แก่นไม้หอม บทที่ 26 : สันดานคนยากจะเปลี่ยน

แก่นไม้หอม บทที่ 26 : สันดานคนยากจะเปลี่ยน

โดย : กิ่งฉัตร

แก่นไม้หอม นวนิยายออนไลน์ โดย กิ่งฉัตร ที่อ่านเอาอยากให้คุณได้อ่านออนไลน์ กับเรื่องราวที่จะทำให้คุณได้รู้ว่าผู้หญิงเป็นเมียและแม่ไม่ต่างจากแก่นไม้ที่แข็งแกร่ง มั่นคงและทรหดที่ยึดให้ใบได้แผ่กว้าง และหากโลกนี้เชื่อว่าผู้ชายเป็นใหญ่ แต่จริงๆ แล้วทุกสรรพสิ่งในธรรมชาติล้วนเป็นหยินที่โอบหยางทั้งสิ้น

วินาทีที่ได้ยินเสียงดังแหลมบาดหูนั้นซิ่วเฮียงทั้งตกใจและหงุดหงิดใจปะปนกันไปหมด  หญิงสาวอยากจะยกมือขึ้นปิดหูแล้วทำเหมือนไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น  แล้วรีบเดินหนีไปให้พ้น ๆ  ที่อยากหนีไม่ใช่กลัวแต่เป็นเพราะรังเกียจ  ไม่อยากพบไม่อยากเจอไม่อยากข้องเกี่ยวอะไรด้วยอีก

ทว่าโชคไม่ดีที่อีกฝ่ายมุ่งมั่นรีบแทรกคนพุ่งเข้าหาซิ่วเฮียงเหมือนแมวพุ่งตะปบนก  มือคว้าหมับบนแขนของหญิงสาว  เล็บยาวที่แต่งไว้อย่างดีสีแดงเข้มจิกเข้าเนื้อจนซิ่วเฮียงนิ่วหน้าเล็กน้อย

หล่อนอย่างสะบัดแขนหนี  แต่วาสนายึดไว้แน่นโดยไม่ใส่ใจว่าฝ่ายตรงข้ามจะเจ็บหรือไม่  ปากก็เอ่ยเสียงดังว่า

“โอ๊ยไม่นึกเลยว่าจะเจอพี่เฮียงที่นี่  เมื่อสองปีก่อนมั้งหนาเคยเจอพี่ที่สำเพ็ง  แต่เรียกแล้วไม่หันยังนึกว่าผิดคน  ไม่นึกว่าพี่เข้ากรุงเทพฯ เหมือนกันจริง ๆ แล้วนี่ดูสิแต่งตัวดีมาก ๆ เลย”  วาสนามองสำรวจอย่างกระหาย  สีหน้าแววตามีทั้งอิจฉาและหวังตีสนิท  ราวกับว่าทั้งคู่จากกันด้วยดี  ไม่ใช่ว่าอีกฝ่ายขโมยเงินเก็บทั้งหมดของซิ่วเฮียงแล้วหนีไป  “แหม…เมื่อก่อนไม่มีอะไรตอนนี้มีทั้งตุ้มหูทั้งกำไล แล้วก็อ้วนขึ้นนะ  ชีวิตพี่เฮียงคงสบายล่ะสิ”

ซิ่วเฮียงมองผู้หญิงตรงหน้าเต็มตา  ถ้าหล่อนสบายขึ้นชีวิตของวาสนาก็คงไม่เลวร้ายเพราะอีกฝ่ายจากเด็กสาวกลายเป็นสาวเต็มตัวแล้ว  รูปทรงไม่อ้วนไม่ผอม  ใบหน้าที่เคยคมคายตอนนี้แต่งเสริมจนสวยจัด…แต่เป็นลักษณะจัดจ้านเกินวัยอยู่สักหน่อย  เสื้อผ้าหน้าผมเหมือนสาวชาวกรุงไม่ผิดเพี้ยน  เพียงแค่เครื่องประดับที่สวมเป็นของใส่เล่นไม่มีราคาเท่าไหร่นัก

“ก็ดี  กินอิ่มนอนหลับดี”  ซิ่วเฮียงตอบก่อนถามตามมารยาทว่า  “หนาคงสบายดีเหมือนกันใช่ไหม”

ถามแล้วแทบกัดลิ้นตัวเองตายเมื่ออีกฝ่ายจับบทพร่ำพรรณาทันทีว่า

“โอ๊ยสบายอะไรกัน  ทำงานลำบากแทบตาย  วัน ๆ ได้เงินแทบไม่พอค่าข้าว  พี่เฮียงทำงานที่ไหนล่ะ  เงินดีไหม  มีผัวใหม่ไปหรือยัง  แต่ดูแต่งตัวแบบนี้ทองหยองเต็มตัวแบบนี้คงมีแล้วสิ…”

ซิ่วเฮียงแกะมือวาสนาออกจากแขนตัวเอง  หญิงสาวเพิ่งนึกได้ว่าตัวเองไม่ใช่พี่สะใภ้ของผู้หญิงตรงหน้าอีกแล้ว  ไม่ต้องมามัวเกรงใจอะไรกันอีก

“มีหรือไม่มีไม่ใช่เรื่องอะไรของเธอ  ฉันมีธุระ  เธอก็ต้องทำงานไม่ใช่หรือ  คนในร้านนั่นออกมามองแล้ว”  หญิงสาวชี้ไปที่ร้านขายรองเท้า  เจ้าของร้านหรือไม่ก็ลูกจ้างอาวุโสออกมาส่องหน้าหงิกงอแล้วจริง ๆ

“ช่างหัว  ร้านห่วย ๆ แบบนั้นจะทำก็ได้ไม่ทำก็ได้  ว่าแต่พี่เฮียงเหอะอย่าเพิ่งไล่ฉันเลย  พี่ไม่อยากรู้หรือว่าพี่พนมเป็นไงบ้าง”

“ไม่อยาก”  ซิ่วเฮียงบอกได้อย่างไม่ลังเล  หล่อนอาจจะเป็นคนตัวเล็ก  ท่าทางใจอ่อนเหมือนเด็ก  แต่ถ้าลงว่าตัดใจแล้วตัดได้ขาด  ไม่อยากรู้ไม่อยากสนใจ

แต่วาสนาไม่ปล่อยหล่อน  เมื่อก่อนฝ่ายนั้นก็ตัวไล่ ๆ กันแต่ตอนนี้อดีตน้องสามีตัวสูงใหญ่กว่าหล่อนเป็นคืบ  แม้จะไม่เต็มใจแต่วาสนาก็ลากซิ่วเฮียงไปหลบที่หน้าร้านอีกแห่ง  ปากก็เล่าจ๋อย ๆ ว่า

“พี่เฮียงรู้ไหมตอนนี้พี่พนมป่วยหนักมาก  เป็นอัมพาตนอนติดเตียงลุกไม่ได้ตั้งแต่พี่เฮียงทิ้งเขา”  เสียงวาสนาไม่เบาเลย  คนผ่านไปผ่านมาอดเหลือบมองไม่ได้แต่โชคดีที่ไม่มีใครสนใจเรื่องราวของคนอื่น

ซิ่วเฮียงเองก็ไม่อยากสนใจเรื่องของ ‘คนอื่น’ เหมือนกัน  ตั้งแต่ก้าวขึ้นเรือเมล์แดงจากมหาชัยไปสุพรรณบุรี  พนมก็กลายเป็นคนอื่นในใจของหล่อนเรียบร้อย  ยิ่งเวลาผ่านชีวิตเปลี่ยนแปลง  ความรู้สึกเคยรักเคยชังเคยโกรธแค้นสลายไปหมดแล้ว  ได้ยินข่าวก็เหมือนได้ยินเรื่องราวของคนที่เคยรู้จัก  ไม่ได้ตื่นตระหนกอะไรแค่รู้สึกแปลกใจและเวทนาเท่านั้น

วาสนาเองก็เห็นความเฉยชาของซิ่วเฮียง  หญิงสาวไม่พอใจเลยเอ่ยเสริมขึ้นว่า

“นี่พี่เฮียงไม่สนใจเลยหรือ  พี่พนมลำบากมากเลยนะ  หนาเชื่อแล้วที่แม่บอกว่าพี่เฮียงไม่มีน้ำใจ  ทั้ง ๆ ที่พี่ทำให้พี่พนมพิการทำให้พี่ลัยหนีออกจากบ้าน  แต่พี่เฮียงกลับไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลย  สะบัดตูดหนีสบาย  ทิ้งขี้ให้แม่ตามเช็ดคนเดียว”

ซิ่วเฮียงหัวเราะ  ถามตรง ๆ อย่างเย็นชาว่า

“ฉันทำตรงไหน  เกี่ยวกับฉันตรงไหนกัน”

“เกี่ยวสิ  แม่ว่าถ้าพี่เฮียงไม่ไปแสดงตัวว่าเป็นเมียพี่พนมที่ร้านทองวันนั้น  พี่พนมคงแต่งกับยายเจ๊แก่ร้านทองสบายไปแล้ว  แต่พี่เฮียงไปหาเรื่องที่ร้าน  ยายเจ๊นั่นโกรธเพราะเสียหน้าเลยยกเลิกงานแต่งแถมยังให้คนมาซ้อมพี่พนมจนพิการนอนแบบกับเตียงเลย  แม่ส่งพี่ลัยไปหาพี่ที่สุพรรณ  พี่เฮียงคงกล่อมพี่ลัยให้หนีล่ะสิพี่ลัยเลยไม่กลับไปมหาชัยอีก”

คนฟังอยากจะหัวเราะดัง ๆ  แม่พิกุลช่างเสมอต้นเสมอปลายดีแท้  ตอนอยู่ด้วยกันวัน ๆ ก็เอาแต่ด่าหล่อน  ขนาดเลิกรากับพนมแยกทางกันเดินแล้ว  ความผิดต่าง ๆ นา ๆ ก็ยังสุมลงที่หัวหล่อนอยู่ดี

“ตั้งแต่ออกจากมหาชัยมาฉันไม่เคยเจอลัยเลย  ส่วนเรื่องคุณพยอม  ต่อให้วันนั้นไม่รู้ว่าพี่ชายเธอมีลูกมีเมียแล้ววันหน้าก็รู้  แล้วคิดว่าคนระดับนั้นจะยอมให้หลอกง่าย ๆ โดยไม่ทำอะไรเลยหรือ”

“ยายแก่สารเลวนั่นคงโกรธแหละ  แต่ถ้าแต่งแล้วก็ถือเป็นเมียพี่พนม  คนรู้ทั้งตลาดมันจะกล้าโวยวายอะไร  มันต้องกลัวขายขี้หน้าชาวบ้านเขาไม่กล้าทำอะไรแรง ๆ  แต่นี่มันดันเสือกรู้ก่อนไง  มันเลยเล่นพี่พนมซะหนัก  ทำเอานอนติดเตียงลุกไม่ได้  พี่พนมซวยจริง ๆ เจอแต่ผู้หญิงสร้างความเดือดร้อนให้”

ฟังวาจาที่พ่นออกมาอย่างแค้นเคืองเต็มไปด้วยอคติและการดูถูกดูแคลนแล้ว  ซิ่วเฮียงได้แต่เวทนา  วาสนาเมื่อก่อนแม้จะร้ายแต่ก็เป็นเหมือนเด็ก ๆ ที่เอาแต่ใจ  เรียกร้องอยากมีอยากเป็นอยากเด่นอยากสบาย  แต่ตอนนี้ที่เพิ่มเติมคือความหยาบกระด้าง  เห็นแก่ตัว  มองตัวเองและคนของตัวเองดีในขณะที่คนอื่นเลวทราม  ตัวเองเป็นคนถูกกระทำแต่ไม่เคยเห็นว่าคนของตัวเองทำอะไรผิด

“ผู้หญิงเขาอยู่ดี ๆ ไม่ใช่ว่าพี่ชายเธอไปหลอกเขาก่อนหรือ”

“ก็แค่หลอกว่าโสด  ถ้าตัวเองไม่เล่นด้วยก็ไม่เกิดเรื่องใช่ไหม  ผู้หญิงแก่อยากมีผัวจนตัวสั่น  พอไม่ได้ดังใจก็อาละวาดเล่นงานคนเขาจนพิกลพิการ  ทำการทำงานไม่ได้  แม่ก็ต้องคอยดูแลพี่พนมไม่ได้ไปควักพุงปลา  พ่อเข้าวัดแทบไม่กลับบ้าน  พี่ลัยก็หายตัวไป  ทุกวันนี้ฉันทำงานเลือดตาแทบกระเด็นเพื่อส่งเงินให้แม่  พี่พนมจะได้ไม่อดตาย  ส่วนนังนั่นไม่แม้แต่จะเหลือบตามอง…”

อันที่จริงวาสนาที่เคยซมซานกลับบ้านไปครั้งหนึ่งรู้ว่าตอนเกิดเรื่องใหม่ ๆ พยอมให้ญาติจ่ายเงินค่ารักษาพยาบาลให้พนมก้อนโต  แต่น่าเจ็บใจ…ที่หล่อนกลับบ้านช้าเกินไป…แม่เอาเงินไปเชิญหมอดูคนทรงบ้าบอห่าเหวอะไรไม่รู้มารักษาพี่พนมหมด  ไม่เหลือให้หล่อนมีโอกาสได้เม้มแม้แต่น้อย  หนำซ้ำพอเห็นหน้าหล่อนแม่ดีใจน้ำตาไหล  แต่ไม่ถามทุกข์สุขรีบถามไถ่เพียงว่าหล่อนหนีเข้ากรุงเทพฯไปทำงานหาเงินได้บ้างไหม  พอบอกว่าไม่มีเงินแม่ก็บังคับให้หล่อนอยู่บ้าน  ทำงานบ้านและไปรับจ้างหาเงินมารักษาพี่ชาย

แน่นอน…วาสนาเผ่นหนีออกจากบ้านคืนนั้น  หล่อนแทบไม่ได้กลับไปอีกแต่ถ้าช่วงไหนโชคดีมีเงินติดกระเป๋ามากหน่อย  หล่อนก็ยอมเจียดสามสิบห้าสิบบาทส่งธนาณัตไปให้พิกุล

และแน่นอนยิ่งกว่า…เรื่องพวกนี้วาสนาไม่มีทางบอกความจริงทั้งหมดกับซิ่วเฮียง  หล่อนพูดเอาความดีเข้าตัวเอาความชั่วให้ผู้อื่นแบบใส่สีตีไข่อย่างเมามัน  หวังจะกดดันให้อดีตพี่สะใภ้จีนคนนี้สงสารและเห็นใจ

วาสนาจำได้ว่าซิ่วเฮียงนั้นหัวอ่อน  ใจอ่อน ถึงตอนหลัง ๆ จะแข็งข้อไปบ้างแต่เอาเข้าจริง ๆ ก็คงแหยแฝ่นไม่สู้คนเหมือนเดิม  ขนาดหล่อนกวาดเงินในกระป๋องแป้งมาทั้งหมด  แม่พี่สะใภ้เจ๊กจีนคนนี้ยังทำอะไรหล่อนไม่ได้เลย

เพียงแต่วาสนานั้นคิดเข้าข้างตัวเองเกินไป  หล่อนไม่สนใจคนอื่นจึงไม่รู้ว่าหล่อนเติบโตกร้านโลกขึ้น  ซิ่วเฮียงก็เติบโตแกร่งขึ้นเช่นกัน  แถมอยู่ร่วมบ้านกันมาเกือบสองปีมีหรือซิ่วเฮียงจะไม่รู้จักนิสัยใจคอของหล่อน  ดังนั้นสีหน้าแววตาของซิ่วเฮียงจึงไม่มีความเห็นอกเห็นใจใด ๆ

วาสนาบอกว่าทำงานหนักเลือดตาแทบกระเด็น  นี่เห็นหล่อนตาบอดหรือไง  รูปร่างหน้าตาแต่งเติมรักษาดีอย่างนี้  มือนุ่มไม่สากด้าน  เล็บแต่งดีทาสีแดงสดไม่มีรอยถลอกแม้แต่นิดเดียว  นี่หรือคนทำงานหนัก  ไปหลอกเด็กเถอะอย่ามาหลอกคนที่ทำงานหนักจริง ๆ อย่างหล่อนเลย…

“ถ้าเรื่องมันเลวร้ายขนาดนี้  ทำไมไม่แจ้งความฟ้องร้องเอาผิดกับคุณพยอมเขาล่ะ”

“ฟ้องได้ไง…”  วาสนาเบ้ปาก  เอาเงินเขามาแล้ว…เงินที่ไม่กระเซ็นถึงหล่อนแม้แต่แดงเดียว  “แม่นั่นเป็นใคร  เราเป็นใคร  ขืนไปฟ้องร้องญาติพี่น้องมันมิมาถล่มแม่กับพี่พนมจนตายหรือ”

“งั้นก็คงต้องทำใจ  ขอโทษนะหนา  ฉันมีธุระต้องทำอยู่คุยด้วยไม่ได้แล้ว  เธอก็กลับไปทำงานเถอะเดี๋ยวจะถูกตำหนิที่ทิ้งงานมาแบบนี้”

วาสนาฟังคำตัดรอนนั้นแล้วนิ่งไปเล็กน้อยอย่างไม่สมใจ  หล่อนเปลี่ยนจากเล่าเป็นคุ้งเป็นแควมาเป็นถามอย่างคาดคั้นตรง ๆ ว่า

“พี่เฮียงจะไม่ไปดูพี่พนมหน่อยหรือ”

“ไปทำไม  เลิกกันนานแล้ว”

“แต่…แต่พี่พนมเป็นพ่อลูกชายพี่เฮียงนะ”  หญิงสาวเพิ่งนึกได้ว่าตัวเองมีหลานชายคนหนึ่ง  ตอนเกิดจำได้ว่าตื่นเต้นอยู่เหมือนกัน  แต่พอหนีเข้ากรุงเทพฯแล้วก็ลืม ๆ เรื่องหลานไปเสียสนิท  ขนาดตอนกลับบ้าน  พิกุลเอาแต่ก่นด่าซิ่วเฮียง  เอ่ยถึงหลานชายก็แค่ว่าสันต์เสียใจที่ซิ่วเฮียงเอาหลานไปสุพรรณเลยทิ้งบ้านไปอยู่วัดเท่านั้น  หลานชื่ออะไรก็ยังไม่เอ่ยถึงเสียด้วยซ้ำ

ตอนนี้นึกได้แล้ว  เด็กนั่นป่านนี้อายุเท่าไหร่นะ  สามหรือสี่ขวบแล้วใช่ไหม  น่าจะพอใช้งานได้แล้ว  อย่างน้อยก็วิ่งหยิบข้าวของได้  เฝ้าพ่อมันได้  แม่จะได้ไปทำงานที่แพปลาได้  หรืออยากน้อยถ้าหลานกลับ

บ้านสันต์คงยอมออกจากวัดกลับมาอยู่บ้าน  ดูเหมือนว่าเลี้ยงเด็กคนนึงน่าจะมีแต่ได้ไม่มีเสีย…

“อย่างน้อยพี่ก็ควรพาลูกไปพบหน้าพ่อบ้าง  พี่เฮียงคงไม่ใจดำกีดกันไม่ให้พ่อลูกได้พบหน้ากันหรอกนะ”

“หาญยังเด็ก  ไว้โตกว่านี้จะบอกให้  ถ้าเขาอยากจะไปเยี่ยมก็จะให้ไป  ไม่ห้าม  ไม่กีดกันแน่นอน”

ซิ่วเฮียงตอบอย่างหนักแน่น

วาสนาฟังแล้วหงุดหงิดเพราะอดีตพี่สะใภ้ไม่ได้ ‘อ่อน’ เหมือนในอดีต  หล่อนจึงเอ่ยอย่างกระฟัดกระเฟียดเพราะไม่ได้ดังใจว่า

“คนเคยอยู่กินด้วยกัน  ตอนนี้พี่เฮียงสบายแล้วนี่  ได้ดีแล้วก็น่าจะมีน้ำใจไปเยี่ยมหน่อย  หรืออย่างน้อยก็ช่วยเหลือเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ยังดี  พี่พนมลำบากมากเลยนะ”

ซิ่วเฮียงยิ้มหยัน  เดาได้ทันทีว่าจากที่วาสนาทั้งพูดทั้งเล่ามานานนั้นใจความสำคัญอยู่ตรงนี้นี่เอง  ต้องการขอเงิน  นี่ขนาดไม่ได้เจอกันหลายปี  เปิดปากก็พูดถึงเงินได้  คนเรานี่…สันดานเปลี่ยนกันยากจริง ๆ

“ถ้าลำบากมากเธอก็กลับไปช่วยไปดูแลสิ  จะเอาอะไรกับคนที่เลิกรากันไปแล้วอย่างฉันล่ะ”

“หนาก็ช่วยนะ  ช่วยส่งเงินไปประจำ…”  จริง ๆ แค่สองสามครั้ง  แต่นั่นก็ถือว่ามากแล้วสำหรับหล่อน  “ถ้าหนากลับมหาชัยไปดูแลพี่พนมใครจะทำงานส่งเงินกลับบ้านกันล่ะ”

หล่อนมองซิ่วเฮียงอย่างคาดหวัง  ทว่าหญิงสาวกลับตอบหน้าตาเฉยว่า

“นั่นเป็นเรื่องของเธอไม่ใช่เรื่องของฉัน  โชคดีนะวาสนา”  เอ่ยจบซิ่วเฮียงก็ผละจากไปอย่างไม่มีเยื่อใย

วาสนามองตามหลังร่างเล็ก ๆ อย่างแค้นใจ  สบถด่าไล่หลังแบบปากคอสั่นจนคนที่ผ่านไปผ่านมาหันมามองเป็นตาเดียว  ชั่วครู่พอรู้ตัวหญิงสาวก็สะบัดหน้าเดินกลับไปยังร้านขายรองเท้า  พอถูกเพื่อนร่วมงานอาวุโสบ่น  หล่อนก็เล่าเป็นตุเป็นตะว่า

“พอดีเจออดีตพี่สะใภ้น่ะป้า  ผู้หญิงคนนี้เมื่อก่อนหนีตามพี่ชายฉันมา  พอพี่ชายมีเรื่องกับอันธพาลถูกเขาตีจนพิการหลังหัก  แม่พี่สะใภ้ตัวดีก็หอบลูกหนีไปเลย  ไม่เคยมาดูดำดูดีอะไร  เมื่อก่อนตัวเล็ก ๆ ไม่มีสมบัติติดตัวอะไร  แต่ตอนนี้สวมทองสวมกำไลหยกทำตัวเหมือนตู้ทองเคลื่อนที่  คงหาผัวใหม่ได้แล้วเลยลืมพี่ชายฉันสนิท  ฉันเห็นเข้า…มันอดไม่อยู่  ต้องไปด่าสักหน่อยจะได้สบายใจ”

คนฟังประหลาดใจจนลืมตำหนิวาสนา  หล่อนว่า

“อะไรกัน  นั่นเถ้าแก่เนี้ยรองร้านอึ้งซุ้ยหลีนะ  เขาเคยเป็นพี่สะใภ้เธอหรือ”

วาสนาฟังแล้วตาลุกวาบเนื้อตัวเต้นด้วยความริษยา  หญิงสาวรู้จักร้านอึ้งซุ้ยหลี  ใคร ๆ จะไม่รู้จักล่ะขายดีออกขนาดนั้น  เห็นว่าค่าแรงก็ดีด้วย  หล่อนเคยไปลองสมัครงานดูอยู่เหมือนกัน  แต่อีร้านเจ๊กนั่นรับแต่ลูกจ้างที่พูดแต้จิ๋วได้เพราะเถ้าแก่เนี้ยที่คุมร้านอยู่พูดไทยไม่ได้  หล่อนเลยอด

“เถ้าแก่เนี้ยรองเลยเรอะ  มิน่าล่ะถึงได้ไม่เห็นหัวฉันเลย  ที่แท้ก็จับปลาใหญ่ได้  แม่ซิ่วเฮียงนี่เก่งจริง ๆ นกรู้สุด ๆ พอพี่ชายฉันพิการทำงานเลี้ยงไม่ได้ก็รีบหนีมาจับเถ้าแก่ร้านผ้า  ทุเรศที่สุด!”

วาสนาเป็นพวกชอบว่าร้ายคนอื่น  แถมยังใส่สีตีไข่เก่ง  ไม่นานก็นินทาซิ่วเฮียงไปสามร้านเจ็ดร้าน  คำพูดของหล่อนมีทั้งคนเชื่อและไม่เชื่อ  คนไหนที่ไม่รู้จักวาสนาดีก็เชื่อแต่ใครที่รู้จัก ‘นังหนา’ ดีก็ไม่เชื่อ  สุดท้ายข่าวนินทาว่าร้ายก็ถึงร้านอึ้งซุ้ยหลี  คนงานในร้านที่สนิทกันแอบกระซิบบอกซิ่วเฮียงอย่างร้อนใจ  แต่พอเห็นหญิงสาวไม่ได้ร้อนไปด้วยก็สงสัย  ถามว่า

“เฮียงแจ้ไม่สนเลยหรือ  คนเขาพูดไปทั่วเลยนะว่าเฮียงแจ้ทิ้งผัวเก่าพิการมาจับเถ้าแก่”

“ในเมื่อเขาเชื่อกันแบบนั้น  ฉันพูดไปเขาจะฟังหรือ  คำนินทาว่าร้ายก็เหมือนลมร้อนแหละ  เราห้ามลมไม่ให้พัดได้ที่ไหนกัน  ทำได้ก็แค่เฉยเสียเดี๋ยวลมมันก็ผ่านไป  อีกอย่างฉันไม่ได้อยู่ที่นี่แค่วันสองวัน  ฉันยังอยู่ไปอีกหลาย ๆ ปี  ฉะนั้นวันนี้ไม่รู้จักเราวันหน้าก็รู้”  ซิ่วเฮียงตอบอย่างมั่นใจ  หล่อนไม่ใช่แค่เชื่อมั่นในตัวเอง  แต่ยังเชื่อว่าคนอย่างวาสนานั้นดีไม่นานก็ออกลาย  รออีกไม่นานคนอื่นก็รู้ว่าสันดานฝ่ายนั้นเป็นอย่างไร  ไม่ต้องให้หล่อนวิ่งแก้ต่างแก้ตัวให้เหนื่อย

“เฮียงแจ้นี่ใจเย็นเป็นน้ำเลย”  ฝ่ายเล่าข่าวชื่นชม

“ชินแล้วมั้ง”  พิกุลก็ชอบด่าหล่อนเสีย ๆ หาย ๆ เอาหล่อนไปนินทาให้เพื่อนบ้านหัวซอยท้ายซอยฟังเสมอ  ลูกสาวพิกุลก็เหมือนแม่เหลือเกิน…

แต่ถึงจะไม่สนใจอย่างไร  สิ่งหนึ่งที่ซิ่วเฮียงทำก็คือบอกเล่าเก้าสิบเรื่องราวให้กุ้ยเตียงได้รับรู้ด้วย  โชคดีที่หยี่แจ้มีความคิดใกล้เคียงกับหล่อน  ฝ่ายนั้นเอ่ยแค่ว่า

“ถ้าลื้อไม่สนใจไม่อยากให้เป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โต  อั๊วก็ไม่สนเหมือนกัน  แต่ถ้ามีปัญหาอะไรก็บอกมา  ถ้าจะต้องสั่งสอนพวกปากมากช่างนินทาว่าคนลานมะเกลือใครรังแกไม่ได้ก็ต้องทำ  อย่าไปหงอรู้ไหม”

“จ้ะหยี่แจ้”  ซิ่วเฮียงเอ่ยรับเสียงใส

หญิงสาวไม่คิดจะสนใจวาสนาจริง ๆ คนนิสัยแบบนั้นไม่นานก็แพ้ภัยตัวเอง  ไม่จำเป็นต้องทำอะไรให้เปื้อนมือ  ทว่าหล่อนประเมิณความต้องการของอดีตน้องสามีคนนี้ต่ำไป  วาสนาไม่ต้องการแค่สร้างข่าวลือเสียหายให้ซิ่วเฮียง  แต่ยังสนอกสนใจหาญมากเป็นพิเศษ

 

หลังจากวาสนาเจอซิ่วเฮียงไม่กี่วัน   เง็กซิมก็ส่งข่าวหน้าตากังวลว่า

“คนงานมาบอกเง็กซิมว่ามีคนไทย…ผู้หญิงสาว ๆ ผิวคล้ำ ๆ หน้าตาดีมาถามเกี่ยวกับเด็ก ๆ ที่บ้านลานมะเกลือว่ามีกี่คน  อายุเท่าไหร่  มีเด็กผู้ชายอายุสักสี่ขวบไหม  มีคนไหนไม่ใช่ลูกเถ้าแก่หรือเปล่า”

คนที่เคยได้รับคำชมว่า ‘ใจเย็นเป็นน้ำ’ โกรธจนกลายเป็นน้ำเดือดได้  ซิ่วเฮียงเดาความคิดของวาสนาได้ในทันที

“คิดจะมาแย่งหาญไปจากฉันสินะ  เด็กโตแล้วนี่ใช้ทำงานได้แล้ว  คงอยากได้ไปวิ่งรับใช้แม่มันพี่ชายมันล่ะสิ  นังสารเลว…”  หญิงสาวหน้ามืดตามัวด่าหยาบคายไปหลายคำ  ปกติเวลาซิ่วเฮียงโกรธจนลืมตัวเอ่ยสบถคำแรกออกมาเง็กซิมมักจะเอื้อมมือมาหยิกหมับแรง ๆ เป็นเชิงเตือนแล้ว  แต่เรื่องนี้เง็กซิมกลับปล่อยลูกบุญธรรมให้ด่าทอตามสบาย  อันที่จริงหล่อนไม่ร่วมผสมโรงด่าด้วยก็ถือว่าเป็นบุญแล้ว…

“แล้วนี่เฮียงจะทำยังไง  ถ้าฝั่งนั้นจะมาแย่งลูก  เราจะทำยังไง…”  เง็กซิมกังวล  แม้จะเป็นแม่แต่ก็เป็นคนจีน  ส่วนฝั่งนั้นเป็นคนไทย  อาจจะได้เปรียบในตัวหาญมากกว่าแม่จีน

“เฮียงยังไม่รู้เลยจ้ะ  พรุ่งนี้เฮียงจะไปสะพานหัน  ไปเตือนหนาให้อย่ามายุ่งกับลูกเฮียง  ไม่งั้นก็ตายกันไปข้าง  แต่ยังไงเรื่องที่จะเอาอาหั่งมาอยู่กรุงเทพฯคงต้องเลื่อนไปก่อน”

ซิ่วเฮียงเสียใจจริง ๆ ไม่รู้ทำไมการจะรับหาญมาอยู่ด้วยกันที่ลานมะเกลือถึงได้มีอุปสรรคมากมายขนาดนี้

อาจจะเพราะกังวลใจเรื่องวาสนาและหาญ  คืนนั้นหญิงสาวนอนไม่หลับ  พลิกตัวกระสับกระส่ายหลายครั้ง  ส่วงที่มาค้างคืนบ้านต้นชมพู่เห็นแม่หมวยน้อยขยับตัวยุกยิกหมุนซ้ายทีขวาทีจึงดึงเจ้าหล่อนมากอดไว้ให้นอนนิ่ง ๆ ถามว่า

“มีอะไร  ทุกทีตอนนี้หลับไปนานแล้ว  ทำไมคืนนี้ถึงได้นอนไม่หลับ”

ซิ่วเฮียงลังเลเล็กน้อยก่อนจะเล่าเรื่องเจอวาสนาให้สามีฟัง  บอกด้วยว่าวาสนามาป้วนเปี้ยนแถวลานมะเกลืออาจจะกำลังหาทางแย่งตัวหาญ  หล่อนเป็นห่วงแต่ก็สบายใจอย่างหนึ่งที่ว่าในใบเกิดหาญไม่มีชื่อพนม  ทั้งนี้ต้องโทษความขี้เกียจของชายหนุ่ม  ลูกคลอดมาหลายวันแล้วแต่ไม่ยอมไปแจ้งเกิดที่อำเภอ  อ้างว่าติดนั่นไม่สะดวกนี่  ซิ่วเฮียงเองก็อยู่ไฟหลังจากอยู่ไฟแล้วก็เริ่มหาเงินเพราะทั้งเนื้อทั้งตัวไม่มีเงินเหลือเลย…ถูกวาสนาขโมยไปหมด  ดังนั้นการแจ้งเกิดของหาญจึงถูกเลื่อนออกไปเรื่อย ๆ

กระทั่งกลับสุพรรณ…ซิ่วเฮียงมีเวลาและเริ่มห่วงอนาคตของลูกชาย  เลยขอให้เพื่อนบ้านคนไทยไปเป็นเพื่อนเพื่อช่วยแจ้งเกิดหาญที่อำเภอ  ตอนนั้นหล่อนคิดว่าตัดขาดจากพนมแล้วก็ขอให้ตัดให้หมดทุกอย่างจริง ๆ จึงไม่ใส่ชื่อพ่อเด็กในใบเกิด  ให้เว้นว่างไว้แบบนั้น

“เฮียงตั้งใจว่าพรุ่งนี้เฮียงจะไปสะพานหัน  ไปคุยกับวาสนาให้รู้เรื่องว่าอย่าแตะต้องลูกชายเฮียง”

ส่วงมองท่าทางกำหมัดแน่นของคนในอ้อมแขนแล้วทั้งฉุนทั้งขำ  ถามว่า

“แล้วถ้าคุยกันไม่รู้เรื่องล่ะ”

“งั้นอาจจะต้องลงไม้ลงมือกันบ้าง”  น้ำเสียงที่เอ่ยเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น

“แน่ใจใช่ไหมว่าจะชนะ”

“แน่จ้ะ  เพื่อลูกเฮียงแพ้ไม่ได้”

หล่อนกำหมัดแน่นอีกแล้ว  รู้สึกได้ตรงกลางอกเขานี่เลย  ซิ่วเฮียงนั้นยามปกติเป็นสาวน้อยร่างเล็กท่าทางสงบเสงี่ยมเรียบร้อย  แต่พอเป็นเรื่องลูกแล้วหญิงสาวสามารถแปลงร่างจากแมวน้อยกลายเป็นแม่เสือที่พร้อมจะเล่นงานในชั่วพริบตา  ชายหนุ่มนึกอย่างเอ็นดูก่อนพูดเชิงบ่นว่า

“เฮ้อ  ลื้อนี่นะ  มีปัญหาแบบนี้ทำไมไม่บอกอั๊ว”

“เฮียงไม่อยากให้เถ้าแก่ไม่สบายใจ”  ซิ่วเฮียงเสียงอ่อย  ลดมาดแม่เสือลงมาไม่น้อย

“ถ้าลื้อมีปัญหาอั๊วจะสบายใจได้ยังไง  ว่าแต่ผู้หญิงคนนั้นทำงานในร้านขายรองเท้าใช่ไหม  ร้านอะไร”

“ร้านนิวยอร์คจ้ะ  ร้านใหญ่สองคูหา”

“อั๊วรู้จักเจ้าของร้านดี  เรื่องนี้ลื้อไม่ต้องห่วงเดี๋ยวอั๊วจัดการให้เอง  นอนเถอะอย่าเป็นห่วงอะไรเลย”

แค่คำพูดของส่วงไม่กี่ประโยค  หัวใจซิ่วเฮียงที่รุมร้อนมาตั้งแต่ช่วงเย็นก็สงบลงได้ทันที  หญิงสาวเชื่อมั่นในตัวเถ้าแก่ของหล่อน  รู้ว่าถ้าส่วงตกปากรับคำอะไรแล้ว…สามารถวางใจได้  เขาไม่มีทางทำให้หล่อนผิดหวังโดยเด็ดขาด

แล้วก็จริงอย่างที่ซิ่วเฮียงไว้ใจ  เพราะเย็นวันรุ่งขึ้นส่วงก็ยิ้มแย้มเข้ามาในบ้าน  เขาอุ้มลูกชายที่ยิ้มแป้นดีใจที่เห็นหน้าบิดาพร้อมบอกว่า

“ลื้อไม่ต้องห่วงแล้วนะอาเฮียง  ผู้หญิงคนนั้นถูกไล่ออกจากงานแล้ว  ไม่มากวนใจลื้อแน่นอน”

ซิ่วเฮียงโล่งอก  แต่ในความโล่งนั้นมีความรู้สึกผิดเจืออยู่บ้างเล็กน้อย  เถ้าแก่หนุ่มที่รู้จักแม่หมวยน้อยดีจึงปลอบว่า

“ไม่ต้องรู้สึกไม่ดีเลยนะ  ต่อให้อั๊วไม่ไปคุยกับเจ้าของร้าน  ผู้หญิงคนนั้นก็ต้องถูกไล่ออกอยู่ดี”

“ถูกจับได้ว่าขโมยเงินร้านใช่ไหมจ๊ะ”  หญิงสาวเดา

“ไม่ได้ขโมยเงินแต่แอบขโมยรองเท้าในร้านไปขาย  หลงจู๊ที่ร้านเริ่มสงสัยจับตามองมาสักระยะแล้ว  วันนี้อั๊วเข้าไปคุยกับเจ้าของร้าน  เล่าเรื่องที่อีทำกับลื้อ  บอกเขาว่าถ้าไม่เลิกจ้างก็ให้ตักเตือนว่าอย่าสร้างเรื่องโกหกเกี่ยวกับลื้ออีก  ตอนนั้นหลงจู๊ก็อยู่ด้วย  ฟังแล้วเขาตัดสินใจส่งคนไปค้นบ้านพักผู้หญิงคนนั้น  เจอรองเท้าเกือบสิบคู่”

“ขโมยได้ไงกันตั้งเป็นสิบคู่”  ซิ่วเฮียงสงสัย

“อีหัวหมอ  เอารองเท้าห่อกระดาษหนังสือพิมพ์ทิ้งลงในถังขยะ  พอเย็น ๆ คนงานผลัดกันเอาขยะไปเท  อีก็ตามไปคุ้ยเอาขึ้นมา  รองเท้าห่อไว้ดีเอาไปขายได้สบาย ๆ”

หญิงสาวฟังแล้วได้แต่โคลงศีรษะอย่างระอา  เอ่ยว่า

“หนานี่…นิสัยไม่เคยเปลี่ยนจริง ๆ”

“ตอนนี้คนทั้งสะพานหันคงรู้กันทั่วแล้ว  ต่อไปอีคงทำงานที่นี่ไม่ได้อีกไม่มีร้านไหนอยากได้ลูกจ้างขี้ลักขี้ขโมย  ส่วนเรื่องที่มาป้วนเปี้ยนแถวนี้  อั๊วให้คนงานไปเตือนแล้วว่าถ้าเห็นมาด้อม ๆ มอง ๆ แถวลานมะเกลือ  อั๊วถือว่าเป็นพวกขโมยจะให้คนตีให้ขาหักแล้วจับส่งตำรวจ  อีกลัวจนหน้าขาว  คงไม่กล้ามายุ่งอะไรแถวนี้อีกนาน”

ซิ่วเฮียงฟังแล้วสบายใจขึ้น  แต่ยังไม่อยากวางใจเสียทีเดียว  ดังนั้นเรื่องจะรับหาญมาอยู่ด้วยจึงจำต้องเลื่อนออกไป  หล่อนปลอบใจตัวเองว่าปีนี้ให้หาญอยู่กับอากงไปก่อน  ไว้ปีหน้าหล่อนจะรับลูกมาอยู่ด้วยอย่างแน่นอน



Don`t copy text!