
แก่นไม้หอม บทที่ 7 : หมดสิ้น
โดย : กิ่งฉัตร
แก่นไม้หอม นวนิยายออนไลน์ โดย กิ่งฉัตร ที่อ่านเอาอยากให้คุณได้อ่านออนไลน์ กับเรื่องราวที่จะทำให้คุณได้รู้ว่าผู้หญิงเป็นเมียและแม่ไม่ต่างจากแก่นไม้ที่แข็งแกร่ง มั่นคงและทรหดที่ยึดให้ใบได้แผ่กว้าง และหากโลกนี้เชื่อว่าผู้ชายเป็นใหญ่ แต่จริงๆ แล้วทุกสรรพสิ่งในธรรมชาติล้วนเป็นหยินที่โอบหยางทั้งสิ้น
ซิ่วเฮียงและลูกชายยังต้องอยู่โรงพยาบาลอีกคืนสองคืน พนมอยู่ได้จนถึงหมดเวลาเยี่ยมแล้วต้องกลับ แต่คืนนี้แม่มือใหม่ไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดและหดหู่เหมือนเมื่อคืนก่อนอีกแล้ว จะว่าไปซิ่วเฮียงพอใจที่ออกจากโรงพยาบาลช้าหน่อยเสียด้วยซ้ำ เพราะอยู่ที่นี่หญิงสาวได้เรียนรู้วิธีการให้นมลูกและอาบน้ำลูกท่าที่ถูกต้องจากพยาบาล ได้คุยกับแม่ๆ เตียงอื่น แม่เตียงซ้ายและขวามือของหล่อนล้วนแต่เป็นแม่ลูกสองลูกสาม มีประสบการณ์เลี้ยงเด็กอ่อนมาแล้วทั้งนั้น ซิ่วเฮียงช่างคุยช่างถามเลยได้ความรู้ใหม่ๆ เกี่ยวกับการดูแลเด็กมาไม่น้อยเลย
ดึกคืนนั้นซิ่วเฮียงลุกเดินเตาะแตะไปเข้าห้องน้ำ จากนั้นก็เดินเลยไปทางห้องเด็กเพื่อแอบดูลูกชายสักหน่อย แต่พอเดินไปใกล้โต๊ะพยาบาลเวรดึกก็ได้ยินเสียงคุยกันเบาๆ ว่า
“…แน่ใจหรือว่าใช่ผู้ชายคนนั้นจริงๆ”
“แน่สิ เธออาจไม่ทันมองชัดๆ แต่พ่อของเด็กเตียงสามน่ะมาขอน้ำร้อนจากฉัน พอเห็นหน้าฉันก็ชะงักหน้าเจื่อนไปเลย คงไม่นึกว่าจะเจอหน้าลูกค้าที่เขาเพิ่งขายทองให้เมื่อสองวันก่อน”
“ต๊ายใครจะไปนึก แล้วนี่ทำไมเธอไม่ทักไปล่ะว่าเมื่อวันก่อนยังเป็นแฟนเจ้าของร้านทองอยู่เลย ทำไมวันนี้เมียคลอดลูกแล้ว” เสียงคนแนะเหมือนไม่ค่อยพอใจเท่าไร เกลียดนักผู้ชายเจ้าชู้
“บ้าหรือหมู เรื่องคนอื่นใครจะไปอยากยุ่ง แค่บอกให้รู้ไว้ว่าผู้ชายหน้าตาดีๆ น่ะไว้ใจไม่ได้ สงสารแต่เมียเขา ยังดูเด็กอยู่เลย อายุแค่สิบเจ็ดสิบแปดมั้ง เพิ่งมีลูกคนแรกด้วย…”
“แล้วเธอไม่สงสารแฟนอีกคนของเขาหรือวิไล ไม่รู้รายนั้นรู้หรือเปล่าว่าแฟนเด็กของตัวเองมีลูกมีเมียอยู่แล้ว”
“ไม่สงสาร เป็นยาจกอย่าริไปสงสารเศรษฐีเลย ผู้ชายคนนั้นดูหน้าตาแล้วกะล่อนแต่ไม่โง่ เธอคิดว่าระหว่างเมียเด็กกับตู้ทองเขาจะเลือกใคร” พยาบาลที่เอ่ยอายุใกล้สามสิบแล้ว ทำงานกับผู้คนมีประสบการณ์มากมาย แค่เห็นก็พอประเมินอะไรๆ ได้
“เฮ้อ สงสารผู้หญิง ลูกก็ยังเล็ก อุ๊ย…” คำหลังร้องอย่างตกใจเพราะหันมาเห็นหัวข้อสนทนายืนอยู่ด้านหลังเงียบๆ
“อ่า…เอ่อ…มีอะไรให้ช่วยหรือเปล่าคะ”
“ขะ…ขอน้ำสักแก้วได้ไหมจ๊ะ”
“ได้ค่ะได้ ไปรอที่เตียงก่อนนะคะคุณแม่ เดี๋ยวเอาไปให้ค่ะ” พยาบาลหนึ่งในสองรับคำ จากนั้นก็วุ่นวายหาแก้วน้ำ เตรียมหาน้ำต้มสุก ไม่กล้าสบสายตากับหญิงแม่ลูกอ่อน
ซิ่วเฮียงเดินเตาะแตะกลับไปที่เตียง หยุดนิดหนึ่งเพื่อมองป้ายที่แขวนไว้ตรงซี่ลูกกรงปลายเตียง
หมายเลข 3
หญิงสาวนอนไม่หลับทั้งคืน หล่อนคิดหนักว่าเป็นเรื่องบังเอิญหรือเปล่า บางทีพยาบาลคนนั้นอาจจะจำคนผิด หรือไม่ก็จำวันผิด คิดว่าเจอพนมเมื่อวานซืนแต่จริงๆ แล้วเจอเมื่อวานตอนที่เขาไปเลี่ยมพระและซื้อกำไลข้อเท้าให้หาญ
ซิ่วเฮียงคิด…คิดว่าจะถามพนมตรงๆ ดีไหม หรือว่าจะดูจับสังเกตไปก่อน เพราะถ้าเป็นเรื่องเข้าใจผิด…ใช่…มันต้องเข้าใจผิดแน่ๆ และถ้าหล่อนบุ่มบ่ามถามพนม เขาอาจจะโกรธ อาจจะน้อยใจ เสียใจ…
กระทั่งเช้าเมื่อผล็อยหลับไปด้วยความอ่อนเพลียซิ่วเฮียงก็ยังตัดสินใจอะไรไม่ได้ รู้แต่ว่าในอกของหล่อนนั้นหน่วงหนักไปหมด ความสุขที่ได้จากการอุ้มลูกให้นมลูกก็ไม่มากล้นเหมือนเมื่อวาน…
ซิ่วเฮียงหลับไปตื่นหนึ่ง ลืมตาขึ้นมาให้นมลูกแล้วก็คิดว่าจะพูดกับพนมอย่างไรดี แต่พนมกลับไม่มาหาหล่อนเลย สันต์ที่เห่อหลานชายมากก็ไม่มา ตอนที่หญิงสาวเริ่มกังวลมาลัยก็แวะมาด้วยสีหน้าอิดโรย หล่อนกระซิบบอกว่า
“หนาหนีออกจากบ้านไปแล้วพี่เฮียง”
“อะไรนะ” หญิงสาวอุทานก่อนรู้ตัวลดเสียงลง “ไปตั้งแต่เมื่อไหร่ ไปยังไง”
“หายไปตั้งแต่เช้าแหละ ตอนแรกก็นึกว่าหนาไปขายของตามปกติ ตอนค่ำหนาไม่กลับบ้าน แม่ก็ยังด่านึกว่าหนาคงไปเที่ยวเล่นกับเพื่อน จนจะสองยามแม่กับพ่อเริ่มร้อนใจเลยออกตามหา ฉันไปเปิดตู้ดูเห็นเสื้อผ้าหนาหายไปหมด เลยเดาว่าหนาคงหนีออกจากบ้าน…”
แน่นอนว่าพิกุลไม่ยอมเชื่อว่าลูกสาวคนเล็กที่หาเงินเก่งและอยู่ในโอวาทจะหนีออกจากบ้าน ดังนั้นหล่อนจึงตระเวนไปตามบ้านเพื่อนและบ้านญาติ เคาะประตูเรียกถามไปทีละหลัง ถามไปถามมาไม่เจอร่องรอยลูกสาวแต่กลับรู้เรื่องที่วาสนาโดนไล่ออกจากงาน
“หนามันถูกไล่ออกจากงานเพราะลักเงินทอนลูกค้า” มาลัยเล่าเสียงเบาเหมือนแมลงหวี่ “แม่โวยวายใหญ่บอกว่าหนาเป็นเด็กดีไม่มีทางทำแบบนั้น แต่เพื่อนๆ หนาบอกว่าให้แม่ไปถามเจ้านายหนาได้เลย เขาว่าหนามันทำจริงและทำมานานแล้วด้วย”
ซิ่วเฮียงฟังแล้วโกรธจนแค่นเสียงหัวเราะออกมานิดหนึ่ง วาสนาร้ายเหลือเกิน ถูกไล่ออกเพราะโลภลักเงินคนอื่น แต่กลับมาโยนความผิดให้หล่อนหน้าตาเฉย คนอะไรอายุยังน้อยแต่ร้ายกาจช่างคิดช่างวางแผนได้ถึงขนาดนี้
“แม่แกแทบล้มทั้งยืน ด่าหนาเสียไม่มีดี บอกว่าอายชาวบ้านเขาด้วย พ่อแม่เข้าวัดเข้าวาแต่ลูกรักษาไม่ได้แม้แต่ศีลห้า ถ้าเจอตัวจะตีให้ตาย”
หญิงสาวฟังแล้วอยากหัวเราะ อย่าว่าแต่วาสนาเลย…แม่ผัวหล่อนเองก็รักษาศีลห้าไว้ได้เสียที่ไหนกัน
“พ่อเลยบอกว่าที่หนามันหนีออกจากไปเพราะคงกลัวแม่ตีนี่แหละ แล้วพ่อก็ห่วงด้วยเพราะหนาหนีไปแบบไม่มีเงินติดตัวไปเลย แม่เลยให้ทุกคนออกตามหาหนามัน นี่วันนี้พ่อแกไปตามที่คอกควายเห็นว่ามันมีเพื่อนสนิทอยู่ที่นั่น พี่พนมไปหาแถวกระซ้าขาวคงเลยไปถึงอัมพวา ส่วนฉันแม่ให้มาดักรอที่แถวตลาด ฉันรอจนเมื่อยก็เลยมาหาพี่เฮียงนี่แหละจ้ะ”
มาลัยไม่เหมือนคนอื่นๆ ในครอบครัว หล่อนรู้ว่าน้องสาวคนเล็กนั้นเก่งและร้ายแค่ไหน ลงว่าจะหนี วาสนาไม่มีทางหนีไปใกล้ๆ ให้ใครตามเจอหรอก ป่านนี้คงเข้ากรุงเทพฯ ไปแล้ว แต่มาลัยรู้ว่าพูดไปก็คงไม่มีใครฟัง หล่อนจึงนิ่งเสีย
และเป็นอย่างที่มาลัยคาดไว้ แม้คนในบ้านจะตามหากันเท้าพลิก แต่วาสนาเหมือนหายเข้ากลีบเมฆไปเลย กระทั่งวันที่ซิ่วเฮียงกลับบ้าน พนมจึงหยุดวิ่งรอกตามหาน้องสาวและพาเมียกับลูกกลับห้องเช่า สีหน้าชายหนุ่มเหน็ดเหนื่อยขอบตาดำคล้ำเพราะอดนอน หญิงสาวจึงไม่กล้าถามอะไรทั้งนั้น แค่อุ้มลูกตามเขาไปแต่โดยดี
ซิ่วเฮียงเป็นคนไขห้องเข้าไปเพราะพนมบอกว่าลืมกุญแจไว้ที่บ้านเก่า เปิดประตูออกหญิงสาวต้องผงะเพราะห้องกลิ่นเหม็นของกับข้าวเก่าและของสดที่เน่าบูด ผ้านุ่งที่ผลัดไว้ก่อนไปโรงพยาบาลยังพับอยู่จุดเดิมแต่แห้งแข็งและเต็มไปด้วยกลิ่นไม่พึงประสงค์
หล่อนส่งลูกให้พนมก่อนเดินไปเปิดหน้าต่าง รีบโกยของเน่าของเสียออกจากห้องไปทิ้งไว้ด้านนอก ปากก็บ่นว่า
“พนมไม่ได้กลับมาที่ห้องเลยหรือ กับข้าวบูดหมด ผ้าก็ไม่ได้ซัก เดี๋ยวนะอย่าเพิ่งปูฟูกของลูก ให้เฮียงถูพื้นก่อน”
พนมหงุดหงิดเล็กน้อย เขาไม่เข้าใจว่าทำไมผู้หญิงชอบบ่น แถมอะไรๆ ก็ไม่ถูกใจไปหมด เขาจึงแก้ตัวว่า
“ก็ฉันยุ่งจะตาย แต่หนามันอาสามาช่วยซักผ้าล้างจานให้นะ ทำไมไม่ทำอะไรเลยไม่รู้”
ซิ่วเฮียงชะงัก ถามว่า
“หนาน่ะหรืออาสาช่วย”
“ฮื่อ บอกว่าจะช่วยตั้งแต่วันที่เฮียงคลอด แต่คงเปลี่ยนใจหนีไปก่อนเลยไม่ได้ทำอะไร”
หญิงสาวนึกสังหรณ์ใจทันที ลืมสภาพร่างกายที่ยังเดินเหินไปคล่อง รีบกระโจนไปที่กระป๋องแป้งเด็ก ใจหวิวๆ เมื่อรู้สึกถึงน้ำหนักที่เบาหวิว งัดฝาออกมาภายในกระป๋องว่างเปล่า วาสนากวาดเงินเก็บทั้งหมดของซิ่วเฮียงไปโดยไม่ทิ้งไว้ให้ดูต่างหน้าแม้แต่สตางค์แดงเดียว
ซิ่วเฮียงเข่าอ่อนนั่งแปะลงกับพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรง…
เมื่อพิกุลรู้ว่าวาสนาแอบขโมยเงินขายดอกไม้ผ้าของซิ่วเฮียงไปหมดนั้น หล่อนโกรธจนตัวสั่น รีบมาที่ห้องเช่า ไม่สนใจว่าหลานชายที่หล่อนไม่เคยเห็นหน้ากำลังหลับอยู่ พอถึงหน้าห้องเช่าก็เริ่มตะโกนด่าว่า
“นังเฮียง นังตัวซวย รวยมากนักใช่ไหมมึงถึงได้วางเงินล่อหูล่อตาจนหนามันเอาไปใช้หนีออกจากบ้าน ถ้าไม่มีเงินเฮงซวยของมึงลูกกูก็คงไม่หายตัวไปแบบนี้ นังเนรคุณ กูนึกอยู่แล้วเชียวว่าหน้าขาวๆ อย่างมึงจะต้องนำความจัญไรมาให้ครอบครัวกูแน่ อี…”
เสียงด่าลั่นๆ เหมือนฟ้าผ่าทำให้หาญที่เพิ่งหลับสะดุ้งตื่นร้องไห้จ้า ซิ่วเฮียงที่เหนื่อยกับการดูแลลูกทำงานบ้านโกรธจนตัวสั่นไปหมด หญิงสาวอุ้มปลอบลูกพร้อมเปิดประตูห้องออกไปพูดกับพิกุลเสียงแข็งอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อนว่า
“แม่ หลานแม่กำลังหลับอยู่นะ”
“แล้วไง” พิกุลลอยหน้าลอยตาถาม “ลูกมึงไม่ใช่ลูกกูเสียหน่อย ลูกมึงร้องไห้ไม่ได้นอนแล้วยังไง แล้วลูกกูล่ะ ตอนนี้หนามันอยู่ไหน มึงเดือดร้อนไหม”
“ไม่เดือดร้อน” ซิ่วเฮียงสวนทันทีอย่างเหลืออด แม่ย่าที่ไหนเอาเด็กสาวอายุสิบห้าสิบหกมาเทียบกับเด็กที่อายุยังไม่ถึงเจ็ดวันดี แถมฝ่ายหนึ่งยังเจ้าเล่ห์กลิ้งกลอกโตเกินกว่าวัยจริงมาก “หนาโตแล้วเก่งขนาดลักเงินลูกค้าขโมยเงินฉันได้แล้ว จะไปห่วงทำไม”
“มึง…ถ้ามึงไม่อวดร่ำอวดรวยหนามันจะเกิดกิเลสลักเงินหรือ ถ้าไม่วางเงินยั่วมันจะหยิบไปหรือ ทุกอย่างเป็นเพราะมึงแท้ๆ อีเฮียง ที่ลูกกูหนีไปเพราะมึง…มึงต้องรับผิดชอบ”
หญิงสาวอยากหัวเราะดังๆ ด้วยความแค้นใจ นี่มันบ้าบออะไรกัน วาสนาขโมยเงินหล่อนไปสามร้อยกว่าบาท แต่พิกุลกลับโทษว่าเป็นความผิดของหล่อนที่หาเงินได้มากจนทำให้วาสนาอดใจไม่อยู่จนทำความเลว
“ฉันไม่ได้วางเงินยั่วไว้ ฉันเก็บไว้อย่างดีแต่หนาก็ยังขโมยไป และฉันบอกแม่ไว้ตรงนี้เลย หนาไม่ได้จู่ๆ เกิดกิเลสหรอก แต่มันเป็นสันดานของลูกสาวแม่ สันดานขี้ลักขี้ขโมย เห็นแก่ตัวอยากได้แต่ของคนอื่น เอาเปรียบพี่ โกหกตอแหล หน้าหนาหน้าทน…” ยิ่งพูดเสียงซิ่วเฮียงยิ่งดัง เหมือนเขื่อนที่ปริร้าวมานาน พอถึงจุดหนึ่งสันเขื่อนรับน้ำหนักไม่ไหวพังทลายลง ปล่อยให้น้ำจำนวนมากทะลักทลายออกมา คำหยาบคายที่หล่อนเรียนรู้จากผู้หญิงตรงหน้า…ล้วนพ่นออกมาจนหมด พูดจนเหนื่อย จึงหยุดสูดลมหายใจลึกๆ ครั้งหนึ่งก่อนกลับมาเอ่ยอย่างสุภาพแต่เย็นชาว่า
“ถ้าแม่อยากให้ฉันรับผิดชอบเรื่องที่หนาหนีไป ได้…ฉันจะไปโรงพักเดี๋ยวนี้เลย ไปแจ้งตำรวจว่าบ้านฉันถูกขโมยขึ้นบ้าน และขโมยก็ไม่ใช่ใครอื่นแต่เป็นวาสนาลูกแม่พิกุล ทีนี้แม่ก็ไม่ต้องเหนื่อยตามหาหนาหรือเหนื่อยมาเรียกร้องความรับผิดชอบกับฉันแล้ว เพราะตำรวจเขาคงตามหนามาเข้าคุกเอง”
พิกุลอ้าปากพะงาบๆ นึกไม่ถึงว่าลูกสะใภ้ที่เคยหงิมๆ จะลุกขึ้นตอบโต้อย่างเอาเรื่องแบบนี้ เลยได้แต่ชี้หน้ามือสั่น พูดอะไรไม่ออกไปครู่
“นังเฮียง แกกล้าเรอะ!”
“ทำไมจะไม่กล้าล่ะ ฉันไม่ได้ทำอะไรผิดนี่ เงินฉันเก็บในบ้านฉันดีๆ จู่ๆ มาขโมยไป ฉันเสียเงินแล้วเรื่องอะไรจะต้องถูกด่าด้วย ถ้าแม่จะด่าฉันก็พร้อมจะไปแจ้งความเดี๋ยวนี้เลย ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ให้มันตายกันไปข้างหนึ่งเลยก็แล้วกัน เอาเลย ฉันยอมตาย”
เมื่อลูกหมาเริ่มมีเขี้ยวเล็บและพร้อมสู้กลับ หมาแก่ที่เก่งแต่เห่าจึงจำต้องถอย
อันที่จริงพิกุลเคยคิดลงไม้ลงมือเหมือนกัน แต่ซิ่วเฮียงที่อุ้มลูกอยู่ตอนนี้แววตาแข็งกร้าวเหมือนแม่เสือ ดุวาวราวกับจะยอมสู้ตาย อีกอย่างคนเช่าห้องในเรือนแถวสองชั้นนี่ก็พรรคพวกนังเจ๊กตัดผ้าทั้งนั้น ถ้าหล่อนออกมือไปคงมีหลายมือรุมกลับ ดังนั้นพิกุลจึงทำเพียงอาฆาตว่า
“ฝากไว้ก่อนเถอะนังเฮียง กูจะให้ไอ้พนมทิ้งมึง”
“แล้วแต่แม่เลยจ้ะ” ซิ่วเฮียงบอกอย่างหมดอารมณ์ หล่อนเคยรักพนม แต่แม่และน้องสาวคนเล็กของพนมเป็นเหมือนน้ำกรดที่กร่อนทำลายความรักทุกเมื่อเชื่อวัน จนซิ่วเฮียงรู้สึกท้อและเหนื่อยเกินกว่าจะรักต่อไปแล้ว…
“ดี มึงจำไว้เลยนะ”
พิกุลจากไปอย่างโกรธเคืองหนักเสียยิ่งกว่าขามา บรรดาคนเช่าห้องอื่นๆ ที่ไม่ได้ออกไปทำงานพากันชมซิ่วเฮียงว่าดีที่ลุกขึ้นตอบโต้แม่ผัวตัวร้ายบ้าง ขนาดแก้วที่อยู่บนชั้นสองไม่ได้ลงมาร่วมวงด้วยยังตะโกนลงมาว่า
“มันต้องอย่างนี้สิเฮียงเอ๊ย”
ทว่าผู้ที่เพิ่งได้รับชัยชนะในสงครามปากระหว่างแม่ผัวลูกสะใภ้กลับอุ้มลูกชายเข้าห้องไปอย่างเงียบๆ พอปิดประตูลงซิ่วเฮียงก็กล่อมลูกให้หลับใหม่ทั้งน้ำตา กระทั่งหาญหลับไปแล้วหล่อนกลับยังร้องไห้กระซิกๆ ไม่หยุด
หญิงสาวไม่ได้ร้องด้วยความโกรธหรือคับแค้นใจ แต่หล่อนร้องไห้ด้วยความกลัว วันนี้ซิ่วเฮียงออกไปด่าทอวาสนาหน้าห้องพัก ถ้าไม่ติดว่าอุ้มลูกอยู่หล่อนคงมือข้างหนึ่งเท้าเอวมืออีกข้างชี้หน้าพิกุลไปแล้ว ท่าทางนี้เหมือนใครน่ะหรือ ก็เหมือนพิกุลแม่ผัวหล่อนไง คำด่าหยาบๆ คายๆ ก็เลียนแบบมาจากพิกุลเหมือนกัน ตอนนั้นหล่อนมุ่งหวังแต่จะชนะ อยากจะด่าวาสนาให้สาแก่ใจ ลืมไปหมดว่ายืนอยู่หน้าเรือนแถว มองไม่เห็นเลยด้วยซ้ำว่าผู้เช่าคนอื่นๆ เปิดห้องออกมาชมดูอย่างสนุกสนาน
ดังนั้นแทนที่ด่าชนะแล้วจะสะใจ อิ่มเอมใจ ซิ่วเฮียงกลับรู้สึกหวาดกลัว กลัวว่าอีกไม่นานหล่อนจะกลายเป็นเหมือนพิกุล ปากร้ายใจดำ สามารถด่าคนกลางตลาดกลางชุมชนได้โดยไม่อาย หญิงสาวกลัวเหลือเกินว่าวันหนึ่งหล่อนจะปฏิบัติกับผู้หญิงของลูกชายอย่างไร้เมตตา
ซิ่วเฮียงไม่อยากเป็นแบบพิกุล ไม่อยากเลยแม้แต่นิดเดียว
โชคดีที่ตอนหัวค่ำแก้วแวะมาหาก่อนไปทำงานที่แพปลา พอเห็นหน้าแดงตาแดงจมูกบวมแดงก่ำของหญิงสาวก็ถามอย่างตกใจว่า
“เอ็งเป็นอะไรไปเฮียง ทำไมร้องไห้จนตาบวมซะขนาดนี้หา”
ซิ่วเฮียงเล่าความกลัวให้น้าแก้วฟังอย่างกลัดกลุ้ม ทว่าอีกฝ่ายฟังแล้วหัวเราะร่า สายตาที่มองหญิงสาวเต็มไปด้วยความเอ็นดู ก่อนปลอบ
“ไม่ต้องร้องแล้ว รู้ไว้เถอะถ้ายังรู้จักกลัว เอ็งก็จะไม่มีทางเป็นอย่างแม่ผัวเอ็งหรอก จำแม่ผัวเอ็งไว้เป็นตัวอย่าง จำไว้เตือนตัวเอง ดูไว้เป็นเยี่ยงแต่อย่าเอาอย่าง เอ็งเกลียดสิ่งที่แม่ผัวเอ็งทำไว้แค่ไหนก็อย่าทำให้คนอื่นเขาเกลียดเอ็งแบบนั้น”
“จ้ะ ฉันจะจำคำน้าแก้วไว้ให้ขึ้นใจเลย” หญิงสาวพยักหน้าระรัว
“กลัวในสิ่งเลวนับว่าดี อย่างน้อยก็แสดงให้เห็นว่าเอ็งยังรู้จักผิดชอบชั่วดี และฉันเชื่อเด็กดีอย่างเอ็งไม่มีทางเป็นคนแบบแม่ผัวเอ็งแน่”
วาจาของเพื่อนร่วมเรือนแถวทำให้ซิ่วเฮียงสบายใจขึ้น แต่สีหน้าของพนมที่กลับมาดึกหลังจากนั้นมากทำให้หญิงสาวหดหู่อีกครั้ง ชายหนุ่มบอกอย่างอ่อนใจว่า
“แม่แกร้องห่มร้องไห้ใหญ่โตบอกว่าเฮียงไม่รู้จักเด็กรู้จักผู้ใหญ่ หาเรื่องจะเอาหนาเข้าคุก แม่แกพูดไปร้องไห้ไป…”
ซิ่วเฮียงชี้หน้าตัวเองที่ยังบวมแดง ถามว่า
“แม่ร้องแล้วเฮียงหัวเราะหรือ”
“ฉันรู้ว่าเฮียงลำบากใจ แต่ยอมๆ แม่แกหน่อยไม่ได้หรือ แกกำลังเสียใจเรื่องหนา”
“เสียใจได้แต่ทำไมต้องโทษเฮียงด้วย เฮียงก็เสียดายเงินที่หนาขโมยไปใจจะขาดเหมือนกัน แถมยังถูกด่าหาว่าสนับสนุนให้หนาหนีอีก ซวยทั้งขึ้นทั้งล่อง” หญิงสาวระบาย
พนมเองก็ปวดใจ เงินตั้งหลายร้อย เขาเองก็เล็งๆ ไอ้กระป๋องแป้งเด็กนั่นอยู่เหมือนกัน แต่พอดีช่วงนี้เงินทองไม่ขาดมือ กินอิ่มมีที่นอนสบาย เลยไม่ได้ให้ความสนใจกับมันนัก ไม่นึกว่าแค่หลงส่งกุญแจห้องให้ครั้งเดียว นังน้องตัวดีจะกวาดเงินหนีหายไปหมดแบบนี้
“แม่แกห่วงหนา เลยพูดอะไรเลอะเทอะ เฮียงก็อย่าไปถือสาแม่แกเลยนะ”
ซิ่วเฮียงไม่รับคำและไม่ปฏิเสธ หญิงสาวไม่เชื่อและไม่ใส่ใจคำพูดของพนมอีกแล้ว ไม่ยึดถือ ไม่เชื่อมั่น กับพิกุลก็เช่นกัน ผู้หญิงที่ไม่แม้แต่จะมองหน้าหลานชายคนแรก มาถึงก็เอาแต่แผดเสียงด่า
แบบนั้น มีอะไรให้ใส่ใจกัน
พนมแปลกใจเล็กน้อยที่เห็นซิ่วเฮียงไม่พูดอะไรสักคำ ไม่ถามไถ่เอาใจใส่ว่าเขาหิวไหมเหนื่อยไหมต้องการอะไรหรือเปล่า ดูเหมือนตั้งแต่กลับมาจากโรงพยาบาลหญิงสาวจะแปลกไปเล็กน้อย คล้ายเหินห่างไป แต่ชายหนุ่มไม่คิดอะไรมาก…เขาไม่ใช่พวกเปลืองความคิดกับเรื่องคนในครอบครัวอยู่แล้ว ดังนั้นจึงสรุปเองว่าซิ่วเฮียงคงเจ็บแผลคลอด หรือไม่ก็เหนื่อยกับการเลี้ยงลูกอ่อนจึงดูเนือยๆ ไป
ดังนั้นพนมจึง ‘อบรม’ หญิงสาวอีกสองสามประโยคให้ลงให้กับพิกุลบ้าง แม่เขากังวลเรื่องน้องสาวที่หายตัวไป ฉะนั้นจะเอะอะไปบ้างอาละวาดไปบ้างก็ให้สงสารคนแก่ ทนๆ ไปหน่อย เป็นลูกเป็นหลานก็ต้องให้ความเคารพผู้ใหญ่บ้าง…
ซิ่วเฮียงไม่โต้แย้งเลยสักคำ หญิงสาวนั่งพับผ้าอ้อมลูก จากนั้นก็เริ่มวางแบบตัดผ้าเป็นกลีบดอกไม้เตรียมทำดอกไม้ขาย
พนมนอนดูลูกชายบนเบาะอย่างเอ็นดู รู้สึกว่าเด็กตัวแดงๆ นุ่มๆ น่ารักดีเหลือเกิน แต่พอหาญตื่นร้องไห้โยเยเพราะถ่ายหนักกลิ่นฟุ้งกระจาย ชายหนุ่มก็พะอืดพะอม ใครจะไปนึกว่าเด็กอายุไม่กี่วันจะสร้างกลิ่นได้แรงขนาดนี้
ซิ่วเฮียงวางมือจากงาน รีบเข้ามาอุ้มมาโอ๋ลูกชายเพราะไม่อยากให้เด็กน้อยร้องไห้ดังรบกวนเพื่อนร่วมเรือนแถวรายอื่นๆ แม้ว่าตอนนี้ผู้เช่ารายอื่นมักทำงานอยู่ที่แพปลา แต่หญิงสาวก็ไม่อยากเสี่ยง
โชคไม่ดีที่ค่ำคืนนี้เหมือนหาญจะงอแงเป็นพิเศษ ปลอบแล้วกล่อมแล้วก็ยังร้องไม่หยุด ซิ่วเฮียงอยากให้พนมช่วย…จะช่วยอุ้มปลอบลูกหรือเอาผ้าอ้อมไปซักก็ได้ แต่ชายหนุ่มกลับทำหน้าเหมือนกำลังเผชิญศึกใหญ่ ยิ่งเมื่อลูกชายแห้งสบายตัวแล้วยังร้องไห้โยเย หันรีหันขวางหาทางถอยร่นหนี
“เฮียง…”
“พนมจะไปนอนบ้านแม่ใช่ไหม” หญิงสาวเดาได้
“ฮื่อ วันนี้แม่แกรู้สึกแย่จริงๆ ฉันเลยอยากอยู่เป็นเพื่อนแกหน่อย อีกอย่างพรุ่งนี้ว่าออกไปตามหาหนามันแต่เช้า ฉันไม่อยากกวนเฮียงกับลูก”
พนมนึกว่าซิ่วเฮียงจะมีน้ำใจถามไถ่ถึงข่าวคราวของวาสนาบ้าง แต่อีกฝ่ายกลับทั้งเขย่าทั้งร้องเพลงเบาๆ กล่อมลูกง่วนเหมือนไม่สนใจอะไรทั้งนั้น ชายหนุ่มขยับตัวอย่างอึดอัดก่อนบอก
“ฉันไปก่อนนะเฮียง ดูแลปิดประตูห้องให้ดีล่ะ ใครมาเรียกก็ไม่ต้องเปิดรับ”
หญิงสาวยังคงไม่เอ่ยอะไร พนมลังเล ความรู้สึกผิดแวบผ่านเข้ามาในใจ แต่เสียงร้องไห้ของเด็กเล็ก…มัน…ช่างน่ารำคาญเหลือเกิน ถ้าลูกร้องอย่างนี้ทั้งคืนเขาคงไม่ได้หลับไม่ได้นอน คิดแล้วพนมที่รักความสบายของตัวเองมากกว่าสิ่งอื่นจึงแค่ยักไหล่ก่อนเดินไวๆ หายไปในความมืด
พนมออกไปได้ครู่หนึ่ง หาญที่เหนื่อยอ่อนก็หยุดร้อง สะอึกสะอื้นเล็กน้อยก่อนหลับไป ถึงเวลานั้นน้ำตาของคนเป็นแม่ก็ไหลนองเต็มหน้าแทน
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 30 : ฟ้าถล่ม
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 29 : ลูกชายลูกชาย
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 28 : ไม่มีอะไรแน่นอน
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 27 : เด็กน้อยของซิ่วเฮียง
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 26 : สันดานคนยากจะเปลี่ยน
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 25: รถจี๊ปสีเขียว
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 24 : หวังดีเกินไป รักเกินไป
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 23 : เรื่องที่เข้ากันได้
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 22 : หยี่แจ้ โอ่ยแจ้
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 21 : แต่งงาน
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 20 : สู่ขอ
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 19 : ชีวิตไม่มีอะไรแน่นอน
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 18 : เห็นขี้ดีกว่าไส้
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 17 : กระต่ายก็กัดเป็น
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 16 : เลิกกับผัวแล้ว
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 15 : ปุ๋ยดีไม่ควรปล่อยให้ไหลลงนาผู้อื่น
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 14 : ลานมะเกลือ
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 13 : ศาลองค์แป๊ะกง
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 12 : เข้ากรุง
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 11 : ส้วมที่แตกแล้ว
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 10 : บ้าน
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 9 : หันหลังกลับ
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 8 : พยอม
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 7 : หมดสิ้น
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 6 : หาญ
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 5 : วาสนา
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 4 : ดอกไม้ผ้า
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 3 : ตุ้มหูทอง
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 2 : แม่ผัว
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 1 : ซิ่วเฮียง