
แก่นไม้หอม บทที่ 23 : เรื่องที่เข้ากันได้
โดย : กิ่งฉัตร
แก่นไม้หอม นวนิยายออนไลน์ โดย กิ่งฉัตร ที่อ่านเอาอยากให้คุณได้อ่านออนไลน์ กับเรื่องราวที่จะทำให้คุณได้รู้ว่าผู้หญิงเป็นเมียและแม่ไม่ต่างจากแก่นไม้ที่แข็งแกร่ง มั่นคงและทรหดที่ยึดให้ใบได้แผ่กว้าง และหากโลกนี้เชื่อว่าผู้ชายเป็นใหญ่ แต่จริงๆ แล้วทุกสรรพสิ่งในธรรมชาติล้วนเป็นหยินที่โอบหยางทั้งสิ้น
หลายปีต่อมาในยุคที่ละครโทรทัศน์เฟื่องฟู มีละครเกี่ยวกับชีวิตคนจีนในไทยหลายเรื่อง บ้างก็เน้นประเด็นทำมาหากินก่อร่างสร้างตัว บ้างก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับบรรดาเมียๆ ทั้งเมียใหญ่เมียสองเมียสามเมียสี่แย่งชิงความเป็นใหญ่หลังบ้านกันวุ่นวาย ซิ่วเฮียงดูไปหัวเราะไปจนเด็กน้อยที่วันไหนไม่ได้มีไฟล์ทบินและได้อยู่ดูละครกับหล่อนถามขึ้นว่า
“เฮียงแจ้หัวเราะทำไม ไม่เหมือนชีวิตเฮียงแจ้ล่ะสิ”
“ไม่เหมือน แต่ละบ้านไม่เหมือนกัน บ้านนี้ไม่มีดราม่า” ซิ่วเฮียงตอบเสียงใส แม้อายุจะมากแล้วแต่หล่อนไม่ตกยุค ใช้ศัพท์แสงตามสมัยได้ไม่ขัดเขิน “แต่คนเขาไม่พูดว่าฉันกับแม่เธอดีหรอกนะ เขากลับว่าพ่อเธอเก่ง!”
ว่ากันตามตรงแล้วเริ่มแรกที่แต่งเข้าบ้านความสัมพันธ์ระหว่างผู้หญิงสองคนค่อนข้างจะคลุมเครือ แม้ไม่มีปัญหาแต่ก็ไม่สนิทสนมมากมายอะไร ปกติกุ้ยเตียงจะสอนเรื่องค้าขายบ้างบัญชีบ้าง ซิ่วเฮียงก็จะรับว่าจ้ะๆ เป็นส่วนใหญ่
แต่หลังจากซิ่วเฮียงแต่งเข้าบ้านได้ไม่กี่เดือน กุ้ยเตียงก็มีปัญหา…หล่อนขาดเพื่อนเล่นไพ่นกกระจอก
ตามปกติหญิงสาวมักมี ‘ขา’ ที่เล่นกันประจำอยู่สามสี่คน ทว่าจู่ๆ เพื่อนคนหนึ่งต้องตามสามีไปลงหลักปักฐานที่ฮ่องกง ส่วนอีกรายก็สุขภาพไม่ค่อยดีนัดสิบครั้งมาได้ครั้งเดียว จะชวนหลีมุ่ยหล่อนก็คร้านกับนิสัยคิดเล็กคิดน้อยชอบเอาเปรียบของอีกฝ่าย ถ้าเลือกชวนน้องสะใภ้คนอื่นๆ หลีมุ่ยก็จะตีโพยตีพายว่าทำไมไม่ชวนหล่อนด้วย
กุ้ยเตียงหาเพื่อนเล่นไพ่ด้วยไม่ได้ สุดท้ายเหลียวซ้ายแลขวาก่อนตัดสินใจคว้าซิ่วเฮียงมาถาม
“ลื้อเล่นไพ่นกกระจอกเป็นไหม”
ซิ่วเฮียงยิ้มแห้ง
“ไม่เป็นจ้ะ”
“ไม่เป็นไรเดี๋ยวอั๊วสอน เล่นไม่ยาก” กุ้ยเตียงถืออำนาจเมียใหญ่รวบรัดตัดบทไม่ให้ซิ่วเฮียงได้ปฏิเสธ กำหนดเวลาเรียนเสร็จสรรพ
ดังนั้นตอนเย็นๆ หลังเลิกงานซิ่วเฮียงต้องเข้าบ้านลานมะเกลือเพื่อเรียนการเล่นไพ่ โชคดีที่หญิงสาวเป็นคนหัวไว กุ้ยเตียงสอนครั้งสองครั้งก็เล่นได้แล้ว แถมยังเล่นได้ดี ฝึกไม่นานก็มีฝีไม้ลายมือไล่ๆ กับครูแล้ว สามารถออกโรงตามครูไปเล่นกันฉันท์ญาติมิตรตามบ้านเพื่อน หรืออาจหาญขนาดเข้าไปเล่นในบ่อนที่เยาวราชสองสามครั้ง
ส่วงมองเมียทั้งสองคนแล้วได้แต่ส่ายหน้าถอนใจ บ่นอุบ
“เรื่องอื่นทำเหมือนน้ำบ่อไม่ยุ่งน้ำคลอง แต่ทำไมเรื่องไพ่นี่ถึงได้เข้ากันได้นัก”
กุ้ยเตียงรู้ว่าสามีไม่ชอบให้เล่นการพนันจึงค่อนข้างระมัดระวัง จะจูงซิ่วเฮียงไปเล่นที่ไหนก็ดูทิศทางลมก่อนตลอด เถ้าแก่หนุ่มจึงยอมหลับตาข้างหนึ่งไม่ได้จู้จี้อะไรนัก
ช่วงปลายปีก่อนปีใหม่สากล สมาคมแซ่สัมพันธ์ที่ส่วงเป็นกรรมการจะจัดงานเลี้ยงประจำปีขึ้น แม้ชายหนุ่มจะมีความขัดแย้งกับต้นตระกูลจนต้องติดตามน้าเขยมาเริ่มชีวิตใหม่ที่เมืองไทย แต่ชายหนุ่มไม่เคยลืมว่าตนเองชื่อแซ่อะไร มาจากไหน ดังนั้นเมื่อลงหลักปักฐานได้กลายเป็นคนหนุ่มอนาคตไกล เขาจึงเข้าร่วมสมาคมคนแซ่เดียวกันที่มาจากโผวเล้งด้วยกัน
ทุกปีสมาคมจะมีงานเลี้ยงใหญ่ เลี้ยงเพื่อบอกเล่าการดำเนินการต่างๆ ที่ทางสมาคมทำในช่วงปีที่ผ่านมา ในงานตั้งโต๊ะจีนร่วมร้อยโต๊ะ มีการแสดงบนเวทีสลับกับประกาศต่างๆ ของสมาคม
ในฐานะสมาชิกของสมาคมและเป็นหนึ่งในกรรมการที่อายุน้อยที่สุด ส่วงมักจะ ‘ซื้อโต๊ะ’ หนึ่งถึงสองโต๊ะเสมอ แต่ชายหนุ่มต้องไปนั่งโต๊ะกรรมการอยู่ติดเวที อีกทั้งตัวเขาเองไม่มีญาติที่เมืองไทย ดังนั้นที่นั่งในโต๊ะจึงถูกแจกจ่ายไปทางญาติของกุ้ยเตียง
เตี่ย ม้าและบุ่งทงพี่ชายคนโตของกุ้ยเตียงไม่เคยมางาน พวกเขาบอกตามตรงว่าไม่รู้จักใคร มาเพื่อกินเลี้ยงอย่างเดียวมันอึดอัด หญิงสาวก็ไม่คะยั้นคะยอเพราะรู้ว่าคนทั้งสามสะดวกใจเวลาไปงานเลี้ยงในแซ่ของตัวเองมากกว่า
น้องชายน้องสะใภ้ที่เหลือถ้าใครว่างก็พาลูกเต้ามา ใครไม่ว่างก็ไม่มา มีรายเดียวที่มาทุกปีไม่ขาดคือหลีมุ่ย ทุกปี…หลีมุ่ยจะพาลูกทุกคนมางาน และลูกทุกคนต้องมีพี่เลี้ยงซึ่งเป็นคนงานในบ้านหรือในร้านโบ๊เบ๊ตามประกบแบบตัวต่อตัว แถมบางครั้งหล่อนยังพาหลานชายหลานสาวมาด้วย ขนเอามาให้มากเท่าที่จะมากได้ เรียกว่าโต๊ะหนึ่งครอบครัวหลีมุ่ยจองหมด
สาเหตุของการยกพลมางานนั้นไม่ใช่เพราะอาหารอร่อยหรือการแสดงบนเวทีดี แต่เป็นเพราะทางสมาคมมีรางวัลดีๆ แจกอย่างใจป้ำ แจกตั้งแต่ของที่ระลึกเล็กๆ น้อยๆ ถ้วยชามรามไหของใช้ในครัว เครื่องใช้ไฟฟ้า และรางวัลใหญ่สุดมักเป็นสร้อยทอง ไล่ไปตั้งแต่ทองหนักหนึ่งสลึงถึงหนึ่งบาท ทุกโต๊ะจะต้องได้ของรางวัลธรรมดาชิ้นหนึ่ง แต่จะมีแต่ผู้โชคดีไม่กี่คนที่ถือหางบัตรหมายเลขที่นั่งขึ้นไปรับทองคำบนเวที
ว่ากันตามจริงแล้วส่วงเป็นคนออกเงินซื้อโต๊ะในงาน ของรางวัลต่างๆ ไม่ว่ามากน้อยแค่ไหนก็ควรจะเป็นของครอบครัวเถ้าแก่หนุ่ม แต่กุ้ยเตียงใจคอกว้างขวาง หล่อนแจกบัตรที่นั่งให้ทุกคนถือไว้เองใครถูกเรียกรับรางวัลก็ถือเป็นโชคลาภของคนคนนั้น ดังนั้นหลีมุ่ยถึงได้เกณฑ์คนในบ้านมานั่งกันสลอนเผื่อจะได้มีโอกาศถูกรางวัลได้มากขึ้น และหญิงสาวรายนี้ต่างจากน้องสามีราวขาวกับดำ ไม่ว่าลูกหรือคนงานหล่อนพามากินอิ่มดูการแสดงสนุกก็เพียงพอแล้ว ใครโชคดีได้อะไรมาหล่อนริบเก็บหมด
ปีหนึ่งคนของสมาคมติดสลากของรางวัลไว้กับเก้าอี้บางตัวเพื่อสร้างความสนุกสนานและประหลาดใจให้สมาชิกที่มาร่วมงาน ผลก็คือปีถัดๆ มาหลีมุ่ยจะมาถึงงานเร็วเป็นพิเศษก่อนใช้ให้ลูกคนเล็กมุดดูเก้าอี้ทุกวัน มุดไม่ได้ก็ใช้มือคลำๆ ล้วงๆ เอา แอบสอดส่องเก้าอี้ทุกตัวของทั้งสองโต๊ะ แต่คนของสมาคมเล่นมุกนี้ครั้งเดียวก็ไม่ได้ทำอีก ทำเอาหลีมุ่ยไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไหร่
งานปีนี้ส่วงซื้อโต๊ะสองโต๊ะเหมือนเดิม แต่สมาชิกจากทางบ้านลานมะเกลือมีเพิ่มซิ่วเฮียงกับเง็กซิมขึ้นมาสองคน ทำเอาหลีมุ่ยหงุดหงิดมองหญิงต่างวัยทั้งสองอย่างขุ่นมัว แต่จะแสดงอาการอะไรมากก็ไม่ได้เพราะหล่อนยังจำได้ว่าซิ่วเฮียงคือเมียอีกคนของส่วง ส่วนเง็กซิมนั้นถึงจะเป็นคนงานแต่เป็นระดับหัวหน้างาน แถมนับแล้วตอนนี้ยังถือเป็นผู้อาวุโสรายหนึ่งของเถ้าแก่หนุ่ม ดังนั้นหญิงสาวจึงได้แต่จิกเบาๆ ด้วยปาก ถากหนักๆ ด้วยสายตา
พอมีจังหวะก็จะถามเหมือนห่วงใยว่า
“เป็ดแปดเซียนแบบนี้ลื้อเคยกินไหม ถ้าไม่เคยก็ต้องกินให้รู้นะ จะได้รู้ว่าของดีของอร่อยเป็นยังไง เป็นเมียเถ้าแก่ส่วงทั้งทีจะทำตัวเชยๆ ไอ้นั่นไม่รู้ไอ้นี่ไม่เคยไม่ได้หรอก”
“เคยกินจ้ะ อันที่จริงเฮียงทำเป็นนะจ๊ะ เง็กซิ่มสอน” ซิ่วเฮียงตอบซื่อๆ เหมือนไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเจตนาดูถูก “สูตรของเง็กซิ่มเนื้อเป็ดนุ่มแต่ไม่ยุ่ยแบบเจ้านี้ รสอ่อนกว่าหน่อยแล้วก็เรียกว่าเป็ดยัดไส้ ชื่อไม่ได้หรูหราอะไรแบบนี้ ถ้าซ้อไม่เกี่ยงว่าชื่อไม่เหมือนกัน ไว้มีโอกาสเฮียงทำให้กินนะจ๊ะ”
หลีมุ่ยฟังแล้วคอแข็งเพราะเสียหน้า กุ้ยเตียงก้มลงยิ้มกับอาหารตรงหน้า เป็ดเนื้อยุ่ยเกินรสก็เข้มเกินจนเค็มลิ้นเค็มคอแต่พอได้ยินเสียงซื่อๆ ของแม่โอ่ยแจ้ตอบอาซ้อของหล่อนแล้ว เป็ดเละๆ ก็อร่อยขึ้นมาไม่น้อย
แต่จะหวังให้หลีมุ่ยสำนึกคงยาก เพราะเงียบไปครู่เดียวหญิงสาวก็หาประเด็นคุยเล่นแบบตอดเล็กตอดน้อยซิ่วเฮียงได้อีก โชคดีที่พองานเลี้ยงดำเนินไปได้พักใหญ่ก็เริ่มมีการจับสลากของรางวัลกันความสนใจของหลีมุ่ยจึงเบี่ยงเบนไป โต๊ะที่บรรดาเด็กๆ และพี่เลี้ยงนั่งรวมกันอยู่มีหมายเลขถูกรางวัลก่อน แต่เนื่องจากเป็นรางวัลแรกๆ ของที่รับเป็นเพียงวิทยุใส่ถ่านไฟฉายเครื่องไม่ใหญ่นัก อาซ้อของกุ้ยเตียงบ่นอุบว่า
“วิทยุเอามาทำไม ที่บ้านมีอยู่แล้วตั้งสามสี่เครื่อง”
ปากบ่นมือกลับคว้าของที่หนึ่งในคนงานไปรับกลับมาส่งให้แน่น แม้เด็กคนงานที่ได้หมายเลขถูกรางวัลมีท่าทางอยากได้มากแต่หล่อนก็ไม่สนใจ ส่งของให้พี่เลี้ยงลูกเก็บไว้พร้อมเตือนว่า
“เก็บไว้ให้ดีๆ ล่ะอย่าให้หายเด็ดขาด ถ้าหายไปลื้อก็ซื้อมาใช้อั๊วแล้วกัน”
บรรดาน้องชายน้องสะใภ้ของกุ้ยเตียงมองๆ อย่างเอือมระอาแต่ไม่พูดอะไร นิสัยขี้งกคิดเล็กคิดน้อยของสะใภ้ใหญ่คนนี้ทุกคนรู้อยู่แก่ใจ แต่รู้แล้วก็ทำอะไรไม่ได้เพราะหลีมุ่ยเป็นพี่สะใภ้คนโต ไม่ว่ายังไงน้องๆ และสะใภ้ที่ตามเข้ามาล้วนแต่ต้องให้ความเกรงใจ อีกอย่างกับคนอื่นหลีมุ่ยอาจจะเป็นผู้หญิงร้ายกาจ ชอบเอารัดเอาเปรียบ แต่กับบุ่งทงและลูกๆ หลีมุ่ยคือนางฟ้า คอยดูแลเอาใจอย่างดี ข้าวปลาอาหารข้าวของเครื่องใช้เตรียมให้ลูกให้ผัวไม่เคยขาด ลูกคนไหนป่วยผัวไม่สบายหญิงสาวปรนนิบัติดูแลไม่ให้ใครทำ แต่ความดีทั้งหมดนั้นหล่อนมีให้แก่ลูกผัวเท่านั้น คนอื่นนอกจากนั้นต้องเผชิญกับนิสัยขี้เหนียวและอยากได้ของคนอื่นไปหมดของหลีมุ่ย
ซิ่วเฮียงเองก็แปลกใจ น้องชายน้องสะใภ้คนอื่นๆ ของกุ้ยเตียงดูแต่งเนื้อแต่งตัวบ่งบอกฐานะไม่เท่าหลีมุ่ย หลานๆ ทางนั้นก็ไม่มีใครดูดีเท่าบรรดาลูกชายของบุ่งท่ง แต่ไม่มีใครกระตือรือร้นจะเอานั่นเอานี่จนออกนอกหน้าอย่างหลีมุ่ยเช่นกัน
กุ้ยเตียงมองๆ แล้วยิ้มเย็น กระซิบบอกตอนที่อาซ้อของหล่อนจดจ้องกับการจับรางวัลที่ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ว่า
“คนบางคนไม่ใช่ว่าไม่มี จริงๆ มีมากกว่าคนอื่นเสียด้วยซ้ำ แต่นิสัย…กินไม่เคยอิ่มอยากได้ไม่เคยพอ เวลาลื้อดูอย่าดูว่าคนทำหน้าตาน่าเกลียดแค่ไหน ให้ดูสีหน้าคนอื่นว่าเขารังเกียจแค่ไหนเวทนาแค่ไหน ต่อไปจะทำอะไรจะได้คิดก่อนทำ”
หญิงสาวสอนซิ่วเฮียงแล้วก็หมดความสนใจในตัวพี่สะใภ้ หล่อนหันไปสนใจทักทายกับสมาชิกร่วมแซ่ของสามีที่คุ้นเคยกันดีสองสามคน สบตากันไปสบตากันมาชวนกันสองสามคำ กุ้ยเตียงก็หันมาสะกิดซิ่วเฮียงถามว่า
“โอ่ยแจ้ลื้อกินอิ่มหรือยัง”
“อิ่มแล้วจ้ะ”
โต๊ะจีนที่นี่อาหารจัดเตรียมไว้แปดอย่าง แต่ละอย่างล้วนมาจานใหญ่ แค่ออเดิร์ฟเย็น ซุปหูฉลามกับอาหารสองสามอย่างคนในโต๊ะก็เกือบอิ่มกันแล้ว ดังนั้นอาหารหลักอย่างผัดหมี่ฮ่องกงหรือบางแห่งเป็นข้าวผัดหรือข้าวอบเผือกที่ยกมาเกือบจะท้ายรายการจึงเหลือเยอะสุด ซิ่วเฮียงกินไม่เก่ง…ท้องหล่อนแน่นตึงตั้งแต่จานปลากะพงนึ่งซีอิ๊วแล้ว
“อิ่มก็ดีแล้ว นี่อาไช่กิมชวนไปเล่นไพ่ที่บ้าน ไปไหม” กุ้ยเตียงชวนดวงตาเป็นประกาย
“เราไปกันแบบนี้เถ้าแก่จะไม่ว่าเอาหรือจ๊ะ”
“โอ๊ย อีจะว่าอะไร คืนนี้คงติดอยู่คุยกับพวกเพื่อนในสมาคมยาว กว่าจะกลับคงห้าทุ่มสองยามนั่นแหละไม่มีเวลามาสนใจเราหรอก พวกเรารีบไปตอนนี้ รีบๆ เล่นแล้วรีบกลับก็แล้วกัน ส่วนเด็กๆ ก็ให้อาจือกับเง็กซิ่มพากลับบ้าน เอารถกลับไปเลย ส่วนพวกเราไปรถอาไช่กิม ตอนจะกลับก็ให้คนรถบ้านนั้นไปส่ง สบายจะตายไป”
ซิ่วเฮียงลังเล แต่พูดตามตรงหล่อนเองก็เบื่องานเลี้ยง เหนื่อยกับการระวังตัวใต้สายตาจับผิดของหลีมุ่ย น้องชายกับน้องสะใภ้คนอื่นๆ ของกุ้ยเตียงก็ยิ้มแย้มดีแต่ห่างเหิน พูดคุยกันนับประโยคได้ ส่วนไช่กิมเพื่อนก๊วนไพ่ของกุ้ยเตียงนั้นนิสัยใจคอนักเลง พูดไม่เพราะแต่ตรงไปตรงมา ยิ่งยามนั่งบนโต๊ะสี่เหลี่ยมในวงไพ่…ไม่มีใครสนว่าอีกฝ่ายจะเป็นเมียใหญ่เมียรองหรือว่ามาจากไหน ทุกคนเสมอกันหมดแตกต่างกันแค่ดวงในวันนั้น ฝีไม้ลายมือในการเล่นและการกล้าได้กล้าเสีย
ซิ่วเฮียงอาจจะไม่ค่อยกล้าได้กล้าเสียเท่าไหร่ แต่คุณสมบัติอีกสองอย่างหล่อนมีไม่น้อย แถมเล่นอย่างตรงไปตรงมาไม่มีเหลี่ยม ชนะกันด้วยฝีมือบวกดวงแท้ๆ ก๊วนที่ฝีมือสูสีกันจึงเปิดรับหญิงสาวอย่างเต็มที่ ดังนั้นถ้าให้เลือกระหว่างนั่งตัวเกร็งในงานเลี้ยงกับไปสนุกสนานเฮฮา…
“ไปจ้ะ”
กุ้ยเตียงยิ้มแย้มดีใจ หญิงสาวบอกพี่สะใภ้กับน้องๆ ว่า
“กินกันไปเลยนะ อั๊วขอกลับก่อน เด็กๆ ง่วงนอนแล้ว”
พวกน้องชายน้องสะใภ้ไม่มีความเห็นอะไร ส่วนหลีมุ่ยแอบดีใจ บ้านลานมะเกลือกลับไปหกคนก็เท่ากับโอกาสยึดรางวัลประจำโต๊ะของหล่อนเพิ่มขึ้นหกที่นั่ง ดีจะตายไปไม่เห็นอะไรไม่ดีเลย
“ไปเถอะๆ ไปพักเถอะ เดี๋ยวถ้าอาส่วงถามถึงอั๊วจะบอกให้เองว่าพวกลื้อกลับกันไปก่อนแล้ว”
มาถึงลานจอดรถ กุ้ยเตียงส่งลูกสองคน อาจือและเง็กซิมกลับไปกับรถ ส่วนสองสาวไปขึ้นรถไช่กิมเพื่อไปบ้านอีกฝ่าย ซิ่วเฮียงยังกังวลถามว่า
“หยี่แจ้จะไม่บอกเถ้าแก่ก่อนจริงๆ หรือจ้ะ”
“บอกไปก็อดสิ ไม่ต้องห่วงหรอก เรารีบไปรีบกลับ กลับถึงบ้านก่อนอาส่วงแน่”
กุ้ยเตียงมั่นใจเพราะจากสถานที่จัดเลี้ยงของสมาคมที่ถนนจันท์ไปบ้านไช่กิมที่สะพานพุทธใช้เวลาไม่นาน ถ้าพวกหล่อนรีบไป รีบเล่น รีบกลับ รับรองว่าไม่มีปัญหา
แต่…พอติดวงไพ่ ลงนั่งแล้วลุกยาก ยิ่งบ้านของไช่กิมเป็นครอบครัวใหญ่อยู่ร่วมกันแบบกงสี มีทั้งบ้านใหญ่ของอากงอาม่ากับบ้านหลังเล็กอยู่ในบริเวณบ้าน พอมีการตั้งวงก็มีสมาชิกร่วมบ้านคันไม้คันมือลงมาร่วมวงหลายคนจนต้องเปิดโต๊ะสองโต๊ะ
ยิ่งมากคนก็ยิ่งสนุก คนที่หาโต๊ะลงไม่ได้ก็มาเกาะหลังมือที่ถือหางอยู่ ลงเงินบ้าง ช่วยรินน้ำชาหาขนมมาเลี้ยงดูบีบนวดเอาใจ เรียกเสียงดังเฮฮาไม่มีตก
คืนนี้กุ้ยเตียงมือขึ้นดังนั้นพอจะลุกขอตัวกลับก็มีมือไม้ดึงไว้ ชวนว่า
“อย่าเพิ่งไป ยังสนุกอยู่เลย ต่ออีกสักรอบเถอะ จ๋อๆ”
รอบแล้วรอบเล่า กว่าจะรู้ตัวอีกครั้งเวลาก็เลยเที่ยงคืนจะเข้าตีหนึ่งไปนานแล้ว หญิงสาวสองคนเริ่มมองหน้ากันอย่างกังวล ซิ่วเฮียงอยากขอยืมโทรศัพท์บ้านไช่กิมโทรไปบอกกล่าวเถ้าแก่ที่บ้านลานมะเกลือสักหน่อย แต่กุ้ยเตียงใจเด็ดบอกว่า
“บอกตอนนี้ก็ถูกด่า กลับไปก็ถูกด่าอีก ให้โดนด่ารอบเดียวดีกว่า”
ไช่กิมให้รถที่บ้านไปส่งสองสาวที่เจริญผล ซิ่วเฮียงนั้นไม่ใช่คนนอนดึกแถมตอนเล่นไพ่ก็ทั้งใช้พลังสมองบวกกับตื่นเต้นสนุกสนานในการเล่น พอขึ้นรถได้ก็หมดลาน โดนรถเขย่าเบาๆ เหมือนเปลกล่อมจนหนังตาหนักอึ้งแทบลืมไม่ขึ้น กุ้ยเตียงต้องเขย่าปลุกตอนที่รถเลี้ยวเข้าไปจอดในลานวัด
จากนั้นซิ่วเฮียงก็เดินงัวเงียตามเถ้าแก่เนี้ยเข้าไปตามตรอกเล็ก ถึงบ้านลานมะเกลือกุ้ยเตียงมองแล้วเห็นแม่โอ่ยแจ้ท่าจะไม่ไหวแล้วจริงๆ จึงบอกว่า
“เดี๋ยวลื้อเข้าบ้านพร้อมอั๊วแล้วเดินตัดไปออกประตูทางบ้านต้นชมพู่เถอะ ตาจะปิดแบบนี้ขืนให้เดินอ้อมไปทางด้านหลังเองมีหวังเดินตกทางระบายน้ำแน่ ไปๆ แล้วระวังด้วยล่ะอย่าทำเสียงดัง เดี๋ยวอาส่วงตื่นพวกเรามีหวังถูกด่าทั้งคืนไม่ต้องนอนแน่”
ซิ่วเฮียงทำเสียงอืออาตอบรับ เดินตามหยี่แจ้ของหล่อนไปราวกับเด็กน้อย กุ้ยเตียงไขกุญแจเข้าบ้านทางประตูที่ติดกับศาลเจ้าซึ่งเปิดเข้าห้องโถงรับแขกโดยตรง ไขไปกระซิบไปว่า
“ระวังนะ เบาๆ”
“จ้ะ เบาๆ” หญิงสาวงึมงำก่อนรู้สึกเหมือนมีอะไรแปลกๆ “หยี่แจ้…ทำไมเปิดไฟเร็วจัง”
“ไอ๊หย่า อั๊วไม่ได้เปิด” กุ้ยเตียงเสียงสั่น
“อั๊วเปิดเอง เปิดรอพวกลื้อตั้งแต่สองยามแล้ว สนุกกันมากใช่ไหม ไปเล่นไพ่จนบ้านช่องไม่รู้จักกลับกัน” ส่วงถามเสียงเย็น ชายหนุ่มนั่งอยู่บนเก้าอี้กลางห้อง บนตักมีหวายเส้นตรงขนาดใหญ่ประมาณนิ้วก้อยวางพาดอยู่
ซิ่วเฮียงกะพริบตาปริบๆ จู่ๆ ความง่วงก็หายเป็นปลิดทิ้ง ทว่ายังช้าเกินไป หล่อนได้ยินเสียงกุ้ยเตียงร้องให้สัญญาณว่า
“วิ่ง!”
ขาหล่อนยังไม่ทันขยับ เถ้าแก่เนี้ยผู้งามสง่า สวยงาม เยือกเย็นและมั่นคงดุจหยกชั้นเลิศในสายตาซิ่วเฮียงก็สลัดรองเท้าคู่ละหลายร้อยไปทางสองทาง ก่อนสวมตีนแมววิ่งตึกๆ หายลับไปชั้นบน ตามด้วยเสียงปิดประตูโครมลงกลอนสนั่นในความเงียบ
เหลือไว้แต่…เหลือไว้แต่…
ซิ่วเฮียงค่อยๆ เหลียวกลับมามองคนที่เหลืออยู่ หญิงสาวพยายามยิ้มประจบแต่ดูเหยเกเต็มที
“เถ้าแก่…ยังไม่นอนหรือจ๊ะ อ๊ายยย…อย่าตีๆ เฮียงไม่ทำอีกแล้วจ้ะ ไม่ทำอีกแล้ว อ๊ายยย”
สายๆ วันรุ่งขึ้นหลังจากส่วงออกจากบ้านไปโรงงานแล้ว กุ้ยเตียงก็มาเยี่ยมซิ่วเฮียงที่บ้านต้นชมพู่พร้อมกระปุกยาแก้ฟกช้ำ หล่อนเห็นน่องที่มีรอยนูนแดงๆ แล้วทำคอย่นสีหน้าสยดสยอง แต่ก็ยังช่วยทายาให้ ซิ่วเฮียงบอกว่า
“เง็กซิ่มทาขี้ผึ้งยาให้แล้วจ้ะ เดี๋ยวคงยุบ”
“ใช้ยาอั๊วดีกว่า กระปุกนี้สั่งจากเมืองจีน ของเขาดีจริงๆ จะฟกช้ำ เป็นรอยหรือไฟไหม้น้ำร้อนลวกทารักษาได้หมด” กุ้ยเตียงทาแผลให้อย่างคล่องแคล่ว ทาไปก็บ่นไปว่า “เฮ้อ…แล้วลื้อนี่ก็จริงๆ บอกให้วิ่งทำไมไม่รู้จักวิ่ง ยืนเซ่อให้อาส่วงตีอยู่ได้ ดูสิตั้งหลายแนวเลย”
“เฮียงไม่กล้าจ้ะ” ซิ่วเฮียงตอบเสียงเบา
“อะไรกัน ทีเรื่องอื่นเห็นกล้าทำ แค่เรื่องวิ่งหนีผัวทำไมทำไม่ได้ ไม่ได้เรื่องเลยลื้อนี่ เฮ้อ…แต่ช่างเถอะ คราวนี้เจ็บตัวก็จำไว้เป็นบทเรียน คราวหน้าเราต้องระวังมากกว่านี้”
“ยังจะมีคราวหน้าอีกหรือจ๊ะหยี่แจ้” หญิงสาวถามเหมือนจะร้องไห้ออกมาแล้ว
“มีสิ จะปล่อยให้พวกไช่กิมตีปีกคิดว่าเหนือกว่าพวกเราได้ยังไง คราวหน้าต้องแก้มือคืน แค่ต้องรอให้อาส่วงหายโมโหก่อน และเราระวังอย่าให้ดึกแบบเมื่อคืน”
กุ้ยเตียงหมายมั่นปั้นมือ ขนาดคิดหาทางหนีทีไล่ไว้หลายทาง ทว่าเอาเข้าจริงๆ กว่าคราวหน้าจะมาถึงนั้นเวลาก็ผ่านไปเป็นปีเพราะหลังจากวันถูกตีได้ไม่นานซิ่วเฮียงก็รู้ตัวว่าตั้งท้อง
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 30 : ฟ้าถล่ม
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 29 : ลูกชายลูกชาย
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 28 : ไม่มีอะไรแน่นอน
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 27 : เด็กน้อยของซิ่วเฮียง
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 26 : สันดานคนยากจะเปลี่ยน
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 25: รถจี๊ปสีเขียว
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 24 : หวังดีเกินไป รักเกินไป
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 23 : เรื่องที่เข้ากันได้
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 22 : หยี่แจ้ โอ่ยแจ้
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 21 : แต่งงาน
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 20 : สู่ขอ
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 19 : ชีวิตไม่มีอะไรแน่นอน
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 18 : เห็นขี้ดีกว่าไส้
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 17 : กระต่ายก็กัดเป็น
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 16 : เลิกกับผัวแล้ว
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 15 : ปุ๋ยดีไม่ควรปล่อยให้ไหลลงนาผู้อื่น
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 14 : ลานมะเกลือ
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 13 : ศาลองค์แป๊ะกง
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 12 : เข้ากรุง
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 11 : ส้วมที่แตกแล้ว
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 10 : บ้าน
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 9 : หันหลังกลับ
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 8 : พยอม
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 7 : หมดสิ้น
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 6 : หาญ
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 5 : วาสนา
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 4 : ดอกไม้ผ้า
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 3 : ตุ้มหูทอง
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 2 : แม่ผัว
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 1 : ซิ่วเฮียง