
แก่นไม้หอม บทที่ 42 : สัญญา
โดย : กิ่งฉัตร
แก่นไม้หอม นวนิยายออนไลน์ โดย กิ่งฉัตร ที่อ่านเอาอยากให้คุณได้อ่านออนไลน์ กับเรื่องราวที่จะทำให้คุณได้รู้ว่าผู้หญิงเป็นเมียและแม่ไม่ต่างจากแก่นไม้ที่แข็งแกร่ง มั่นคงและทรหดที่ยึดให้ใบได้แผ่กว้าง และหากโลกนี้เชื่อว่าผู้ชายเป็นใหญ่ แต่จริงๆ แล้วทุกสรรพสิ่งในธรรมชาติล้วนเป็นหยินที่โอบหยางทั้งสิ้น
เมื่อซิ่วเฮียงกลับมาถึงบ้านนั้น ประตูพับบ้านลานมะเกลือเปิดกว้างอยู่ กุ้ยเตียงนั่งอยู่บนพื้นเสื่อน้ำมันกลางบ้าน มีฉื่อกกนั่งประกบอยู่ข้าง ๆ ตรงกันข้ามของสองแม่ลูกคือชายสูงวัยหนวดเคราขาวยาว ในมือเขามีติ้วไม้บาง ๆ ยาว ๆ วาดลวดลายเหมือนกันคล้ายหลังไพ่หลายใบ ข้าง ๆ มีกรงนกไม้ขนาดเล็กสองสามใบวางรวมกันอยู่
กุ้ยเตียงเห็นหน้าหญิงสาวก็ดีใจรีบกวักมือเรียกว่า
“เข้ามาก่อนโอ่ยแจ้ ลื้อกลับมาได้จังหวะพอดี ซินแสกำลังจะดูดวงให้อั๊ว ลื้อจะดูด้วยกันไหม”
ซิ่วเฮียงวางกระเป๋าเสื้อและถุงขนมและอาหารแห้งที่ซื้อกลับมาไว้ทางหนึ่ง เมียงมองมาดูอย่างสนใจ แต่ตอนนี้หล่อนเหนื่อยจนไม่อยากทำอะไร แค่อยากดูเฉย ๆ จึงตอบไปว่า
“หยี่แจ้ดูเถอะจ้ะ หยี่แจ้ดูก็เหมือนเฮียงดูนั่นแหละจ้ะ”
กุ้ยเตียงไม่เซ้าซี้อะไร หันไปคุยกับซินแสต่อ ถามไถ่ว่าอนาคตของหล่อนจะเป็นอย่างไรบ้าง
หมอดูผู้เฒ่าสับติ้วบางในมือก่อนแผ่ออกเหมือนพัด จากนั้นก็เลือกเปิดกรงนกใบหนึ่ง นกสีน้ำตาลตัวเล็ก ๆ ที่ได้รับการฝึกมาอย่างดีก็กระโดดออกมาจากกรง ฉื่อกกขยับมือยุกยิกอยากจะคว้านกมาเล่นแต่ซิ่วเฮียงที่นั่งอยู่อีกด้านของเขารู้ทันรีบคว้ามือเด็กชายไว้ได้ก่อน นกตัวน้อยจึงสามารถกระโดดกระหยองกระแหยงไปหยุดเอียงคอที่หน้าแผงติ้ว ก่อนจิก ๆ ลากออกมาอันหนึ่ง
ซินแสโปรยเมล็ดข้าวเป็นรางวัลให้นกก่อนส่งมันกลับเข้ากรง จากนั้นเขาก็เอาติ้วที่นกเลือกขึ้นมาพลิกขึ้น เหลือบมองหญิงสาวสองคนตรงหน้าก่อนอ่านออกเสียงดัง ๆ ว่า พรั่งพร้อม กตัญญู
“ติ้วใบนี้ดีนัก ลื้อโชคดีลูกหลานกตัญญู อีกหน่อยลูกเลี้ยงดูไม่อับจน…”
กุ้ยเตียงฟังแล้วยิ้มกว้างพอใจ หล่อนดึงตัวลูกชายคนเล็กมากอด หอมแก้มเขาแรง ๆ แล้วบอกว่า
“ม้ารู้ว่าอากกของม้าดีที่สุด โตแล้วอากกไม่ทิ้งแม่แน่ใช่ไหม”
“ไม่ทิ้ง” ฉื่อกกตอบรับอย่างหนักแน่น “กกจะเลี้ยงม้าเอง”
“อะไรจะเลี้ยงแค่ม้าลื้อหรือ แล้วเฮียงแจ้ล่ะ” ซิ่วเฮียงแกล้งถามด้วยน้ำเสียงน้อยใจ
เด็กชายหันมายิ้มร่า ให้คำมั่นว่า
“กกเลี้ยงเฮียงแจ้ด้วย” ก่อนรีบบอกต่อว่า “แต่คนอื่นไม่เอานะ เลี้ยงไม่ไหวแล้วเยอะเกิน”
พวกผู้ใหญ่ฟังแล้วหัวเราะขำ กุ้ยเตียงให้ซินแสทำนายอนาคตให้อีกหลายเรื่อง ส่วนมากเป็นเรื่องร้านและเรื่องลูกคนอื่น ๆ ซินแสบอกว่าร้านนั้นยิ่งทำยิ่งเหนื่อยยากแต่พอเลี้ยงตัวเองได้ ส่วนเด็กคนอื่น ๆ ล้วนแต่ดีไม่มีปัญหาอะไร
กุ้ยเตียงมอบค่าตอบแทนให้ซินแส ฝ่ายนั้นรับเงินไปหน้าตายิ้มแย้ม แต่พอก้าวออกจากบ้านก็ถอนใจยาวนิดหนึ่งแล้วสอดไม้คานร้อยกรงนกรวมกันทั้งหมดก่อนยกขึ้นบ่า หยุดไหว้องค์แป๊ะกงทีที่ศาลครู่หนึ่งก่อนเดินหาลูกค้ารายต่อไป
กุ้ยเตียงที่ได้รับคำตอบที่พอใจอารมณ์ดีมาก ยิ้มกว้างได้อย่างที่ซิ่วเฮียงไม่ได้เห็นมานาน ฝ่ายแรกไล่ลูกชายให้ออกไปเล่นที่ลานด้านนอก จากนั้นก็หันมาถามไถ่เรื่องของหาญ ซิ่วเฮียงเล่าให้หยี่แจ้ของหล่อนฟังคร่าว ๆ ก่อนสรุปว่า
“ตอนนี้คงไม่มีอะไรแล้วละจ้ะ อาหั่งกลับไปเรียนหนังสือตามปกติ โชคดีที่เขาเชื่อฟังอาเส่ง ไม่งั้นเฮียงก็ไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกัน”
“อียังเด็ก คงยังหุนหันไปบ้างคิดน้อยไปบ้าง แต่พอผู้ใหญ่เตือนก็ได้สติ เป็นอย่างนี้ลื้อก็สบายแล้วละไม่มีเรื่องอะไรต้องกังวล รอลูกคนโตเรียนจบเตรียมไปงานรับปริญญาอย่างเดียว แถมอีกไม่กี่ปีอาไช้ก็คงเข้ามหา’ลัยตามอาย้งอาหั่งไป…” กุ้ยเตียงถอนใจนิดหนึ่งก่อนเอ่ยต่อเหมือนกับให้กำลังใจทั้งคนข้างตัวและตัวเองว่า “เฮ้อ…เวลามันผ่านไปเร็วจริง ๆ อดทนทำงานกันอีกไม่นานเนอะโอ่ยแจ้เนอะ พอส่งทุกคนเรียนจบเราก็จะสบายแล้ว”
“จ้ะ เหมือนกับที่ซินแสทำนายไว้ไงจ๊ะ อีกหน่อยหยี่แจ้จะมีลูกหลานพร้อมหน้าพร้อมตา แถมยังลูกหลานกตัญญูเลี้ยงดูสุขสบาย”
“อั๊วสบายลื้อก็สบายด้วยแหละ อั๊วไม่ทิ้งลื้อหรอก แต่ลื้ออย่าทิ้งอั๊วแล้วกัน”
ซิ่วเฮียงฟังแล้วยิ้มตาหยีรับคำว่า
“เฮียงไม่ทิ้งหยี่แจ้แน่นอนจ้ะ”
กุ้ยเตียงพยักหน้ารับอย่างพอใจ แต่แล้วจู่ ๆ หล่อนก็เอ่ยขึ้นว่า
“เฮียง…ถ้าอั๊วเป็นอะไรไป ลื้ออย่าทิ้งเด็ก ๆ นะ โดยเฉพาะอากก ให้คิดเสียว่าอีเป็นลูกชายอีกคนของลื้อ”
“หยี่แจ้พูดอะไรแบบนั้น หยี่แจ้จะเป็นอะไรได้ยังไงจ๊ะ ยังไงยังต้องอยู่รอให้ลูกหลานกตัญญูเหมือนที่ซินแสบอกก่อน อย่าเพิ่งใจร้อนเลยจ้ะ รอให้อายุเก้าสิบร้อยนึงลูกหลานต้องใส่เสื้อสีไปงาน เราค่อยไปไหนไปกันนะจ๊ะ”
“ได้ ได้เลย” กุ้ยเตียงยิ้มรับอย่างเบิกบาน
หลังจากวันนั้นไม่นาน คำทำนายเรื่อง ‘ลูกหลานพร้อมหน้า’ ของซินแสก็เริ่มมีเค้าลางขึ้นมา เพราะจู่ ๆ ฉื่อไท่ก็มาขอให้กุ้ยเตียงแต่งเมียให้ นงนุชแฟนสาวของฉื่อไท่อายุน้อยกว่าเขาสามปี เป็นผู้หญิงตัวเล็ก ผิวขาวผ่องหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดู บิดาของหญิงสาวเป็นพนักงานการไฟฟ้าส่วนมารดาทำขนมกล่องส่งรถทัวร์ นงนุชเป็นลูกสาวคนเล็กมีพี่ชายและพี่สาวอย่างละหนึ่งคน หญิงสาวเรียนจบพาณิชย์ ทำงานด้านเอกสารให้กับบริษัทรถทัวร์ที่มารดาทำขนมกล่องส่ง
ตอนที่ลูกชายคนโตพาคนรักเข้าบ้านนั้น กุ้ยเตียงตกใจเล็กน้อยเพราะหล่อนกำลังคิดจะติดต่อกับญาติทางฝั่งบิดาทางเมืองจีนให้หาญาติผู้หญิงดี ๆ เก่ง ๆ มาเป็นลูกสะใภ้ แต่พอฉื่อไท่บอกว่าเขาชอบนงนุชจริง ๆ หญิงสาวก็ไม่คัดค้านอะไร เพียงแค่แอบบ่นกับซิ่วเฮียงว่าคนรักของอาไท่นั้นดีหมดยกเว้นสองอย่างคือเรื่องที่หล่อนมีเชื้อสายจีนแต่กลับไม่ค่อยยอมพูดภาษาจีน เอาแต่พูดไทยเป็นหลัก กับเรื่องที่สองหนุ่มสาวพบกันครั้งแรกในไนท์คลับ
“ผู้หญิงเที่ยวกลางค่ำกลางคืนจะดีหรือ”
“เขาอาจแค่ไปเที่ยวเฮฮากับเพื่อนผู้หญิงนิด ๆ หน่อย ๆ พอเปิดหูเปิดตามังจ๊ะ” ซิ่วเฮียงพยายามแก้ต่างให้
“แค่นิด ๆ หน่อย ๆ มีหรือจะเจออาไท่จนคบหากันได้” กุ้ยเตียงที่รู้นิสัยลูกชายคนโตดีค้านขึ้นก่อนทำนายว่า “นี่อั๊วกลัวนะว่าพอแต่งกันไปสองคนผัวเมียจะยิ่งชวนกันเที่ยวเล่นงานการไม่ทำ!”
แต่ถึงว่าที่ลูกสะใภ้คนโตจะมีข้อตำหนิในใจแค่ไหน ลงว่าลูกชายอยากแต่ง กุ้ยเตียงก็ไม่ขัด พิธีตามธรรมเนียมมีอย่างไรก็จัดเต็มที่แบบนั้น มีทั้งพิธียกน้ำชา พิธีรับเจ้าสาวและงานเลี้ยงฉลองก็จัดในภัตตาคารใหญ่ที่มีชื่อเสียงเรื่องความอร่อยและราคาสูงที่สุดในเยาวราช เพียงแต่งานไม่ได้จัดใหญ่โต งานเลี้ยงก็จัดเป็นเลี้ยงกลางวัน เลี้ยงแขกเฉพาะญาติและเพื่อนสนิทไม่กี่โต๊ะไม่ถึงขนาดต้องปิดร้านฉลอง
เจ้าบ่าวเจ้าสาวไม่มีปัญหาอะไร ครอบครัวเจ้าสาวก็ปล่อยให้ทางฝ่ายเจ้าบ่าวจัดการตามความเห็นสมควร แต่มีญาติฝั่งมารดาเจ้าบ่าวเจ้าเดิมคนเดิมพอเห็นงานเลี้ยงก็บ่นว่า
“อะไรกันอาเตียง งานแต่งลูกชายคนโตทั้งทีทำไมเลี้ยงโต๊ะแค่ไม่ถึงสิบโต๊ะ ไอ้หยา… รู้ไปถึงไหนขายหน้าเขาตายเลย ลูกชายคนโตเถ้าแก่ส่วงแต่งงานทั้งทีเลี้ยงไม่กี่โต๊ะ มันน่าจะจัดสักยี่สิบโต๊ะเอาให้ใหญ่ไปเลยคนเขาจะได้ไม่นินทาว่าเราจะแต่งลูกทั้งทียังขี้เหนียว นี่ดูสิบ้านโบ๊เบ๊ให้มาแค่สองโต๊ะ บ้านเราคนตั้งมากแถมยังญาติของเตี่ยกับม้าที่มาแสดงความยินดีอีก เก้าอี้ยี่สิบตัวพอที่ไหน แทบจะต้องนั่งตักกันแล้ว” หลีมุ่ยบ่น งานวันนี้กำหนดชัดว่าเชิญใครบ้าง ฝั่งไหนได้จำนวนโต๊ะกี่โต๊ะ ฝั่งบ้านโบ๊เบ๊กุ้ยเตียงจัดให้สองโต๊ะแต่ผู้ใหญ่มากันครบรวมกับญาติอีกสามสี่คน เด็กจากสามครอบครัวรวมแล้วร่วมสิบคน ที่นั่งจึงแทบไม่พอ พี่สะใภ้กุ้ยเตียงที่อยากพาเตี่ยกับม้าและพี่ชายมาอวดความมั่งมีพามากินข้าวฟรีภัตตาคารดังแต่ทำไม่ได้เพราะไม่มีที่นั่งเหลือเลยหงุดหงิดนิดหน่อย
กุ้ยเตียงฟังแล้วกัดฟันพยายามทนไม่อยากมีเรื่องในงานวันแต่งลูกชาย แต่ฉื่อฮวงที่ผ่านมาได้ยินพอดีเบ้ปากใส่สวนกลับไปอย่างไม่เกรงใจว่า
“เตี่ยตายไปนานแล้ว กิ๋มมุ่ยยังจะปลุกวิญญาณเตี่ยขึ้นมาทำไมอีก งานนี้น่ะโต๊ะนึงราคาสองสามพันไม่ใช่ถูก ๆ นะจะมาว่าเราขี้เหนียวได้ไง เชิญมา…มีปากกินก็กินไปถ้ายังปากว่างนินทาคนอื่นได้ก็กลับไปกินข้าวบ้านตัวเองเถอะ หรือถ้ากิ๋มมุ่ยคิดว่างานนี้ใหญ่ไม่พอดีไม่พอก็จัดงานให้เฮียฮงสิ ได้ข่าวว่าลูกคนที่สองจะออกมาแล้วไม่ใช่หรือ ทำไมบ้านอั๊วยังไม่ได้บัตรเชิญไปกินเลี้ยงเลยสักใบล่ะ”
“ต๊ายยย…” หลีมุ่ยยกมือทาบอกหน้าแดงก่ำด้วยความโกรธ
“อาฮวง!” กุ้ยเตียงจำใจดุลูกสาว ทั้ง ๆ ที่จริงอยากจะปรบมือให้ดัง ๆ เพราะฉื่อฮวงพูดถูกใจ “อย่าเสียมารยาทกับผู้ใหญ่”
ฉื่อฮวงที่ขึ้นชื่อเรื่องความโผงผาง เจ้าอารมณ์ ไม่ยอมใครเบ้ปากอีกรอบก่อนสะบัดหน้าไปอย่างไม่สนใจผู้ใหญ่หรือเด็ก
หลีมุ่ยชี้นิ้วตามมือไม้สั่น ร้องว่า
“อาเตียง ลื้อดูนะลื้อดูลูกลื้อใครสั่งใครสอนให้ก้าวร้าวแบบนี้…”
“ไม่มีใครสอนหรอกซ้อ ฮวงก็เป็นแบบนี้ตั้งแต่เล็กแล้ว บางทีฉันก็งงเหมือนกันว่าอีเอานิสัยตรงไปตรงมาพูดไปตามเนื้อผ้าแบบนี้มาจากใคร เพราะลูกคนอื่นก็ขี้เกรงใจไม่อยากพูดให้เป็นเรื่องเหมือนอั๊วหมด เฮ้อ…อั๊วละหนักใจกับลูกคนนี้เหมือนกันนะซ้อ” กุ้ยเตียงทำท่าหนักใจจริง ๆ
ซ้อของหล่อนตาแทบถลนด้วยความไม่พอใจ นึกอยากจะสะบัดหน้าเดินออกจากงานให้คนรับรู้
ความไม่พอใจของตัวเอง แต่นึกได้ว่าเดินกลับไปตอนนี้คงไม่มีใครสนใจเดินตาม และตอนนี้เป็ดปักกิ่งที่ถูกเฉือนเอาแต่หนังบางกรอบกำลังยกขึ้นเสิร์ฟตามโต๊ะ ถ้าไม่รีบกลับไปโต๊ะตอนนี้หนังเป็ดชิ้นใหญ่สวย ๆ คงถูกผู้ร่วมโต๊ะคนอื่นคีบเอาไปหมด หล่อนจึงพึมพำว่า
“ลูกไม่มีพ่อมีแม่แต่ไม่ยอมสั่งสอนให้ดีก็เป็นอย่างนี้แหละ” จากนั้นก็เลียนแบบฉื่อฮวงสะบัดเดินกลับไปที่โต๊ะของตัวเองอย่างกระแทกกระทั้น
กุ้ยเตียงถอนใจยาวอย่างเบื่อหน่าย ซิ่วเฮียงที่คอยจับตามองอยู่เข้ามาทักว่า
“หยี่แจ้หน้าขาวจัง ไม่สบายหรือเปล่าจ๊ะ ไปนั่งกินอะไรสักหน่อยเถอะ เรื่องดูแลแขกให้บ่าวสาวเขารับผิดชอบกันไป”
“ไปนั่งก็กินอะไรไม่ลงหรอก เหนื่อยจนมันตื้อไปหมด” ช่วงนี้อาจจะเพราะต้องจัดงานให้ลูกชายคนโต กุ้ยเตียงวุ่นวายกินข้าวไม่ตรงเวลา ล้มตัวลงนอนแทนที่จะเหนื่อยจนหลับไปเองดันกลับกังวลกลัวจะผิดนั่นพลาดนี่จนตาค้างแข็ง หลับไม่ลงเสียอย่างนั้น
“เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็ว่างงานแล้ว ทนอีกนิดนะจ๊ะ”
“อืม พรุ่งนี้จะพักแล้ว ไม่ทำอะไรอีกแล้ว” หญิงสาวรับคำ
แต่วันรุ่งขึ้นก็ยังมีเรื่องที่ต้องให้ทำ มีปัญหาให้ต้องจัดการแก้ไข มีเช็คที่ต้องให้ไปแลกเป็นเงินสดมาหมุนเวียนใช้ทั้งจากเรื่องจัดงานและเรื่องร้าน
โชคดีที่หลังแต่งงานแล้วฉื่อไท่ปรับปรุงตัวเองดีขึ้น เริ่มรู้จักอยู่เฝ้าร้านช่วยมารดาดูแลเรื่องสั่งของมาขายและคุมคนงานดูแลเรื่องสต๊อกสินค้า นงนุชก็ยังคงทำงานประจำอยู่ที่เดิม ตกเย็นเลิกงานก็มาที่สะพานหันเพื่อรอกลับบ้านพร้อมสามี ความกังวลของกุ้ยเตียงที่ว่าพอลูกชายแต่งงานแล้วจะชวนลูกสะใภ้เอาแต่เที่ยวเล่นจึงตกไป แต่มีปัญหาใหม่แทนเพราะนงนุชนั้นไม่เคยชินกับการอยู่ในบ้านที่มีพี่น้องอยู่ด้วยจำนวนมาก มาเจอฉื่อกกที่ดื้อรั้นและซุกซนสุด ๆ เจอฉื่อฮวงที่นิสัยแข็ง ๆ ขวางหูขวางตาคนทั้งโลกกับน้องสาวที่เหมือนพี่สาวอย่างฉื่อย้ง หล่อนก็มึนงงหนัก และเกิดอาการถอยห่างอย่างเห็นได้ชัด วัน ๆ ชอบอยู่แต่ในห้องของตัวเองกับสามี จะออกจากห้องก็เมื่อถึงเวลากินข้าวหรือเวลาออกไปทำงานเท่านั้น
นงนุชถึงขนาดซื้อโทรทัศน์เครื่องเล็ก ๆ มาไว้ในห้องเพื่อที่จะได้ดูรายการที่ต้องการโดยไม่ต้องแย่งหรือไปนั่งเบียดดูกับคนอื่น ๆ ในบ้าน
อันที่จริงถ้าสะใภ้ใหม่เปิดใจมากกว่านี้ อดทนมากกว่านี้ พยายามปรับตัวมากกว่านี้อีกสักนิด
การอยู่บ้านลานมะเกลือของหล่อนก็คงไม่แปลกแยกมากเท่านี้ แต่ลูกสาวคนเล็กของบ้านที่เคยมีแต่คนตามใจมีความอดทนไม่มากพอ พอเจออะไรไม่ได้ดังใจนิด ๆ หน่อย ๆ ก็ไม่พูดคุยหรือหาทางออก แต่กลับหนีเข้าห้องปิดประตูเก็บตัวเงียบ ๆ
ความสัมพันธ์ระหว่างสะใภ้ใหม่กับน้อง ๆ ของสามีจึงค่อย ๆ เหินห่างออกไปเรื่อย ๆ
หลังจากงานแต่งงานฉื่อไท่ไม่นาน เหง็กลั้งที่มาช่วยงานร้านสะพานหันมาตั้งแต่ลานมะเกลือถูกปรับเป็นเรือนแถวห้องเช่าก็มาขอออกจากงาน อาเต็กลูกชายคนเดียวของหล่อนแต่งเมียไปเมื่อสองสามปีก่อน ภรรยาของเขาซิ่วจูเป็นลูกกำพร้า หล่อนอาศัยอยู่กับพี่ชายและพี่สะใภ้ที่อายุมากกว่าหลายปี แต่เดิมพี่ชายของหล่อนทำงานโรงงานแห่งหนึ่ง แต่เกิดมีปัญหากับผู้จัดการเลยลาออกมาขับรถรับจ้าง เขาเดินเข้ามาขอเช่ารถจากอาเต็กเพราะมีคนแนะนำมาว่าอู่นี้ดี ไม่เอาเปรียบคนเช่า
พี่ชายซิ่วจูเช่ารถรับจ้างมาขับอยู่เกือบปี สนิทสนมกับเจ้าของอู่รถเช่ามากขึ้นทุกวัน ๆ เขาเห็นอาเต็กนิสัยดี ขยันขันแข็ง ไม่กินเหล้าไม่สูบบุหรี่ไม่เจ้าชู้ จึงยอมหน้าหนาชวนอาเต็กไปกินอาหารที่บ้านเขา จากนั้นก็แนะนำน้องสาวคนเดียวให้อาเต็กรู้จัก
ซิ่วจูไม่ใช่คนสวยสะดุดตาอะไร หล่อนเป็นคนหน้าตาเกลี้ยงเกลาแบบไปวัดไปวาตอนสาย ๆ ได้ แต่ไม่ใช่สวยจนคนต้องเหลียวหลังมอง แต่สาวสิบแปดนั้นมีจุดเด่นตรงขยันขันแข็ง ทำงานหนักเอาเบาสู้ อยู่บ้านพี่ชายก็ไม่ได้นิ่งดูดายช่วยพี่สะใภ้ทำงานบ้าน ช่วยเลี้ยงดูหลานเล็ก นับว่าเป็นผู้หญิงที่ดีคนหนึ่ง
อาเต็กเข็ดหลาบผู้หญิงสวยอย่างเน้ยมาแล้ว พอเจอซิ่วจูที่หน้าตาธรรมดาแต่นิสัยดีเลยถูกใจเป็นพิเศษ เขาพาซิ่วจูไปพบม้า เหง็กลั้งก็พอใจสาวน้อยคนนี้มาก ดังนั้นคบหากันอยู่ไม่กี่เดือนทั้งคู่ก็แต่งงานกัน แต่งงานกันยังไม่ถึงสามปีดีทั้งคู่มีลูกสองคน ตอนมีลูกคนแรกซิ่วจูทั้งเลี้ยงลูกและช่วยงานที่อู่ของเต็กไปด้วย แม้จะเหนื่อยแต่ก็ทำไหว แต่พอลูกคนที่สองเกิด กิจการที่อู่รุ่งเรืองขึ้น งานทั้งสองทางล้นมือจนหญิงสาวทำไม่ไหว เหง็กลั้งจึงตัดสินใจย้ายไปอยู่กับลูกชายลูกสะใภ้เพื่อช่วยเลี้ยงหลาน ซิ่วจูจะได้ไปช่วยสามีที่อู่ได้อย่างเต็มที่
กุ้ยเตียงไม่อยากให้เหง็กลั้งลาออก แต่ไม่เห็นแก่ตัวพอจะรั้งไว้
เหง็กลั้งที่ไว้ใจได้ลาออกแล้ว หญิงสาวต้องทำงานหนักขึ้น แม้ซิ่วเฮียงจะมาช่วยงานร้านแบบวันเว้นวัน แต่กุ้ยเตียงก็ยังต้องออกไปร้านแต่เช้าและกลับมาค่ำ ๆ แทบทุกวัน
ครึ่งปีหลังจากที่ฉื่อไท่แต่งงาน หลีมุ่ยก็พาลูกชายคนโตพร้อมกับแฟนสาวคนเดิมแม่ที่แท้จริงของลดาวัลย์หรืออาเหมยมาแจกการ์ดเชิญแต่งงาน แม้หลีมุ่ยจะไม่ค่อยชอบสะใภ้ใหญ่คนนี้เหมือนกัน แต่
อยู่ต่อหน้าคนอื่นหล่อนยังคุยฟุ้งอวดคุณงามความดีของอีกฝ่ายได้อย่างไม่ละอายปาก
เย็นนั้นในโต๊ะอาหารผู้ใหญ่และเด็กบ้านลานมะเกลือพูดคุยถึงเรื่องอาฮงจะแต่งงานด้วยความสนอกสนใจ ฉื่อฮวงคนตรงออกความเห็นว่า
“กิ๋มมุ่ยนี่เหมือนพยายามแข่งกับม้าทุกอย่างเลยนะ เฮียไท่แต่งงาน เฮียฮงก็แจกการ์ดตามเลย ได้ข่าวว่าขนมหมั้นที่แจกญาติฝั่งเจ้าสาวกิ๋มมุ่ยเลือกเองใช่ไหมม้า เลือกเอาดี ๆ แบบจากร้านชั้นหนึ่งเลยนะ ทั้ง ๆ ที่ไอ้ขนมหมั้นมันไม่ใช่เรื่องทางผู้ชายสักหน่อย”
“กิ๋มมุ่ยเขาห่วงเรื่องหน้าตา กลัวคนโน้นคนนี้จะนินทาทั้ง ๆ ที่ไม่มีใครเขาอยากสนใจด้วย” ฉื่อย้งออกความเห็นบ้าง “ว่าแต่เฮียฮงเห็นเหมือนเกเรเจ้าชู้ ๆ แบบนั้น เอาเข้าจริง ๆ ก็รักเดียวใจเดียวเหมือนกันนะ จบมัธยมแยกย้ายกันไปเรียนต่อตั้งหลายปี สุดท้ายก็กลับมาแต่งกันเหมือนเดิม แล้วนี่อาเหมยจะทำยังไงน่ะม้า กิ๋มมุ่ยจะคืนให้พ่อแม่แท้จริงเขาไหมหรือจะยึดลูกเขาไว้เลย”
“ไม่รู้” กุ้ยเตียงส่ายหน้าพร้อมยกมือนวดขมับไปด้วย ก่อนกินข้าวหล่อนใช้น้ำมันนวดที่เรียกติดปากว่าอิ๊วนวดศีรษะและต้นคอไปรอบแล้วเพื่อบรรเทาอาการปวด แต่ดูเหมือนจะช่วยอะไรไม่ได้มากนัก “กิ๋มพวกลื้อเล่าทุกอย่างจ๋อย ๆ แต่เรื่องนี้ไม่พูดเลย แต่ม้าว่ากิ๋มมุ่ยลื้อคงไม่คืนหรอก เลี้ยงมานานขนาดนี้ รักเป็นลูกไม่ใช่รักแบบหลาน น่าจะยึดไว้เลยมากกว่า”
“ม้า ม้าเป็นอะไรหรือเปล่าหน้าขาวมากเลย” จู่ ๆ ฉื่อย้งที่ช่างสังเกตกว่าใครก็ทักขึ้น
“นั่นสิ หยี่แจ้เป็นอะไรหรือเปล่าจ๊ะ ไม่สบายหรือเปล่า” ซิ่วเฮียงถาม
“แค่ปวดหัว เดี๋ยวทาอิ๊วอีกหน่อยคงจะดีขึ้น”
กุ้ยเตียงพูดพร้อมกับลุกขึ้นเพื่อจะไปหยิบน้ำมันนวดขวดโปรด หล่อนไม่รู้เลยว่าเสียงที่พูดออกไปนั้นผิดปกติจนฉื่อกกโวยวายอย่างตกใจว่า
“ม้า ทำไมม้าพูดเสียงอ้อแอ้”
กุ้ยเตียงหันมาหาลูกชายคนโปรด ตอนแรกหล่อนเห็นเขาชัดเจนดี แต่วินาทีถัดมาดวงตาของหล่อนพร่าเลือนเพราะความปวด ปวดเหมือนมีใครตอกตะปูลงในศีรษะ จากนั้นทุกอย่างกลับมืดสนิทลงในชั่วเวลาไม่กี่วินาที
ภาพสุดท้ายที่หญิงสาวเห็นและสลักลึกลงในใจคือภาพหน้าตาตื่นของฉื่อกก อากกของม้า อย่ากลัวนะ…อย่า…
กุ้ยเตียงถูกพาส่งโรงพยาบาลในเย็นนั้น การเดินทางค่อนข้างทุลักทุเลไม่น้อยเพราะฉื่อไท่ไปกินข้าวเย็นที่บ้านนงนุชยังไม่กลับ ฉื่อย้งกับฉื่อไช้จึงต้องช่วยกันอุ้มกุ้ยเตียงไปขึ้นลานวัด คนขับรถเลิกงาน
แล้วตามตัวไม่ได้ ฉื่อย้งจึงต้องขับรถพาม้าไปโรงพยาบาลเอง โดยมีซิ่วเฮียงกับฉื่อไช้ตามไปด้วยแค่สองคน ส่วนเด็กคนอื่น ๆ นั้นซิ่วเฮียงสั่งให้รออยู่ที่บ้านกับเง็กซิม ภาพเด็ก ๆ ที่กอดกันอย่างตระหนกบีบคั้นหัวใจผู้ที่พบเห็นไม่น้อย
ตลอดทางซิ่วเฮียงจับมือที่เย็นจัดของกุ้ยเตียงไว้ หญิงสาวที่ใจคอหายอย่างประหลาด พยายามทั้งบีบและนวดด้วยหวังว่ามือไม้ของอีกฝ่ายจะอุ่นขึ้น หวังว่าวินาทีถัดไปอีกฝ่ายจะลืมตาขึ้นและบ่นว่าอั๊วแค่เป็นลมวุ่นวายอะไรกันหนักหนา…
“หยี่แจ้ หยี่แจ้” ซิ่วเฮียงกระซิบพึมพำตลอดเวลาว่า “อย่าทิ้งเฮียงไปนะจ๊ะ สัญญาแล้วนะจ๊ะว่าเราจะอยู่กันไปจนอายุเก้าสิบปีร้อยปี หยี่แจ้อย่าทิ้งเฮียงอย่าทิ้งเด็ก ๆ ไปนะจ๊ะ สัญญาแล้ว…สัญญาแล้วนะ…”
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 44 : ฝันสลาย
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 43 : รอยร้าว
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 42 : สัญญา
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 41 : อามาลัย
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 40 : พบหน้า
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 39 : ลูกไม่มีพ่อ
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 38 : หมากฝรั่งบุหรี่
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 37 : พิราบขาว
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 36 : คนนอก
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 35 : ผู้ชนะ (ตอนที่ 2)
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 34 : ผู้ชนะ (ตอนที่ 1)
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 33 : คดในข้องอในกระดูก
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 32 : สัญญาที่ไม่เป็นธรรม?
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 31 : แม่ม่ายลูกกำพร้า
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 30 : ฟ้าถล่ม
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 29 : ลูกชายลูกชาย
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 28 : ไม่มีอะไรแน่นอน
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 27 : เด็กน้อยของซิ่วเฮียง
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 26 : สันดานคนยากจะเปลี่ยน
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 25: รถจี๊ปสีเขียว
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 24 : หวังดีเกินไป รักเกินไป
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 23 : เรื่องที่เข้ากันได้
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 22 : หยี่แจ้ โอ่ยแจ้
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 21 : แต่งงาน
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 20 : สู่ขอ
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 19 : ชีวิตไม่มีอะไรแน่นอน
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 18 : เห็นขี้ดีกว่าไส้
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 17 : กระต่ายก็กัดเป็น
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 16 : เลิกกับผัวแล้ว
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 15 : ปุ๋ยดีไม่ควรปล่อยให้ไหลลงนาผู้อื่น
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 14 : ลานมะเกลือ
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 13 : ศาลองค์แป๊ะกง
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 12 : เข้ากรุง
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 11 : ส้วมที่แตกแล้ว
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 10 : บ้าน
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 9 : หันหลังกลับ
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 8 : พยอม
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 7 : หมดสิ้น
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 6 : หาญ
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 5 : วาสนา
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 4 : ดอกไม้ผ้า
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 3 : ตุ้มหูทอง
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 2 : แม่ผัว
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 1 : ซิ่วเฮียง