แก่นไม้หอม บทที่ 35 : ผู้ชนะ (ตอนที่ 2)

แก่นไม้หอม บทที่ 35 : ผู้ชนะ (ตอนที่ 2)

โดย : กิ่งฉัตร

แก่นไม้หอม นวนิยายออนไลน์ โดย กิ่งฉัตร ที่อ่านเอาอยากให้คุณได้อ่านออนไลน์ กับเรื่องราวที่จะทำให้คุณได้รู้ว่าผู้หญิงเป็นเมียและแม่ไม่ต่างจากแก่นไม้ที่แข็งแกร่ง มั่นคงและทรหดที่ยึดให้ใบได้แผ่กว้าง และหากโลกนี้เชื่อว่าผู้ชายเป็นใหญ่ แต่จริงๆ แล้วทุกสรรพสิ่งในธรรมชาติล้วนเป็นหยินที่โอบหยางทั้งสิ้น

น่าเสียดายที่แม้ความแค้นในใจที่มีต่อเน้ยและหลงจู๊ฮุ้งจะลดน้อยลงไปบ้าง  แต่ปัญหาที่ตามมาไม่ได้ลดน้อยถอยลงเลย  เริ่มจากจั้กคุ้งที่สุขภาพไม่ค่อยดีอยู่แล้ว  พอรู้ข่าวว่าคนของตนที่ส่งมาช่วยงานส่วงกลับทรยศโกงเงินโรงงานของแม่ม่ายและลูกกำพร้าไปเป็นจำนวนมากจนกิจการซวดเซ  เขาก็ทรุดลงกองกับพื้น  ทั้งรู้สึกผิด โกรธและเสียใจ  ออกปากด่าทอหลงจู๊ฮุ้งพักใหญ่  บ่นว่าเสียแรงที่ไว้ใจ  คร่ำครวญว่าคนของเขาทำแบบนี้ต่อไปจะมีหน้าไปพบอาส่วงได้อย่างไร

บ่นไปบ่นมาด้วยความสะเทือนใจ จั้กคุ้งก็ล้มหน้าคว่ำลงกับพื้น  และไม่ได้ลุกขึ้นมาอีกเลย

กุ้ยเตียงกับซิ่วเฮียงรวมถึงเด็กรุ่นโตของบ้านลานมะเกลือต้องไประยองเพื่อร่วมงานศพของจั้กคุ้ง

ในงานญาติพี่น้องของจั้กคุ้งพอมี แต่ที่มากกว่าคือญาติทางฝั่งภรรยาคนใหม่  และหลงจู๊ฮุ้งก็เป็นญาติทางฝั่งหลังนี้เอง  ที่เขาแต่งพุดซ้อนเป็นเมียหนึ่งในผู้ใหญ่ที่ไปสู่ขอก็คือจั้กคุ้ง  ดังนั้นในงานจึงเต็มไปด้วยความอึดอัดใจไม่น้อย  ญาติของฮุ้งมาขอโทษสองสาวหลายครั้งหลายหน  ทำอะไรก็เกรงใจจนกลายเป็นหวาดระแวงกันไปหมด

ยามที่คนบ้านลานมะเกลือร่วมงานเรียบร้อยและขอตัวกลับนั้น  แขกและเจ้าภาพต่างลอบถอนใจกันทั้งสองฝ่าย

กุ้ยเตียงได้แต่เอ่ยเบาๆ ในรถกับซิ่วเฮียงว่า

“ต่อไป บ้านเรากับทางระยองคงไม่ได้ไปมาหาสู่กันเหมือนเดิมแล้ว  คนจากความสัมพันธ์จาง  น่าเสียดายจริงๆ”

กลับจากระยองได้ไม่ถึงสัปดาห์  กุ้ยเตียงยังไม่ทันได้ลงมือแก้ปัญหาโรงงานอย่างจริงจัง  อ่วงเส็งที่ป่วยหนักจากโรคมะเร็งในหลอดลมมานานก็เสียชีวิตลง  กุ้ยเตียงต้องไปช่วยงานที่บ้านโบ๊เบ๊ตลอดงาน  ทั้งดูเรื่องวัดเรื่องการจัดการงาน  หลีมุ่ยแม้เป็นสะใภ้ใหญ่แต่กลับโยนเรื่องทุกอย่างให้น้องสามี  หล่อนอ้างหน้าตาเฉยว่า

“อาเตียงรู้จักงานรู้จักคนมากกว่าอั๊ว  อีมีประสบการณ์เพิ่งจัดงานให้อาส่วงมา  งานแบบนี้อั๊วไม่ถนัด  ให้อาเตียงช่วยรับไปจัดการเหมาะที่สุด”

ดังนั้นคนที่ ‘ถนัด’ จึงต้องวิ่งวุ่นวายทุกอย่าง  ควักเงินจ่ายค่านั้นค่านี่มือเป็นระวิง  ทว่าทำดีขนาดไหนก็ยังมีคนเปรยว่า

“ลูกสาวแต่งออกไปแล้วทำไมมายุ่งวุ่นวายกับงานนัก  ทำไมไม่ปล่อยให้พี่ชายพี่สะใภ้จัดการ”

หลีมุ่ยตอบอย่างยิ้มแย้มแต่ดูจนใจไม่น้อยว่า

“อาเตียงอีอยากทำให้เตี่ย  อั๊วเองก็ไม่อยากขัดใจ  อยากทำอะไรก็ทำไป  ไว้ปีหน้าตอนเซ่นไหว้เตี่ยทำกันเล็กๆ ในครอบครัว  อาเตียงคงไม่อยากออกหน้าทำแล้วอั๊วค่อยรับมาทำเอง”

แรกๆ กุ้ยเตียงได้ยินก็โกรธจนมือไม้สั่น  แต่พอหันไปเห็นมารดาที่นั่งซึมอยู่  หล่อนก็พูดอะไรไม่ออก  เตี่ยตายแล้วต่อจากนี้ม้าก็ต้องอาศัยลูกชายคนโตเป็นหลัก  จะทำอะไรก็ต้องเกรงใจลูกสะใภ้คนโต  ถ้าหล่อนอาละวาดคนที่ไม่สบายใจที่สุดคงเป็นม้า…

คิดแล้วหญิงสาวทำอะไรไม่ได้นอกจากกลืนคำด่าว่าลงคอ  แต่จะให้ทำตัวเหมือนเดิมทุกอย่างกุ้ยเตียงก็ทำไม่ได้เช่นกัน   หญิงสาวจึงใช้ความเงียบแสดงออกถึงความโกรธและไม่พอใจ  ตลอดงานที่เหลือหล่อนจึงไม่เอ่ยอะไรกับพี่สะใภ้สักคำ  หลีมุ่ยจึงไปบ่นเชิงฟ้องกับสามีว่า

“น้องสาวลื้อเป็นอะไรไม่ยอมพูดอะไรกับอั๊วสักคำ  ไม่รู้ปากอมอะไรอยู่”

“เตียงคงเหนื่อย  เห็นวิ่งวุ่นอยู่คนเดียว ลื้อก็ช่วยหน่อยเถอะ  ทำอะไรได้ก็ทำ”

หลีมุ่ยเบะปาก  นึกในใจว่า  ช่วยรับซองช่วยงานอยู่ไง  วุ่นวายจะตายอยู่แล้ว  แต่ตอบไปว่า

“อาเตียงอยากทำให้เตี่ย  คงเสียใจที่ตอนเตี่ยยังอยู่ไม่ได้ดูแลเต็มที่  ตอนนี้เลยอยากทำให้เตี่ยเป็นครั้งสุดท้าย อั๊วเลยไม่อยากขัด”

บุ่งทงฟังแล้วเชื่อเมียตามเคย  บ่นว่า

“เตียงก็เป็นเสียอย่างนี้ มีอะไรก็แบกไว้กับตัวหมด  งานโรงงานมีปัญหาขนาดนั้นก็ไม่ยอมให้ใครช่วย  จะจัดการเองหมด  ดื้อจริงๆ”

ชายหนุ่มไม่รู้เลยว่าน้องสาวเขานั้นต้องการความช่วยเหลือจริงๆ  แต่ที่ไม่ออกปากขอความช่วยเหลือเพราะอยากทำด้วยตัวเองส่วนหนึ่ง  อีกส่วนคือคร้านกับนิสัยเห็นแก่ตัว เอาดีเข้าตัวเอาชั่วให้คนอื่นของพี่สะใภ้อย่างหลีมุ่ยเต็มทน  ไม่อยากข้องเกี่ยว  ไม่อยากวุ่นวายถึงขนาดไม่อยากเห็นหน้าหรือได้ยินเสียงเอาเลยทีเดียว

ดังนั้นหลังงานศพอ่วงเส็ง กุ้ยเตียงก็ลุยงานโรงงานต่ออย่างหนัก  แต่ปัญหาที่หลงจู๊ฮุ้งสร้างไว้ก่อบาดแผลฉกรรจ์ให้กับโรงงาน  สินค้าผลิตไม่ทัน  การเงินสะดุดแถมยังมีเรื่องค่าปรับจากห้างใหญ่

หญิงสาวพยายามวิ่งเต้นดึงคนงานเก่าๆ ที่ถูกบีบให้ออกจากความเข้าใจผิดกลับมาทำงาน  แต่เกือบทั้งหมดเห็นสภาพโรงงานที่หลงจู๊ทิ้งไว้พากันส่ายหน้าอย่างเวทนา

สงสารน่ะสงสารอยู่  รู้สึกผิดด้วยที่แต่ละคนฟังคำหลงจู๊ฮุ้งจนเกิดอคติกับเถ้าแก่เนี้ย  ทำให้เกิดปัญหาจนต้องออกจากงานกัน  แต่ลาออกมาแล้ว  งานใหม่ก็มีทำกันแล้ว  จะให้กลับไปที่เก่าที่เห็นว่ากำลังซวดเซสาหัสจะล้มมิล้มแหล่ได้อย่างไร คนงานอาวุโสทั้งหลายจึงปฏิเสธกุ้ยเตียงอย่างสุภาพ หญิงสาวเองก็รับคำปฏิเสธอย่างสงบ  แต่ยามเมื่อกลับถึงบ้านหล่อนถึงได้เปรยกับซิ่วเฮียงว่า

“ไม้ใหญ่ล้ม  สกุณาหลีกลี้  ธรรมดาของโลกสินะ  ไม่รู้อั๊วยังจะหวังอะไรอยู่อีก”

กุ้ยเตียงยื้อบริหารโรงงานอีกเกือบครึ่งปีก่อนจะยอมรับความเป็นจริงว่าหล่อนสู้ไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว  ทุกวันนี้มีแต่รายจ่ายและหนี้สิน  รายรับที่เข้ามาพอแค่จ่ายค่าแรงค่าวัตถุดิบ  ไม่พอสำหรับจ่ายค่าดอกเบี้ยเงินที่กู้มาทำโรงงานต่อด้วยซ้ำ  ถ้ายังฝืนทำต่อ…ร้านสะพานหันหรือแม้แต่บ้านลานมะเกลือและบ้านต้นชมพู่ก็คงไม่เหลือ

คืนที่ตัดสินใจ หญิงสาวนอนน้ำตาไหลทั้งคืน  แต่พอเช้าก็ลุกขึ้นอาบน้ำแต่งตัวไปโรงงานตามปกติ  กระทั่งกลับมาตอนค่ำ  เล่นกับลูกชายคนเล็กอยู่ครู่ใหญ่หญิงสาวก็ลุกเข้าห้องทำงานเล็ก  จัดการกับเอกสารบางส่วนที่นำมาจากโรงงาน

ซิ่วเฮียงที่ดูแลเด็กๆ ในบ้านเรื่องข้าวปลาอาหารเรียบร้อยค่อยๆ เดินมาที่ห้องทำงานเล็ก  เคาะประตูก่อนยื่นหน้าเข้าไป

กุ้ยเตียงนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานเหมือนทุกครั้ง  หญิงสาวหันหน้ามองออกไปนอกหน้าต่าง  ภาพนี้ชวนให้ซิ่วเฮียงนึกถึงวันแรกที่ได้พบหน้าเถ้าแก่เนี้ยอย่างประหลาด  ภาพหญิงสาวที่งดงามคล้ายภาพเขียนที่ประทับอยู่ในใจหล่อนมาตลอด  เพียงแต่ยามนี้เวลาและประสบการณ์ชีวิตที่หนักหน่วงแต่งแต้มสีสันที่ต่างออกไปจากภาพเขียนเดิมมาก  กุ้ยเตียงยังงามสง่า  เพียงแค่เรือนร่างนั้นผอมบางลงไม่น้อย  ใบหน้าเริ่มมีริ้วรอยของวัย  หลังไหล่ที่เคยตั้งตรงลู่ลงเล็กน้อย

และนอกหน้าต่างนั้น…มีเพียงความมืดจนยากที่จะจินตนาการได้ว่าสาวงามตรงหน้ามองอะไรอยู่

“หยี่แจ้”  ซิ่วเฮียงเรียกเบาๆ  “กินข้าวไหมจ๊ะ  เฮียงเก็บกับข้าวไว้ให้  ถ้าหยี่แจ้จะกินจะได้อุ่นตั้งโต๊ะ”

“อั๊วไม่หิว”  กุ้ยเตียงตอบก่อนหันหน้ามามองอีกฝ่าย  ถามขึ้นช้าๆ อย่างจริงจัง  จริงจังขนาดเรียกชื่อแทนคำเรียกโอ่ยแจ้ที่ติดปากว่า  “เฮียง…ลื้อว่าอาส่วงจะโกรธอั๊วไหมที่รักษาโรงงานของเขาไว้ไม่ได้  เขาตายไปไม่ถึงสองปี  สิ่งที่เขารักและภูมิใจที่สุดก็พังลงกับมืออั๊ว”

ซิ่วเฮียงส่ายหน้า  เดินมานั่งตรงข้าม…จุดเดิมที่หล่อนเคยนั่งเมื่อแรกเข้ามาในห้องนี้  และเป็นที่ประจำที่ใช้คุยกับเจ้าของห้องหลายต่อหลายครั้ง

“สิ่งที่เถ้าแก่รักและภูมิใจที่สุดคือครอบครัวจ้ะ  เถ้าแก่รักหยี่แจ้มาก รักเด็กๆ มากนะจ๊ะ  ถ้าต้องเสียโรงงานไปเพื่อจะอยู่รอดให้ได้  เถ้าแก่ไม่มีทางโกรธหรอกจ้ะ  เฮียงเชื่อว่าเถ้าแก่จะต้องสนับสนุนทุกอย่างที่หยี่แจ้ทำแน่นอน”

กุ้ยเตียงฟังแล้วอดไม่ได้ที่ยิ้มเล็กน้อย

“ลื้อนี่เข้าใจปลอบจริง ๆ”

“เฮียงไม่ได้ปลอบจ้ะ  เฮียงพูดจริง  หยี่แจ้อย่ากลุ้มใจเลยนะจ๊ะ  ถ้าเรายังยื้อทำโรงงานต่อแล้วต้องเสียทุกอย่างไป  เฮียงว่าไม่คุ้ม  เง็กซิ่มเคยสอนว่าเมื่อรู้ว่านิ้วไหนเป็นเนื้อร้ายและมันจะลุกลามเราก็ต้องตัดใจยอมตัดนิ้วนั้นทิ้ง  อย่านึกเสียดายหรือเสียใจ”

คราวนี้หญิงสาวข้างหน้าต่างยิ้มมากขึ้น  เดาได้ว่า

“เง็กซิ่มคงสอนให้ลื้อมาเตือนสติอั๊วล่ะสิ  อั๊วไม่เสียดายแค่เสียใจที่ไม่สามารถสานฝันต่อจากอาส่วงเท่านั้น”

“ถ้าความฝันของเถ้าแก่ทำให้หยี่แจ้ไม่มีความสุข  เถ้าแก่ก็คงเสียใจเหมือนกัน  เฮียงว่าหยี่แจ้อย่ากังวลอะไรมากเลยจ้ะ  ในเมื่อเราทำดีที่สุดแล้วอะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด”

กุ้ยเตียงถอนใจยาว  ยอมรับว่า

“อั๊วมักคิดเสมอว่าตัวเองเก่ง  แต่ตอนนี้รู้แล้วว่าอั๊วแกร่งสู้ลื้อไม่ได้  ตกลง…เราตัดเนื้อร้ายทิ้ง  โรงงานมีแต่หนี้ อั๊วจะขายให้คนที่เขาเก่งจริงมารับช่วงต่อ”

“หยี่แจ้ไม่คิดจะขายโรงงานให้ทางบ้านโบ๊เบ๊หรือจ๊ะ  ยังไงก็คนกันเอง”  ซิ่วเฮียงแนะ

“ไม่ล่ะ”  กุ้ยเตียงตอบอย่างตัดสินใจเด็ดขาดมาตั้งแต่แรกแล้ว  “เฮียอั๊ว อั๊วรักนะ  แต่ต้องยอมรับว่าเฮียทงไม่เก่ง  ขายโรงงานให้ไปก็ไม่รอด  แทนที่จะฟื้นฟูให้ได้เงินกลับจะยิ่งก่อหนี้เสียเปล่าๆ  อีกอย่างขายให้พี่น้องดีไม่ดีนอกจากขายไม่ได้เงินแล้วยังอาจถูกใครบางคนด่าอีกว่าส่งภาระต่อให้”

ซิ่วเฮียงพยักหน้าอย่างเข้าใจ

กุ้ยเตียงประกาศขายโรงงานในกลุ่มเพื่อนฝูงวงไพ่นกกระจอก  อย่าเห็นว่าวงไพ่มีแต่หญิงสาวและคนแก่เชียว  เพราะถึงจะเป็นผู้หญิง…แต่เกือบทุกคนมาจากครอบครัวใหญ่ที่ทำธุรกิจด้านต่างๆ  และมีไม่น้อยทำงานให้เตี่ยให้ม้าหรือทำงานเคียงข้างสามีอย่างแข็งขัน  คนแก่ส่วนใหญ่ก็เป็นพวกเถ้าแก่รุ่นเก่าที่ยกกิจการให้รุ่นลูกรุ่นหลานดูแล  ทว่ายังมีหูตาคมทางด้านค้าขายแถมยังมีสิทธิมีเสียงในบริษัทหรือห้างร้านไม่น้อย

ดังนั้นเพียงออกปากไม่นาน  โรงงานเสื้อผ้าก็เปลี่ยนมือ  เจ้าของใหม่เข้าใจว่าธุรกิจเดิมมีปัญหาหนัก  แต่เมื่อเทียบมูลค่าของทำเล  อาคาร  เครื่องจักรและแรงงานฝีมือแล้วเขาคิดว่าคุ้มค่า  อัดฉีดเงินลงอีกสักก้อน  เปลี่ยนแผนการผลิตสักหน่อย  โรงงานก็น่าจะไปรอดได้อย่างดี

คนทางบ้านโบ๊เบ๊รู้ข่าวการตัดสินใจของกุ้ยเตียงหลังจากโรงงานถูกขายไปแล้วเป็นอาทิตย์  บุ่งทงเจอหน้าน้องสาวก็บ่นว่าหล่อนใจร้อนเกินไป  ทำเรื่องใหญ่ไม่ยอมปรึกษา  บรรดาน้องชายและน้องสะใภ้ก็พยักหน้าหงึกหงักเห็นด้วยกับตั่วเฮีย

กุ้ยเตียงยิ้มรับบอกง่ายๆ ว่า

“อั๊วคิดดีแล้วเฮีย”

“คิดดีแล้วที่ไหนกัน”  หลีมุ่ยที่ฟังอยู่ด้วยหน้าดำคล้ำแย้งอย่างไม่พอใจทันที  “โรงงานทั้งโรงลื้อขายเหมือนขายผ้าหน้าร้าน  นึกจะขายก็ขายไปง่ายๆ ทำไมไม่มาถามพวกอั๊วก่อน  โรงงานดีๆ แบบนั้นปล่อยให้คนอื่นได้ไง  ทำไมลื้อไม่นึกถึงพี่น้องบ้าง ตัวเองทำไม่ไหวแทนที่จะส่งต่อให้เฮียลื้อจัดการสานต่อ กลับขายให้คนอื่นถูกๆ ไปเสียแบบนั้น  เห็นขี้ดีกว่าไส้นี่นา  นี่ถ้าอาส่วงรู้เข้าคงนอนตายตาไม่หลับแน่  เมียขายสมบัติที่เขาสร้างมาให้คนนอกแบบนี้”

กุ้ยเตียงฟังแล้วหน้าตึง  รอยยิ้มอ่อนๆ ที่ประดับบนใบหน้าเลือนหายเหลือเพียงความเย็นชา

“อาส่วงตายไปแล้ว ซ้อจะขุดเขาขึ้นมาทำไม  แล้วโรงงานก็เป็นของอั๊ว  อั๊วจะขายหรือไม่ขายก็เป็นสิทธิของอั๊ว  เกี่ยวอะไรกับซ้อด้วย”

“เกี่ยวสิ”  หลีมุ่ยตอบกลับอย่างมีอารมณ์…อารมณ์เสียดายโรงงานใจจะขาด  “ร้านโบ๊เบ๊รับเสื้อจากโรงงานลื้อมาขาย  ถ้าเจ้าใหม่เขาไม่ส่งของให้อั๊ว…เอ๊ย…ส่งของให้ร้าน  แล้วเฮียลื้อจะไปเอาสินค้าจากไหน  ถ้าไม่มีของขายทั้งม้าทั้งเฮียลื้อกับทุกคนในบ้านจะลำบากขนาดไหน  ลื้อเคยคิดไหม”

“ตลกแล้ว  ซ้อพูดเหมือนกับร้านที่โบ๊เบ๊รับแต่ของโรงงานอั๊ว  อั๊วเห็นของจากโรงงานอื่นตั้งหลายเจ้า…”

“มันไม่เหมือนกัน  ของที่อื่นสู้ของโรงงานลื้อได้ที่ไหน  แล้วต่อไปนี้จะทำยังไง  เขาจะยังทำเสื้อเหมือนเดิมไหม  ยังจะให้เราราคาเดิมไหม”

“เรื่องนี้ซ้อต้องไปคุยกับเจ้าของใหม่เขาเอง  อั๊วขายทุกอย่างให้เขาไปแล้ว  คงตอบอะไรไม่ได้”

“อาเตียง…ลื้อ…ลื้อเห็นแก่ตัวที่สุด  ทำให้บ้านโบ๊เบ๊เดือดร้อน แต่ตัวเองลอยลำสบาย”

“อามุ่ย!”  บุ่งทงที่แม้ใจจะเอนเอียงไปทางภรรยาอยู่บ้าง  ทว่าหน้ายังไม่หนาพอจะเห็นด้วยกับคำพูดทั้งหมดของหลีมุ่ย  จึงออกปากปรามหญิงสาว

“อ้อ  อั๊วเห็นแก่ตัว  อั๊วขายสมบัติตัวเองทำให้ทางบ้านเดิมเดือดร้อน  แต่ถามหน่อยเถอะ ตั้งแต่อั๊วก้าวเข้าบ้านหลังนี้มา  นอกจากม้าที่ถามว่าอั๊วเป็นไงบ้าง  มีใครหน้าไหนสนใจถามไหม  มีใครสนใจไหมว่าตั้งแต่มีปัญหาเรื่องไอ้ฮุ้งกับนังเน้ย  บ้านอั๊วเดือดร้อนไหม  ลูกๆ อั๊ว ลูกอาส่วงเจ็ดคนมีข้าวกินไหมมีเงินพอจ่ายค่าเทอมไหม  เห็นมีแต่สนใจว่าทำไมขายโรงงานทำให้คนอื่นเดือดร้อน  แต่ลูกอั๊วจะอดตายไม่มีใครสน”

บุ่งทงและน้องๆ คนอื่นฟังแล้วหลบสายตาไป  มีเพียงหลีมุ่ยเท่านั้นที่ยังโต้ว่า

“ลื้อก็พูดเกินไป  โรงงานอาจจะขาดทุนแต่ร้านเสื้อที่สะพานหันได้กำไรแน่ๆ อั๊วผ่านไปเห็นคนคึกคัก  ดูแล้วก็น่าจะพอเลี้ยงลูกๆ ลื้อกับลูกเด็กนั่นได้สบายๆ เด็กมันจะปากใหญ่อะไรนักหนาเชียว”

กุ้ยเตียงหัวเราะเสียงขม  เอ่ยเสียงเยาะเล็กน้อยว่า

“ซ้อทำเหมือนไม่เคยเลี้ยงเด็ก  เด็กมันกินอย่างเดียวหรือ  เสื้อผ้าไม่ต้องนุ่ง  โรงเรียนไม่ต้องไปหรือไง  ค่าเล่าเรียนปีๆ เท่าไหร่  ซ้อก็น่าจะรู้”

“ก็ลื้อเลือกโรงเรียนแพงๆ ให้ลูกเอง  หัวก็ไม่ดี เรียนตกซ้ำชั้นอยู่นั่นแหละ…ยังจะเรียนโรงเรียนฝรั่ง  ถ้าลำบากจริง ทำไมไม่ให้ออกมาช่วยค้าขายหรือไม่ก็ไปเรียนที่อื่นล่ะ”

“รู้สึกซ้อจะห่วงใยลูกอั๊วจริงๆ นะ  แต่อั๊วว่าซ้อน่าจะเอาเวลาไปดูแลลูกตัวเองมากกว่านะ  ไม่จับตามองให้ดีเดี๋ยวก็ได้เลี้ยงหลานเป็นลูกอีกคนหรอก!”

แม่ของลูกสองคนถลึงตาใส่กันอย่างดุเดือด  ร้อนถึงหมุยเจ็งที่นั่งฟังเงียบๆ มานานต้องขัดขึ้นว่า

“พวกลื้อจะทะเลาะกันไปทำไม  โรงงานก็ขายไปแล้ว  ทำอะไรไม่ได้แล้ว  ทำไมยังจะวุ่นวายไม่รู้จักจบจักสิ้นอีก  อามุ่ยลื้อบอกว่าจะไปทำธุระไม่ใช่หรือ  ทำไมยังอยู่อีกล่ะเดี๋ยวก็สายหรอก”

หลีมุ่ยมองแม่สามีอย่างเคืองๆ บ่นพึมพำว่าอาม่าเข้าข้างแต่ลูกสาวก่อนสะบัดหน้าจากไป  พวกพี่ๆ น้องๆ ที่เหลือเห็นว่าไม่มีอะไรแล้วทำอะไรไม่ได้อีกแล้วก็พากันแยกย้ายไป  เมื่ออยู่กันตามลำพังกุ้ยเตียงกอดมารดาไว้  เอ่ยว่า

“ม้า  อั๊วขอโทษ  อั๊วทำให้ซ้อไม่พอใจม้า”

“ขอโทษอะไร  ซ้อลื้อก็เป็นอย่างนี้มาตลอด  นอกจากลูกผัวอี…อีเคยพอใจใครเสียที่ไหนกัน  พี่น้องแท้ๆ อียังข่มได้ข่มเอา สำมะหาอะไรกับพี่น้องผัว  ลื้ออย่ากังวลเลย  อั๊วชินแล้ว  ส่วนเรื่องเงินทองถ้าไม่พอใจมาบอกอั๊ว”

“ไม่เป็นไรม้า  อั๊วพอมี  ที่พูดไปก็เพราะอยากเห็นน้ำใจคนเท่านั้น”  กุ้ยเตียงบอกให้มารดาสบายใจ

อันที่จริงกำไรจากร้านอึ้งซุ้ยหลีก็พอจะเลี้ยงคนทั้งบ้านลานมะเกลือได้  แต่เด็กๆ โตเร็วเสื้อผ้าต้องเปลี่ยน  ค่าเล่าเรียนต้องจ่าย  รายได้เข้ามาทางหนึ่งก็ไหลออกทางหนึ่งเหมือนสายน้ำ  จับไว้ไม่เคยอยู่…

กุ้ยเตียงที่รับหน้าที่ดูแลร้านคืนจากซิ่วเฮียงเริ่มมองหาช่องทางใหม่ๆ ในการค้าขาย  แต่งานที่ร้านยุ่งจนไม่ทันได้คิดอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน  กลับกลายเป็นซิ่วเฮียงที่เข้ามาเยี่ยมเยือนห้องทำงานเล็กแล้วเสนอว่า

“หยี่แจ้จ๊ะ  ลานมะเกลือตอนนี้ปิดไว้เฉย ๆ ไม่ได้ทำอะไร  เฮียงว่าเราปรับเป็นห้องเช่าดีไหมจ๊ะ  ทำเป็นเรือนแถวสองชั้นเหมือนกับเรือนตรงข้ามบ้านต้นชมพู่  แต่ทำให้หลายห้องหน่อยให้คนอื่นมาเช่า  แถวนี้เป็นย่านคนอยู่อาศัย  คนทำงานก็มีพวกนักเรียนนักศึกษาก็เยอะ  ห้องไม่มีทางขาดคนเช่าแน่จ้ะ”

กุ้ยเตียงนิ่งไปเล็กน้อย  นึกถึงลานมะเกลือที่มีสามอาคารใหญ่โอ่อ่า  เคยมีทั้งเครื่องจักรที่สั่งมาจากต่างประเทศ  มีคนงานมากมายตากผ้าย้อมมะเกลือเรียงเป็นแถวเต็มลานกว้าง  ยามลมพัดผ้าสะบัดพรึ่บพรั่บเหมือนคลื่นสีดำที่ซัดเข้าฝั่งระลอกแล้วระลอกเล่า

หญิงสาวเหมือนเห็นเงาของสามีเดินมือไขว้หลังตรวจงานไปรอบๆ  บางทีส่วงก็หยุดเพื่อซักถามคนงานหรือจับดูว่าผ้าที่ย้อมสีได้ที่หรือยัง  บางทีเมื่อเขารู้ว่าหล่อนเดินมาหาเถ้าแก่หนุ่มหันมาและยิ้มให้หล่อนอย่างสดใส…

“หยี่แจ้ว่ายังไงจ๊ะ”  ซิ่วเฮียงถามเบาๆ  ดึงหล่อนกลับมาจากภาพจำเก่า ๆ เหล่านั้น

ภาพในความทรงจำ…งดงาม  แต่เมื่อลืมตาขึ้น…ความจริงตรงหน้าคือกองสมุดบัญชีและรายรับรายจ่ายในแต่ละวัน  ตัวเลขสองฝั่งห้ำหั่นกันอย่างเอาเป็นเอาตาย  ก่อนรายจ่ายจะชนะเหยียบรายรับจมธรณีไป

กุ้ยเตียงเลยได้แต่ยิ้มที่รอยยิ้มคงอยู่แต่ริมฝีปากไม่เคยขึ้นไปถึงดวงตา

“ทำเถอะ  อาคารสามหลังนั่นให้รื้อลงมาให้หมด  สร้างใหม่ไปเลยให้ห้องเท่าๆ กัน  ให้ใช้ไม้เก่าจากอาคารก่อน  ถ้าไม่พอค่อยซื้อมาเติม  สร้างให้เต็มลานไปเลยจะได้มีหลายห้องหน่อย  ไหนๆ จะสร้างแล้วต้องเอาให้ได้พอค่ากับข้าวค่าใช้จ่ายในบ้าน  ไม่งั้นทำไปก็ไม่ประโยชน์”

“ได้จ้ะ”

“ส่วนค่าใช้จ่าย…”  หญิงสาวมองสมุดบัญชีตรงหน้าอีกครั้ง  ตัวเลขแดงๆ เหมือนจะยิ้มเย้ยหล่อนอยู่  แต่กุ้ยเตียงไม่สนใจ  หล่อนเอ่ยต่อว่า  “ลื้อมาเบิกไปแล้วกัน  จะเบิกล่วงหน้าไปก่อนหรือจะเบิกจ่ายเป็นงวดๆ ก็ได้  อั๊วให้ลื้อเป็นคนคุมทุกอย่าง”

ซิ่วเฮียงพยักหน้ารับ  ในหัวเริ่มวางแผนการสร้างเรือนแถวเรียบร้อย  หล่อนคิดถึงห้องเช่าที่เคยพักที่มหาชัย  ห้องพวกนั้นจะใหญ่กว่าห้องที่นี่เล็กน้อย  การใช้ห้องน้ำห้องอาบน้ำก็สะดวกกว่า  บางทีหล่อนอาจจะให้ช่างก่อสร้างตามแบบทางนั้น

“โอ่ยแจ้”  เสียงของกุ้ยเตียงดึงหล่อนออกมาจากภวังค์

“จ๊ะ”

“ลื้อว่าเราจะไปรอดไหม”

“รอดสิจ๊ะ”  ซิ่วเฮียงยิ้มกว้างจนดวงตาทั้งคู่หรี่เล็กยิบหยี  “เง็กซิ่มเคยพูดไม่ใช่หรือจ๊ะว่าเราคือผู้ชนะ”

“จริงสินะ  เราคือผู้ชนะ”  หญิงสาวยิ้มออกมาเล็กน้อยเหมือนยอมรับ

ทว่าในใจนึกค้าน…

ผู้ชนะหรือ…

หล่อนไม่ใช่ผู้ชนะหรอก  แค่แพ้ไม่ได้เท่านั้น!

 



Don`t copy text!