ณ สวนสาธารณะแห่งหนึ่งซึ่งเงียบสงบ ห่างไกลจากสายตาหลายคู่ที่ชวนให้อึดอัดภายในมหาวิทยาลัย
พอทั้งสามลงจากรถมาได้ กนกอรกลับเป็นฝ่ายทนไม่ไหวจึงออกปากถามขึ้นทันที
“พี่เจตต์คะ นี่มันเรื่องอะไรเหรอคะ เมื่อกี้อรยังเห็นพวกพี่ๆ พูดคุยกันดีๆ แล้วทำไมมีคลิปพวกพี่สองคนทะเลาะกันจนว่อนเน็ตแบบนั้นล่ะคะ”
เจตต์ได้แต่ถอนหายใจอย่างหนักหน่วง ทั้งอึดอัดและไม่สบายใจ แต่เขาก็จำเป็นต้องพูดออกมา
“เพราะพี่ทนไม่ไหวแล้วน่ะสิ ถ้าน้องอยากรู้พี่ก็จะเล่าให้ฟัง แต่ฟังจบแล้วจะเชื่อพี่หรือไม่ก็สุดแล้วแต่น้องระรินแล้วกัน”
รินรดาหันมาสบตาเจตต์ชั่วครู่ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“อันที่จริงพี่สองคนจะทะเลาะเรื่องอะไรกัน ระรินไม่ได้อยากรู้หรอกนะคะ แต่อย่าดึงระรินเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยดีกว่า”
“นั่นสิคะพี่เจตต์ ตอนนี้ในมหาลัยเขาพูดกันให้แซ่ด ว่าพวกพี่ทะเลาะกันเพราะแย่งระริน”
“พี่ขอโทษนะครับน้องระรินที่ทำให้น้องเดือดร้อน เพราะแบบนี้ไงพี่ถึงอยากมาอธิบายเรื่องนี้แหละครับ”
“ถ้างั้นพี่ลองเล่าความจริงมาสิคะ”
รินรดากับกนกอรกตั้งใจฟังอย่างสงบ ขณะที่เจตต์เล่าเรื่องทุกอย่างที่สรวิชญ์ตั้งใจเข้ามาจีบรินรดาเพื่อความท้าทายและอยากเอาชนะ จนกระทั่งถึงเหตุการณ์ที่ทำให้ทั้งสองต้องทะเลาะและชกต่อยกัน
“เดี๋ยวนะคะพี่เจตต์ พี่กำลังจะบอกว่า ที่พี่ต้นทำมาทั้งหมด ไม่ได้ชอบระรินจริงๆ แต่เพราะอยากเอาชนะแค่นั้นเหรอคะ” กนกอรถามอย่างไม่เชื่อหู
“ครับน้องอร พี่ยืนยันได้ สิ่งที่พี่เล่าไปเป็นความจริงทุกประการ ไม่ได้โกหกแม้แต่คำเดียว”
“แต่จะให้พวกเราเชื่อได้ยังไงกันคะ ว่าที่พี่เจตต์พูดเป็นเรื่องจริง เพราะคิดอีกที พี่เจตต์กับพี่ต้นก็เป็นเพื่อนสนิทกันมาก่อน ที่ผ่านมาพี่คงต้องรู้ต้องเห็นด้วยแน่ๆ แล้วถ้าพี่ต้นนิสัยไม่ดี หลอกลวงระรินจริงอย่างที่เล่า ทำไมพี่เพิ่งจะมาเดือดร้อนโมโหเอาตอนนี้ล่ะคะ ในเมื่อครั้งนี้ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่พี่ต้นทำด้วย แล้วทำไมถึงเพิ่งมีเรื่องกันล่ะคะ”
คำถามย้อนกลับเต็มไปด้วยเหตุผลของรินรดา ทำเอาเจตต์อึ้งไปอึดใจ
“พี่เป็นเพื่อนสนิทไอ้ต้นก็จริง แต่พี่สาบานได้ แผนการต่างๆ ที่ไอ้ต้นมันพยายามเข้าหาน้องระรินพี่ไม่เคยรู้เรื่องมาก่อนเลย กว่าพี่จะรู้เรื่องแผนการก็ดำเนินไปเรียบร้อยแล้ว และวันนี้พอพี่รู้เรื่อง พี่ถึงไม่โอเคกับแผนการที่มันจ้างคนมาดักทำร้ายน้องระริน แล้วให้ตัวเองเป็นพระเอกขี่ม้าขาวไปช่วยเพื่อเอาชนะใจน้อง น้องจะเชื่อหรือไม่ก็ตาม พี่แค่อยากให้รู้ไว้ว่าตัวตนที่แท้จริงของไอ้ต้นมันเป็นอย่างไร ถ้าน้องระรินจะชอบก็ตามใจ แต่พี่ขอเตือนไว้นะ ไอ้ต้นไม่ใช่ผู้ชายที่จะหยุดอยู่ที่ผู้หญิงคนเดียว ไอ้ต้นน่ะมีผู้หญิงเข้ามาหามากมาย ไม่มีผู้หญิงคนไหนหรอกที่จะทำให้มันหยุดได้ แม้แต่น้องระรินเองก็ตาม” เจตต์เตือนด้วยความหวังดี
“พี่เจตต์คิดไกลไปแล้วละค่ะ ตอนนี้ระรินกับพี่ต้นยังไม่ได้เป็นอะไรกัน ถ้าพี่เจตต์จะเตือน ทำไมพี่ถึงไม่เตือนเพื่อนพี่แทนที่จะมาเตือนระรินล่ะคะ”
“ก็เพราะพี่เตือนแล้ว แต่มันไม่ฟังไง เราถึงมีเรื่องชกต่อยกันแบบนี้ พี่ไม่อยากเห็นระรินโดนทำร้ายให้เจ็บช้ำหัวใจ พี่เตือนด้วยความหวังดีนะ น้องเป็นคนดี พี่ก็อยากให้เจอคนที่ดีและรักน้องจริงๆ ไม่ใช่รักเพื่อหวังผลหรืออยากเอาชนะแบบนี้”
“ขอบคุณนะคะพี่เจตต์ สำหรับระรินตอนนี้ ทั้งพี่ต้นและพี่เจตต์ก็ไม่น่าไว้ใจด้วยกันทั้งคู่ อย่าลืมนะคะกับพี่เจตต์ ระรินก็เคยคุยด้วยไม่กี่คำ แล้วจะให้เชื่อได้ยังไงว่าสิ่งที่พี่พูดออกมาเป็นความจริงและหวังดี ไม่ใช่เพราะความอิจฉาอย่างที่พี่ต้นพูดในคลิป แต่ก็ขอบคุณสำหรับความหวังดี แต่หลังจากนี้ไม่ต้องนะคะ ระรินดูแลตัวเองได้ค่ะ ขอบคุณมากอีกครั้งนะคะ ขอตัวก่อนค่ะ”
รินรดาพูดรัวเร็วด้วยความคุกรุ่นในใจ ก่อนจะจูงมือกนกอรเดินเลี่ยงไปและโบกแท็กซี่ออกไป โดยมีสายตาผิดหวังแกมเป็นห่วงของเจตต์มองตามหลังเธอไป
เอาเถอะ อย่างน้อยเขาก็ได้ทำสิ่งที่ถูกต้องกับเธอแล้ว จากนี้ไปก็สุดแต่โชคชะตาแล้วกัน
ตลอดเวลาที่นั่งอยู่บนรถแท็กซี่ สีหน้ารินรดาเคร่งเครียด สายตาทอดมองออกไปนอกรถ ครุ่นคิดถึงสิ่งที่เพิ่งได้ยินจากเพื่อนของสรวิชญ์ ในใจนั้นเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง เพราะสิ่งที่เธอสัมผัสกับตัวเองมา เขาดูไม่น่าจะเลวได้ขนาดนั้น เธอควรจะเชื่อใครดีล่ะ
“ระริน…คืนนี้ไปนอนกับฉันที่บ้านดีไหม ฉันเป็นห่วงนะ” กนกอรมองเพื่อนอย่างเห็นใจ
“ขอบคุณนะอร แต่เรื่องนี้ทำอะไรฉันไม่ได้หรอก ระรินเสียอย่าง สบายมาก”
“จ้ะ ฉันรู้ว่าแกเก่ง ถ้าอย่างนั้นก็ตามใจ แต่ถ้าเปลี่ยนใจ ยังไงก็ได้เสมอนะ ว่าแต่ที่พี่เจตต์พูดเมื่อกี้ก็น่าคิดนะแก เรื่องพี่ต้นน่ะ ระวังตัวไว้ก็ดีเหมือนกันนะ”
“แต่ฉันกลับคิดต่าง”
“ยังไงเหรอ”
“ที่ผ่านมาฉันไม่ชอบผู้ชายก็จริง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าที่ผ่านมา พี่ต้นคอยช่วยเหลือฉันมาตลอด ถึงแม้ว่ามันจะมีอะไรแปลกๆ ก็ตาม”
“แปลกยังไงเหรอระริน”
“ถ้าพี่ต้นใช้แผนการอย่างที่พี่เจตต์บอก พี่ต้นต้องใช้ความพยายามมากนะ คนเราจะมีความอดทนได้ขนาดนั้นเลยเหรออร เพราะพี่ต้นไม่ได้จีบเราแค่วันสองวัน แต่ใช้เวลาเป็นเดือนๆ ทั้งคอยไปนั่งตามห้องสมุด หรือไม่ก็ตามสถานที่ต่างๆ ซึ่งหลายครั้งก็แทบไม่ได้คุยกับเราเลยด้วยซ้ำ ไหนจะคอยเดินตามมาส่งที่หอโดยที่เราไม่รู้ตัวอีก ถ้าเรื่องพวกนี้เป็นแผนการจริงๆ เขาก็ลงทุนมากเกินไปหรือเปล่า ทั้งที่อาจไม่ได้อะไรตอบแทนด้วยซ้ำ”
“ก็จริงอย่างที่แกบอกนะ” กนกอรเห็นด้วย ก่อนจะพูดต่อ
“ฉันไม่แปลกใจหรอก ถ้าพี่ต้นจะช่วยเหลือแกทันตอนที่มอเตอร์ไซค์เกือบชนแก ก็พี่เขาคอยตามดูแลแกตลอดนี่นา ถึงแม้ฉันจะไม่เคยมีแฟน แต่ฉันกลับคิดว่าเรื่องความรักเป็นเรื่องของคนสองคน คนอื่นไม่เกี่ยว การที่แกจะตัดสินใจเลือกคบใครก็ลองชั่งใจดูแล้วกัน อีกอย่างแกก็คุยและใกล้ชิดกับพี่ต้นมากกว่าฉัน ส่วนพี่เจตต์ก็แทบไม่เคยคุยกันเลย จะเชื่อใจได้หรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่ไม่ว่าแกจะเลือกอย่างไร ฉันจะอยู่ข้างแกเสมอ”
“ขอบใจนะอร” รินรดายิ้มให้เพื่อนรักด้วยความอุ่นใจ อย่างน้อยเธอก็ไม่ได้โดดเดี่ยว
หลังจากรินรดากลับมาที่หอพักในตอนค่ำ เธอก็เปิดคลิปของสรวิชญ์และเจตต์ดูอีกหลายรอบ ก่อนจะเลื่อนลงอ่านคอมเมนต์ต่างๆ ของผู้คนมากมาย ซึ่งมีความคิดเห็นแตกต่างกัน
บ้างด่าว่าผู้ชายฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือไม่ก็ผู้ชายทั้งสองคน แต่คอมเมนต์ที่รินรดาสะดุดตาและรู้สึกเจ็บปวดมากที่สุด คงหนีไม่พ้น คอมเมนต์ที่ด่าว่าเธอเป็นต้นเหตุทำให้ผู้ชายสองคนต้องมาชกต่อยเพื่อแย่งผู้หญิงเพียงคนเดียว
‘อีหญิงสำส่อน’
‘อีผู้หญิงแพศยา อ่อยผู้ชายไปทั่ว จนผู้ชายต้องมาต่อยกันเอง สงสารผู้ชายชะมัด’
‘สงสัยจะเช็กเรตติงละสิไม่ว่า ใครได้เป็นแฟน ซวยชะมัด’
ยิ่งเธออ่านคอมเมนต์มากเท่าไร น้ำตาก็ยิ่งไหลมากขึ้นเท่านั้น จนกระทั่งเสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น รินรดาจึงรีบปาดน้ำตา สงบสติอารมณ์เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ก่อนจะรับโทรศัพท์ของน้าสาว
“สวัสดีค่ะน้าอ้อย”
“ระริน เป็นอะไรหรือเปล่าลูก ทำไมเสียงเป็นแบบนั้นล่ะ ไม่สบายเหรอ หรือว่า…ร้องไห้”
น้ำเสียงของน้าสาวเจือด้วยความเป็นห่วง ทำให้ความเข้มแข็งของเธอต้องพังทลายลงในที่สุด หญิงสาวจึงปล่อยโฮออกมาอย่างไม่อาย
“เป็นอะไรไประริน”
พรพรรณอุทานออกมาด้วยความตกใจและเป็นห่วงเมื่อได้ยินเสียงร้องไห้ของหลานสาวดังมาตามสาย แต่เธอก็ปล่อยให้อีกฝ่ายร้องไห้ออกมาจนพอใจโดยไม่ได้พูดหรือถามอะไรออกมา จนกระทั่งได้ยินเสียงอีกฝ่ายถอนสะอื้นเบาๆ เธอจึงได้เอ่ยออกมา
“ระริน น้ารู้ว่าหลานโตเป็นสาวแล้ว แต่หนูรู้ใช่ไหม ไม่ว่าหนูจะมีเรื่องร้อนใจ ไม่สบายใจแค่ไหน ก็ยังมีน้าคนนี้อยู่นะ ฉะนั้นอย่าเก็บไว้คนเดียว หนูเล่าให้น้าฟังได้เสมอ อย่าลืมสิ เรามีกันสองคนนะลูก”
“ขอบคุณนะคะน้าอ้อย แค่หนูได้ร้องไห้ระบายออกมาบ้างก็ดีขึ้นมากแล้วค่ะ อันที่จริง ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรหรอก แค่เจอคนด่าว่าหนูโดยที่ไม่เป็นความจริงสักนิดเท่านั้นก็เลยเจ็บใจ”
“โธ่เอ๊ย…น้าก็นึกว่าเรื่องอะไร ถ้าเป็นคำพูดของคน จำคำของน้าไว้เลย คนมันมีปากนึกอยากพูดอะไรก็พูด บางคนมีสมองก็สักแต่เอาไว้คั่นหูเท่านั้น ไม่ได้เอามาคิดไตร่ตรองหรอก ยิ่งคนเดี๋ยวนี้ สนใจเรื่องชาวบ้านมากกว่าเรื่องของตัวเองอีก นึกอยากจะพูดหรือคอมเมนต์อะไรก็ทำโดยไม่สนใจหรอกว่า คนอื่นจะเดือดร้อนเพราะตัวเองมากแค่ไหน”
รินรดานั่งฟังนิ่ง มือปาดน้ำตาออกอย่างรู้สึกดีขึ้นเมื่อได้ยินอีกฝ่ายปลอบแกมสอนไปด้วยเหมือนในตอนเด็กๆ ที่พรพรรณมักจะทำให้เธอเสมอมา เธอจึงยึดน้าสาวเป็นตัวแทนของแม่ที่จากไป
“ถ้าระรินเจอคนประเภทนี้ให้เชิดหน้าเข้าไว้นะลูก เราจะดีจะชั่วอยู่ที่ตัวเรา ไม่ได้อยู่ที่ลมปากเหม็นเน่าของใคร อีกอย่างใครมันอยากพูดยังไงก็เรื่องของมัน เพราะเงินทุกบาททุกสตางค์ เราหาเอง ไม่เคยแบมือขอใคร ระรินเชื่อน้า ชีวิตของเราเป็นของเรา ฉะนั้นอย่าไปสนใจกับคำพูดคนที่เราไม่รู้จักให้มันมาบั่นทอนหัวใจเราเลยนะ เขาไม่ได้มีค่ามากขนาดนั้น”
คำสอนของพรพรรณทำให้น้ำตาคนฟังไหลออกมาอีกครั้ง หากแต่เป็นน้ำตาแห่งความอบอุ่นตื้นตันใจ ถึงแม้จะมีคนมากมายด่าว่าเธอเพียงใด แต่อย่างน้อยเธอก็ยังมีน้าสาวและเพื่อนรักอย่างกนกอร ที่คอยอยู่เคียงข้างให้กำลังใจเธอตลอดมา
“ค่ะน้าอ้อย ระรินจะทำตามที่น้าอ้อยบอกนะคะ”
“ดีมากลูก น้ารักหนูนะ รักเสมอ” พรพรรณชวนหลานพูดคุยอีกพักหนึ่งก็วางสายไป
รินรดารู้สึกสบายใจขึ้นมาก หญิงสาวเดินไปที่หน้าต่างทอดสายตามองไปบนท้องฟ้ามืดมิดเพราะไร้แสงดาวซึ่งถูกเมฆบดบัง ปล่อยใจให้ล่องลอยไป แต่แล้วทันใดนั้นเอง หางตาก็พลันเห็นอะไรบางอย่างด้านล่าง เธอชะงักไปนิดๆ ก่อนหรี่ตามองไปก็พบร่างสูงคุ้นตาที่ยืนอยู่ใต้ต้นไม้หน้าหอพักพร้อมกับเงยหน้ามองขึ้นมา ก็จำได้ทันทีว่าเป็นสรวิชญ์
หญิงสาวชะงักไปชั่วขณะ มองไปยังร่างสูงอย่างชั่งใจ เธอยังไม่พร้อมคุยกับเขาในตอนนี้ เพราะวันนี้เธอเจอเรื่องมาหนักหนาเหลือเกิน เรื่องที่ตัวเองไม่ได้เป็นคนก่อเลยด้วยซ้ำ รินรดารีบปิดหน้าต่างทันทีก่อนจะทิ้งตัวลงบนเตียงนอนครุ่นคิดอย่างสับสน แม้ใจจะบอกให้เธอไม่ต้องสนใจ แต่อีกใจก็อดสงสัยไม่ได้
เขามาทำไมกันนะ หรือว่าจะเป็นแผนหลอกให้เธอสงสารแบบที่เจตต์บอก ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง เธอก็ไม่มีเหตุผลต้องพบเขาอีกแล้ว ต่างคนต่างอยู่
แต่ทว่าเวลาผ่านไปไม่นานหญิงสาวก็ได้ยินเสียงฝนกระทบที่ข้างหน้าต่าง จากเบาๆ ก่อนจะแรงขึ้นเรื่อยๆ ทำให้รินรดารีบเดินไปใกล้หน้าต่างแล้วมองไปยังตำแหน่งที่สรวิชญ์ยืนอยู่
เขายังคงยืนอยู่ที่เดิมไม่จากไปไหน ท่ามกลางสายฝนที่กำลังกระหน่ำไม่ลืมหูลืมตาในตอนนี้
“ทำไมไม่กลับไปเสียทีนะ”
รินรดาบ่นออกมาอย่างเสียไม่ได้ สุดท้ายเธอก็ทนดูต่อไปไม่ไหว รีบหันไปคว้าร่มแล้วลงไปด้านล่างทันที
สรวิชญ์ลอบยิ้มมุมปากอย่างสมใจเมื่อเห็นคนที่เขารออยู่เดินแกมวิ่งลงมาพร้อมร่มในมือ เขาก็ตาเป็นประกายอย่างย่ามใจ ทันทีที่หญิงสาวเดินเข้าไปใกล้พร้อมยื่นร่มอีกคันให้
“รับไปสิคะ แล้วรีบกลับไปได้แล้ว”
แทนที่เขาจะรับร่มมาแล้วทำตามที่เธอบอก สรวิชญ์กลับยืนนิ่ง สีหน้าหม่นเศร้าจนเธอใจอ่อนยวบ
“พี่มาขอโทษ…”
“เรื่องขอโทษเอาไว้ก่อนเถอะค่ะ ฝนกำลังตกหนักแบบนี้ พี่ต้นรีบกลับบ้านไปได้แล้ว เดี๋ยวจะไม่สบายเปล่าๆ”
“พี่จะไม่ไปไหนทั้งนั้น ถ้าน้องระรินยังไม่ยอมยกโทษให้พี่” รินรดาเงียบไปอึดใจ เธอไม่ชอบสถานการณ์เช่นนี้ ก่อนจะเลือกวิธีต่อรองให้อีกฝ่ายยอมกลับบ้านโดยเร็ว
“มีอะไรเราค่อยคุยกันพรุ่งนี้นะคะ ตอนนี้พี่ต้นรับร่มไป แล้วกลับบ้านไปได้แล้ว”
“พี่อยากคุยกันตอนนี้ ยกโทษให้พี่ได้ไหมครับ พี่ผิดไปแล้ว…” น้ำเสียงเว้าวอนของเขาทำให้คนฟังหวั่นไหว สายตาที่มองมาช่างบีบหัวใจเธอให้สงสาร เขาเปียกปอนไปหมด แต่ก็ยังไม่ยอมไปไหน
“ถ้าจะยกโทษให้ ก็ต้องรู้ก่อนว่าพี่ต้นทำผิดเรื่องอะไร”
“ก็เรื่องชกต่อยกับไอ้เจตต์ ทำให้เป็นคลิปเผยแพร่ไปทางอินเทอร์เน็ต จนน้องระรินต้องพลอยเดือดร้อนเสียหายไปด้วยไง พี่ขอโทษจริงๆ นะครับ พี่ไม่ได้มีเจตนาจะทำให้คนมองน้องระรินไม่ดีเลย เรื่องนี้น้องไม่ได้ผิดอะไรเลย พี่เองที่ผิด พี่ยินยอมรับผิดชอบในความผิดทุกอย่างที่พี่ได้ทำลงไป ยกโทษให้พี่เถอะนะครับน้องระริน”
รินรดามองใบหน้าที่โดนฝนจนขาวซีดด้วยความรู้สึกสับสน เขาเป็นคนที่เธอไม่อยากเจอหน้ามากที่สุดในยามนี้ แต่พอเห็นเขายืนตากฝนเพียงเพราะต้องการได้ขอโทษเธอ หัวใจเจ้ากรรมก็ดันไม่รักดี จนต้องเดินลงมาหาเขาจนได้
แล้วเธอควรทำอย่างไรกับเขาดีนะ ขืนคุยกันกลางฝนแบบนี้ ไม่ใครก็ใครต้องปอดบวมตายเสียก่อน
- READ รักในรอยน้ำตา บทที่ 24 : หัวใจรัก (จบบริบูรณ์)
- READ รักในรอยน้ำตา บทที่ 23 : ให้ทุกข์แก่ท่าน...ทุกข์นั้นถึงตัว
- READ รักในรอยน้ำตา บทที่ 22 : กรรมตามสนอง
- READ รักในรอยน้ำตา บทที่ 21 : เส้นขนาน
- READ รักในรอยน้ำตา บทที่ 20 : เริ่มต้นชีวิตใหม่
- READ รักในรอยน้ำตา บทที่ 19 : หย่า
- READ รักในรอยน้ำตา บทที่ 18 : เจรจา
- READ รักในรอยน้ำตา บทที่ 17 : โรงพยาบาล
- READ รักในรอยน้ำตา บทที่ 16 : คนที่เลือก
- READ รักในรอยน้ำตา บทที่ 15 : มิตรภาพ
- READ รักในรอยน้ำตา บทที่ 14 : กาลเวลาผันผ่าน
- READ รักในรอยน้ำตา บทที่ 13 : กลับตัวแต่ไม่กลับใจ
- READ รักในรอยน้ำตา บทที่ 12 : โอกาสครั้งที่สอง
- READ รักในรอยน้ำตา บทที่ 11 : ลมหายใจที่ปลิดปลิว
- READ รักในรอยน้ำตา บทที่ 10 : เรื่องไม่คาดฝัน
- READ รักในรอยน้ำตา บทที่ 9 : หอพัก
- READ รักในรอยน้ำตา บทที่ 8 : แก้ไขหรือแก้ตัว
- READ รักในรอยน้ำตา บทที่ 7 : ความจริง
- READ รักในรอยน้ำตา บทที่ 6 : คำเตือน
- READ รักในรอยน้ำตา บทที่ 5 : แผนลับ
- READ รักในรอยน้ำตา บทที่ 4 : แผนขั้นต่อไป
- READ รักในรอยน้ำตา บทที่ 3 : สรวิชญ์
- READ รักในรอยน้ำตา บทที่ 2 : ชีวิตใหม่ของรินรดา
- READ รักในรอยน้ำตา บทที่ 1 : งานศพ
- READ รักในรอยน้ำตา : บทนำ