แก่นไม้หอม บทที่ 24 : หวังดีเกินไป รักเกินไป

โดย : กิ่งฉัตร

แก่นไม้หอม นวนิยายออนไลน์ โดย กิ่งฉัตร ที่อ่านเอาอยากให้คุณได้อ่านออนไลน์ กับเรื่องราวที่จะทำให้คุณได้รู้ว่าผู้หญิงเป็นเมียและแม่ไม่ต่างจากแก่นไม้ที่แข็งแกร่ง มั่นคงและทรหดที่ยึดให้ใบได้แผ่กว้าง และหากโลกนี้เชื่อว่าผู้ชายเป็นใหญ่ แต่จริงๆ แล้วทุกสรรพสิ่งในธรรมชาติล้วนเป็นหยินที่โอบหยางทั้งสิ้น

ซิ่วเฮียงตั้งท้องลูกคนนี้ต่างจากตอนท้องหาญอย่างลิบลับ  สมัยนั้นอาหารการกินอัตคัต  ขนาดว่าอยากกินน้ำอัดลมสักขวดก็ไม่ได้กิน  แถมหล่อนยังต้องทำงานหนักตั้งแต่เริ่มตั้งท้องจนถึงวันคลอด  แม้มีการพบหมอฝากท้องไว้บ้างแต่ท้องเก้าเดือนเจอหมอแค่ครั้งสองครั้ง  พอเจ็บท้องก็แค่ขึ้นรถสามล้อถีบไปกับน้าแก้วเพื่อนบ้าน  แต่ท้องนี้ทุกอย่างต่างไปราวหลังมือเป็นหน้ามือ  ชีวิตคนท้องสุขสบาย  ขนมนมเนยผลไม้รวมถึงอาหารบำรุงต่าง ๆ มีให้ดื่มกินไม่ขาด เง็กซิมดูแลเรื่องอาหารคาวหวาน  เซียมลั้งที่รู้ข่าวก็หอบอาหารแห้งลงมาจากสุพรรณอย่างหน้าชื่นตาบาน  มาถึงก็ตั้งหน้าตั้งตาทำอาหารบำรุงให้ลูกสาว

ตั้งท้องได้ไม่กี่เดือนส่วงก็พาหล่อนไปฝากครรภ์ที่โรงพยาบาลศิริราช  กำชับให้หาหมอตามนัดทุกครั้ง  ถ้าวันนัดไม่สามารถใช้รถยนต์ที่บ้านได้ก็ให้นั่งรถรับจ้างไป

การได้รับความเอาอกเอาใจแบบนี้ทำให้ซิ่วเฮียงรู้สึกผิดกับลูกชายคนโตมาก  ดังนั้นเวลากลับไปเยี่ยมบ้านหล่อนจะหอบหิ้วขนม  เสื้อผ้าและของเล่นมากมายไปให้หาญ  ถ้าช่วงไหนเซียมลั้งลงมาหาซิ่วเฮียงก็จะฝากของกลับไปมากมายจนม้าหล่อนต้องดุว่า

“พอแล้ว  จะขนซื้อทำไมมากมาย  เด็กคนเดียวเล่นยังไงหมด  เสื้อผ้าก็เหมือนกัน  เด็กโตไวเสื้อใส่ได้ไม่กี่ครั้งก็ใส่ไม่ได้แล้ว  ลื้อเก็บเงินไว้บ้างเถอะเฮียง  อย่าหลงคิดว่าเป็นเมียเถ้าแก่จะใช้เงินยังไงก็ได้  ชีวิตคนเราไม่แน่นอน  อะไร ๆ ก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น  ก่อนจะซื้ออะไรคิดก่อนว่ามันจำเป็นไหม  อาหั่งคนเดียวลื้อซื้อเสื้อให้ลูกทีละสิบตัว  เด็กมันแยกร่างมาใส่ครบได้เรอะ  ซื้อไปใช้ยังไม่ทันใส่ครบตัวก็โตใส่ไม่ได้แล้ว”

“ใส่ไม่ได้แล้วก็เก็บไว้ให้น้อง ๆ อาหั่งใส่ต่อสิจ้ะม้า”  ตอนนี้ซิ่วเฮียงยอมแพ้แล้ว  หล่อนเรียกลูกชายว่าอาหั่งตามเตี่ย  ลูกชายก็ขานรับแต่ชื่อหั่ง  เรียกหาญไม่หันแล้วเช่นกัน

เซียมลั้งฟังแล้วค้อนลูกสาวไปที  พูดว่า

“ยังกะเถ้าแก่ของลื้อจะยอมให้ลูกเขาใส่เสื้อเก่างั้นแหละ”

“ม้า…เถ้าแก่ไม่ใช่คนเจ้ายศเจ้าอย่าง  อย่างม้าว่าแหละ  เด็กโตเร็วเสื้อผ้าใส่ได้ไม่กี่ครั้ง  ของมีอยู่แล้วจะซื้อใหม่ทำไม  น้องใส่เสื้อผ้าต่อจากพี่ชายจะเป็นอะไรไป”  ซิ่วเฮียงตั้งใจแล้วว่าจะเลี้ยงลูกให้รักใคร่กลมเกลียว  ไม่แบ่งว่านั่นลูกเก่านี่ลูกใหม่  แต่หญิงสาวไม่รู้เลยว่าคนรอบข้างหล่อนและหาญต่างตีกรอบตั้งแต่ลูกคนที่สองของหล่อนยังไม่เกิดแล้วว่า…นั่นลูกเถ้าแก่ที่กรุงเทพฯ  นี่ลูกไม่มีพ่อที่สุพรรณ  ซิ่วเฮียงไม่เคยคิดว่าลูก ๆ แตกต่างกัน  แต่คนอื่นจะด้วยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตามต่างคอยเตือนหาญว่า  เขากับน้อง ๆ นั้น ‘ไม่เหมือนกัน’ และเขาไม่ควรคิดว่าตัวเองจะได้อะไร ๆ เท่าเทียมกับน้อง ๆ

คำพูดไม่ได้เจตนาร้าย  แต่ได้ยินบ่อย ๆ ต่อเนื่องยาวนานก็เหมือนน้ำที่หยดลงหิน  กัดเซาะจนเกิดหลุมบ่อไร้ก้นแห่งความน้อยเนื้อต่ำใจ  คับข้องใจและเจ็บปวด  ตัวซิ่วเฮียงนั้นกว่าจะรู้ปัญหาของหาญก็เป็นช่วงที่เด็กชายตัวน้อยกลายเป็นชายหนุ่มที่หล่อนยากจะเข้าถึงเสียแล้ว

แต่ตอนนี้ตอนที่ยังท้องลูกคนที่สอง  ทุกสิ่งรอบข้างของหญิงสาวดูดีดูสดใสไปหมด  เซียมลั้งเคยกระซิบถามอย่างกังวลว่า

“ลื้อท้องแล้วเถ้าแก่เนี้ยอีมีท่าทีอะไรหรือเปล่า…”  ผู้เป็นแม่อดกังวลไม่ได้  กลัวลูกสาวจะถูกเมียใหญ่กลั่นแกล้งรังแก

“ก็ปกติดีนะม้า  หยี่แจ้บอกให้เฮียงดูแลสุขภาพดี ๆ อย่าทำงานหนัก  บางวันก็ให้แม่ครัวตุ๋นน้ำแกงไก่มาให้  สั่งว่าถ้าต้องการอะไรก็ให้บอกมา  อยากกินอะไรพิเศษก็บอกไปถ้าแม่ครัวทำได้ก็ทำให้  ถ้าไม่ได้ก็ให้คนรถไปซื้อให้”  หล่อนหยุดนิดหนึ่งก่อนเสริมอย่างเข้าใจว่า  “ม้าไม่ต้องห่วงนะจ๊ะ  หยี่แจ้เป็นคนดีจริง ๆ”

เซียมลั้งฟังแล้วถอนใจยาวอย่างโล่งอก  ตบมือลูกสาวเบา ๆ อย่างวางใจว่า

“ม้าเคยเห็นบางบ้านเมียหนึ่งเมียสองเมียสามทะเลาะกันไปด่ากันมาบ้านแทบแตก  แต่ผู้ชายนั่งอ่านหนังสือพิมพ์เฉยเหมือนไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น  ลื้อโชคดีที่เถ้าแก่อีเก่งดูแลเมีย ๆ ดี”

ซิ่วเฮียงยิ้มจนตายิบหยีตอบมารดาว่า

“ม้า  เถ้าแก่ไม่ได้ทำอะไรเลยนะจ๊ะ  วัน ๆ งานโรงงานยุ่งจะตาย  ต่างคนต่างทำงาน  เรื่องในบ้านนี้หยี่แจ้ดูแลหมด  เถ้าแก่ไม่ได้จัดการอะไรเลยจ้ะ”

“งั้นลื้อก็วาสนาดี  เจอผู้หญิงใจกว้างเป็นแม่น้ำหวงโฮ”  เซียมลั้งแหย่ลูกสาวคนโตอย่างยิ้มแย้ม กุ้ยเตียงเป็นคนใจกว้างจริงและตัวหล่อนก็ยินดีกับข่าวดีที่ส่วงจะมีทายาทเพิ่มขึ้นจริง ๆ  ทว่าหล่อนก็เป็นผู้หญิงคนหนึ่งที่มีหัวใจ  ดังนั้นจะให้เอ่ยว่าไม่รู้สึกอะไรเลยนอกจากความยินดีคงเป็นเรื่องโกหก  ลึก ๆ ในใจกุ้ยเตียงก็หวั่นไหวเหมือนกัน  ยังดีที่หล่อนมีลูกชายลูกสาวอยู่แล้วคู่หนึ่ง  ทำให้ยังรู้สึกมั่นคง  ส่วงเองก็ปฏิบัติกับหล่อนอย่างดีไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง  ความรู้สึกใด ๆ ด้านลบในใจจึงไม่ปรากฏออกมามากนัก

โชคไม่ดีที่ครอบครัวเดิมของหล่อนรู้สึกหวั่นไหวแทนมาก  หมุยเจ็งเรียกลูกสาวไปที่บ้านโบ๊เบ๊เพื่อถามข่าวคราว  พอเห็นว่าลูกสาวสบายดีไม่ได้ทุกข์ร้อนกับเรื่องลูกคนใหม่ของสามีหล่อนก็วางใจ  แต่หลีมุ่ยไม่นิ่งเท่าแม่สามี  หล่อนพูดกับกุ้ยเตียงตรง ๆ ว่า

“นี่ลื้อไม่รู้สึกอะไรเลยจริง ๆ หรืออาเตียง  เด็กนั่นแต่งเข้ามาไม่ทันชนปีก็ท้องแล้ว…”

กุ้ยเตียงมองพี่สะใภ้คนโตอย่างแปลกใจจริง ๆ

“จะรู้สึกอะไรล่ะซ้อ  ก็ปกติดีนะ  แต่งมาเกือบปีถ้าไม่ท้องสิแปลก”

“เฮ้อ…อั๊วไม่ได้หมายถึงอย่างนั้น  อั๊วแค่อยากจะบอกเด็กนั่นท้องเร็ว  แต่ทำไมท้องลื้อยังไม่เคลื่อนไหวอะไรเลย  อาย้งจะห้าขวบแล้วไม่ใช่หรือ  ทำไมไม่รีบมีน้องให้อาย้งอีก  ลื้ออย่ามัวแต่ชะล่าใจปล่อยให้เด็กนั่นมันแซงหน้าไปได้  มันมีเราก็ต้องมีบ้าง  อย่าไปยอมแพ้มัน”

หญิงสาวฟังแล้วหงุดหงิดจนแสดงออกด้วยการหัวเราะเสียงขื่น  ถามว่า

“ของแบบนี้เรากำหนดได้หรือซ้อ”

“ได้สิ  ลื้อยังสาวยังแข็งแรง  แค่ดึงผัวไว้กับตัวให้มากหน่อย  อย่าปล่อยให้อาส่วงไปอยู่กับนังเด็กซิ่วเฮียงนั้นบ่อย ๆ  แม่นั่นยังเด็กแถมยังดูมีลูกง่าย  ถ้าลื้อไม่ระวังดีไม่ดี อาไท่กับอาย้งจะกลายเป็นพวกหัวเดียวกระเทียมลีบในบ้านไป”

“อาไท่เป็นลูกชายคนโตของบ้านจะมีปัญหาอะไรได้”  หล่อนว่าอย่างมั่นใจก่อนเปลี่ยนเรื่องไปว่า  “แล้วเรื่องอาสู่บ้านซ้อไปถึงไหนแล้วล่ะ  ยังคบกับผู้หญิงไทยอยู่หรือเปล่า”

“โอ๊ยเลิกรากันไปแล้ว”  หลีมุ่ยเปลี่ยนเรื่องได้อย่างภาคภูมิใจ  “อั๊วกับม้าไปหาเด็กนั่นถึงบ้านเลยนะ  ผู้หญิงตัวดำ ๆ ผอมเกร็งหน้าตาธรรมดา  ไม่รู้อาสู่ไปหลงได้ยังไง  อั๊วกับม้าคุยกับเด็กนั่นตรง ๆ ดี ๆ ว่าบ้านเราไม่ยอมรับสะใภ้คนไทย  อย่าได้คิดเกาะอาสู่เด็ดขาด  ทางที่ดีก็เลิกคบกันไปซะอย่าให้เกิดปัญหากันภายหลัง”

กุ้ยเตียงนิ่วหน้าเล็กน้อย  หล่อนเองก็ไม่ได้ชอบคนไทยเท่าไหร่  แต่ขนาดไปราวีเด็กถึงบ้านนี่ดูจะหนักไปสักหน่อย  เพราะตามนิสัยของพี่สะใภ้คนนี้ไม่มีทางหรอกที่จะคุยกัน ‘ตรง ๆ ดี ๆ’ หรอก  คงจะไปแล่เนื้อเถือหนังเด็กสาวคนนั้นด้วยปากแน่

“อาสู่ยังเรียนอยู่  เด็กนั่นถ้าเป็นเพื่อนเรียนด้วยกันอายุก็น่าจะยังไม่มาก  คบ ๆ กันไปกว่าจะเรียนจบก็อาจเลิกรากันไปเอง  ไม่เห็นต้องเข้าไปวุ่นวายกับเด็กมันเลย”

“เด็กอะไรกัน”  คนตอบแย้งพลางค้อนลมค้อนแล้งไปตามประสา  “อายุน้อยกว่าแม่ซิ่วเฮียงบ้านลื้อแค่สองสามปีมั้ง  แล้วเด็กพวกนี้เห็นตาใส ๆ หงิม ๆ นี่อย่าได้ไว้ใจเชียวนะอาเตียง  เผลอเมื่อไหร่มันจะอุ้มลูกเข้าบ้านเอา  แล้วเรานั่นแหละจะพูดอะไรไม่ออก”

หลีมุ่ยพูดเหมือนเพิ่มน้ำหนักการกระทำของตัวเองกับมารดาให้ดูถูกต้องน่าเชื่อถือ  แต่ใครจะไปคิดว่าวาจานั้นเหมือนกับคำทำนาย  กลายเป็นความจริงไปเสียได้

กุ้ยเตียงกลับบ้านโดยมีม่านหมอกสีเทาคลุมจิตใจไว้บาง ๆ  แต่หญิงสาวยังทำใจให้สงบ  เปิดใจให้กว้าง  และตั้งใจที่จะเป็นเมียแรกที่ดี เป็นแม่ใหญ่ที่มีเมตตาเหมือนที่ซิ่วเฮียงเองก็รักและเอ็นดูลูกสองคนของหล่อนจากใจจริง

โชคดีที่เมื่อซิ่วเฮียงท้องแก่ได้เจ็ดเดือนกว่า  กุ้ยเตียงก็มีข่าวดี…ม่านหมอกที่อึมครึมในหัวใจของหญิงสาวจึงปลดลงได้

 

ตามปกติลานมะเกลือจะงานยุ่งในช่วงปลายปีเมื่อมะเกลือถูกส่งมาจากทางใต้เพื่อย้อมผ้าปังลิ้น  แต่ส่วงคาดไว้แล้วว่าความนิยมผ้าแพรจีนจะเริ่มลดน้อยลง  เถ้าแก่หนุ่มจึงลดกำลังการผลิตลง  และเปลี่ยนเป็นการตัดเย็บเสื้อผ้าแบบสมัยนิยมที่โรงงานสมุทรปราการมากขึ้น  ส่วนลานมะเกลือเมื่อลดการตัดเย็บเสื้อผ้าปังลิ้นลงก็เพิ่มบ่อหมักซีอิ๊วและเต้าเจี้ยวเพิ่ม  คนงานที่ว่างจากการตัดเย็บรีดผ้าจะได้มีงานทำตลอด

คนงานส่วนใหญ่ก็พอใจที่มีงานทำตลอดทั้งปี  แต่ปีนี้อาเต็กกลับขอลาออกจากโรงงาน

เหง็กลั้งโมโหลูกชายคนเดียวจนน้ำตาแทบไหล  ไม่ได้โกรธที่เขาลาออกจากงาน  แต่แค้นใจที่เขาทำโดยไม่ปรึกษาก่อน  อาเต็กต้องปลอบอยู่นาน  เขาอธิบายว่า

“ม้า  ถึงงานที่ลานมะเกลือจะดีเถ้าแก่ก็มีน้ำใจ  แต่อั๊วไม่อยากเป็นคนงานไปตลอดชีวิตหรอกนะ  อั๊วอยากเป็นเถ้าแก่  อยากมีเงินมีบ้านมีรถขับ  ม้า…อั๊วตั้งใจแล้วว่าจะไปขับรถรับจ้าง  พอเก็บเงินสักก้อนอั๊วจะซื้อรถเป็นของตัวเอง  ค่อย ๆ ทำงานหาเงินไป  สักวันอั๊วคงมีอะไร ๆ ที่เป็นของตัวเองบ้าง”

เหง็กลั้งมองลูกชายที่เปี่ยมด้วยความมุ่งมั่นแล้วใจอ่อนลงไม่น้อย  ถ้าเลือกได้…ใครจะอยากเป็นคนงานไปตลอดชีวิต  แต่คนส่วนใหญ่มักจะไม่กล้าทิ้งชามข้าวที่แน่นอนในมือไปเพื่อหาชามใหม่ที่ไม่รู้ว่าดีกว่าชามเก่าหรือไม่  ดังนั้นจึงทนทำงานไปเรื่อย ๆ จนสุดท้ายกลายเป็นความเคยชินและความเฉื่อยชาไม่กล้าที่จะแสวงหาต่อไป

แต่ลูกชายหล่อนไม่เหมือนคนส่วนใหญ่  อาเต็กอยากจะเปลี่ยนแปลง  อยากจะเสี่ยงเพื่อหาเส้นทางชีวิตที่ดีกว่าเดิม  เรื่องนั้นเหง็กลั้งคิดว่าหล่อนรับได้  เพียงแต่ว่า…

“แล้วทำไมลื้อต้องย้ายออกจากบ้านด้วย”

“เพราะอั๊วจะสลับขับรถกับเพื่อน  บางวันอั๊วอาจรับช่วงกะเช้า  บางวันกะเย็นหรือไม่ก็กะดึก  กินอยู่อาจจะไม่เป็นเวลา  อั๊วไม่อยากกวนม้า”

“ไม่กวน  อั๊วอยู่ได้  ลื้อจะไปเสียค่าเช่าห้องทำไม  ไปอยู่เองแล้วใครจะทำกับข้าวกับปลาให้ลื้อ”

“อั๊วทำเองได้ม้า  ม้า…อั๊วเป็นผู้ชายนะ  จะให้อยู่กับม้าในห้องเล็ก ๆ แบบนี้ไปตลอดได้ไง  อั๊วก็อยากมีอิสระบ้าง”  อาเต็กเอ่ยอย่างมีอารมณ์  แต่พอเห็นสีหน้าเจ็บปวดน้อยใจของมารดา  เสียงของเขาก็อ่อนลงเมื่อเสริมว่า  “แต่ม้าไม่ต้องห่วงนะ  อั๊วจะแวะมาเยี่ยมม้าบ่อย ๆ  และถ้าอั๊วเก็บเงินเช่าบ้านหรือซื้อบ้านหลังใหญ่ได้เมื่อไหร่  อั๊วจะรีบมารับม้าไปอยู่ด้วยแน่”

เหง็กลั้งอยากจะห้ามลูกชายแต่เห็นสีหน้าแววตาเขาแล้วรู้ว่าคราวนี้อาเต็กเอาจริง  เขาไม่ใช่ลูกชายที่หล่อนจะควบคุมดูแลอยู่ใต้ปีกตลอดเวลาอีกแล้ว

“อยากไปก็ไป  แต่ขออย่างเดียวลื้อ อย่าไปยุ่งกับเน้ยมัน”

“ม้า…”  ชายหนุ่มหัวเราะเสียงขื่น  “เรื่องมันเก่าไปแล้วอย่าพูดถึงอีกเลย  อีกอย่างนะม้า ตอนนี้เน้ยเขาเป็นพนักงานห้างแต่งตัวหรู ๆ แล้ว  เขาไม่แม้แต่จะชายตามองคนงานรีดผ้าอย่างอั๊วหรอกม้า”

“ไม่สนน่ะดีแล้ว  ดีที่สุดเลย”

วันที่อาเต็กมาลาส่วงนั้น  เถ้าแก่หนุ่มให้เงินซองแดงไว้เพื่อเป็นทุนเช่ารถ  ชายหนุ่มเปิดซองมาเห็นเงินตั้งหนาก็น้ำตาซึมด้วยความซาบซึ้งใจ  เง็กซิมเองก็ให้เงินก้นถุงอาเต็กเหมือนกัน  กำชับให้กลับมาเยี่ยมมารดาบ่อย ๆ  อาเต็กเองก็ฝากมารดากับเง็กซิมก่อนจะย้ายออกจากห้องเช่าไปเช่าห้องพักกับเพื่อนแถวประตูน้ำ  จากนั้นเขาเช่ารถจากอู่มาผลัดกันขับกับเพื่อน  รับทั้งผู้โดยสารขาจรและนัดรับส่งประจำจนก่อร่างสร้างตัวได้อย่างที่เจ้าตัวตั้งใจ

ปลายเดือนสิงหาคมปีนั้นซิ่วเฮียงก็คลอดลูกชายคนที่สองที่โรงพยาบาลศิริราช  เด็กชายตัวน้อยแข็งแรงสมบูรณ์  ตัวอวบขาวปากนิดจมูกหน่อยหน้าตาน่าเอ็นดู  ส่วงที่ยินดีกับลูกชายคนใหม่มากตั้งชื่อลูกคนนี้ว่า ฉื้อไช้*

เถ้าแก่หนุ่มไปแจ้งเกิดลูกชายที่อำเภอด้วยตัวเอง  ตอนแรกว่าจะใช้ชื่อจีนเหมือนพี่ ๆ ทั้งสองของเด็กน้อย  แต่เจ้าหน้าที่ที่รับแจ้งนั้นบอกว่าสมัยนี้ไม่มีใครจดชื่อลูกเป็นชื่อจีนแล้ว  ส่วนใหญ่จะจดชื่อไทยส่วนชื่อจีนไว้เรียกกันเป็นชื่อเล่นหรือเรียกกันในบ้าน

ส่วงฟังแล้วเห็นด้วย  แต่ความรู้ภาษาไทยของเขาค่อนข้างจำกัด  แค่ฟังออกพูดได้เท่านั้น  ทางเจ้าหน้าที่อำเภอจึงเสนอว่า

“ใช้ชื่อวิชัยไหม  แปลว่าชัยชนะ”

ชายหนุ่มเห็นว่าความหมายดี  แถมชื่อออกเสียงคล้ายกับชื่อจีนที่เลือกไว้  เขาเลยแจ้งจดชื่อลูกคนที่สามในชื่อไทยว่าวิชัย  ส่วนชื่อเล่นนั้นจะเรียกอาไช้หรืออาชัยได้ทั้งนั้น

เนื่องจากบ้านลานมะเกลือไม่มีเด็กแรกเกิดมาหลายปี  พี่ชายพี่สาวอาไช้จึงค่อนข้างเห่อและตื่นเต้นกับน้องชายคนใหม่มากเป็นพิเศษ  ส่วงเองก็ชอบอุ้มลูกคนเล็กติดมือจากบ้านต้นชมพู่ไปบ้านลานมะเกลืออยู่บ่อย ๆ อาไท่เป็นเด็กผู้ชาย มีน้องชายก็น่าสนุกดีแต่น้องยังเล่นด้วยไม่ได้  ไม่นานเขาก็เลิกสนใจน้องเล็ก  ผิดกับอาย้งที่ชอบมาวนเวียนอยู่ใกล้ ๆ ชมว่าน้องน่ารัก  หลับก็น่ารักตื่นก็น่ารัก  น้องเหมือนตุ๊กตามีชีวิต  ดังนั้นวัน ๆ เด็กหญิงจึงคุยจ้อแต่เรื่องน้อง

ตอนกุ้ยเตียงพาลูกสองคนไปเยี่ยมเตี่ยกับม้าที่บ้านโบ๊เบ๊  ฉื้อย้งก็เล่าถึงเรื่องน้องชายคนเล็กไม่ขาดปาก  เล่าว่าน้องน่ารักมาก มาก ๆ ๆ น้องกินเก่ง  แต่ชอบนอนไม่ค่อยชอบเล่น  อาย้งชอบน้องมาก มาก ๆ ๆ เหมือนกัน

พวกผู้ใหญ่ฟังแล้วก็ยิ้มแย้มไม่ว่าอะไร  มีแต่หลีมุ่ยที่ขัดหูขัดตาจนต้องดึงกุ้ยเตียงมาถามว่า

“อาเตียง  ทำไมลื้อไม่บอกลูกไปล่ะว่ารออีกไม่กี่เดือนก็จะมีน้องแท้ ๆ มาให้เล่นด้วยแล้ว  ไม่ต้องไปสนใจเด็กคนอื่น”

กุ้ยเตียงรังเกียจความคิดแบบนี้ของพี่สะใภ้จริง ๆ เรื่องอื่นหญิงสาวยังพออดทนไม่โต้ตอบหรือขัดแย้งอะไร  แต่เรื่องนี้หล่อนปล่อยไปไม่ได้จริง ๆ

“เด็กคนอื่นที่ไหน  อาไช้ก็น้องอาไท่อาย้งเหมือนกัน  อั๊วขอล่ะนะซ้อ  อย่าไปยุให้เด็กมันแบ่งแยกกันเลย  จะลูกแม่ไหนก็ใช้แซ่เดียวกัน  เป็นครอบครัวเดียวกัน  รักใคร่สามัคคีกันดีกว่า  โต ๆ จะได้พึ่งพาอาศัยกันไม่ใช่เกี่ยงว่าคนนั้นพี่จริงคนนี้น้องปลอม”

“ย่ะ  แม่พระกุ้ยเตียง  ลื้อคิดแบบนี้สอนลูกแบบนี้  แต่เด็กซิ่วเฮียงนั่นจะสอนลูกแบบลื้อหรือเปล่าก็ไม่รู้  อาจจะสอนให้ลูกกอบโกย  โกยเอา ๆ แล้วลื้อกับลูก ๆ ต้องมานั่งช้ำในตายเพราะความดีของตัวเอง!”  หลีมุ่ยไม่พอใจเหมือนกัน  หล่อนน่ะเตือนด้วยความหวังดีแท้ ๆ  ยังมาวางท่าทำเสียงเย็นชาตอบกลับอีก

“ซิ่วเฮียงจะคิดยังไงสอนลูกยังไงอั๊วไม่รู้หรอกนะ  แต่อั๊วรู้จักอาส่วงดี  รู้ว่าเขาไม่โง่คงไม่เลือกผู้หญิงร้ายกาจเลวทรามที่ไหนมาเป็นเมียหรอก  แต่ถ้าเป็นอย่างที่ซ้อว่าจริง ๆ ก็ถือเป็นเวรเป็นกรรมของอั๊วก็แล้วกัน”

เพราะมีปากเสียงแบบนี้พี่สะใภ้ที่ ‘หวังดี’ กับน้องสามีที่เชื่อมั่นในตัวสามีจึงเหินห่างกันไปพักใหญ่  หมุยเจ็งค่อนข้างกังวลว่าลูกสาวมีปัญหากับสะใภ้ใหญ่  แต่กุ้ยเตียงกลับตอบมารดาว่า

“ดีแล้วล่ะม้า  ห่าง ๆ กันไปบ้างสบายใจดี  รอไว้ต่างฝ่ายต่างอารมณ์ดีค่อยมาคุยกันใหม่แล้วกัน”

ส่วนซิ่วเฮียงผู้เป็นชนวนปัญหานั้นไม่รู้เรื่องราวอะไรด้วยเลย  หญิงสาวสนุกและมีความสุขกับการเป็นแม่คนอีกครั้ง  แถมครั้งนี้ยังสบายกว่าตอนคลอดหาญมากเพราะเง็กซิมเป็นผู้ช่วยชั้นหนึ่งคอยดูแลทั้งแม่และเด็กได้อย่างดีเยี่ยม

เซียมลั้งเองก็ลงจากสุพรรณมาอยู่เป็นเพื่อนลูกสาวหลายวัน  หล่อนลงมาคนเดียวเพราะลูกสองคนติดเรียน  หลีกังเองก็กลับไปทำงานแล้วไม่อยากลาลงมากรุงเทพฯ  อีกอย่างเขาอยากอยู่บ้านดูแลหาญ  ไม่ยอมให้ภรรยาพาหลานเล็กมาหาแม่และน้องใหม่เพราะกลัว ‘อาหั่งของเขา’ จะถูกเปรียบเทียบ  ถูกรังแก

ซิ่วเฮียงฟังแล้วอ่อนใจ  ถามม้าหล่อนว่า

“ใครจะเทียบ ใครจะรังแก  ม้าไม่เห็นหรือลูกเถ้าแก่สองคนดีกับอาไช้จะตาย  หยี่แจ้ก็ให้กำไลข้อเท้าทองมา  คู่นั้นหนักบาทนึงเลยนะจ๊ะ”

“มันไม่เหมือนกัน  สองคนนั้นลูกเถ้าแก่เหมือนกัน  แต่อาหั่งไม่มีพ่อ”

จากอ่อนใจซิ่วเฮียงหน้าตึง  เสียงแข็งขึ้นเล็กน้อย

“ม้าทำไมพูดแบบนั้นล่ะ  ถึงอาหั่งยังเด็กแต่เด็กก็เสียใจเป็นนะม้า”

“อั๊วรู้  อั๊วไม่ได้พูดเสียหน่อย  แต่คนอื่นเขาเปรย ๆ กัน  อาเฮียง…ลื้อก็รู้ว่าอะไรก็ไม่ร้ายเท่าปากคน  ทางนั้นพูดกันเตี่ยลื้อกลัวว่าทางนี้จะพูดซ้ำอีก  เด็กมันจะใจเสียแล้ว”

ซิ่วเฮียงเถียงมารดาไม่ได้  หล่อนรู้ว่าเวลาโมโหยังคุมปากตัวเองไม่ได้เลย  แล้วจะไปจัดการกับปากคนอื่นได้อย่างไร  ดังนั้นหญิงสาวได้แต่ห่วงลูกชายคนโต  พอฉื้อไช้อายุได้สามเดือนพอเดินทางได้ หล่อนก็ไปซื้อข้าวของมากมายเตรียมกลับบ้านที่สุพรรณ
ส่วงเห็นลูกยังเล็กเขาเลยตัดสินใจเป็นคนขับรถไปเอง  แต่ค้างคืนเดียวเพราะทางนี้กุ้ยเตียงเริ่มท้องใหญ่แล้ว  ชายหนุ่มไม่อยากทิ้งบ้านไปนาน ๆ

เมื่อถึงบ้านที่สุพรรณทุกคนต้อนรับอาไช้อย่างดี  หลีกังชมว่าหลานชายคนใหม่หน้าตาดีตัวสูงใหญ่เหมือนพ่อ  ซิ่วเซียงก็ตื่นเต้นกับหลานชายคนใหม่เหมือนกัน  แต่แอบกระซิบกับพี่ชายว่าอาไช้ไม่น่ารักเท่าอาหั่งตอนเด็ก ๆ แต่เป็นหลานเหมือนกันหล่อนก็จะรักเท่ากันแล้วกัน

ซิ่วเฮียงไม่ค่อยสนใจคนอื่น ๆ ในบ้านเท่าไหร่นัก  สายตาหล่อนจับจ้องอยู่แต่ที่ลูกชายคนโต  และพอเห็นหาญยังหัวเราะร่า  ให้ความสนอกสนใจน้องชายคนใหม่  พยายามชวนน้องคุยจ้ออยู่หัวใจที่เต็มไปด้วยความวิตกกังวลของหล่อนจึงบรรเทาลง

ส่วงเองก็คงเข้าใจความคิดของแม่หมวยน้อยของเขาดี  ชายหนุ่มจึงให้ความสนิทสนมกับหาญเป็นอย่างดี  อุ้มชูเด็กชายใกล้ชิด  ชวนเด็กชายคุยและเล่นด้วยเหมือนกับที่เขาเคยทำกับลูกชายคนโตตอนอายุไล่ ๆ กับหาญ

ความพยายามชดเชยให้ของสองสามีภรรยาทำให้หาญพอใจมาก  น้องชายก็น่ารัก  เขาชอบใช้นิ้วจิ้มแขนขาอวบเป็นปล้อง ๆ นั่น  น้องชายไม่ร้องไห้แค่ทำหน้ายู่เหมือนขมวดคิ้วใส่เขานิดหน่อย

น้องน่ารัก

เขาอยากเอาน้องไว้เหมือนกับของเล่นทั้งหลายที่ม้าซื้อมาให้  แต่ม้ากับ ‘เถ้าแก่’ กลับพาน้องชายกลับไป  หาญที่เคยได้รับของขวัญมากมายได้รับการตามใจมาตลอดไม่ชอบใจ  เขาเสียใจจนตาแดง ๆ น้ำตาคลอหน่วย

เซียมลั้งกับน้า ๆ ไม่คิดอะไรมาก  เชื่อว่าหาญงอแงตามประสาเด็ก  แต่หลีกังไม่ชอบใจ  เขาเป็นคนหัวเก่าประเภทอุ้มหลานไม่อุ้มลูก  หลีกังเป็นพ่อที่เข้มงวด  เลี้ยงลูกสามคนอย่างกวดขันสอนลูกด้วยไม้เรียวเป็นหลัก  แต่กับหลานเล็ก…เด็กคนแรกที่เขาเลี้ยงเองกับมือ…หลีกังคืออากงที่ใจดีโอ๋หลานสุด ๆ

พอเขาเห็นหลานคนโปรดนั่งตาแดง ๆ น้ำตาหยด  หลีกังก็นึกว่าอาหั่งของเขาเสียใจที่แม่กลับไปกับน้องชาย  ไม่ได้พาเขาไปด้วย  หลีกังอยากจะปลอบหลาน  อยากจะให้หลานรักตัวเองอยู่กับตัวเองที่สุพรรณ  อากงของอาหั่งเลยเข้าไปกอดหลานชายตัวเล็กไว้แล้วปลอบว่า

“อาหั่งอย่าร้องไห้  ไม่ต้องร้องไห้นะ  อากงของลื้ออยู่นี่  คนอื่นเขาไม่รักไม่เป็นไร  อากงรักลื้อนะรักลื้อมากที่สุดเลย”

เพราะกอดหลานเล็กไว้หลีกังจึงไม่เห็นสีหน้าและแววตาที่สับสนไม่เข้าใจของอาหั่ง  เด็กน้อยยังไม่เข้าใจอะไร  แค่สงสัยแค่เขาอยากเล่นกับน้อง ม้าก็ไม่รักเขาแล้วหรือ…

 

*เพื่อผันเสียงให้ถูกต้องผู้เขียนขอปรับชื่อตัวกลางของลูก ๆ ส่วงจากชื้อเป็นฉื้อนะคะ

 



Don`t copy text!