แก่นไม้หอม บทที่ 41 : อามาลัย

แก่นไม้หอม บทที่ 41 : อามาลัย

โดย : กิ่งฉัตร

แก่นไม้หอม นวนิยายออนไลน์ โดย กิ่งฉัตร ที่อ่านเอาอยากให้คุณได้อ่านออนไลน์ กับเรื่องราวที่จะทำให้คุณได้รู้ว่าผู้หญิงเป็นเมียและแม่ไม่ต่างจากแก่นไม้ที่แข็งแกร่ง มั่นคงและทรหดที่ยึดให้ใบได้แผ่กว้าง และหากโลกนี้เชื่อว่าผู้ชายเป็นใหญ่ แต่จริงๆ แล้วทุกสรรพสิ่งในธรรมชาติล้วนเป็นหยินที่โอบหยางทั้งสิ้น

ซิ่วเฮียงมองสีหน้าเจ็บช้ำน้ำใจเหลือแสนของลูกชายคนโตด้วยความปวดใจไม่ต่างกัน  หญิงสาวยอมรับแต่โดยดีว่า

“เป็นความผิดม้าเอง  หั่ง…ม้าไม่ได้คิดจะแก้ตัว  แต่ตอนที่ม้าตามพนมมา…ม้าอายุแค่สิบหก  ม้าโง่  ตาบอดเห็นขี้เป็นทองเหมือนอย่างที่อากงหั่งว่าไม่มีผิด  เขามาทำดีด้วยพูดจาหวาน ๆ ม้าก็เชื่อหลงตามเขามา  นึกว่าจะมีชีวิตใหม่มีคนที่รักและอยู่ด้วยกันไปได้ตลอดชีวิต  รักและพึ่งพากันช่วยกันสร้างครอบครัวดี ๆ  แต่สุดท้ายก็เป็นแค่ความฝัน  ม้าถูกหลอก  ผู้ชายคนนั้นไม่ได้รักม้าจริง  เขารักความสุขความสะดวกสบายมากกว่ารักม้า  ม้าผิดหวังม้าเจ็บปวด  แต่หั่งรู้ไหมม้าไม่เคยเสียใจ  ไม่เคยเสียใจเลยที่วันนั้นตามผู้ชายคนนั้นมา  เพราะอะไรรู้ไหม  เพราะม้ามีหั่ง  การมีหั่งถือเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตม้าจากเรื่องนี้”

ซิ่วเฮียงจับแขนลูกชายคนโตไว้  อุ่นใจที่เขาไม่ได้สะบัดหนี  หาญแค่ทำเสียงขื่นขมในลำคอ  ย้อนกลับมาว่า

“ถึงจะดีแค่ไหนก็เกิดจากความผิดพลาดของม้า  เกิดจากความไม่ตั้งใจ…”

“ม้าตั้งใจ  ม้าอยากมีหั่งจริง ๆ  พนมเองก็รักหั่ง  แต่ความรักของเขาไม่เหมือนพ่อคนอื่นเท่านั้น  ยังมี…มีพ่อสันต์…ปู่ของหั่งก็รักหั่งมากนะ  จำพระใบมะขามที่หั่งสวมติดตัวจนห้าหกขวบได้ไหม  นั่นปู่สันต์เป็นคนให้มา  ตอนม้าพาหั่งกลับไปสุพรรณ  ปู่ของหั่งร้องไห้เสียใจเพราะรักหั่งห่วงหั่ง  ม้าผิดพลาดแต่หั่งไม่เคยเป็นความผิดพลาดของม้าหรือของใคร ๆ นะ”

หาญยังคงมีท่าทางฮึดฮัดแต่สีหน้าอ่อนลงไปมาก

“แล้วม้าจะให้หั่งทำยังไงกับ…คนบ้านนั้น”  เด็กหนุ่มยังถามแบบพาล ๆ  ลืมหมดแล้วว่าเป็นเขาที่ร้องขอให้มารดาพามาพบชายผู้ให้กำเนิดสักครั้ง

“ขึ้นอยู่กับหั่ง  ถ้าหั่งยังอยากติดต่อกับเขาม้าก็จะไม่ห้าม  อายุครบแล้วจะบวชให้แม่พิกุลม้าก็ไม่ว่า  แต่ถ้าหั่งไม่อยากข้องเกี่ยวอะไรกับเขาอีก  เราก็ไม่ต้องมาเหยียบที่นี่อีก”

“ทำแบบนั้น…คน…เขาไม่ว่าหั่งอกตัญญูหรือม้า”  หาญถามเสียงขมขื่น

“ชีวิตของหั่ง  มีแค่สองคนเท่านั้นที่หั่งต้องกตัญญูคืออากงกับอาม่า  ส่วนคนอื่น…ใครจะว่ายังไงหั่งไม่ต้องสนใจ”

“แม้แต่ม้าหั่งก็ไม่ต้องกตัญญูหรือม้า”  เด็กหนุ่มย้อนถามอย่างท้าทาย

“ไม่ต้อง”  ซิ่วเฮียงตอบได้ทันที  “การที่หั่งเป็นคนดี  เติบโตมาดี  แข็งแรง  มีชีวิตที่ดี  แถมยังรักและดูแลอากงอาม่าแทนม้า   ทั้งหมดนี่พอแล้ว  กตัญญูพอแล้ว  ม้าไม่ต้องการอะไรมากไปกว่านี้แล้ว”

“ม้า…”  เสียงของหาญอ่อนลงมาก  แต่ทว่ายังไม่ทันพูดอะไรก็มีเสียงเรียกอย่างตื่นเต้นดังมาจากถนนว่า

“พี่เฮียง  พี่เฮียงใช่หรือเปล่า”

เด็กหนุ่มตกใจนึกว่าวาสนาตามออกมาเพราะเสียงที่เรียกนั้นคล้ายกันอยู่  แต่ซิ่วเฮียงมองไปที่ต้นทางเห็นผู้หญิงคนหนึ่งโผล่หน้าออกมาเรียกอย่างตื่นเต้นก็ยิ้มกว้างจนดวงตายิบหยี  ทักกลับอย่างดีใจว่า

“ลัย  นึกว่าคุณนายที่ไหนมาลัยนี่เอง”

มาลัยหรือคุณมาลัยตอนนี้เปลี่ยนแปลงไปจากสาวน้อยลัยขี้อายขี้กลัวคนเดิมมาก  แม้ใบหน้าจะเหมือนเดิมแต่ผิวพรรณได้รับการบำรุงอย่างดีจึงเนียนละเอียดและขาวขึ้นมาก  ผิดกับเดิมที่ดำคล้ำเพราะตากแดดตากลมทะเลงมหอยจับปลาทั้งวัน  รูปร่างหล่อนก็สมส่วนขึ้นแต่งตัวดีแม้จะไม่ทันสมัยจ๋าเหมือนสาว ๆ ในกรุงเทพฯแต่ก็ถือว่าเสื้อผ้าตัดเย็บประณีตไม่ตกยุค

ที่สำคัญนอกเหนือจากการเปลี่ยนแปลงรูปกายภายนอกคือความเปลี่ยนแปลงจากภายใน  มาลัยตอนนี้มั่นอกมั่นใจในตัวเองมาก  หล่อนไม่ยอมให้อดีตพี่สะใภ้และหลานชายหนีไปไหน  รีบต้อนทั้งคู่ขึ้นรถ  พร้อมถามขึ้นว่า

“พี่เฮียงกับหลานมาเยี่ยมพี่พนมหรือ  ดูสิไม่ได้เจอกันตั้งนานหลานอาโตเป็นหนุ่มแล้ว  หล่อเหลือเกินลูกเอ๊ย…”  พูดแล้วมาลัยก็ลูบไม้ลูบมือเด็กหนุ่มสะอื้นอย่างตื้นตันใจ

หาญไม่เลี่ยงหลบเหมือนที่ทำกับวาสนาเพราะเห็นแล้วว่าอาคนนี้ต่างออกไป  อาลัยที่ม้าแนะนำว่าเป็นน้องสาวคนโตของพ่อไม่ได้มองเขาเหมือนเสือหิวมองก้อนเนื้อชิ้นโต  อาลัยมองอย่างรักใคร่ชื่นชมจริงใจ  อีกทั้งม้าก็คุยกับอาคนนี้อย่างสนิทสนมเป็นอย่างดี  ซิ่วเฮียงตอบอีกฝ่ายว่า

“ให้หาญมารู้จักไว้  แต่เข้าไปแล้วกำลังจะกลับ”

“ไม่อยากเข้าไปอีกใช่ไหม”  มาลัยบอกอย่างเข้าใจดี  ก่อนพยักหน้าให้เสริมว่า  “ไม่เป็นไรพี่  พี่เฮียงไม่ต้องรีบกลับใช่ไหมจ๊ะ  เราไปหาที่สบาย ๆ นั่งคุยกันให้หายคิดถึงกันเถอะ”

หญิงสาวสั่งคนรถให้ไปที่ร้านอาหารใหญ่ในตลาดมหาชัย  แม้จะรู้ว่าสองแม่ลูกกินข้าวกลางวันกันมาแล้ว  มาลัยก็ยังสั่งอาหารมาเต็มโต๊ะ  มีทั้งหอยจ๊อ  กรรเชียงปู  ไก่เหล้าแดง  ของกินเล่นที่เด็ก ๆ รวมถึงวัยรุ่นน่าจะชอบทั้งนั้น

ระหว่างนั้นซิ่วเฮียงก็เล่าถึงชีวิตตัวเองสั้น ๆ ก่อนตบท้ายอย่างภาคภูมิใจว่า

“ตอนนี้หาญเรียนอยู่ที่เชียงใหม่  เพิ่งเข้าปีแรก  หลานลัยคนนี้เก่งทั้งเรียนทั้งกีฬาเลยนะ”

“หล่อด้วย”  มาลัยไม่ประหยัดคำชมหลานชาย  ก่อนเอ่ยถึงลูกชายตัวเองว่า  “อามีลูกชายสองคน  โตขึ้นหวังว่าคงเรียนเก่งเหมือนหาญนะ”

“ลัยมีลูกสองคนหรือ  กี่ขวบแล้ว”

“คนโตเพิ่งจะห้าจ้ะ  คนเล็กสามขวบ  ฉันมีลูกช้า  กว่าจะแต่งกับพ่อไอ้สองหน่อนั้นได้ก็ทำงานให้บ้านเขามาเกือบสิบปีแน่ะ…”

มาลัยยิ้มแย้มท่าทางมั่นใจผิดกับมาลัยคนเดิมลิบลับ  หล่อนคะยั้นคะยอให้หลานชาย ‘กินเยอะ ๆ’ สลับกับการเล่าชีวิตของตัวเองว่า  หลังจากที่พนมถูกตีจนพิการ  สันต์หนีเสียงก่นด่าของเมียไปอยู่วัดเสียเป็นส่วนใหญ่และไม่ยอมฟังคำพูดของเมียอีก  พิกุลจึงใช้ให้ลูกสาวคนโตไปตาม ‘นังเฮียง’ กลับมาดูแลพนม

นังเฮียงฟังถึงตรงนี้แล้วหัวเราะ  บอกว่า

“แม่ของลัยนี่คิดได้นะ  นึกว่าต่อให้ลัยเจอพี่ พี่จะยอมกลับหรือ  เห็นพี่เป็นควายหรือไง…”  เพราะเห็นแก่ลูกชายและอดีตน้องสามี  ซิ่วเฮียงจึงยอมละไว้ไม่เอ่ยคำหยาบคายอย่างที่ใจคิด

“ฉันรู้ว่าพี่คงไม่กลับ  แต่ถ้าไม่ไปฉันก็กลัวถูกแม่ตี  เลยคิดว่าไปตายเอาดาบหน้า…”

มาลัยนั่งเรือเมล์แดงมาสุพรรณ  แต่เพราะไม่รู้รายละเอียดอะไรเกี่ยวกับซิ่วเฮียงเลยจึงไล่ถามเปะปะไปทั่ว  เดินเท้าถามไปเรื่อย ๆ เพิ่งมารู้วันนี้นี่เองว่ายิ่งเดินก็ยิ่งผิดทิศผิดทาง  เดินห่างจากบ้านของซิ่วเฮียงไปเรื่อย ๆ

สุดท้ายเงินน้อยนิดที่ติดตัวมาก็หมดลง  มาลัยที่ทั้งหิวทั้งเหนื่อยและเปียกฝนจนเนื้อตัวชุ่มน้ำได้แต่อาศัยนอนอยู่ที่ศาลารถประจำทาง  จะกลับมหาชัยก็ไม่กล้าเพราะพิกุลสั่งไว้ว่าถ้าพานังเฮียงกลับมาไม่ได้ก็ไม่ต้องกลับมา

เล่าถึงตรงนี้หาญมองอาสาวคนนี้ของเขาอย่างแปลกใจ  ไม่คิดว่าจะมีคนเชื่อฟังคำสั่งของแม่มากขนาดยอมเอาชีวิตตัวเองไปเสี่ยงแบบนี้  แต่ซิ่วเฮียงที่เคยรู้จักมาลัยคนเก่าเข้าใจดี  มาลัยตอนนั้นอายุสิบหกสิบเจ็ดแล้ว  แต่ถูกเลี้ยงมาไม่ให้คิดหรือตัดสินใจอะไรเลย  แม่ด่าทุกวัน  พี่ชายใช้งานเหมือนทาสน้องสาวก็ข่มเหมือนไม่ใช่พี่สาวร่วมสายเลือด  มาลัยจึงมีนิสัยเหมือนเด็กเจ็ดแปดขวบที่ขี้ขลาดและเชื่อฟังผู้ใหญ่อย่างถวายหัวมากกว่าสาวน้อยที่คิดอ่านอะไรเองได้

โชคดีที่สมัยนั้นโจรผู้ร้ายไม่ชุกชุม  ดวงของมาลัยเองก็ดีทำให้เด็กสาวอาศัยอยู่ในศาลารถประจำทางสองสามวันโดยไม่เกิดเหตุร้ายอะไร  และหลังจากทนหิวดื่มแต่น้ำฝนรองท้องมาสามสี่วันโชคชะตาบทใหม่ของเด็กสาวก็เริ่มต้นขึ้น  คุณนายลัดดาเศรษฐีนีเจ้าของตลาดในตัวเมืองนครปฐมขึ้นมาเยี่ยมญาติที่สุพรรณ  ขามาก็เห็นเด็กสาวตัวดำ ๆ คนหนึ่งในศาลารอรถเอามือรองน้ำฝนดื่ม  วันรุ่งขึ้นขากลับวิ่งผ่านเส้นทางเดิมก็เห็นเด็กคนเดิมรองน้ำฝนดื่มอีก  รองไปก็ร้องไห้สะอึกสะอื้นไป

คุณนายลัดดารู้สึกเวทนาจึงจอดรถถามไถ่  มาลัยก็เล่าให้ฟังซื่อ ๆ  โดยไม่ปิดบังอะไร

คุณนายที่มีลูกชายสามคนพยายามกล่อมให้มาลัยกลับบ้านเพราะเชื่อว่าแม่ของเด็กสาวต่อให้ร้ายกาจแค่ไหนก็ไม่มีทางตีลูกสาวให้ตายอย่างที่ขู่ไว้เป็นแน่  แต่เด็กสาวไม่เชื่อ  ยังยืนกรานซื่อ ๆ ว่าพิกุลทำได้

คุณนายจนปัญญา  อีกทั้งนึกถูกชะตาและชอบใจความซื่อของเด็กสาวเลยพามาลัยกลับไปนครปฐมด้วย

มาลัยนั้นแต่เดิมเป็นคนซื่อและซื่อสัตย์  ขยัน  ทำงานหนักเอาเบาสู้อยู่แล้ว  ยกเว้นเรื่องทำกับข้าวไว้อย่าง  งานอื่นหล่อนทำคล่อง  ทำดี  ตั้งใจทำด้วยเพราะคิดว่าถ้าเก็บเงินเดือนไว้ก้อนนึงแล้วเอาเงินกลับไปให้พิกุล  พิกุลคงจะไม่โกรธจนตีหล่อนตาย  เด็กสาวทำงานอยู่หนึ่งปี  สองปี  สามปี…ทำอย่างอดทนและขยันขันแข็งไปเรื่อย ๆ สุดท้ายจากเด็กสาวทำงานบ้านก็ขยับขึ้นมาเป็นมือขวาคุณนายลัดดา  และจบลงด้วยตำแหน่งลูกสะใภ้

คุณนายลัดดานั้นแต่เดิมเป็นแม่ค้าขายหมูในตลาด  แต่ด้วยหน้าตาสะสวย  ขยันขันแข็ง  ค้าขายเก่งเลยสะดุดตาหนุ่มใหญ่เจ้าของตลาด  ไม่นานจากนังดาก็กลายเป็นคุณดาเมียเจ้าของตลาด  ลัดดาเป็นคนเก่ง  นอกจากจะมีลูกชายให้สามีสามคนแล้วหล่อนยังช่วยงานสามีแข็งขัน  ช่วยขยายจากตลาดเล็ก ๆ ที่ไม่เป็นที่รู้จักกลายเป็นตลาดใหญ่โต  กิจการรุ่งเรืองร่ำรวยเงินทอง

แต่โชคไม่ดีที่ดำรงค์ลูกชายคนโตของลัดดานั้นเป็นโปลิโอขาลีบตอนวัยรุ่น  การที่จู่ ๆ ต้องกลายเป็นคนพิการใช้ไม้เท้าพยุงตัวทำให้ชีวิตที่คาดว่าจะสดใสของเด็กหนุ่มพลิกคว่ำเหมือนคว่ำหน้ามือเป็นหลังมือ  เขาไม่ยอมเรียนหนังสือต่อ  เก็บตัวอยู่กับบ้าน  จากคนอารมณ์ดีกลายเป็นคนเจ้าอารมณ์  เอะอะอาละวาดเสียงดัง

หลังจากลูกชายคนโตป่วยได้ไม่นาน  สามีที่อายุมากกว่าลัดดาเกือบสิบห้าปีก็จากไปด้วยโรคไต  ลัดดาที่ต้องดูแลกิจการทั้งหมดแทนสามีกัดฟันทำงานหนักเลี้ยงลูกคนเดียวจนลูก ๆ โตเป็นหนุ่ม  ลูกสองคนหลังนั้นดีหน่อย  พอเรียนจบแต่งงานแต่งการก็ย้ายบ้านไปใช้ชีวิตด้วยตัวเอง  คนหนึ่งย้ายไปเปิดร้านอาหารที่อเมริกา  อีกคนสอบชิงทุนของมหาวิทยาลัยได้  ได้ไปเรียนต่อต่างประเทศก่อนกลับมาทำงานเป็นอาจารย์สอนในมหาวิทยาลัยแห่งนั้น

เหลือแต่ดำรงค์ที่ไร้ความฝันใด ๆ ต้องอยู่บ้านเพื่อรับช่วงตลาดจากแม่  ที่สำคัญน้องสองคนแต่งงานมีความสุขไปแล้ว  แต่ ‘ไอ้เป๋’ อย่างเขายังโสดอยู่กับบ้าน  ผู้หญิงดี ๆ มีเงินไม่มีใครสนใจ

เพราะไม่อยากมีสามีพิการแถมยังเป็นคนเจ้าอารมณ์ชอบอาละวาดใช้กำลัง  แม้ในอนาคตจะมีตลาดใหญ่ติดตัวเป็นสมบัติก้นถุง  แต่คนทำงานไม่เป็นอย่างดำรงค์นั้นไม่มีใครคิดว่าเขาจะรักษาสมบัติเดิมของพ่อแม่ไว้ได้

ส่วนผู้หญิงที่หวังจับผู้ชายรวย ๆ โดยไม่สนว่าขาจะเป๋อารมณ์จะเหมือนน้ำเดือดตลอดเวลานั้น  คุณนายลัดดาก็กั้นไว้ไม่ให้เข้าถึงตัวลูกชายที่หล่อนรักและสงสารเป็นที่สุด

มาลัยทำงานอยู่ที่บ้านคุณนายลัดดาอยู่หลายปี  ทำตั้งแต่กวาดบ้านถูบ้านขัดห้องน้ำจนกระทั่งขยับไปเดินเก็บค่าเช่าตลาดเป็นเพื่อนคุณนาย  คุณนายสอนทำบัญชี  สอนการทำงาน  หล่อนก็เรียนรู้อย่างตั้งใจ

มาลัยรู้ว่าหล่อนไม่ใช่คนฉลาด  ติดจะช้าเสียด้วยซ้ำ  คิดช้าทำงานช้า แต่เด็กสาวที่ตอนนั้นเติบโตเป็นหญิงสาวเต็มตัวมีความอดทน  มีความมุ่งมั่นและความตั้งใจที่จะเรียนรู้  สุดท้ายความรู้ความสามารถของคุณนายลัดดาก็ถ่ายทอดให้มาลัยจนหมด

ส่วนความสัมพันธ์ของหล่อนกับดำรงค์นั้น  แรก ๆ ชายหนุ่มก็ไม่ชอบหน้าไม่ถูกชะตาแม่สาวที่มารดาเก็บตกมาจากศาลารถประจำทางเท่าไหร่นัก  รังเกียจรังงอนว่าหล่อนรูปชั่วตัวดำแถมยังโง่เง่าอีก  ดำรงค์ที่เปลี่ยนไปตั้งแต่พิการไม่เคยออมปากประหยัดคำ  เจอหน้ามาลัยเขาก็ด่าว่าหล่อนทั้งซึ่ง ๆ หน้าและจิกกัดกระทบกระเทียบด่าลมด่าแล้งไปตามเรื่อง  ด่าแล้วก็โกรธที่เห็นนังกุลามาลัยเอาแต่ยิ้ม ๆ ไม่โกรธไม่เดือดร้อนอะไร

เล่าถึงตรงนี้มาลัยก็หัวเราะแล้วบอกกับอดีตพี่สะใภ้ว่า

“คุณดำของฉันน่ะนึกว่าตัวเองแน่  ทำอะไรให้ช้าหรือไม่ถูกใจก็พูดจาว่าฉันหาว่าตัวดำเป็นเหนี่ยง  หาว่าสมองเหมือนลิงที่เขาเคาะหัวเอาไปตุ๋นกินแล้ว   หาว่าโง่บ้าง  เป็นนางยักษ์หลุดมาจากหนังสือพระอภัยมณีบ้าง  พอฉันยิ้มเขาก็โกรธหาว่าซื่อบื้อถูกด่าแล้วยังยิ้มอีก  หนังหนาไม่รู้จักเจ็บร้อน  โถ…พี่เฮียงจะไม่ให้ยิ้มได้ไง  เทียบกับแม่แล้วคุณดำก็เด็กอ่อนสอนเดินดี ๆ นี่เอง  แถมด่าอย่างเดียวไม่ได้จิกพุงหรือฟาดเอาตีเอาแบบแม่ด้วย  แล้วฉันจะไปกลัวหรือเดือดร้อนอะไรล่ะ”

มาลัยก็เหมือนกับซิ่วเฮียง  ถ้าทนกับพิกุลได้ก็ทนกับทุกคนได้หมด

ดังนั้นในบ้านนอกจากคุณนายลัดดาแล้วเด็กคนงานอื่นไม่มีใครทนดำรงค์ได้  ไม่มีใครจู้จี้ให้เขากินข้าวได้  ไม่มีใครกระตุ้นให้เขายอมออกจากห้องที่ซ่อนตัวมาช่วยงานมารดาได้  แต่มาลัยกลับทำได้  หล่อนทนฟังเสียงด่า  ทนเวลาที่เขาอารมณ์เสียหรือน้อยใจในโชคชะตาได้  หล่อนพูดจาชักชวนตรง ๆ ให้เขากินข้าวได้  ทำให้เขารู้สึกฮึดสู้ยอมลุกขึ้นมาดูงานบัญชีหรือวางแผนเรื่องต่าง ๆ ของตลาดได้

เผลอเดี๋ยวเดียวมาลัยก็ทำงานที่นครปฐมมาเจ็ดแปดปี  วัน ๆ อยู่ในบ้านกับตลาดแทบจะไม่ต้องออกแดด  จากเด็กสาวผิวกระดำกระด่างหน้าตาขี้ริ้วก็ขยับเป็นหญิงสาวผิวสีน้ำผึ้งนวลเนียน  ร่างกายที่หนาไม่มีทรวดทรงก็เริ่มมีอกมีเอวดูอวบอิ่ม  แม้ไม่งามสะดุดตาแต่ก็มีความสวยในแบบของหล่อน  แถมพอไม่ถูกมารดาและน้องสาวกดหัว  ได้รับการสั่งสอนอย่างดีจากคุณนายลัดดา  มาลัยคนซื่อก็พัฒนาความคิดความสามารถจนกลายเป็นคนคล่องแคล่ว  เชื่อมั่นในตัวเอง  หญิงสาวเริ่มมีชื่อเสียงเรื่องความขยันรู้จักค้าขายกลายเป็นคุณลัยที่แม่ค้าพ่อค้าในตลาดให้ความยำเกรง  ไม่นานก็มีหนุ่มเจ้าของร้านอาหารดังแถวพระปฐมเจดีย์มาตามจีบ  อยากจะขอมือขวาคุณนายลัดดาไปช่วยคิดเงินที่ร้านอาหาร

คุณนายลัดดากับมือขวายังไม่ทันแสดงความคิดเห็นอะไร  ดำรงค์ก็อาละวาดใหญ่โต  ประกาศว่ามารดาเขาลงทุนลงแรงเลี้ยงดูแลสอนงานมาลัยตัวดำมาหลายปี  กว่าจะเก่งกว่าจะดีขัดคราบไคลจนสะอาดเอี่ยมหมดจดเหมือนวันนี้หมดเงินหมดเวลาไปไม่น้อย  แล้วจะให้คนอื่นมาชุบมือเปิบไปง่าย ๆ ได้อย่างไร

หลังอาละวาดเสร็จ  ดำรงค์ก็กะโผลกกะเผลกจูงนางเข้าห้องไป  ดังนั้นจากมาลัยเด็กทำงานในบ้านสุดท้ายกลับเป็นคุณนายมาลัยผู้รับช่วงดูแลตลาดจากแม่สามี  ระหว่างที่สามีดูแลบ้านแม่สามีเกษียณงานมาเลี้ยงลูกให้  มาลัยก็จัดการเก็บค่าเช่าแผง  บริหารงานตลาด  ขยายงานขยายตลาดหาเงินหาทองเข้าบ้านอย่างแข็งขัน

ส่วนน้องชายสองคนของดำรงค์นั้นแรก ๆ ก็กระอักกระอ่วนใจไม่น้อยที่พี่ชายยกเด็กในบ้านขึ้นเป็นเมียออกหน้าออกตา  แต่ทั้งคู่เห็นและเข้าใจว่าพี่ชายทั้งพิการทั้งเจ้าอารมณ์ยากจะมีผู้หญิงดี ๆ จริงใจด้วย  มีแต่มาลัยนี่แหละที่ทนเขาได้มาตลอด  พอแต่งงานแล้วดำรงค์เองก็ดีขึ้นมาก  ไม่หดหู่หรือฉุนเฉียวง่ายเหมือนเมื่อก่อน  เริ่มกระตือรือร้นเรื่องงานแถมยังยอมออกงานออกการมากขึ้น  ยิ่งพอลูกชายคนแรกเกิด  เขาก็เริ่มยิ้มแย้มแจ่มใสคล้ายกลับเป็นพี่ชายคนเดิมที่ทั้งคู่รู้จัก  ความคับข้องใจเรื่องฐานะชนชั้นของมาลัยจึงเริ่มจางไป

แต่สิ่งสำคัญสุดที่ทำให้น้องชายทั้งคู่มีท่าทีที่ดีขึ้นกับพี่สะใภ้คือการที่มาลัยนั้นทำงานเก่งจริง ๆ  พอรับช่วงต่อจากคุณนายลัดดาไม่นานตลาดก็ขยายใหญ่ขึ้น  จากตลาดหนึ่งเป็นตลาดสองตลาดสาม  เงินส่วนแบ่งที่ต้องส่งให้น้องชายทั้งสองทุก ๆ สามเดือนก็มีแต่เพิ่มขึ้นไม่มีลดลง  ทั้งคู่รวมถึงสะใภ้ทั้งสองบ้านจึงให้ความเคารพพี่สะใภ้คนนี้ในระดับหนึ่ง

มาลัยที่ตอนนี้ไม่ได้ใสซื่อเหมือนเมื่อก่อนแล้วก็ไม่ได้ทะนงตัวแต่อย่างไร  หล่อนกลับบอกเสียอีกว่า

“พี่เฮียง  ฉันน่ะรู้แล้วว่าอะไรก็ไม่สำคัญเท่าเงินหรอก  ศักดิ์ศรีหน้าตาหรือความดีอะไรก็ไม่เท่ากับเงินปันผลที่ส่งให้ตามกำหนด  ยิ่งแบ่งให้มากคนเขาก็ยิ่งเกรงใจเรามาก  พี่น้องรักกันก็รักกันอยู่  แต่เงินก็ขาดไม่ได้เหมือนกัน”

สรุปแล้วเพราะแม่สามีสอนมาดี  มาลัยเองก็เก่งและไม่มีนิสัยงกหรือคิดเล็กคิดน้อยกับบรรดาน้องชายของสามี  เรื่องทางครอบครัวนั้นจึงไม่มีปัญหาอะไร  แต่เรื่องทางมหาชัย…มาลัยที่เติบโตและเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นมากกลับไม่ค่อยกล้าเสียอย่างนั้น

“ตอนที่จะแต่งงานนายแม่ก็บอกว่าอยากจะมาขอฉันกับพ่อกับแม่ตามธรรมเนียม  แต่ฉันกลับไม่อยากให้มา  ไม่ใช่กลัวแม่จะตีตายเหมือนตอนที่ไปสุพรรณแล้วไม่กล้ากลับมหาชัยหรอกนะ”  หล่อนหัวเราะนิดหนึ่งก่อนถอนใจยาว

“แต่คงเพราะเวลามันผ่านไปนานเหลือเกิน  ไอ้ฉันนะอยากจะกลับบ้านทุกปี  แต่ปีแรกไม่กล้า  ปีสองไม่กล้า  ปีสามไม่กล้า  พอผ่านไปนาน ๆ จากที่ไม่กล้าก็กลายเป็นกลัวไปแล้ว  กลัวว่าถ้ากลับไปตอนนี้แม่กับพ่อจะโกรธจะเกลียดจะไม่ยอมรับฉัน  พอจะแต่งงานก็กลัวอีก  กลัวว่าแม่จะทำให้นายแม่นึกรังเกียจ  คนไทยมีคำสอนว่าดูช้างให้ดูหางดูนางให้ดูแม่  ฉันก็กลัวว่านายแม่เห็นแม่พิกุลแล้วจะกลัวว่าวันหนึ่งฉันอาจจะเหมือนแม่…”  เพราะรูปลักษณ์ภายนอกของมาลัยเหมือนพิกุลจริง ๆ  มาลัยจึงกลัวตรงนี้จับใจ  “แล้วจะไม่ยอมให้คุณดำแต่งฉันเป็นเมีย  ฉันก็นะ…เห็นแก่ตัวเหมือนกัน  กลัวไปสารพัดอย่าง  เลยไม่ได้กลับบ้านตอนนั้น”

“แล้วทำยังไงลัยถึงได้กลับมาล่ะ”  ซิ่วเฮียงถาม

“พอมีลูกแหละพี่เฮียง  มีลูกเองแล้วถึงได้เข้าใจว่าคนเป็นพ่อเป็นแม่ยังไงก็ตัดลูกไม่ขาดหรอก  ฉันเลยตัดสินใจกลับบ้าน  โหย…วันแรกที่กลับไป…ร้องไห้ตาบวมเป็นลูกมะกรูดเลยพี่  รู้สึกผิดที่ทำไมไม่รีบกลับมาก่อนหน้านี้  เป็นบ้าอะไรถึงทนรออยู่ตั้งหลายปี  ด่าตัวเองว่าทำไมมัวแต่กลัวจนปล่อยให้แม่จัดการบ้านกับพี่พนมจนเละไปหมด  พ่อก็อยู่บ้านไม่ได้ต้องไปอยู่วัด…”

“เออ…พูดถึงเรื่องพ่อสันต์แล้วพี่เสียใจด้วยนะลัย  เสียดายที่พี่ไม่ได้กราบขออโหสิกรรมกับพ่อสันต์เป็นครั้งสุดท้าย  หาญเองก็ไม่เคยเห็นปู่”  เรื่องนี้เป็นเรื่องเดียวที่ซิ่วเฮียงรู้สึกผิดจริง ๆ

“อย่าโทษตัวเองเลยพี่เฮียง  พ่อแกไม่โทษพี่เฮียงหรอก  พ่อแกบอกว่าเป็นความผิดของแกที่ไม่อบรมพี่พนมกับหนาให้ดี  ปล่อยให้แม่ทำไม่ดีกับพี่เฮียงโดยไม่ได้ช่วยปกป้องอะไรเลย  และการที่แกยอมแม่ไม่เคยลุกขึ้นมาค้านอะไรถือเป็นความผิดที่สุด  ที่พี่พนมเป็นแบบนี้หนามันเป็นแบบนี้ก็เพราะพ่อแกยอมตามแม่มากไปทั้งนั้น”

สองสาวนิ่งไปครู่เหมือนระลึกถึงสันต์  ก่อนซิ่วเฮียงจะถามว่า

“พ่อสันต์เสียที่วัดใช่ไหมลัย  เห็นหนาบอกว่าพ่อแกตรอมใจ…”

“โอ๊ยอย่าไปเชื่ออะไรหนามันเลยพี่”  มาลัยโบกมือเหมือนย้ำว่าสิ่งที่น้องสาวพูดล้วนเป็นเรื่องไร้สาระ  “พ่อแกป่วยตายที่โรงพยาบาล  หนามันรู้อะไรเสียที่ไหน  ตอนนั้นมันอยู่กรุงเทพฯมั้ง  หนามันเพิ่งกลับมหาชัยมาเมื่อปีก่อนนี่เอง  มาถึงก็ขออยากไปอยู่กับฉันที่นครปฐม  แต่ฉันไม่ให้ไป  บ้านช่องฉันอยู่ที่ไหนฉันยังไม่บอกมันเลย  กลัวมันจะหน้าหนาตามไปอยู่ด้วยแล้วทำให้ครอบครัวฉันที่นั่นมีปัญหา”

พูดแล้วหญิงสาวก็นึกได้รีบถามต่อว่า

“นี่พี่เฮียงไม่ได้บอกใช่ไหมว่าหาญเรียนอยู่เชียงใหม่”

“ไม่ได้บอก  แค่บอกว่าอยู่ทางเหนือ”

“โล่งอกไปที”  มาลัยยกมือลูบอกประกอบ  สองสาวสบตากันแล้วเข้าใจกันดี  จากนั้นอาสาวก็หันไปทางหลานชายที่กินอาหารบนโต๊ะจนกินอะไรต่อไม่ไหวแล้ว  หล่อนเตือนว่า

“ฟังอาลัยนะหาญ  ถ้าหนามันไปหาไปขออะไรหรือจะให้ไปไหนกับมัน  หาญปฏิเสธไปเลยนะ อย่าไปสนใจ  ไม่ว่าหนามันจะพูดอะไรก็ไม่ต้องไปฟัง  คนบางคนยิ่งเกรงใจก็ยิ่งเอาแต่ใจ  ยิ่งให้ก็ยิ่งเรียกร้องเพิ่มไม่หยุดไม่หย่อน  ตัดไปเลยดีต่อหาญที่สุดนะลูกนะ”

หาญพยักหน้าในขณะที่ซิ่วเฮียงมองอดีตน้องสามีคนนี้ด้วยความทึ่ง  ใครจะไปคิดว่าในหมู่พี่น้องสามคนลูกแม่พิกุล  มาลัยคนที่ดูอับแสงที่สุด  อ่อนแอที่สุด  อนาคตเลือนลางที่สุด…สุดท้ายกลับมีชีวิตที่สมบูรณ์  มีพร้อมทั้งสามีดีและลูกชายแข็งแรง  แม้จะทำงานหนักแต่ก็สุขสบายทั้งกายและใจ  แถมยังมั่งคั่งร่ำรวยจนกลายเป็นเสาหลักของบ้าน  เป็นคนที่ดูแลสันต์ในช่วงสุดท้ายของชีวิต  เป็นคนออกค่าใช้จ่ายทุกอย่างในบ้าน  เลี้ยงดูทั้งแม่พี่ชายและน้องสาว…

ชีวิตไม่สามารถคาดเดาหรือทำนายได้เลยจริง ๆ

สุดท้ายก่อนแยกจากกันมาลัยกับซิ่วเฮียงแลกที่อยู่และเบอร์โทรศัพท์ที่บ้าน  มาลัยกอดหลานชายอย่างอาลัย  ยืนโบกมือส่งแม่ลูกที่นั่งรถกลับสุพรรณจนลับตา

 

ซิ่วเฮียงพาหาญกลับสุพรรณอย่างโล่งใจ  หญิงสาวคิดว่าการได้พูดเปิดใจกับหาญและการพบกับมาลัยโดยบังเอิญจะช่วยเยียวยาความรู้สึกผิดหวังของลูกชายได้บ้าง  หล่อนไม่นึกเลยว่าพอถึงบ้านจะมีเรื่องใหญ่

หาญไม่ยอมกลับไปเรียนหนังสือต่อ

เด็กหนุ่มบอกว่าอายเพื่อนเพราะเพื่อนพูดความจริง  เขามันไอ้ลูกไม่มีพ่อ

คนทั้งบ้านตกใจกับการตัดสินใจของหาญ  มีหลีกังคนเดียวที่ทั้งตกใจทั้งโกรธ  แน่ละว่าต้องโกรธลูกสาวคนโตที่พาอาหั่งไปเจอเรื่องแย่ ๆ มาจนอาหั่งไม่อยากเรียนหนังสือต่อ  หลีกังด่าซิ่วเฮียงชนิดที่เรียกว่าถ้าเขายังหนุ่มแน่นมีเรี่ยวแรงคงถือไม้เรียวไล่ตีลูกสาวไปรอบบ้านแน่

อาการพยศของหาญกินเวลาสองสามวัน  เริ่มต้นเมื่อกลับถึงสุพรรณและจบลงเมื่อเส่งที่รู้ข่าวเดินทางลงมาพบหลานชาย

เจอหน้ากันเส่งมองหลานชายนิ่ง ๆ ก่อนถามเสียงเรียบว่า

“เพื่อนพวกนั้น  สำคัญกับหั่งมากเลยหรือ”

“ก็…ไม่ได้สำคัญอะไร”  เด็กหนุ่มก้มหน้าไม่กล้าสบสายตากับกู๋เส่ง

“งั้นก็คงมีบุญคุณกับหั่งมากเลยสินะ”

หาญเงียบก่อนส่ายหน้า

“อะไร  ไม่สำคัญและไม่มีบุญคุณอะไรงั้นหรือ  ถ้าไม่มีอะไรเลยทำไมหั่งต้องทิ้งอนาคตทั้งชีวิตเพราะคนเหล่านั้นด้วย  คนปากหมาปากเปราะพวกนั้น  ข้าวก็ไม่ได้ให้ลื้อกินสักเม็ด  น้ำก็ไม่ได้ให้สักอึก  ทำไมลื้อต้องยอมเอาชีวิตตัวเองไปให้เขากระทืบด้วย  แล้วม้าลื้อล่ะ…ม้าลื้อทำงานหาเงินมาเลี้ยงลื้อหาเงินส่งลื้อเรียน  ม้าลื้อไม่สำคัญอะไรเลยหรือ  ยังอากงอาม่าที่จูงลื้อไปโรงเรียน  คอยไปรับลื้อจากโรงเรียนทุกวันตั้งแต่เด็กจนโต  อากงอาม่าไม่มีบุญคุณอะไรเลยใช่ไหม  แล้วยังกู๋กับอาโกวลื้อ…เวลาที่พวกเราสอนลื้อเขียนหนังสืออ่านหนังสือสอนทำการบ้าน  ทั้งหมดไม่มีค่าอะไรเลยใช่ไหม  ลื้อถึงได้ไม่เห็นความสำคัญไม่ยอมเรียนหนังสือเพราะคำพูดของคนอื่นแต่ไม่เคยนึกถึงพวกเราที่ทำกันทุกอย่างเพื่อให้ลื้อมีการศึกษาสูง ๆ มีอนาคตที่ดีเลย”

“กู๋เส่ง…”  น้ำตาของเด็กหนุ่มหยดแหมะ

“ไม่ต้องเรียกกู๋  หั่งหันไปมองหน้าอากง  แล้วบอกอากงว่าลื้อจะไม่เรียนต่อแล้วเพราะลื้อให้ความสำคัญกับลมปากเหม็นเน่าของคนอื่นมากกว่าความรักและความหวังดีของคนในบ้านนี้  พูดเลยแล้วกู๋จะตามใจไม่ยุ่งเกี่ยวอะไรกับลื้ออีก”

“พอแล้ว  ดุหลานพอแล้ว  ลื้ออย่าพูดมากอีกเลย”  อากงที่รักหลานรีบเข้ามาปกป้อง  ดุหลานอั๊ว…อั๊วก็ดุลื้อเสียงเขียวได้เหมือนกัน

ส่วนหาญ…เด็กหนุ่มเอาแต่สะอึกสะอื้นไม่ยอมปริปากพูดแม้แต่คำเดียว

หลังจากนั้นพอครบกำหนดภาคทัณฑ์  เส่งก็พาหลานชายขึ้นไปส่งที่มหาวิทยาลัย  ดูแลให้กลับเข้าไปเรียนใหม่เรียบร้อยแล้วจึงกลับไปทำงานตามเดิม

พอหาญไม่มีปัญหาเรื่องเรียน  และไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องพ่อผู้ให้กำเนิดอีก  ซิ่วเฮียงก็วางใจและเดินทางกลับกรุงเทพฯอย่างเบาใจ  ความรู้สึกเหมือนได้ปลดตุ้มถ่วงลูกหนึ่งที่แขวนห้อยในหัวใจมาสิบกว่าปีลงเรียบร้อย



Don`t copy text!