มหรสพเวรา บทที่ 18 : ล่องอดีต
โดย : คีตาญชลี แสงสังข์
มหรสพเวรา โดย คีตาญชลี แสงสังข์ นวนิยายรางวัลชนะเลิศจากโครงการอ่านเอาก้าวแรก รุ่น 4 กับเรื่องราวที่จะพาคุณล่องลอยถอยสู่บรรยากาศบ้านเมืองหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ ย้อนกลับไปเห็นตั้งแต่ของเล็กอย่างแก้วโอเลี้ยงไปจนถึงสิ่งยิ่งใหญ่อย่างโรงมหรสพสมัยใหม่ที่เรียกว่าโรงภาพยนตร์ ขอเชิญท่านพิศเพลินพร้อมกันทั้งประเทศ ณ บัดนี้
หลายคืนถัดมา ทัพเที่ยงกลับไปที่เดิมอีกครั้ง คราวนี้เขาเข้าไปอยู่ข้างวงสนทนาของหญิงสองคนในบ้านหลังเดิม ขาจำได้ดีว่าผู้หญิงผิวขาวผ่องร่างท้วมวัยกลางคนนั้นชื่อแม่แย้ม ผู้เป็นแม่ของขุนเลิศสลักกิจ ส่วนหญิงผิวสองสีนุ่งห่มโจงกระเบนและผ้าแถบสีหม่นนั้นเขาไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน
เขาเห็นนางแลมองนายหญิงของบ้านซึ่งกำลังเจียนใบตอง อย่างหาโอกาสจะพูด สุดท้ายแล้วนางก็ไม่ได้พูดแต่เป็นแม่แย้มที่เอ่ยถามบ่าวรับใช้นางนั้นขึ้นมาเสียก่อน
“แม่จวง ช่วงนี้หลานฉันเป็นยังไงบ้าง” เสียงแม่แย้มเนิบนาบอย่างไม่ตั้งใจถามนัก แต่คนถูกถามเหมือนได้โอกาสทอง นางขยับเข้าหานายของบ้านทันที
“ก็ดีค่ะคุณ สอนอะไรก็หัวไว เมื่อวานบ่าวสอนคุณกลิ่นแกะฟักทองทำสังขยา ไม่รู้ใครสอนใคร ผอบเธอออกมางามกว่าของบ่าวอีกเจ้าค่ะ”
“รึ” เสียงเจ้านายหัวเราะอย่างพอใจ นางจวงจ้องเมื่อเห็นว่าแม่แย้มไม่พูดอะไรจึงว่าต่อ
“เสียแต่…ขี้อายไม่ค่อยสู้หน้าคนนัก”
“หน้าใครที่ไหนล่ะฮึ”
“ก็หน้า…คุณเที่ยงเอ๊ยคุณหลวงไงเจ้าคะ”
“ฮึ…” ผู้เป็นนายเงยหน้าจากใบตอง มองบ่าวคนสนิทอย่างเอาความ “แม่จวงหมายความกระไร…”
“อย่าว่าอย่างงั้นอย่างงี้นะเจ้าคะ คุณกลิ่นงามทุกกระเบียดนิ้วอย่างนี้ บ่าวเสียดายเหลือเกินเจ้าค่ะ คุณจะไม่คิดยกฐานะจากหลานเป็นอย่างอื่นบ้างหรือเจ้าคะ”
“แม่จวง” เสียงนายเหมือนจะปรามบ่าว แต่เมื่อเห็นสีหน้าจริงจังของอีกฝ่าย ทัพเที่ยงก็เห็นเจ้านายเป็นฝ่ายถอนหายใจเหมือนจะยอมเสียเอง
“คุณแย้มเจ้าขา” บ่าวคนสนิทพูดต่อ “คุณเที่ยงน่ะเดี๋ยวนี้เป็นถึงหลวงเลิศสลักกิจแล้วนะเจ้าคะ บ่าวว่าน่าจะถึงเวลาแต่งงานเป็นเรื่องเป็นราวได้แล้ว บ่าวเลี้ยงบ่าวเห็นของบ่าวมาแต่เล็กแต่น้อย บอกตามตรงว่าตั้งแต่เห็นผู้หญิงมา คุณกลิ่นงามสมกันทุกอย่าง คุณเองก็รักคุณกลิ่นทำไมคุณถึงขวางล่ะเจ้าคะ คุณเองก็เห็นว่าหลวงเลิศมองคุณกลิ่นด้วยสายตาเช่นไร”
“แม่จวง” แม่แย้มว่าเสียงอ่อน “ทำไมฉันถึงจะดูไม่ออก แล้วแม่จวงเลี้ยงพ่อเที่ยงมาดูไม่ออกเลยหรือว่าคุณเที่ยงของแม่จวงเจ้าชู้เพียงใด”
“ก็เธอสวยนี่เจ้าคะ”
“ก็เข้าข้างกันอย่างนี้” ผู้เป็นนายส่ายหน้า “บอกตามตรงฉันเป็นแม่ฉันก็รักของฉันไม่ผิดไปจากแม่จวงดอก แต่แม่กลิ่นเปรียบไปก็เหมือนดอกแก้ว เพียงแค่หอมรื่นเย็นจะไปมัดอกมัดใจหลวงเลิศได้รึ รู้ไหมฉันได้ยินข่าวมาจากไอ้จันว่า หลวงเลิศของแม่จวงไปหลงเสน่ห์แม่เฟื่องลูกหลานตระกูลพระยาโชฎึกราชเศรษฐี ถ้าฉันหนุนหลวงเลิศเรื่องแม่กลิ่น แม่กลิ่นก็คงได้ช้ำใจตาย”
“โถๆๆ ได้เป็นเมียหลวงเลิศ จะเป็นเมียกลางบ้าน เมียกลางนอก เมียกลางทาสี ก็ดีกว่าเป็นสาวเทื้อนะเจ้าคะ”
“เอาไว้ให้เห็นแม่เฟื่องเสียก่อน แม่จวงจะพูดไม่ออก”
“แล้วพระยาโชฎึกร่ำรวยออกปานนั้นจะยกลูกสาวให้ง่ายๆ หรือเจ้าคะ”
“เรื่องนั้นฉันคะเนไม่ออกดอก แต่ของพรรณอย่างนี้ก็ไม่แน่ หลวงพ่อที่พิจิตรท่านเคยดูดวงหลวงเลิศเอาไว้ วาสนาของหลวงเลิศนั้นจะไปไกลกว่าหลวงประเสริฐนัก ฉันเคยเจอแม่เฟื่องที่วัดหลายหน หูตาแม่คุณเวลามองหลวงเลิศ ฉันหวั่นใจว่าเรื่องที่ว่ายากก็อาจจะง่าย ส่วนพระยาโชฎึกตอนที่พบปะกันก็ให้เกียรติฉันดี ไม่ได้มีท่าทีรังเกียจหลวงเลิศเลย หลวงเลิศของแม่จวงเห็นอยู่ในบ้านเข้านอกออกในห้องแม่พวกสาวๆ อย่างนั้น อยู่นอกบ้านเรียบร้อยจนดูไม่ออกเลยทีเดียวว่าจะมีเมียบ่าวห้าหกคน”
“โธ่คุณ…เมียบ่าวก็เมียบ่าวสิเจ้าคะ ไปนับทำไม บ่าวก็ทำหน้าที่รับใช้ไปตามหน้าที่ ท่านก็อุ้มชูเลี้ยงดูให้ที่อยู่ทองหยองไม่ให้น้อยหน้าใคร ไม่มีใครจะสะเออะมาเทียมคุณกลิ่นดอกเจ้าค่ะ”
“เฮ้อ…” เสียงผู้เป็นนายถอนใจ “ฉันก็กลัวแต่ว่าเรื่องมันจะไม่ใช่แบบนั้นน่ะสิ”
“คุณเจ้าขา…บ่าวดูออกว่าหลวงเลิศเอ็นดูคุณกลิ่นอยู่มากนะเจ้าคะ ปีสองปีมานี่ถ้าคุณไม่ปรามๆ เอาไว้ละก็…”
“แม่จวงก็ดีแต่เข้าข้างพ่อเที่ยงแบบนี้แหละ หลานฉันไม่ใช่ผักใช่ปลานะ”
“คุณขา…อิฉันก็สอนก็ดูคุณกลิ่นมาจะห้าปีเข้าแล้ว เสียดายเหลือเกินหากมีใครมาขอไปเสีย ไม่ได้เห็นเธอเป็นผักเป็นปลาเลย”
“นี่แหละที่เขาว่าเป็นผักเป็นปลา เคยถามไหมว่าแม่กลิ่นเขาเห็นดีเห็นงามไปด้วยไหม ดูหัวใจผู้หญิงเขาหรือเปล่า”
“คุณเจ้าขา คนจะมีผัวเขาก็เอาไว้เป็นร่มโพธิ์ร่มไทร จะต้องมาดูหัวจงหัวใจกระไรกันเจ้าคะ แต่บ่าวมั่นใจว่าคุณกลิ่นต้องเต็มใจ ถ้าไม่เชื่อคุณก็ลองถามเธอดู” เสียงบ่าวคนสนิทมั่นใจ ทัพเที่ยงเห็นสีหน้าของหญิงผู้เป็นนายลังเล ก่อนจะส่ายหน้าแล้วก้มเจียนใบตองต่ออย่างไม่สบายใจนัก
“คุณเจ้าขา” เสียงบ่าวจะว่าต่อแต่นายของบ้านยกมือขึ้นห้าม
“เอาเถอะ ขอฉันไถ่ถามแม่กลิ่นให้ได้ความก่อน”
“เจ้าค่ะ” บ่าวคนสนิทรับคำแล้วก้มหน้าเช็ดใบตองด้วยอาการกระหยิ่ม
ทัพเที่ยงแปลบปลาบ เขารู้ดีว่าแม่กลิ่นที่หญิงวัยกลางคนพูดถึงอยู่นั้นคือแม่กลิ่นของเขาที่เพิ่งจะพบกันเมื่อก่อนเข้านอน เขาระลึกไปถึงใบหน้านายเที่ยง คืนก่อนยังเป็นขุนเลิศ มาคืนนี้กลายเป็นหลวงเลิศสลักกิจเสียแล้ว
เวลาผ่านไปนานเท่าใดแล้วหนอ เขารอบสังเกตใบหน้าของหญิงเจ้าของเรือน แม่แย้มไม่ได้ดูผิดแผกไปจากเมื่อคืนวานจนเห็นชัด ถ้าเป็นไปตามคำพูดจากบ่าวที่ชื่อจวงว่าดูแลแม่กลิ่นมาจะ 5 ปี เวลาจากคืนวานจนถึงคืนนี้ก็น่าจะผ่านไป 5 ปีแล้ว
เมื่อคืนแม่กลิ่นยังเป็นเพียงเด็กหญิงยังไม่โกนจุก ส่วนขุนเลิศที่เขาเห็นนั้นผิวขาวสะอาด ร่างสันทัด ชายหนุ่มมีบางอย่างดึงดูดใจเหมือนจักร แต่ใบหน้าของชายผู้นั้นหล่อเหลาราวกับอิเหนาหลุดออกมาจากวรรณคดี ขนาดจักรเพียงสะอาดหน้ามอง เดินไปไหนยังเป็นเป้าสายตาถึงเพียงนั้น แล้วคนที่ดึงดูดใจทั้งรูปร่างหน้าตา แถมน้ำเสียงมีกังวานสุภาพอย่างนายเที่ยง จะยิ่งดึงดูดใจสักเพียงไหน
ยิ่งเป็นแม่กลิ่น แค่แกล้งเป่าลมหายใจใส่ หล่อนก็แทบจะเป็นลมล้มพับ แล้วถ้าต้องมาอยู่ร่วมบ้านกับหลวงเลิศ เธอจะเป็นอย่างไรบ้างหนอ…
ยิ่งคิดทัพเที่ยงก็ยิ่งรู้สึกถึงมวลท้อง อารมณ์แล่นเป็นริ้วๆ ขึ้นมาด้วยโทสะ เขากำลังโกรธอะไร สิ่งใด ตัวเขาเองก็ไม่อาจรู้ได้ สิ่งเดียวที่เขาบอกตัวเองได้คือ เขารู้สึกไม่พอใจในสิ่งที่ได้ยิน จนรู้สึกขวางหูขวางตาบ่าวที่ชื่อแม่จวงอย่างไรบอกไม่ถูก
ทัพเที่ยงกวาดตามองรอบตัว เขากำลังมองหาแม่กลิ่น กำลังนึกสงสัยว่าแม่กลิ่นยามนี้รูปร่างหน้าตาเป็นเช่นไร จะผิดแผกไปจากเมื่อคืนวานมากน้อยแค่ไหน แต่คราวนี้ร่างของเขาไม่อาจล่องลอยไปตามหัวใจใคร่รู้ น้ำหนักตัวที่ทิ้งลงบนฝ่าเท้า ทำให้เขารู้สึกได้ถึงความลื่นมันของพื้นกระดาน
ทัพเที่ยงขยับนิ้วเท้า เขาลองก้มลงเอาฝ่ามือแตะพื้น ก่อนจะค่อยๆ ลูบแผ่นไม้ ตอนนี้มันกำลังส่งผ่านความเย็นมาบนฝ่ามือ เขาสัมผัสได้ถึงสายลมจางๆ ของลมหนาวทางทิศเหนือ ทัพเที่ยงลองเอามือลูบแขน เขาบอกตัวเองว่าฝันของวันนี้ทำให้เขารู้สึกว่าเป็นมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง
ทัพเที่ยงมองไปที่หญิงทั้งสอง ทั้งคู่อยู่ห่างจากเขาไม่ถึงวา ชายหนุ่มลองขยับเข้าไปใกล้ แล้วก็ได้รู้แน่ชัดว่า ตอนนี้เขาเป็นเพียงมนุษย์ล่องหนในสถานที่แห่งนี้เท่านั้น
แล้วถ้าลองยกสิ่งของล่ะ เขาถามตัวเอง
ถ้ายกใบตองขึ้นสักใบ หรือลูบแขนนางจวงดูสักหน นางจะรู้สึกไหม จะรู้สึกว่าถูกผีหลอกหรือเปล่า
ทัพเที่ยงคิด เขาชั่งใจว่าจะลองทำดีหรือไม่ แต่แล้วก็นึกเปลี่ยนใจ หากว่าเรื่องกลายเป็นว่าหญิงทั้งสองรับรู้การมีอยู่ของเขาได้ บางทีการย้อนเวลากลับมาที่นี่ อาจจะส่งผลไปถึงความสัมพันธ์ของเหตุการณ์บางอย่างไปยังอนาคต เขายังไม่อยากไปแตะต้อง เปลี่ยนแปลง หรือทำลายสิ่งใดๆ เพราะรู้ดีว่าตนเองคงไม่อาจจะรับผิดชอบผลที่จะตามมาได้ไหวแน่
ชายหนุ่มตัดสินใจเดินลงจากเรือนหมู่ เขาอยากจะออกสำรวจพื้นที่ และหาแม่กลิ่นเพื่อดูให้แน่ใจว่าตอนนี้หล่อนเหมือนกับแม่กลิ่นของเขาในเรือนก้านมะลิหรือเปล่า
ทัพเที่ยงก้าวเท้าลงจากเรือนของหลวงเลิศสลักกิจ เป้าหมายของเขาอยู่ที่ศาลาท่าน้ำ เขาจดจ่ออยู่กับสัมผัสบนฝ่าเท้า มันเป็นความหฤหรรษ์แบบหนึ่งเมื่อสำเหนียกว่าตอนนี้ตนเองกำลังฝันอยู่ ช่างเป็นฝันอัศจรรย์ที่นำตัวเขาย้อนเวลากลับมาที่ใดที่หนึ่ง แถมทำให้ฝ่าเท้าของเขารับรู้ถึงพื้นดิน กอหญ้าและกรวดเล็กๆ ที่กำลังทิ่มแทง
ทัพเที่ยงก้มลงมองเท้าเปลือยด้วยความรื่นเริง เขารู้สึกราวกับตัวเองกลับไปเป็นเด็กน้อยที่กำลังวิ่งเข้าสู่ลานเครื่องเล่นในงานวัดอีกครั้ง
เมื่อไปถึงอาคารริมน้ำ ที่เขาเคยเข้าใจไปว่ามันเป็นศาลาเมื่อครั้งที่มองลงมาจากมุมสูง คราวนี้เขาพบความจริงว่า สิ่งก่อสร้างที่เคยโดนกลุ่มใบของไม้ใหญ่บังอาคารเอาไว้ครึ่งหนึ่งแท้จริงแล้วคือเรือนแพ
มันคือเรือนแพจริงๆ แถมเป็นเรือนแพขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยสินค้าและผู้คน คืนก่อนหน้านี้เขามาเยือนและมองดูมันอย่างเร่งรีบ แต่ตอนนี้เขาได้สัมผัสมันอย่างถ้วนถี่ จนเห็นว่าเรือนแพที่เขาเห็นในคราวแรกว่าสูงเทียมตลิ่งนั้น บัดนี้ยุบลงตามกระแสน้ำ
ทัพเที่ยงกวาดตาไปอีกฝั่ง แสงแดดยามสายสะท้อนผิวน้ำเป็นประกายจนเขาต้องหยีตา กลางลำน้ำเต็มไปด้วยลำเรือขนาดเล็ก บางลำลอยเอื่อย บางลำเร็วจี๋ ด้วยฝีมือช่ำชองของคนพายผู้เป็นเจ้าของเรือ ส่วนตลิ่งอีกฟากฝั่งแม่น้ำ เขาเห็นเรือนแพกระจายตัวเต็มพืดไปทั้งแนว ลักษณะของพวกมันถาวรเหมือนบ้านพักอาศัยที่ย้ายฐานลงไปลอยอยู่ในน้ำ ตัวเรือนสร้างอยู่บนแพลูกบวบ ผนังเป็นไม้ขัดแตะ หลังคาจั่ว หน้าบ้านทุกหลังมีนอกชานหันออกสู่สายน้ำ มีบางลำวางของขายเช่นกัน แต่ไม่มีเรือนแพลำไหนดูแข็งแรง สวยงาม และมีผู้คนเข้าออกมากเท่าเรือนแพที่จอดอยู่ใกล้ท่าน้ำของหลวงเลิศสลักกิจเลย
หลวงเลิศสลักกิจ…ทัพเที่ยงคิดตาม
จากราชทินนาม เลิศ-สลัก-กิจ เขาน่าจะทำงานเกี่ยวกับงานสลักอันเป็นหนึ่งในงานช่างสิบหมู่ แล้วเหตุใดบ้านของเขาจึงมีกิจการเรือนแพขายของอย่างเป็นล่ำเป็นสันเช่นนี้
หากคิดตามในแง่การบริหารจัดการทรัพย์สินและบ่าวไพร่ในบ้าน หลวงเลิศผู้นี้คงดูแลบ่าวไพร่ได้เป็นเลิศสมชื่อ ที่แม่แย้มแม่ของเขาบอกนางจวงว่าคนระดับพระยาโชฎึกไม่นึกรังเกียจ ส่วนหนึ่งก็น่าจะมาจากกิจการในบ้าน หลวงเลิศผู้นี้คงจะมีเงินทองมากมาย มิเช่นนั้นเรือนของคุณหลวงจะใหญ่โตโอฬารเพียงนี้เลยหรือ
จะว่าไปแล้ว ทัพเที่ยงได้ยินว่าพ่อของเขาชื่อหลวงประดิษฐ์ ไม่แน่ว่ากิจการการค้าของพวกเขาอาจจะเริ่มมาตั้งแต่รุ่นพ่อแล้วก็เป็นได้
“ทางนี้ค่ะคุณกลิ่น” เสียงแจ๋วดังมาจากด้านหลัง ทัพเที่ยงหันไปมอง ร่างเล็กๆ ของเด็กหญิงผมโก๊ะวิ่งกระวีกระวาดมายังท่าน้ำที่เขายืนอยู่
เด็กหญิงกระโดดยกมือโบกหย็อยๆ ทัพเที่ยงมองตามสายตา ก็เห็นภาพหญิงสาวที่เขาคุ้นหน้าส่งยิ้มเอ็นดูให้เด็กหญิงผู้นั้น
ทัพเที่ยงตะลึงมอง แม้ว่าจะเคยเห็นใบหน้านี้มานับครั้งไม่ถ้วน แต่สีหน้าแจ่มใสผุดผ่องเช่นนี้เขาไม่เคยเห็นมันมาก่อน
“แม่กลิ่น” เขาเปล่งเสียงพร่า จ้องหญิงสาวที่กำลังสาวเท้าเร็วๆ เข้าใกล้มาเรื่อยๆ
“อะไรกันจ๊ะ” เสียงรื่นหูว่าพลางยิ้มสดใสให้เด็กหญิง เสียงหล่อนเป็นอย่างนี้นี่เอง ทัพเที่ยงคิด ใจเต้นไม่เป็นจังหวะ คราวที่แล้วหล่อนก็พูด แต่นั่นหล่อนยังเด็กนักจนเขาไม่เคยนึกถึงเรื่องเสียงของหล่อนมาก่อนหน้านี้เลย
“เรือกลไฟค่ะคุณกลิ่น วันนี้เรือนแพฟากกระโน้นจะย้ายออกไป เห็นว่าเขาจ้างเรือกลไฟมาลากไปปากคลองเจ้าค่ะ”
“ไหนกัน ฉันไม่เห็นสักลำ” หญิงสาวกวาดตาเด็กหญิงชะเง้อทำหน้ามุ่ย
“ไอ้น้อยไปบอกว่ามาแล้วนี่เจ้าคะ ไอ้น้อยโกหก”
“ไม่พูดอย่างนั้นสิจ๊ะ น้อยคงเข้าใจผิดไม่ได้ตั้งใจปดพุดดอก”
หล่อนว่าพลางยกมือขึ้นลูบหัวเด็กหญิงชื่อพุด เด็กน้อยยิ้มตอบแล้วชวนคุยเรื่องเรือกลไฟด้วยความตื่นเต้น
ทัพเที่ยงเดินวน แม่กลิ่น…เขาทวนชื่อหล่อนเหมือนไม่เชื่อสายตาตัวเอง ผิวพรรณหน้าตาหญิงสาวยามนี้ช่างสดชื่นมีชีวิตชีวา เขานึกถึงใบหน้าและสัมผัสที่เขาเคยแตะต้องแล้วขนหัวลุก ถ้าเปรียบกับหญิงสาวตรงหน้า แม่กลิ่นในเรือนก้านมะลิถึงจะมีเลือดฝาดขึ้นมากแล้ว แต่ก็คือผีดีๆ นี่เอง เทียบกันไม่ได้กับแม่กลิ่นที่อยู่ตรงหน้าของเขาสักนิด
ทัพเที่ยงหัวใจเต้นแรง ใบหน้าของหลวงเลิศสลักกิจแทรกเข้ามาอย่างจะชำแรกเข้ากลางหัวใจ เขาจ้องมองแม่กลิ่นอีกครั้ง ราวลมเพชรหึงตีเข้าใส่จนหัวหมุน ทัพเที่ยงรู้สึกโกรธขึ้นอย่างไร้สาเหตุ เมื่อเผลอคิดว่าทั้งสองช่างเหมาะเจาะ สมกันราวอิเหนากับนางบุษบา
“มาโน่นแล้วเจ้าค่ะ” เด็กหญิงกระโดดเหยงๆ จนหญิงสาวต้องร้องปราม ทัพเที่ยงหลุดจากภวังค์มองตามปลายนิ้วเด็กพุด เขาเห็นเรือกลไฟลำใหญ่ ตัวเรือต่อด้วยไม้มีปล่องไฟอยู่กลางลำ มันแล่นฉิวส่งเสียงดังมาตามลำน้ำ
“เรือกลไฟมาแล้วเจ้าค่ะคุณกลิ่น ลำเบ้อเริ่มเลย” เด็กหญิงยังซอยเท้าด้วยความตื่นเต้น ทัพเที่ยงเห็นแม่กลิ่นยกปลายสไบขึ้นมาปิดปากแย้มหัวเราะ แล้วนึกอยากฉุดหล่อนมาแนบอก เขาเคยสัมผัสหล่อนมาหลายต่อหลายครั้ง บางครั้งตั้งใจ บางครั้งบังเอิญ แต่ไม่มีครั้งไหนที่เขารู้สึกรุนแรงเท่าครั้งนี้
“ดูอะไรกันอยู่หรือ” เสียงนุ่มกังวานดังขึ้น ทัพเที่ยงหันขวับไปพร้อมหญิงสาว เมื่อร่างสันทัดของหลวงเลิศสลักกิจพร้อมผู้ติดตามอีก 2 นายเข้ามาใกล้เด็กพุดก็ย่อตัวลงนั่งอย่างสำรวม
“คุณพี่” กลิ่นว่าพลางกระพุ่มมือไหว้ หลวงเลิศมองออกไปกลางลำน้ำแล้วยิ้ม
“อ้อ เรือกลไฟ…ใครจ้างเรือมากัน” เขาถาม ชายผู้ติดตามชะเง้อมองแล้วตอบคำถามนั้น
“เรือแพนายสุขขอรับ เห็นว่าจะย้ายออกไปแถวปากคลองบางกอกใหญ่”
“ทำมาค้าขายร่ำรวยจนมีเงินจ้างเรือกลไฟเลยรึ”
“ขอรับ ได้ยินข่าวลือมามิสู้ดีนัก”
“เรื่องอะไรกันไอ้จัน”
“ขุนบานเถื่อนขอรับ”
“งั้นรือ ทำไมข้าไม่เคยรู้ข่าวมาก่อน”
“เขาว่ามันมิได้ตั้งโรงหวยกันแถวนี้แต่ไปเปิดอยู่แถวปากน้ำโพ นายสุขขึ้นล่องอยู่เป็นประจำ”
“ไหนว่ามันค้าไม้”
“ก็ค้าด้วยขอรับ แต่เขาก็ว่ามันตั้งตัวเป็นคุณบานเถื่อนไปเปิดโรงหวยร่วมกับจีนที่โน่นด้วย” บ่าวติดตามว่า หลวงเลิศพยักหน้ารับรู้แล้วออกปากให้บ่าวติดตามกลับไปเรือนของตัวเองได้ ส่วนชายหนุ่มยิ้มพราว เดินตรงเข้าหาแม่กลิ่นด้วยความสนใจใคร่รู้
“น้องอยากลองขึ้นเรือกลไฟดูสักครั้งไหม”
“ไม่เป็นไรดอกค่ะ”
“ไม่เป็นไรคืออย่างไรกัน น้องตอบไม่ตรงคำถามอีกแล้ว” เขาเย้า แม่กลิ่นซ่อนหน้าเอียงอาย ทัพเที่ยงเดินวน ชายหนุ่มเอื้อมมือแล้วหดกลับอยู่หลายรอบ เขาบอกตัวเองให้มีเหตุผล อย่างไรเขาก็ไม่ใช่คนยุคสมัยนี้ อย่างไรเขากับแม่กลิ่นก็ไม่ได้อยู่ในโลกใบเดียวกัน
“ถ้าน้องอยากขึ้นจริงๆ บอกพี่ ว่าแต่วันนี้มีอะไรกินบ้าง”
“คุณพี่จะรับประทานมื้อกลางวันที่บ้านหรือคะ”
“ใช่ วันนี้พี่ไม่กลับกรมแล้ว”
“อย่างนั้นน้องจะไปเตรียมสำรับ” หญิงสาวออกเดิน แต่ไม่ทันพ้น หลวงเลิศรูปงามกลับคว้าข้อมือแม่กลิ่นเอาไว้
“เดี๋ยวซี อีกตั้งนานกว่าจะเที่ยง น้องอยู่คุยเป็นเพื่อนพี่ก่อน” เสียงหลวงเลิศว่า ทัพเที่ยงก้าวเข้าไปประชิด เขากำมือแน่น พยายามข่มใจให้สงบ แต่เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะกิ๊กของเด็กพุดและใบหน้าแดงแจ๋ของแม่กลิ่น เขาก็สุดข่มอารมณ์เดือดปุดของตัวเอง ทัพเที่ยงเอื้อมมือ เป้าหมายคือกระชากแขนหลวงเลิศให้พ้นออกจากแม่กลิ่นของเขาเดี๋ยวนี้
- READ มหรสพเวรา บทที่ 25 : ผู้มาเยือน
- READ มหรสพเวรา บทที่ 24 : เข้าสู่โหมดมืออาชีพ
- READ มหรสพเวรา บทที่ 23 : ไม่มีเวลาเหลือแล้ว
- READ มหรสพเวรา บทที่ 22 : กำจัดเสี้ยนหนาม
- READ มหรสพเวรา บทที่ 21 : คาหนังคาเขา
- READ มหรสพเวรา บทที่ 20 : ระย้า
- READ มหรสพเวรา บทที่ 19 : สไบนาง
- READ มหรสพเวรา บทที่ 18 : ล่องอดีต
- READ มหรสพเวรา บทที่ 17 : ย้อนเวลา
- READ มหรสพเวรา บทที่ 16 : ชั่วฟ้า
- READ มหรสพเวรา บทที่ 15 : โรงมหรสพ
- READ มหรสพเวรา บทที่ 14 : กลุ้ม
- READ มหรสพเวรา บทที่ 13 : ดอกแก้วแทนใจ
- READ มหรสพเวรา บทที่ 12 : คำสาป
- READ มหรสพเวรา บทที่ 11 : กล่อมนอน
- READ มหรสพเวรา บทที่ 10 : คนไม่กลัวผี
- READ มหรสพเวรา บทที่ 9 : เฟื่องฟ้า
- READ มหรสพเวรา บทที่ 8 : จับผีมือเปล่า
- READ มหรสพเวรา บทที่ 7 : ส.อาสนจินดา
- READ มหรสพเวรา บทที่ 6 : กาแฟและโรงหนัง
- READ มหรสพเวรา บทที่ 5 : ไฟปริศนา
- READ มหรสพเวรา บทที่ 4 : กลิ่นเก่าโลกใหม่
- READ มหรสพเวรา บทที่ 3 : นักเขียนผี
- READ มหรสพเวรา บทที่ 2 : ใครในเรือน
- READ มหรสพเวรา บทที่ 1 : เรือนก้านมะลิ