แก่นไม้หอม บทที่ 36 : คนนอก

แก่นไม้หอม บทที่ 36 : คนนอก

โดย : กิ่งฉัตร

แก่นไม้หอม นวนิยายออนไลน์ โดย กิ่งฉัตร ที่อ่านเอาอยากให้คุณได้อ่านออนไลน์ กับเรื่องราวที่จะทำให้คุณได้รู้ว่าผู้หญิงเป็นเมียและแม่ไม่ต่างจากแก่นไม้ที่แข็งแกร่ง มั่นคงและทรหดที่ยึดให้ใบได้แผ่กว้าง และหากโลกนี้เชื่อว่าผู้ชายเป็นใหญ่ แต่จริงๆ แล้วทุกสรรพสิ่งในธรรมชาติล้วนเป็นหยินที่โอบหยางทั้งสิ้น

ความฝันของส่วงอย่างหนึ่งคืออยากเห็นลูก ๆ มีการศึกษาสูง ๆ  ยิ่งเห็นเส่งในชุดนิสิตเรียนคณะทันตแพทย์  เวลาไปไหนมาไหนก็มีแต่คนชื่นชมว่าเก่งว่าดีมีหน้ามีตา  ชายหนุ่มจึงมักพูดกับกุ้ยเตียงและซิ่วเฮียงเสมอว่าอยากให้ลูก ๆ เข้าเรียนมหาวิทยาลัยทุกคน

ตอนนี้ส่วงไม่อยู่แล้ว  เมียทั้งสองคนของเขาต่างปรารถนาจะสานต่อความฝันเถ้าแก่หนุ่มให้เป็นความจริง  แต่น่าเสียดายลูกชายคนโตของบ้านอย่างฉื่อไท่นั้นเข็นไม่ขึ้นจริง ๆ  ผลการเรียนของเด็กหนุ่มนั้นแทบจะเรียกว่าคาบเส้น  เทอมไหนไม่ตกก็นับว่าเป็นบุญแล้ว  ฉะนั้นเรื่องสอบเข้ามหาวิทยาลัยนั้นไกลเกินเอื้อมจริง ๆ

ฉื่อไท่สอบไม่ผ่าน  จะให้ไปเรียนรามคำแหงหรือวิทยาลัยของเอกชนเพื่อรอสอบซ้ำ  เด็กหนุ่มก็ไม่ยอมเรียน  เขาบอกตรง ๆ ว่า

“เรียนไปก็เท่านั้นแหละม้า  ปีหน้าก็สอบไม่ได้อยู่ดี  สู้ออกมาทำงานไม่ได้  ให้อั๊วไปช่วยงานที่ร้านแล้วกันนะม้า”

กุ้ยเตียงไม่มีทางเลือก  แม้จะหวังมากแค่ไหนแต่ความเป็นจริงก็คือความเป็นจริง  สอบไม่ติดก็คือไม่ติด  ไม่รักเรียนก็คือไม่รัก  ฝืนไปมีแต่เสียเวลาและเสียใจเปล่า ๆ  หญิงสาวจึงตัดใจไม่บังคับอะไรลูกชายคนโต  แต่เปลี่ยนมาเป็นฝึกให้เขาค้าขายเตรียมรับช่วงร้านอึ้งซุ้ยหลีต่อ

แต่…ฉื่อไท่ถูกประคบประหงมอย่างดีมาตั้งแต่เล็ก  ไม่เคยต้องช่วยงานบ้านแบบพวกน้องสาว  งานทำก็ได้เงินไม่ทำก็ได้เงิน  เขาจึงไม่คิดจะทำและชินกับการเป็นคุณชายใหญ่ของบ้าน  ดังนั้นการมาฝึกงานคือแวะเข้ามานั่งเล่นที่ร้านช่วงสาย ๆ  ช่วยมารดาขายของนิดหน่อย  ตกบ่ายก็วิ่งออกไปเที่ยวหรือไปเตะบอลกับเพื่อนฝูงแล้ว

กุ้ยเตียงคุมลูกชายคนโตไม่อยู่  ได้แต่บ่นกับซิ่วเฮียงว่า

“ถ้าอาส่วงอยู่คงจะดี  ลูกคนนี้นอกจากเตี่ยอีแล้วใครก็เอาไม่อยู่จริง ๆ”

ปีถัดมาถึงคราวฉื่อย้งสอบ  สองแม่วุ่นวายบนบานศาลกล่าวขอให้เด็กสาวสอบติดไปทั่ว  กุ้ยเตียงกับซิ่วเฮียงผลัดกันไปจุดธูปที่ศาลองค์แป๊ะกงและศาลทีกงข้างบ้านลานมะเกลือทุกวัน  ไหว้จนควันธูปตลบไปหมด

อันที่จริงตอนฉื่อไท่สอบทั้งคู่ก็ไหว้ขอองค์แป๊ะกงทีกงเหมือนกัน  แต่ไม่ได้ทุ่มเทกันหนักขนาดนี้

เพราะรู้ว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ท่านมีขีดจำกัดเช่นกัน  เพียงแต่คราวนี้ฉื่อย้งเป็นความหวังของบ้าน  สองแม่เลยต้องช่วยกันบนบานศาลกล่าวหนักหน่อย

และฉื่อย้งรวมถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่บนบานไว้ก็ไม่ทำให้ผิดหวัง  ฉื่อย้งสอบติดคณะเกษตร  มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

กุ้ยเตียงดีใจที่ลูกสาวสอบติดแต่ผิดหวังนิดหน่อยที่ฉื่อย้งไม่ได้ติดหมอหรือพยาบาลที่จุฬาฯอย่างที่หวัง  แต่วันที่ฉื่อย้งลองสวมชุดนิสิตติดเข็มกลัดมหาวิทยาลัยที่อกเสื้อ  หญิงสาวมองแล้วน้ำตาซึมด้วยความภาคภูมิใจ

อาส่วง…ลื้อเห็นไหม  ลูกสาวลื้อสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้แล้วนะ  ลื้อรู้ไหมหัวใจอั๊วมันพองไปหมด  เห็นอะไรก็อยากจะยิ้มไปหมด  ลื้อเองก็เป็นอย่างอั๊วใช่ไหมอาส่วง…

สอบเข้าได้แล้วก็ต้องมีการให้ผู้ปกครองพาไปมอบตัว  สองวันก่อนถึงวันมอบตัวซิ่วเฮียงถือชุดใหม่ไปเคาะประตูห้องทำงานเล็กของกุ้ยเตียง  หญิงสาวบอกอย่างยิ้มแย้มว่า

“หยี่แจ้มีชุดใส่ไปมอบตัวอาย้งหรือยังจ๊ะ  พอดีเฮียงเจอผ้าชิ้นหนึ่งเหมาะกับหยี่แจ้มากเลยตัดชุดใหม่ให้หยี่แจ้…”  ชุดนี้หล่อนตัดจากแพทเทิร์นชุดแฟชั่นของนิตยสารสตรีที่มียอดขายสูงลิ่ว  ในนิตยสารจะมีทั้งแบบเสื้อ  สูตรอาหารและแพทเทิร์นปักผ้าครอสติส  แบบและสูตรจะมีทั้งของไทยและของต่างประเทศ  ซิ่วเฮียงเลือกแบบชุดสากลนำสมัย  เพราะกุ้ยเตียงสวยสง่า  หล่อนจึงเลือกผ้าพื้นสีอ่อนไม่ใช้ลายดอกอย่างที่คนอื่นนิยมกัน “ลองดูไหมจ๊ะว่าชอบไหม  จะให้แก้ตรงไหนก็บอกมาได้เลย”

ซิ่วเฮียงกุลีกุจอกางเสื้อทาบตัวอีกฝ่ายเสื้อชุดนี้เป็นชุดกระโปรงที่ยาวแค่เข่า  ท่อนบนตัดคอวีแขนกุดตรงเอวจับจีบติดโบว์อันใหญ่สีเดียวกับเสื้อ  ผ้าเป็นผ้ามองตากูร์จากต่างประเทศ  เนื้อแน่นมีน้ำหนัก  ฝีเข็มที่ตัดเย็บปราณีตงดงาม

กุ้ยเตียงแตะชุดที่วางทาบกับตัวเบา ๆ  จู่ ๆ ลำคอรู้สึกตีบตัน  ดวงตาร้อนผ่าวน้ำตาเอ่อคลอขึ้นมาอย่างอดไม่อยู่

ตั้งแต่เกิดเรื่องกับอาส่วง…ตั้งแต่ความเป็นอยู่ทั้งหมดของครอบครัวตกลงบนบ่า  กุ้ยเตียงที่เคยทำผมแต่ที่ร้านทำผม  ตัดเสื้อผ้าชุดละครึ่งค่อนพันกลับเข้าร้านทำผมร้านตัดเสื้อน้อยมาก  ปีที่แล้วหล่อนตัดเสื้อชุดใหม่ไปแค่สองหรือสามตัวเท่านั้น  และเพราะจำเป็นต้องไปงานไปพบปะผู้คนถึงยอมตัดเสื้อใหม่

ผมก็เข้าร้านตอนที่ถึงเวลาตัด

หญิงสาวบอกกับตัวเองและคนอื่น ๆ ว่าช่วงนี้ยุ่งจนไม่มีเข้าร้านเสริมสวยใด ๆ  แต่จริง ๆ แล้วกุ้ยเตียงต้องประหยัด  แม้ทุกวันนี้ค่าอาหารของคนในบ้านทั้งสองหลังจะได้มาจากการเก็บค่าเช่าบ้านที่ลานมะเกลือที่ซิ่วเฮียงดูแล  แต่รายจ่ายในครอบครัวไม่ได้มีแค่ค่ากับข้าว  ยังมีค่าเสื้อผ้า  ค่าเล่าเรียนของเด็กหกคน  ค่าขนมลูก  เงินเดือนของคนขับรถและคนงานในบ้านรวม ๆ แล้วกำไรจากอึ้งซุ้ยหลีในแต่ละเดือนแทบจะเรียกว่าชักหน้าไม่ถึงหลัง  บางเดือนถึงขนาดว่าเงินไม่พอจนหญิงสาวต้องแลกเช็ควุ่นวาย

เสื้อผ้าใหม่ราคาแพงดูเหมือนจะห่างไกลตัวหล่อนออกไปทุกที ๆ กุ้ยเตียงเองก็บอกตัวเองว่าไม่จำเป็น  ไม่ได้อยากได้อะไร  กระทั่งเสื้อตัวใหม่ทาบลงกับตัว  หญิงสาวถึงได้รู้ว่าคิดถึงความรู้สึกยามใส่เสื้อใหม่เพียงใด

“ฝีมือดีนะ  ขนาดตอนนี้ลงครัวอย่างเดียวมือยังไม่ตกเลย  ขอบใจนะโอ่ยแจ้  เสื้อสวยมาก  อั๊วกำลังกังวลอยู่เชียวว่ามะรืนจะใส่ชุดไหนไปไม่ให้อาย้งขายหน้าเพื่อน”

“ถ้าหยี่แจ้ชอบก็ดีจ้ะ  ลองสวมดูนะจ๊ะถ้าจะต้องแก้ตรงไหนให้บอก  เฮียงจะได้รีบแก้ให้”

กุ้ยเตียงพยักหน้ารับ  ลุกขึ้นไปลองเสื้อใหม่

“พอดี  ไม่ต้องแก้อะไรเลย”  หญิงสาวบอกยามหมุนตัวอยู่หน้ากระจก  “สวยมาก ๆ”

“เฮียงตัดจากขนาดเสื้อตัวเก่าของหยี่แจ้จ้ะ  แต่ขยับให้เล็กลงนิดหนึ่งเพราะเหมือนหยี่แจ้จะผอมลง”

“เวลาทำงานยุ่ง ๆ ก็ลืมกินน่ะ”  หญิงสาวบอกง่าย ๆ ก่อนเสริมว่า  “ขอบใจนะเฮียง”

ขอบใจที่เป็นห่วงเป็นใย  ขอบใจที่ใส่ใจ  อาส่วงดูคนไม่ผิดเลย…

ซิ่วเฮียงยิ้มรับจนตายิบหยีก่อนออกจากห้องไป  ในขณะที่กุ้ยเตียงยังมองซ้ายมองขวาชมชุดใหม่ของตัวเองอย่างพอใจ

นอกจากฉื่อย้งจะเป็นลูกคนแรกของส่วงที่สอบเข้ามหาวิทยาลัยของรัฐได้  เด็กสาวยังเป็นหลานคนแรกของหมุยเจ็งที่สอบเข้ามหาวิทยาลัยได้เช่นกัน  ดังนั้นอาม่าของเด็กสาวจึงตั้งใจจะเลี้ยงแสดงความยินดีให้ฉื่อย้ง  แต่หลีมุ่ยค้านว่า

“เรื่องดี ๆ ของอาย้งก็ต้องให้ม้าอาย้งเลี้ยงป่าวประกาศข่าวสิ  ให้อาม่าเลี้ยงได้ไง”

พอหมุยเจ็งยืนยันว่าจะเลี้ยง  ลูกสะใภ้คนโตก็ว่า

“อาม่ามีเงินเลี้ยงหรือ  บ้านเราทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่ก็เกือบยี่สิบคน  แล้วบ้านโน้นเด็กตั้งกี่คนกี่ปากกัน  หรือจะให้มาแต่ลูกบ้านอาเตียง  เด็กอีกบ้านไม่ต้องมา”

“ไฮ้  ทำอย่างนั้นได้ไง  น่าเกลียดตาย”  อาม่าโมโหลูกสะใภ้   ทั้งงกทั้งเห็นแก่ตัวไม่มีใครเกิน  จนใจแต่เพราะหลีมุ่ยเป็นสะใภ้คนโต  บุ่งทงดูแลร้านส่วนเมียคุมบัญชีบ้านบัญชีร้านไว้หมด  คนในบ้านจะทำอะไรก็ต้องมองสีหน้าหล่อนเป็นหลักก่อน

“งั้นให้อาเตียงอีเลี้ยง  แล้วเดี๋ยวอั๊วหาของขวัญดี ๆ ให้อาย้งเอง”

“จะดีหรือ  ตอนนี้อาเตียงอีไม่มีโรงงานแล้ว  เงินทองจะมีสักเท่าไหร่กัน”  หมุยเจ็งยังเป็นห่วงลูกสาว

“ไม่มีโรงงานก็ยังมีร้านที่สะพานหัน  ร้านนั้นขายดีจะตายม้าทำเลทองแบบนั้นขายดีกว่าที่โบ๊เบ๊ของเราอีก  แล้วที่โรงงานเก่าที่รื้อทำเป็นห้องแถวเช่า  เห็นว่าคนเช่าเต็มทุกห้อง  เดือน ๆ นั่งนับเงินที่คนอื่นเขาหามาให้หลายร้อย  ลูกสาวม้าไม่เดือดร้อนหรอกไม่ต้องห่วง”

หญิงสูงวัยไม่ได้เชื่ออะไรลูกสะใภ้มากนัก  แต่เพราะไม่อยากมีเรื่องจึงยอมให้หลีมุ่ยเจ้ากี้เจ้าการเลือกภัตตาคารใหญ่ในเยาวราชจองโต๊ะใหญ่สองโต๊ะ  แบ่งโต๊ะหลักให้อาม่ากับลูก ๆ พร้อมสะใภ้นั่ง  โดยมีเด็กคนเดียวคือฉื่อย้ง  ที่เหลือนอกจากนั้นให้ไปนั่งกันที่โต๊ะเด็ก

งานนี้ซิ่วเฮียงไม่ได้ไปแต่ส่งลูกชายสองคนไปเป็นตัวแทน  เด็กสองคนยังเล็กไม่ได้สนใจอะไรมากกลับมาก็เล่าแค่ว่าอาหารอร่อย  มีกับข้าวตั้งหกเจ็ดอย่าง  บ้านโบ๊เบ๊มากันเกือบครบและฉื่อกกวัยสามขวบเศษวางมวยกับอาเหมยลูกสาวคนเล็กของหลีมุ่ย  ผลักกัน  จิกกัน  ตีกันคนละทีสองที  สุดท้ายเสียงร้องไห้ของเด็กทั้งสองดังร้านแทบแตก…

ซิ่วเฮียงฟังแล้วยิ้มพูดว่าน่าสนุก  แต่กุ้ยเตียงมาเล่าให้หล่อนฟังทีหลังอย่างเจ็บใจว่า

“ซ้ออั๊วนี่ดีเหลือเกิน  เลือกจองโต๊ะร้านแพง ๆ อาหารก็สั่งมาแต่ของดี ๆ ตัวเองทั้งกินทั้งห่อกลับ  พอถึงเวลาจ่ายเงินกลับชี้มาทางอั๊วให้อั๊วจ่าย  ดีนะที่รู้ท่าติดเงินสดไปมากหน่อยไม่งั้นอั๊วต้องให้ลื้อวิ่งเอาเงินไปให้ที่เยาวราชแน่  พอม้าให้สร้อยทองอาย้งเป็นรางวัล  ซ้ออั๊วก็บ่นว่าม้าลำเอียงรักหลานนอกมากกว่าหลานใน  แล้วรู้ไหมว่าซ้อแสนดีของอั๊วให้ของขวัญอะไรหลาน”

“อะไรจ๊ะ”  ซิ่วเฮียงถามยิ้ม ๆ รู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้ต้องการคำตอบอะไรจริงจังจากหล่อนหรอก  แค่อยากบ่นอยากระบายเท่านั้น

“ชุดนิสิตตัวนึง  คงจะหยิบเอาจากในร้านนั่นแหละ  พอม้าทำท่าไม่พอใจ  อีก็บ่นว่าสอบเข้าได้ที่

เกษตรไม่ใช่จุฬา  ไม่เห็นจะต้องตื่นเต้นดีใจอะไรเลย  อีกอย่างเรียนคณะเกษตร  จบไปจะไปทำอะไรได้เพราะบ้านเราไม่มีเรือกสวนไร่นา  อาย้งบอกว่าคณะเกษตรจริงแต่เรียนสาขาเกี่ยวกับวิทยาศาตร์ด้านอาหาร  อีก็ไม่ฟังบอกว่าทำร้านอาหารยังดีกว่าทำสวนหน่อย  อั๊วเลยบอกให้ลูกไม่ต้องพูดเปลืองน้ำลายเปล่า ๆ  ลื้อนึกว่าจะจบไหมโอ่ยแจ้”

“ดูจากนิสัยซ้อมุ่ย  น่าจะไม่จบมังจ้ะ”

“ไม่จบ”  กุ้ยเตียงพยักหน้ารับอย่างแค้นใจ  “ซ้ออั๊วยังพูดอยู่นั่นแหละว่าเสียดายเห็นเรียนเก่งที่สุดในบ้านแต่สอบได้แค่เกษตร  อั๊วงี้โมโหจนตัวสั่น  ตอบกลับอีไปว่าถึงจะแค่เกษตรแต่ก็สอบเข้ามหาวิทยาลัยรัฐได้  ถ้าลูกอีสอบเข้าได้สักคนค่อยมาคุยข่มอั๊ว  แล้วรู้ไหมซ้ออั๊วว่ายังไง  อีว่าถึงลูกอีจะสอบเข้าเรียนมหา’ลัยรัฐไม่ได้  แต่ทุกคนก็ยังรักเรียนยังเรียนต่อเอกชน  ไม่เคยคิดทิ้งการเรียนมาลอยชายเป็นคุณชายไปวัน ๆ”

เห็นท่าทางพื้นเสียจริงจังของกุ้ยเตียงแล้วซิ่วเฮียงนึกสงสารฉื่อไท่เล็กน้อย  และก็จริงตามคาดเด็กหนุ่มที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ถูกมารดาเทศนาตลอดตั้งแต่ออกจากภัตตาคารจนถึงบ้าน  แถมยังถูกหยิกพุงไปสองทีด้วย  เจ็บจนต้องร้องโอดโอยเลยทีเดียว

นอกจากฉื่อไท่และฉื่อย้งแล้ว  เด็ก ๆ คนอื่นในบ้านลานมะเกลือโดนผลกระทบกันถ้วนหน้า  เพราะกุ้ยเตียงหมายมั่นปั้นมือว่าลูก ๆ คนถัด ๆ มาทั้งของหล่อนและซิ่วเฮียงจะต้องเรียนสูง ๆ ต้องจบมหาวิทยาลัยให้ได้ทุกคน  โดยเฉพาะฉื่อกก  ลูกชายคนเล็กของหล่อนต้องเรียนหมอหรือหมอฟัน  ต้องเรียนเก่งไม่ให้ใครมาดูถูกได้  ดังนั้นนับแต่งานเลี้ยงให้ฉื่อย้งหญิงสาวจึงกวดขันเรื่องการเรียนกับลูก ๆ เป็นพิเศษ

 

ความมุ่งมั่นของกุ้ยเตียงกระตุ้นให้ซิ่วเฮียงอยากผลักดันลูก ๆ ของหล่อนเช่นกัน…โดยเฉพาะหาญ

หญิงสาวรู้จากน้องชายว่าเด็กที่เรียนหนังสือในกรุงเทพฯ ได้เปรียบในการสอบเข้ามหาวิทยาลัยมากกว่าเด็กต่างจังหวัด  หล่อนจึงอยากให้หาญย้ายมาเรียนในกรุงเทพฯ

ดังนั้นตอนพาลูกสองคนไปเยี่ยมบ้านสุพรรณครั้งถัดมา  ซิ่วเฮียงก็คุยกับเตี่ยอีกครั้งเรื่องที่จะให้หาญมาเรียนหนังสือที่กรุงเทพฯ  หลีกังอายุมากแล้ว  ความคิดเปลี่ยนแปลงไปพอสมควร  และไม่ได้ยึด

ติดกับหลานมากเท่าเดิม  เขายอมให้ซิ่วเฮียงพาลูกไปอยู่กรุงเทพฯ ด้วย

แต่คนที่บ่ายเบี่ยงไม่ยอมไปกลับเป็นตัวหาญเอง  และคราวนี้เขาไม่อยากไปจริง ๆ ไม่ใช่เล่น

ตัวอย่างทุกที

ส่วนสาเหตุเป็นเพราะหาญเคยไปพักที่บ้านต้นชมพู่เมื่อตอนปิดเทอมสองอาทิตย์  ก่อนไปเด็กชายกระตือรือร้นเต็มไปด้วยความคาดหวังว่าจะได้อยู่กับม้า  ได้เที่ยวกรุงเทพฯ ให้สนุก  ทว่าเมื่อได้ไปอยู่จริง ๆ ถึงได้รู้ว่าความฝันกับความเป็นจริงนั้นแตกต่างกันมาก  หาญได้อยู่บ้านเดียวกับม้าจริง  แต่ม้าให้เขานอนกับน้องชายสองคนด้วยหวังว่าจะให้พี่น้องสามคนสนิทกัน  แต่ฉื่อไช้กับฉื่อแชมักคุยเล่นจุ๊กจิ๊กกันสองคนไม่ค่อยสนใจเขาเท่าไหร่

ส่วนม้าก็นอนกับลูกสาวบุญธรรม  ตื่นเช้ามาก็พาฉื่อเพียวหิ้วตะกร้าไปจ่ายตลาด  กลับมาก็เตรียมอาหารเช้าให้คนสองบ้าน  รอจนทุกคนกินข้าวเรียบร้อยซิ่วเฮียงก็ดูให้คนงานในบ้านเก็บกวาดล้างจาน  ทำความสะอาดบ้าน

จบเรื่องงานในบ้าน  ถ้าเป็นวันสิ้นเดือนซิ่วเฮียงจะไปเก็บค่าเช่าบ้านที่ลานมะเกลือ  หาญตามม้าไปดูเห็นคนเช่าแต่ละคนกว่าจะควักเงินสี่สิบห้าสิบบาทจากกระเป๋าได้อย่างยากเย็น  บางรายเงินไม่พอก็ขอผัดผ่อนไปก่อน  เดินตามอยู่พักใหญ่เด็กชายที่โตมาโดยมีอากงอาม่าประคบประหงมไม่เคยต้องรับรู้การดิ้นรนเอาชีวิตรอดของผู้คน…รู้สึกไม่ดีเท่าไหร่  เขาไม่สบายใจที่เห็นความยากลำบากของคน  และฝังจิตฝังใจว่าอาชีพสร้างบ้านหรือหอพักให้เช่านั้นไม่ดีเท่าไหร่  ตลอดชีวิตของหาญเขาบอกชัดเจนว่าทำงานอะไรก็ได้แต่ไม่ใช่ทำบ้านให้เช่า

ส่วนในวันธรรมดา  ซิ่วเฮียงก็วุ่นวายกับการเย็บเสื้อผ้าให้หาญและน้อง ๆ จากนั้นก็เย็บดอกไม้ผ้าส่งร้าน  กลางวันทำอาหารให้เด็ก ๆ ในบ้านที่อยู่ในช่วงปิดเทอม  ช่วงบ่ายก็มีเรื่องให้ทำสารพัดบางทีถ้าคนที่ร้านขาดซิ่วเฮียงก็ต้องไปช่วยที่ร้านอึ้งซุ้ยหลี  ตกเย็นซิ่วเฮียงก็เข้าครัวอีก  หล่อนบอกกับลูกชายคนโตว่า

“งานที่ยุ่งที่สุดคืองานในครัวนี่แหละ”

หาญเห็นด้วย  ม้าของเขายุ่งจริง ๆ  ดังนั้นเรื่องจะเที่ยวกรุงเทพฯ ให้ฉ่ำปอดอย่างที่นึกหวังนั้นเป็นไปไม่ได้เลย  นอกจากสองสามวันที่ม้าพอมีเวลาเลยพาเขาไปไหว้พระ  ไปเที่ยววัง  ไปสวนสัตว์เขาดิน…รายการหลังนี่เด็กชายที่ใกล้จะทำบัตรประชาชนได้แล้วอยากจะบอกกับม้าว่า  เขาไม่ใช่เด็กแล้ว  ไม่ได้อยากไปดูเสือ  หมี ฮิปโปเหมือนเมื่อเจ็ดแปดปีก่อนแล้ว…

การ ‘เที่ยว’ อย่างเดียวที่หาญชอบในการลงมากรุงเทพฯ ครั้งนี้คือบ้านม้าอยู่ใกล้สยามมาก  นั่งรถเมล์จากป้ายหน้าวัดไปสยามทอดเดียวค่ารถ 75 สตางค์  แต่ถ้าวันไหนเสียดายเงินและอยากเดินเขาก็เดินเล่นไปเรื่อย ๆ ได้

สยามมีร้านอาหารดี ๆ หรูหราหลายร้าน  มีร้านสุกี้ใหญ่โตตรงถนนอังรีดูนังต์ติดกับคณะทันตแพทย์ที่เส่งเคยเรียน  หยี่แจ้ของม้าเคยพาเด็กทั้งบ้านรวมถึงเขามากินที่นี่ครั้งหนึ่ง  หาญตื่นตาตื่นใจมาก  เขาไม่เคยกินสุกี้แบบนี้มาก่อน  ไม่เคยเห็นถาดสีแดงใส่วัตถุดิบตั้งซ้อนกันเป็นชั้น ๆ น้ำจิ้มถ้วยเล็กแยกไว้ไม่ได้เทรวมลงในชาม  ยังหม้อไฟที่ต้องใช้ตะกร้ออันเล็ก ๆ ลวกของอีก

คนไม่คุ้นเคยเจอข้าวของเต็มโต้ะเต็มหน้ามือไม้ย่อมเงอะงะเป็นธรรมดา  เริ่มกินได้ไม่เท่าไหร่หาญก็เผลอชนถาดแดงล้ม ชนถ้วยน้ำจิ้มหกรดผ้าปูโต๊ะ  พวกผู้ใหญ่เอ็นดูบอกว่าเปลี่ยนถ้วยใหม่ไม่เป็นไร  แต่พวกน้อง ๆ หัวเราะกันคิกคัก

หาญอายก่อนเปลี่ยนเป็นโกรธ  รู้สึกว่าเด็กคนอื่นหัวเราะเยาะที่เขาเป็นเด็กบ้านนอก  ทำอะไรก็เซ่อซ่าน่าขายหน้า  ยิ่งคิดหาญยิ่งน้อยใจแค้นใจ  รู้สึกตัวเองเป็นคนนอกไม่ใช่คนในครอบครัวนี้  เด็กชายที่กำลังจะเป็นเด็กหนุ่มรู้สึกหดหู่จนฝืดคอกินอะไรไม่ลง  ภายหลังนึกอยากกินอยากจะลิ้มรสอีกสักครั้งแต่ไม่กล้าเข้าร้านแล้ว  กลัวเงินในกระเป๋าไม่พอคนอื่นจะดูถูกกลัวด้วยว่าจะซุ่มซ่ามทำอะไรตกหล่นอีก  เลยได้แต่เดินวน ๆ อยู่ด้านนอก  กระทั่งถึงเวลาที่ต้องกลับสุพรรณเขาก็ยังไม่ได้กินสุกี้อีก

นอกจากร้านอาหารที่น่าสนใจแล้ว  สยามยังมีร้านเสื้อผ้า  ร้านทำผมรวมถึงโรงเรียนสอนทำผมที่ให้คนทั่วไปเข้าไปรับบริการสระผมตัดผมฟรีจากนักเรียนได้  แต่ที่หาญชอบที่สุดเห็นจะเป็นร้านหนังสือสองสามร้านที่เปิดโดยสำนักพิมพ์ชั้นนำในตอนนั้น  เด็กชายที่ติดนิสัยรักการอ่านจากเส่งและซิ่วเซียงชอบเข้าไปหมกตัวในร้านนาน ๆ ทั้งได้ตากแอร์เย็น ๆ ได้เปิดอ่านหนังสือหลากหลายชนิดจนเย็นแล้วค่อยกลับบ้านต้นชมพู่

ซิ่วเฮียงถามเหมือนกันว่าวัน ๆ หาญไปไหนมาบ้าง  พอรู้ว่าเขาเข้าไปดูหนังสือตามร้านหนังสือเป็นส่วนใหญ่  หญิงสาวก็ดีใจ  ส่งเงินให้ลูกชายคนโตครั้งละห้าสิบบาทบ้างร้อยบาทบ้างไว้ติดตัวไปซื้อหนังสือ

จากนั้นหล่อนก็กลับไปวุ่นวายกับงานมากมายตรงหน้าต่อ

หาญรับเงินมาด้วยความรู้สึกหดหู่  เงินน่ะชอบอยู่  แต่เขายังอยากให้ม้าไปช่วยดูช่วยเลือกหนังสือให้  ไม่ใช่ส่งเงินให้แล้วก็จบกันแบบนี้…

เด็กชายอยู่บ้านม้าที่กรุงเทพฯ ครบสองอาทิตย์  เซียมลั้งก็มารับหลานชายกลับบ้าน  ระหว่างทางก็ถามไถ่ว่า

“มาอยู่กับม้าลื้อสนุกไหมอาหั่ง”

“อยู่บ้านกับอากงอาม่าดีกว่า”  หาญตอบได้ทันที

อยู่บ้านดีกว่า…อยู่บ้านเป็นราชา  เป็นเด็กคนเดียวที่ทุกคนในบ้านเอาใจ  ปลาหนึ่งตัวบนโต๊ะ…ส่วนที่อร่อยที่สุดดีที่สุดต้องให้อาหั่งกิน  อากงซื้อของมาหลายชิ้นสำหรับลูกและหลาน…แต่หลานเป็นคนเลือกก่อน  แถมถ้าหลานต้องการมากกว่าหนึ่งชิ้น  ทั้งเส่งและซิ่วเซียงก็จะยกของในมือพวกเขาให้หลานชายคนโปรดทันที

แต่ตอนที่อยู่บ้านต้นชมพู่  ราชาของบ้านคือฉื่อแช

ทว่าตอนไปกินข้าวหรือไปเล่นที่บ้านลานมะเกลือ  ราชาของบ้านเปลี่ยนเป็นฉื่อกก

หาญเข้าใจดีว่านี่คือเรื่องปกติของบ้านที่มีโซ้ยตี๋  ลูกชายคนโตได้รับความเกรงใจลูกชายคนเล็กได้รับการตามใจ  แต่การเข้าใจได้ ไม่ได้หมายความว่าจะยอมรับได้  เด็กชายยังอยากเป็นที่หนึ่งของบ้าน  เป็นศูนย์รวมความรักใคร่และการตามใจ  ไม่ได้อยากมาเป็นที่สองหรือที่สามหรือที่สี่ตามใครที่นี่

ดังนั้นเมื่อซิ่วเฮียงถามเขาเรื่องมาเรียนมัธยมปลายที่กรุงเทพฯ เพื่อเอาวิชาความรู้ไว้เตรียมสอบคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัย  เด็กชายจึงส่ายหน้าไม่ยอมไป  เขาว่า

“วิชาการที่โรงเรียนไม่เลวหรอกม้า  มีรุ่นพี่สอบเข้ามหา’ลัยดี ๆ ได้ตั้งหลายคน  ถ้าขยันหน่อยทางนี้ก็ไม่ด้อยกว่าโรงเรียนกรุงเทพฯ หรอก  อีกอย่างสุขภาพอากงไม่ค่อยดี  หั่งอยากอยู่เป็นเพื่อนอากงกับอาม่าก่อน  ไว้กู๋เส่งย้ายมาทำงานแถวนี้ได้หั่งค่อยไป”

หลีกังฟังหลานชายคนโปรดพูดแล้วน้ำตาซึม  ปลื้มใจที่รักหลานชายคนนี้สุดจิตสุดใจ  เขาเลยค่อนม้าของหลานชายไปหลายคำ  โทษฐานที่จะแย่งหลานไปกรุงเทพฯ อยู่เรื่อย

ซิ่วเฮียงได้แต่กลับบ้านมือเปล่าเช่นเคย  หญิงสาวไม่เคยเข้าใจว่าทำไมความพยายามที่จะอยู่กับลูกชายคนโตถึงได้ล้มเหลวตลอด

 



Don`t copy text!