
แก่นไม้หอม บทที่ 37 : พิราบขาว
โดย : กิ่งฉัตร
แก่นไม้หอม นวนิยายออนไลน์ โดย กิ่งฉัตร ที่อ่านเอาอยากให้คุณได้อ่านออนไลน์ กับเรื่องราวที่จะทำให้คุณได้รู้ว่าผู้หญิงเป็นเมียและแม่ไม่ต่างจากแก่นไม้ที่แข็งแกร่ง มั่นคงและทรหดที่ยึดให้ใบได้แผ่กว้าง และหากโลกนี้เชื่อว่าผู้ชายเป็นใหญ่ แต่จริงๆ แล้วทุกสรรพสิ่งในธรรมชาติล้วนเป็นหยินที่โอบหยางทั้งสิ้น
ในช่วงที่ฉื่อย้งหรือสุภัทราเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยนั้นการเมืองไทยที่คุกรุ่นมานานเริ่มปะทุอย่างหนัก สองแม่ที่มัวแต่ทำมาหากินตามข่าวสารบ้านเมืองอยู่บ้างแต่ไม่ได้ตามติดแบบใจจดใจจ่อ และทั้งคู่ไม่เคยห่วงฉื่อย้งเลยเพราะอาย้งนั้นเป็นเด็กดีมาตั้งแต่เล็ก ขยันขันแข็ง รักเรียนมีความรับผิดชอบ ไม่เคยออกนอกลู่นอกทาง เป็นเด็กที่ผู้ใหญ่วางใจเชื่อถือได้ ดังนั้นเมื่อฉื่อย้งบอกว่ากลับดึกเพราะทำกิจกรรมที่มหา’ลัยบ้าง ไปออกค่ายอาสาต่างจังหวัดบ้าง กุ้ยเตียงก็ไม่ซักไม่ถามอะไร เชื่อใจลูกสาวคนโตเต็มที่
กระทั่งฉื่อไท่ที่มีเพื่อนเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัยหลายคนมาบอกว่า
“ม้า รู้ป่ะว่าอาย้งมันไปเข้าร่วมชุมนุมเรียกร้อง ไม่ยอมให้ผู้นำเผด็จการกลับมา มันไปนำเขาขนาดขึ้นเวทีปราศรัยกับร้องเพลงปลุกใจเพื่อน ๆ เลยนะ”
“ไฮ้ ลื้อพูดจริงหรืออาไท่ ไม่ใช่หลอกม้าเล่นนา” กุ้ยเตียงตกใจจนหน้าขาว แม้จะไม่ได้ติดตามข่าวสารใกล้ชิด แต่หญิงสาวยังพอรู้บ้างว่าขึ้นเวทีปราศรัยคืออะไร ร้องเพลงปลุกใจของนักศึกษาคืออะไร พวกเจ้าของร้านในสะพานหันก็พูดถึงเรื่องนี้กันตลอด คุยกันว่ามีชาวนากับนักศึกษากี่คนถูกตำรวจจับ วิทยุหลายคลื่นสถานีพากันเปิดเพลงปลุกใจ แม้ในสองสามปีที่ผ่านกุ้ยเตียงจะเรียนรู้ภาษาไทยมากขึ้นแต่หล่อนยังไม่สามารถเข้าใจเนื้อเพลงได้หมด คนในร้านต้องช่วยอธิบายให้ว่าเป็นเพลงต่อต้านพวก ‘ซ้าย’ ต่อต้านคอมมิวนิสต์
กุ้ยเตียงไม่รู้ว่าคอมมิวนิสต์เป็นอย่างไร รู้แต่ว่ารัฐบาลไม่ชอบคอมมิวนิสต์
พวกนิสิตนักศึกษาออกมาประท้วงไม่เอาเผด็จการ ประท้วงการใช้ความรุนแรง แต่ทางการบอกว่านักศึกษาเป็นพวกหัวเอียงซ้าย หวังจะล้มล้างสถาบันหลักและเปลี่ยนประเทศให้เป็นคอมมิวนิสต์
หญิงสาวไม่รู้จะเชื่อฝ่ายไหน สุดท้ายจึงตัดสินใจไม่สนใจทั้งสองฝ่าย ตั้งหน้าตั้งตาทำมาหากินไป ดังนั้นพอมารู้ว่าลูกสาวคนโตที่แสนจะเอาการเอางานเป็นพวก ‘หัวเอียงซ้าย’ หญิงสาวตระหนกจนหัวใจเต้นผิดจังหวะเลยทีเดียว
“เรื่องแบบนี้ล้อเล่นได้ไงม้า เพื่อนอั๊วบอกมาตั้งหลายคน พูดตรงกันหมดว่าอาย้งพูดเก่ง คนปรบมือตะโกนให้กำลังใจกันเกรียว แต่เพื่อนมันเตือนว่าให้ระวังสันติบาลด้วย อาย้งอาจจะถูกหมายหัว”
“ตายแล้ว” คนเป็นแม่ตบอกอย่างตระหนก ก่อนเอ็ดลูกชายเสียงเขียวว่า “ทำไมลื้อไม่เตือนน้อง ไม่ดุย้งมัน”
“อั๊วเตือนได้ที่ไหนล่ะม้า ย้งมันไม่ฟังอั๊วหรอก” ฉื่อไท่ทำคอย่น ในบ้านนี้นอกจากเตี่ยแล้วคน
เดียวที่เขากลัว…เอ๊ย…เกรงใจคือน้องสาวที่ห่างกันปีเดียวคนนี้แหละ ไม่รู้ทำไมเมื่อก่อนตอนเด็ก ๆ เขาเป็นฝ่ายกลั่นแกล้งน้องสาวเสมอ แต่พอโตฉื่อย้งกลับเป็นฝ่ายเหนือกว่า แบบ…ม้าไม่เคยตีเขาสักแปะ แต่อาย้งไม่พูดไม่จาก็ลงมือทันที เมื่อก่อนม้าเข้าข้างเขาดุฉื่อย้งว่า…ลื้อเป็นน้องทำแบบนี้กับพี่ได้ไง แต่ไม่กี่ปีหลังมานี่ เวลามีเรื่องลงไม้ลงมือกันม้ากลับดุเขาว่า…ทำไมลื้อไม่เชื่อน้อง อย่ารังแกน้องนะอาไท่
แล้วมาตอนนี้ม้าจะให้เขาตักเตือนน้อง อาย้งมีหรือจะฟังเขา ดีไม่ดีอาจจะด่าที่เขาเปิดเปิงก็ได้ เพราะแค่เขาไม่สนใจเรื่องบ้านเมือง ฉื่อย้งก็ด่าแล้วว่าเขาไม่รักชาติ ไม่รักประชาธิปไตย ปล่อยให้เผด็จการครอบงำ ไม่สนใจความทุกข์ยากของประชาชน นี่ถ้าเขาออกปากเตือน น้องสาวคนเก่งของเขาคงด่าซ้ำสองซ้ำสามอย่างแน่นอน
ไม่เอาล่ะ ขี้เกียจหาเรื่องร้อนหู ฉื่อไท่บอกไปว่า
“ม้าเตือนย้งเองเหอะ อั๊วพูดไปย้งมันไม่ฟังหรอก”
กุ้ยเตียงกลับบ้านด้วยความร้อนใจ พอเข้าบ้านได้ก็กวักมือเรียกโอ่ยแจ้คู่หูไปปิดประตูห้องซักถาม
“อาย้งกลับมาหรือยัง”
“ยังจ้ะ เห็นว่าวันนี้มีกิจกรรมที่มหา’ลัย กลับดึกหน่อย”
“กิจกรรมอะไรกัน เฮ้อ…อาเฮียงลื้อเคยสังเกตไหมว่าอาย้งมีอะไรแปลก ๆ ไปไหม กลับถึงบ้านแล้วอีทำอะไรบ้าง”
“นอกจากกลับบ้านดึกหน่อย อย่างอื่นก็ปกตินะจ๊ะ กินข้าวทำอะไรเสร็จก็สอนการบ้านให้อาไช้อาฮวง อ้อ…อาย้งยังสอนน้อง ๆ ร้องเพลงด้วย”
“ไอ๊หย่า สอนร้องเพลงด้วย เพลงอะไรกัน”
“อาย้งบอกว่าเพลงของพวกนักศึกษาตอนออกค่ายจ้ะ มีหลายเพลงเลย…” ซิ่วเฮียงได้ยินเด็ก ๆ ร้องเพลงกันมาหลายรอบจนสามารถร้องตามได้ หญิงสาวเลยร้องท่อนสั้น ๆ ให้กุ้ยเตียงฟังสองสามเพลง ก่อนแปลความหมายเป็นภาษาจีน มีทั้งเพลงดอกไม้ เพลงเกี่ยวกับนกพิราบขาว และอีกหลายเพลงที่ต้องการสื่อถึงการร่วมแรงร่วมใจระหว่างนักศึกษากับกรรมกรและชาวนา เพลงปลุกศรัทธาสร้างความหวังและเตือนนักศึกษาให้ทำงานเพื่อประชาชน
ซิ่วเฮียงนั้นไม่เคยคิดอะไรมาก กระทั่งเริ่มร้องเพลงเองถึงได้แปลความหมายของเนื้อหาได้และตกใจจนตาโต
“หยะ…หยี่แจ้ เพลงที่อาย้งร้องนี่…นี่…”
กุ้ยเตียงเล่าเรื่องที่ฉื่อไท่บอกให้ซิ่วเฮียงฟัง หญิงสาวนั่งเหมือนไร้เรี่ยวแรงบนเก้าอี้ทำงาน เอ่ยอย่างรู้สึกผิดว่า
“อั๊วนี่แย่มากเลยใช่ไหม ลูกเต้าทำอะไรไม่เคยรู้เรื่องอะไรกับเขาเลย ตอนฟังข่าวยังคิดแต่ว่าดีนะที่อาย้งเป็นเด็กเรียนไม่สนใจอะไรแบบนี้ ที่ไหนได้…ลูกทำอะไรลับหลัง อั๊วไม่เคยรู้เลย”
“โทษหยี่แจ้ไม่ได้หรอกจ๊ะ หยี่แจ้งานยุ่งมาก” เมื่อไม่มีโรงงานของตัวเองคอยป้อนสินค้า ไม่มีคนช่วยจัดการสั่งสินค้าจากจีนมาขาย แต่รายการที่ต้องจ่ายกลับมีแต่เพิ่มขึ้น กุ้ยเตียงจึงต้องทำงานหนักขึ้น ตื่นเช้ากลับเย็นจวนค่ำ กลับมาก็ต้องใช้เวลากับฉื่อกก กอดรัดฟัดเหวี่ยงหอมแก้มซ้ายขวาซักถามว่าวันนี้ทำอะไรบ้าง ฟังลูกคนเล็กเล่าให้ชื่นใจก่อนกินข้าว กินแล้วก็เข้าห้องทำงานเล็กนั่งทำบัญชี ดูทั้งบัญชีร้านและบัญชีของบ้าน
เวลาตอนนี้ถ้าลูกคนไหนอยากคุยอยากปรึกษา มีเอกสารจากโรงเรียนให้เซ็นรับทราบหรืออยากเบิกค่าใช้จ่ายอะไรพิเศษก็จะเข้ามาคุยมาขอ แต่ฉื่อย้งไม่เคยเข้ามารบกวนอะไรม้าเลย ไม่เคยมาขอเงินพิเศษ ไม่เคยมีปัญหาอะไรที่ต้องแจ้งให้ผู้ปกครองรับรู้ กุ้ยเตียงเองก็วางใจในตัวลูกสาวคนโตมาก ดังนั้นเรื่องที่หล่อนไม่รู้เรื่องความเคลื่อนไหวของฉื่อย้งเลยจึงไม่แปลกอะไร
“แล้วนี่เราจะทำยังไงดี อั๊วห้ามอีเลยไหมว่าไม่ให้ไปชุมนุมอีก ถ้าไม่เชื่ออั๊วจะตีให้ตาย”
“อย่าเชียวนะจ๊ะ อาย้งหัวแข็งจะตาย หยี่แจ้ยิ่งห้ามจะเหมือนยิ่งยุ เฮียงว่าค่อย ๆ คุยบอกว่าเราเป็นห่วงไม่สบายใจ ขอให้อาย้งอยู่กับบ้าน…”
“ยังกะอีจะยอมฟังเรางั้นแหละ เฮ้อมีลูกโง่ก็อ่อนใจ ลูกฉลาดไปก็ดึงรั้งไว้ไม่อยู่ นี่ถ้าอาส่วงยังอยู่ก็คงดีหรอก อาย้งเชื่อเตี่ยอีที่สุด คนอื่นพูดไปก็ไม่ฟัง”
“ฟังสิจ้ะ ถ้าหยี่แจ้พูดดี ๆ มีเหตุผล อาย้งต้องฟังม้าแน่”
แต่เอาเข้าจริง ๆ ฉื่อย้งไม่ได้กลับบ้านคืนนั้น ยังดีที่หญิงสาวยังโทรศัพท์กลับบ้าน บอกสั้น ๆ ว่า
“คืนนี้ไม่กลับนะม้า อั๊วจะค้างทำกิจกรรมที่มหา’ลัย เดี๋ยวพรุ่งนี้สาย ๆ อั๊วค่อยกลับ”
กุ้ยเตียงอ้าปาก แต่ยังไม่ทันพูดอะไรสักคำลูกสาวตัวดีก็วางหูโทรศัพท์ไปแล้ว
คืนนั้นคนเป็นแม่กระวนกระวาย อยากจะไปตามลูกสาวที่มหาวิทยาลัยเหมือนกัน ฉื่อย้งคงไม่อยู่ที่มหาวิทยาลัยเกษตรแต่น่าจะไปร่วมชุมนุมที่ธรรมศาสตร์ แต่พอแต่งตัวเสร็จเรียบร้อย ฉื่อไท่ที่เพิ่งแยกจากการไปเที่ยวเล่นกับเพื่อนฝูงมารีบห้าม
“ม้า ไปไหวหรือที่นั่นมีแต่คน พวกนักศึกษาปักหลักประท้วงกันแถมมีดนตรีมาเล่นด้วย ม้าไม่มีทางหาอาย้งเจอหรอก อั๊วว่าใจเย็นรออยู่กับบ้านก่อน เดี๋ยวสาย ๆ อาย้งก็กลับมาเองแหละ อย่างน้อยก็ต้องกลับมาอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ย้งมันรักษาความสะอาดจะตาย ไม่มีทางใส่เสื้อผ้าค้างวันค้างคืนได้นานหรอก”
แม้จะกังวลเรื่องลูกสาวคนโต แต่คำพูดของลูกชายคนโตก็มีเหตุผล กุ้ยเตียงจึงยอมรออยู่ที่บ้าน หญิงสาวนอนไม่หลับทั้งคืน เอาแต่คิดว่าจะแก้ปัญหาเรื่องฉื่อย้งอย่างไรดี เช้าขึ้นมาหล่อนตัดสินใจไม่ไปร้านแต่นั่งเฝ้ารอฉื่อย้งอยู่ที่บ้าน
ฉื่อย้งยังไม่กลับบ้านแต่มีชายหนุ่มแวะมาหา ‘คุณแม่ของย้ง’ ที่บ้านลานมะเกลือแทน แขกที่มาเป็นชายหนุ่มหน้าตาดีรูปร่างสันทัดผิวสองสีตัดผมเกรียนแบบนักเรียนทหารหรือนักเรียนตำรวจ เขายกมือไหว้ทั้งกุ้ยเตียงและซิ่วเฮียงแนะนำตัวอย่างสุภาพว่าเป็นเพื่อนของย้ง บ้านอยู่ถัดไปจากบ้านลานมะเกลือไปหนึ่งซอย
“คุณน้าอาจจะจำไม่ได้แต่สมัยเด็กผมเคยมาที่บ้านหลังนี้สองสามครั้ง”
กุ้ยเตียงที่สองสามปีมานี้ฟังและพูดภาษาไทยได้ดีมากขึ้นพยักหน้ารับทันที หล่อนจำเด็กคนนี้ตอนมาเล่นที่บ้านไม่ได้หรอก แต่จำแม่นว่าสมัยนั้นบ้านเพื่อนของอาย้งมีโทรทัศน์เครื่องใหญ่ อาย้งไปดูโทรทัศน์บ้านเพื่อน กลับมาถูกรถในลานวัดเฉี่ยวล้ม อาส่วงเลยซื้อโทรทัศน์เครื่องใหญ่มาให้ลูก ๆ ดู จะได้ไม่ต้องเสี่ยงวิ่งไปดูหนังดูละครบ้านเพื่อนอีก
“จำได้ ๆ ลูกชายคนเล็กบ้านพระยาใช่ไหม” กุ้ยเตียงพูด บ้านของชายหนุ่มตรงหน้านอกจากจะใหญ่โตกว้างขวางมาก ด้านหน้าติดป้ายชื่อบ้านพระยาอะไรสักอย่าง…คนแถวนี้ที่ส่วนใหญ่เป็นคนจีนอ่านภาษาไทยยาว ๆ ตัวอักษรยาก ๆ ไม่ออก เลยเรียกติดปากกันแต่ว่าบ้านพระยา ๆ แต่จะพระยาอะไรนั้นไม่มีใครจำได้
“ครับ”
“มาหาอาย้งใช่ไหม อาย้งไม่อยู่บ้าน ไปเรียนหนังสือ” ม้าของอาย้งบอกหน้าตาเฉย แม้จะไม่ได้รู้จักมักจี่เพื่อนลูกสาวคนนี้เท่าไหร่นัก จำได้แค่ว่าชื่อสงค์เป็นลูกชายคนเล็กของบ้านนั้น และจำได้ว่าอาย้งเล่าว่าบ้านนั้นรับราชการทั้งบ้าน เป็นทั้งทหารและตำรวจสืบต่อกันมาหลายรุ่นแล้ว ดังนั้นประสาวัวสันหลังหวะ กลัวอีกฝ่ายจะเป็นคนของรัฐบาลมาจับกุมตัวลูกสาว กุ้ยเตียงจึงย้ำว่าอาย้งไปเรียนหนังสือไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับการชุมนุมอะไรนั่นเลย ในขณะที่ซิ่วเฮียงที่ฟังอยู่ข้าง ๆ ก็พยักหน้ารัว ๆ ยืนยันคำพูดของหยี่แจ้หล่อน
ประสงค์ยิ้มอย่างสุภาพ เห็นท่าทางหวั่นวิตกของคุณน้าสองคนตรงหน้าก็พอเดาเรื่องราวได้ แต่เขาไม่เปิดโปงอะไร แค่บอกว่า
“ช่วงวันสองวันนี้คุณน้าห้ามย้งหน่อยนะครับ ทางที่ดีอย่าให้ออกจากบ้านดีที่สุด ผมเป็นห่วงย้ง แต่รู้ว่าเตือนเขาคงไม่ฟัง คงต้องให้คุณน้าช่วยจัดการ สองสามวันไม่ควรไปพื้นที่เสี่ยง ผมได้ข่าวว่าจะเอาจริงแล้ว ยังไงก็ห้ามไว้ให้ได้นะครับ”
ชายหนุ่มแวะมาส่งข่าวสั้น ๆ บอกเล่าคลุมเคลือแต่ก็ชัดเจนในความรู้สึกของสองแม่
เมื่อแขกขอตัวกลับไปแล้วกุ้ยเตียงกับซิ่วเฮียงสบตากันด้วยความหนักใจ
“เอายังไงดีจ๊ะ เราออกไปตามอาย้งกันไหมจ๊ะหยี่แจ้” ซิ่วเฮียงเสนอ
“ไม่ต้อง ออกไปใช่ว่าจะเจอ อาไท่พูดถูกอาย้งต้องกลับบ้านมาอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า เราออกไปตอนนี้อาจจะสวนกัน รอก่อนดีกว่า” คนเป็นแม่ตัดสินใจ
หญิงสาวทั้งสองรออยู่จนบ่ายฉื่อย้งถึงกลับบ้านในสภาพอิดโรย ดวงตาแดงเพราะอดนอน แต่ถึงจะอ่อนล้าเพียงใด เด็กสาวยังเฉลียวฉลาดและหวาดระแวงพอที่จะผิดสังเกตได้ทันที
“ทำไมวันนี้ม้าไม่อยู่ที่ร้าน”
กุ้ยเตียงฝืนยิ้ม ห้ามลิ้นตัวเองไม่ให้ย้อนถามกลับไปว่า…แล้วทำไมลื้อไม่อยู่ที่มหาวิทยาลัยของลื้อล่ะ…
นอกจากจะไม่ถามกลับแล้วหญิงสาวยังส่งสัญญาณไม่ให้ซิ่วเฮียงเอ่ยอะไรอีกด้วย
“ม้ากลับมาเอาของที่บ้าน” กุ้ยเตียงตอบลูกสาวก่อนถามเรียบ ๆ ว่า “แล้วกิจกรรมอะไรของลื้อกันแน่ถึงต้องทำกันข้ามวันข้ามคืน บ้านช่องไม่ยอมกลับแบบนี้”
ฉื่อย้งหลุบตาลงอย่างรู้สึกผิด แต่ยังตอบเลี่ยงไปว่า
“กิจกรรมออกค่ายน่ะม้า จัดเร่งด่วนเลยต้องโหมงานวางแผนกันหนักหน่อย”
“วางแผนกันเสร็จแล้วใช่ไหม” กุ้ยเตียงถามเสียงเย็น
“โอ๊ย ไม่เสร็จง่าย ๆ หรอกม้า งานใหญ่ต้องใช้เวลา นี่อั๊วแค่กลับมาอาบน้ำกินข้าวแล้วเดี๋ยวจะต้องออกไปอีก”
“จะออกไปอีกหรือ”
“ต้องไปม้า งานนี้สำคัญ นักศึกษาทุกคนต้องช่วยกัน”
ซิ่วเฮียงขยับจะพูดขัดแต่งกุ้ยเตียงขึงตาห้ามไว้ ปากก็เอ่ยกับลูกสาวว่า
“งั้นรีบไปกินข้าวแล้วค่อยไปอาบน้ำ เฮียงแจ้ของลื้อเก็บกับข้าวไว้ให้ลื้อตั้งแต่เที่ยง ของชอบลื้อทั้งนั้น”
ฉื่อย้งที่เครียดเกร็งมาตั้งแต่ก้าวเท้าเข้าบ้านยิ้มออกมาได้ แต่หล่อนยังไม่กล้าพอจะยืนโกหกต่อหน้าม้าได้นาน ๆ จึงรีบร้อนเข้าไปที่ห้องอาหาร ตักข้าวตักกับข้าวสองสามอย่างที่อยู่ในฝาชีครอบวางไว้ขอบ ๆ จานก่อนตักเข้าปากอย่างหิวโหย
อิ่มแล้วก็รีบขึ้นห้องนอนหยิบเสื้อผ้าชุดใหม่แล้วตรงเข้าห้องน้ำ หล่อนอาบน้ำสระผมอย่างรวดเร็ว ตักน้ำจากโอ่งขึ้นรดศีรษะซู่ ๆ เสียงดังจนไม่ได้ยินเสียงนอกห้องน้ำ มารู้ตัวอีกทีหล่อนก็ออกจากห้องน้ำไม่ได้แล้ว
ฉื่อย้งทุบประตูโครม ๆ อย่างตื่นตระหนก
“ใครอยู่ข้างนอก เปิดประตู นี่ไม่ตลกเลยนะเปิดประตู ม้า…ม้า…ย้งขอโทษ ม้าเปิดประตูเถอะนะ” เด็กสาวเป็นคนฉลาดพอรู้ว่าประตูถูกล็อคสายยูจากด้านนอก หล่อนก็รู้แล้วว่าม้ารู้เรื่องการชุมนุมแล้ว ฉื่อย้งจึงเปลี่ยนความโกรธเป็นการอ้อนวอนแทน “ม้า ปล่อยย้งไปเถอะนะ ย้งต้องไปจริง ๆ ม้าเข้าใจย้งด้วยเถอะนะม้า ย้งทำเพื่อชาติบ้านเมือง ทำเพื่ออนาคตของทุกคนนะม้า เราจะปล่อยให้เมืองไทยเป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้ ปล่อยให้พวกโกงกินบริหารบ้านเมืองต่อไม่ได้อีกแล้ว เราต้องลุกขึ้นสู้กับเผด็จการ ม้า…ม้า…”
กุ้ยเตียงไม่สนใจเสียงอ้อนวอนของลูกสาวคนโต หญิงสาวหันไปบอกซิ่วเฮียงและคนงานในบ้านว่า
“ห้ามปล่อยอาย้งออกจากห้องน้ำเด็ดขาด ใครจะใช้ห้องน้ำ ให้ใช้ห้องข้างล่างหรือไม่ก็ไปที่บ้านเฮียงแจ้ ถ้าพวกอาฮวงอาเพียวกลับจากโรงเรียนบอกด้วยว่าอย่ายุ่งกับห้องน้ำห้องนี้”
“ม้า…ม้า…ปล่อยย้งเถอะม้า…”
กุ้ยเตียงไม่สนใจ หล่อนไล่พวกคนงานที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องให้ลงไปข้างล่าง ก่อนหันมาสั่งซิ่วเฮียงว่า
“เดี๋ยวอั๊วจะไปร้านทิ้งงานทิ้งการมานานแล้ว ทางนี้ฝากลื้อด้วยแล้วกัน ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นห้ามปล่อยอาย้งออกมาอย่างเด็ดขาด ถ้าเหตุการณ์ยังไม่สงบก็ให้อาย้งอยู่ในห้องน้ำไป”
“แล้ว…ถ้าเกิดเรื่องยังยื้ดเยื้อ…”
“ก็ให้อีอยู่ในนั้น ส่งข้าวให้ได้ก็ส่งส่งไม่ได้ก็ให้อีอดตายไป ให้มันอดตายในบ้านดีกว่าไปตายข้างถนน” กุ้ยเตียงบอกอย่างเด็ดขาด จากนั้นก็ออกจากบ้านไปโดยไม่สนใจเสียงตะโกนเสียงตบประตูปึงปังจากห้องน้ำ
ซิ่วเฮียงมองตามหลังอีกฝ่ายอย่างเข้าใจ คนอื่นอาจจะมองว่ากุ้ยเตียงเข้มงวดเด็ดขาด แต่จริง ๆ หยี่แจ้ของหล่อนนั้นใจอ่อนกับลูกมาก ที่ต้องรีบไปไม่ใช่ห่วงร้าน แต่ห่วงใจตัวเองว่าจะไม่แข็งพอ ได้ยินเสียงลูกร้องไห้ หัวใจแม่หลั่งน้ำตาตาม หยี่แจ้หล่อนกลัวจะใจอ่อนและลงเอยด้วยการที่ทุกคนในบ้านต้องไปชุมนุมกันหมด ดังนั้นหญิงสาวจึงต้องหนีไปให้ไกลที่สุด
ฉื่อย้งอัดอั้นตันใจจริง ๆ ห้องน้ำของบ้านถือเป็นห้องที่แข็งแรงที่สุดในบ้าน พื้นปูกระเบื้อง หน้าต่างบานเล็กติดลูกกรงเหล็กกันขโมย ตัวห้องก็สูงช่องระบายลมด้านบนเป็นซี่ลูกกรงไม้หนามีช่องไฟห่างไม่ถึงคืบ ถึงปีนขึ้นไปได้ก็ไม่มีทางลอดออกไปได้ เด็กสาวหมดหวังทุบประตูก็แล้วอ้อนวอนสารพัดก็แล้ว สุดท้ายเมื่อรู้ว่าด้านนอกไม่มีใคร หล่อนก็ลงนั่งพิงผนังห้องสองมือปาดน้ำตาด้วยความรู้สึกผิด
ม้า ม้ารู้ไหมว่าม้าขโมยความชอบธรรมของย้ง ขโมยความมุ่งมั่นตั้งใจ ขโมยอุดมการณ์ ม้าพังทุกอย่างในชีวิตย้งกับมือม้า…
ฉื่อไท่กลับมาบ้านตอนหัวค่ำ พอรู้ว่าใช้ห้องน้ำด้านบนไม่ได้เขาก็บ่นอุบ แถมยังถือโอกาสที่น้องสาวลงไม้ลงมือตอบโต้อะไรไม่ได้บ่นว่าน้องสาวว่าสร้างความยุ่งยากไปอีกหลายคำ โดยเฉพาะเรื่องอยู่ดีไม่ว่าดีวิ่งโร่ไปคว้าไมโครโฟนขึ้นเวที
ฉื่อย้งฟังแล้วรู้เลยว่าหล่อนถูกม้าจับได้เป็นเพราะใคร เด็กสาวจึงด่ากราดไม่ไว้หน้า
“ไอ้เฮียสมองกลวง พวกทรราชไม่เห็นแก่ประเทศชาติ ไม่เห็นประชาชนอยู่ในสายตา สักวันเฮียจะต้องถูกธรณีสูบ”
“โอ๊ย ในกรุงเทพฯ มีธรณีอะไรให้สูบกัน มีแต่ถนนกับตึกเท่านั้น เห็นเรียนออกเก่งทำไมเพ้อเจ้อ ม้าส่งลื้อให้ไปเรียนหนังสือ ดันไปร่วมชุมนุมอะไรไม่รู้” ฉื่อไท่ตอบกลับอย่างรำคาญแกมรู้สึกเหนือกว่า ตลอดมามีแต่เขาถูกเตี่ยกับม้าลงโทษ คราวนี้ลูกคนดีคนเก่งของเตี่ยกับม้าถูกลงโทษบ้างก็สะใจดี
“มีแต่คนโง่เท่านั้นที่ไม่รู้ มีแต่คนสันดานทรามเท่านั้นที่ไม่เห็นความทุกข์ยากของประชาชน”
“เอ๊ะอาย้ง อย่าให้มันมากไปนะ งมงายบ้าบออะไรไม่ว่า ทำไมต้องมาด่าอั๊วด้วย” ฉื่อไท่ชักไม่พอใจจริง ๆ แล้วสองพี่น้องด่ากันไปด่ากันมาข้ามผนังห้องน้ำ ร้อนถึงซิ่วเฮียงต้องมาห้ามทัพและไล่ฉื่อไท่ให้ลงไปเข้าห้องน้ำชั้นล่าง ฝ่ายนั้นเดินไปบ่นพึมพำไป คนห้ามทัพได้แต่ส่ายหน้าก่อนบ่นตามว่า
“พี่น้องรักกันดี ๆ ทำไมต้องทะเลาะกันด้วย”
“ก็เฮียโง่!” คนในห้องน้ำร้องบอก
“อาไท่โง่ลื้อก็ดื้อ พอกันเลย เฮ้อ อาย้ง…เฮียงแจ้เอาซาลาเปามาให้ ไส้หมูสับแบบที่อาย้งชอบ เดี๋ยวเฮียงแจ้ส่งให้ทางช่องข้างบนนะ อาย้งคอยรับให้ดี”
“ย้งไม่หิว ย้งไม่กิน เฮียงแจ้…เฮียงแจ้เปิดประตูให้ย้งหน่อย ย้งต้องไปธรรมศาสตร์จริง ๆ นะ เพื่อน ๆ รอย้งอยู่ เฮียงแจ้เปิดประตูเถอะ”
“เปิดได้ไง เฮียงแจ้ไม่มีกุญแจ” ซิ่วเฮียงโกหกแนบเนียน อันที่จริงกุ้ยเตียงให้ลูกกุญแจหล่อนไว้เพราะกลัวเรื่องฉุกเฉิน
“งั้นย้งไม่กิน ให้มันอดตายอยู่ในนี้แหละ” คนดื้อดึงตะโกนตอบ
กุ้ยเตียงกลับถึงบ้านตอนพระอาทิตย์ตกดินไปแล้ว ฉื่อย้งรอจนแน่ใจว่าม้ากลับมาแล้วก็เริ่มจับบทเอะอะตะโกนให้เปิดประตูให้ พอไม่ได้รับการตอบสนองหล่อนก็เตะนั่นทุบนี่เสียงดังโครมคราม พอเจ็บมือเจ็บเท้าจนทุบต่อไม่ไหว เด็กสาวก็เปลี่ยนวิธีมาร้องเพลงปลุกระดม
แต่ในบ้านไม่มีใครใส่ใจหล่อน
ฉื่อย้งตะโกนเรียกสลับกับร้องเพลงจนเสียงแหบเสียงแห้ง สุดท้ายเมื่อใกล้ฟ้าสางเสียงเพลงของเด็กสาวก็เริ่มแผ่วลง ๆ จากความอ่อนล้า แต่หล่อนก็ยังพยายามที่จะร้อง
“ถ้าหากฉันเกิดเป็นนกที่โผบิน ติดปีกบินไปให้ไกล ไกลแสนไกล จะขอเป็นนกพิราบขาว เพื่อชี้นำชาวประชาสู่เสรี*”
ฉื่อย้งไม่รู้เลยว่าเมื่อเสียงของหล่อนขาดหายไปในยามฟ้าสาง การปิดล้อมก็เริ่มต้นขึ้นตามด้วยเสียงปืนที่ดังขึ้นระลอกแล้วระลอกเล่า…
กุ้ยเตียงปล่อยลูกสาวคนโตออกจากห้องน้ำหลังจากนั้นสองวัน ฉื่อย้งที่ผมเผ้ากระเซอะกระเซิง เสื้อผ้ายับย่น ตาบวมและแดงก่ำจากการร้องไห้ต่อเนื่องยาวนานมองมารดาเหมือนมองศัตรู เอ่ยเสียงเย็นชาว่า
“สมใจม้าแล้วใช่ไหม ม้าทำให้ย้งทรยศเพื่อนฝูง ทรยศอุดมการณ์และศักดิ์ศรี ม้าไม่รักชาติไม่มีใครว่า แต่ทำไมต้องมาขวางย้งด้วย จำไว้เลยนะม้า ย้งจะไม่มีวันยกโทษให้ม้าเด็ดขาด”
ฟังคำตัดพ้อของลูกสาวแล้ว กุ้ยเตียงที่ซูบผอมลงภายในสองสามวันถึงกับเลือดขึ้นหน้า หล่อนตอบไปว่า
“ลื้อดูถูกอั๊วเกินไปแล้วนะอาย้ง ถึงอั๊วจะลูกคนจีนพูดภาษาจีนเป็นหลักแต่อั๊วก็เกิดและโตบนแผ่นดินนี้ มีหรืออั๊วจะไม่สำนึกบุญคุณแผ่นดินที่อยู่อาศัย ลื้ออาจจะมองว่าอั๊วเลว แต่อั๊วไม่เคยคิดขายชาติทรยศแผ่นดิน ถ้าอั๊วจะเลวความเลวมีอย่างเดียวคือรักลูกมากไปเท่านั้น!”
ฉื่อย้งอึ้งไปอย่างคนทำอะไรไม่ถูก ม้าของหล่อนจึงท้าต่อว่า
“เอาสิ ด่าอีกสิ ด่าเลยม้าลื้อมันไม่มีเลือดรักชาติ ไม่รู้จักบุญคุณแผ่นดิน ด่าว่าอั๊วเป็นทรราชเหมือนที่ด่าอาไท่ก็ได้ บ้านนี้ไม่มีใครดีใครเด่นเกินลื้ออยู่แล้วนี่” ท้าไปก็เดินเข้าไปใกล้
เด็กสาวอับจนหนทาง อัดอั้นตันใจไม่รู้จะตอบอย่างไร พอมารดาเดินเข้าใกล้หล่อนก็เอื้อมมือไปผลักออกเตรียมจะหลบเข้าห้องนอนตัวเองไป แต่นึกไม่ถึงว่าม้าหล่อนไม่หลบถูกผลักแบบไม่แรงแต่ไม่เบาไปทีก็เสียหลักเซแซ่ด ๆ ก่อนล้มลงกับพื้น ตาเหลือกขึ้นฟ้าหงายหลังสลบไป
ซิ่วเฮียงที่อยู่ด้วยร้องว๊ายอย่างตกใจรีบเข้าไปประคอง น้องสาวสองคนที่ยืนออกันอยู่กรีดร้องด้วยความตกใจร้องเรียกม้า ๆ ลั่น
ฉื่อย้งเองก็ตกใจไม่น้อยทรุดลงนั่งข้าง ๆ กุ้ยเตียง แต่ยังปากหนักไม่เรียกขาน ไม่แตะต้องตัวอีกฝ่าย ยังฝืนเชิดหน้าเหมือนไม่สนทำปากขมุบขมิบเหมือนจะบอกว่า สร้างเรื่องอะไรอีกล่ะ ซิ่วเฮียงเห็นเข้าโมโหจนลมออกหูตะคอกใส่เด็กสาวว่า
“ทำไมลื้อทำกับม้าลื้ออย่างนี้อาย้ง รู้ไหมว่าม้าลื้อเป็นห่วงลื้อแค่ไหน รู้หรือเปล่าว่าม้าลื้อกลับจากร้านมาก็มาเฝ้าหน้าห้องน้ำเพราะเป็นห่วงลื้อ ลื้อไม่กินข้าวม้าลื้อก็กินข้าวไม่ลงเหมือนกัน ตอนลื้อร้องไห้ม้าลื้อก็ร้องตาม แล้วลื้อทำยังไงพอออกมาได้ก็ด่าว่าม้าลื้อ ทำร้ายจนหยี่แจ้ล้มแบบนี้ ลื้อยังมีหัวใจอยู่หรือเปล่าอาย้ง”
อันที่จริงฉื่อย้งตกใจไม่น้อย รู้สึกผิดด้วยที่เห็นม้าล้มนอนอยู่กับพื้นแบบนั้น แต่ทิฐิและความแค้นใจความสิ้นหวังนั้นไม่มีทางออกยกเว้นแต่ระบายลงกับคนใกล้ตัวที่สุด หล่อนจึงเถียงว่า
“ถ้าม้าไม่ขังย้งไว้ ม้าก็ไม่ต้องเป็นแบบนี้ การต่อสู้เป็นของทุกคน ย้งทำเพื่อประเทศนี้ ทำเพื่อประชาชน ม้าไม่ควรห้ามย้ง…”
ซิ่วเฮียงฟังแล้วยิ่งโกรธ ตอบกลับไปว่า
“ลื้อยังไม่เป็นแม่คน ลื้อไม่มีวันเข้าใจหรอกว่าทำไมม้าลื้อถึงทำแบบนี้ แล้วอาย้ง…ลื้อบอกว่าทำเพื่อประเทศทำเพื่อประชาชน แล้วม้าลื้อเป็นอะไร เป็นตัวอะไร ลื้อทำทุกอย่างเพราะรักชาติรักประชาชน แต่ขนาดม้าลื้อลื้อยังไม่รัก ลื้อยังไม่เข้าใจยังชี้นิ้วด่าว่าได้ แล้วอย่างนี้ลื้อจะไปรักใครได้หา…”
กุ้ยเตียงที่ได้สติขึ้นมาเพราะทะเลาะของคนสองคนที่ว่าง่ายและเรียบร้อยที่สุดในบ้าน หญิงสาวก็ได้แต่รู้สึกปวดใจ หล่อนคว้ามือซิ่วเฮียงไว้ ประโยคแรกที่พูดคือห้ามว่า
“เฮียง…อย่าว่าอาย้ง ย้งยังเด็กไม่ผิดหรอก ไม่ผิด… อั๊วผิดเองที่เป็นห่วงย้งมากไป อั๊วผิดเอง”
ข้างกายหล่อน ฉื่อย้งเบะปากก่อนร้องไห้สะอึกสะอื้นเหมือนจะขาดใจ เด็กสาวเจ็บจนในอกร้าวระบม หัวใจเหมือนถูกผ่าออกเป็นสองส่วน เลือกไม่ถูกชี้นิ้วไม่ได้ว่าส่วนไหนถูกส่วนไหนผิดเพราะทั้งสองส่วนล้วนตัดออกจากหัวใจหล่อนทั้งสิ้น…
หลังจากนั้น…ชีวิตยังดำเนินต่อไป แม้ฉื่อย้งจะกลับมาทำตัวปกติ ไปเรียนหนังสือตามปกติ แต่ปมของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นยังคงฝังอยู่ในส่วนลึกของจิตใจไปอีกหลายสิบปี
และไม่รู้ว่าเด็กสาวไปรู้มาจากไหนว่าสาเหตุการที่หล่อนถูกม้าขังไว้ในห้องน้ำเป็นเพราะประสงค์มาเตือน ฉื่อย้งโกรธที่เขารู้ข่าวก่อนแต่ไม่มาเตือนหล่อน แม้ลึก ๆ ในใจจะรู้ว่าถึงเขามาเตือนหล่อน…หล่อนก็ไม่ฟัง แต่ในเมื่อโทษม้าไม่ได้เด็กสาวเลยโทษเพื่อนตั้งแต่วัยเยาว์คนนี้แทน
ฉื่อย้งมองเขาเป็นศัตรู เขายิ้มแย้มทักมาเด็กสาวเมินหนี เขาเรียกหล่อนทำเหมือนกับอีกฝ่ายเป็นอากาศธาตุ บางทีก็พูดจาไม่น่าฟังไปหลายคำ เพื่อนที่โตมาด้วยกันแต่เล็กจึงค่อย ๆ ห่างไป จากความสัมพันธ์ที่น่าจะต่อยอดพัฒนาไปได้ไกลกลับหดหาย
หลายปีถัดมาฉื่อย้งถึงได้ข่าวว่าเพื่อนวัยเยาว์ผู้นี้แต่งงานมีครอบครัว มีลูกสามสี่คน ภรรยาเขาเป็นหญิงสาวเชื้อสายจีนเหมือนหล่อน คล่องแคล่ว ทำงานเก่งหน้าตาสะสวยและอายุน้อยกว่าประสงค์หลายปี
ฉื่อเพียวที่ได้ฉายา ‘เจ้าหนูจำไม’ จากเพื่อนฝูงเคยถามพี่สาวว่า
“แจ้เคยเสียดายไหมอ้ะ ตอนนี้พี่สงค์เป็นนายตำรวจใหญ่ ครอบครัวเขานี่จริง ๆ จะว่าเป็นอีลีทของเมืองไทยก็ได้นะ นี่ถ้าแจ้ไม่เล่นตัวมากตอนนี้อาจจะเป็นคุณนายตำรวจนอนนับแบงค์สบายแล้ว ไม่ต้องทำงานงก ๆ”
“เสียดาย” ฉื่อย้งตอบตามตรงอย่างไม่สนใจการเย้าแหย่ของน้องสาว หล่อนยังยิ้มได้เมื่อเสริมว่า “แต่ไม่เสียใจนะ ไม่เคยคิดอยากเป็นคุณนายตำรวจ แจ้ไม่ชอบผู้ชายในเครื่องแบบ และที่เสียดายนี่เสียดายความเป็นเพื่อนมากกว่า ตอนนั้นยังเด็กคิดว่าฉลาดสุดเก่งสุดแล้ว ตัดสินอะไรได้ถูกต้องเห็นทุกอย่างมีแค่สองสี ถ้าไม่ใช่สีขาวก็ต้องเป็นสีดำ ตอนนี้ถึงรู้ว่าโลกนี้มีแต่สีเทา!”
เชิงอรรถ : *เพลง เพื่อมวลชน วงกรรมาชน คำร้องโดย กุลศักดิ์ เรืองคงเกียรติ/นพพร ยศฐา
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 44 : ฝันสลาย
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 43 : รอยร้าว
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 42 : สัญญา
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 41 : อามาลัย
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 40 : พบหน้า
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 39 : ลูกไม่มีพ่อ
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 38 : หมากฝรั่งบุหรี่
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 37 : พิราบขาว
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 36 : คนนอก
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 35 : ผู้ชนะ (ตอนที่ 2)
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 34 : ผู้ชนะ (ตอนที่ 1)
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 33 : คดในข้องอในกระดูก
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 32 : สัญญาที่ไม่เป็นธรรม?
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 31 : แม่ม่ายลูกกำพร้า
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 30 : ฟ้าถล่ม
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 29 : ลูกชายลูกชาย
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 28 : ไม่มีอะไรแน่นอน
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 27 : เด็กน้อยของซิ่วเฮียง
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 26 : สันดานคนยากจะเปลี่ยน
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 25: รถจี๊ปสีเขียว
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 24 : หวังดีเกินไป รักเกินไป
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 23 : เรื่องที่เข้ากันได้
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 22 : หยี่แจ้ โอ่ยแจ้
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 21 : แต่งงาน
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 20 : สู่ขอ
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 19 : ชีวิตไม่มีอะไรแน่นอน
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 18 : เห็นขี้ดีกว่าไส้
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 17 : กระต่ายก็กัดเป็น
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 16 : เลิกกับผัวแล้ว
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 15 : ปุ๋ยดีไม่ควรปล่อยให้ไหลลงนาผู้อื่น
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 14 : ลานมะเกลือ
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 13 : ศาลองค์แป๊ะกง
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 12 : เข้ากรุง
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 11 : ส้วมที่แตกแล้ว
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 10 : บ้าน
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 9 : หันหลังกลับ
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 8 : พยอม
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 7 : หมดสิ้น
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 6 : หาญ
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 5 : วาสนา
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 4 : ดอกไม้ผ้า
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 3 : ตุ้มหูทอง
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 2 : แม่ผัว
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 1 : ซิ่วเฮียง