แก่นไม้หอม บทที่ 8 : พยอม

แก่นไม้หอม บทที่ 8 : พยอม

โดย : กิ่งฉัตร

แก่นไม้หอม นวนิยายออนไลน์ โดย กิ่งฉัตร ที่อ่านเอาอยากให้คุณได้อ่านออนไลน์ กับเรื่องราวที่จะทำให้คุณได้รู้ว่าผู้หญิงเป็นเมียและแม่ไม่ต่างจากแก่นไม้ที่แข็งแกร่ง มั่นคงและทรหดที่ยึดให้ใบได้แผ่กว้าง และหากโลกนี้เชื่อว่าผู้ชายเป็นใหญ่ แต่จริงๆ แล้วทุกสรรพสิ่งในธรรมชาติล้วนเป็นหยินที่โอบหยางทั้งสิ้น

แม้พิกุลจะพยายามตามหาทั้งตามบ้านเพื่อนและบ้านญาติ  แต่ไม่มีร่องรอยของวาสนาแม้แต่น้อย  ดูเหมือนเด็กสาวจะหายเข้ากลีบเมฆไปเลย  หล่อนไม่ส่งข่าวกลับบ้าน  ไม่มีแม้แต่จดหมายสักฉบับให้พ่อแม่ได้สบายใจ

พิกุลตรอมใจกินไม่ได้นอนไม่หลับเพราะความเป็นห่วงอยู่เกือบเดือนก่อนตัดใจได้  กระนั้นหล่อนก็ยังมิวายประกาศไปทั่วว่า

“ที่นังหนามันหนีไปเพราะกลัวถูกกูตี  ไม่ได้หนีตามผู้ชายไปเหมือนลูกสาวบ้านเจ๊กบ้านจีนที่ไหน  อย่างน้อยกูก็ภูมิใจวะที่นังหนามันกลัวแม่ตีเพราะกูอยากสั่งสอนให้มันเป็นคนดีเหมือนกู”

เมื่อคำพูดนี้ลอยมาถึงหูซิ่วเฮียง  หญิงสาวทำได้เพียงหัวเราะอย่างขมขื่น  หล่อนอาจจะเลวจริงที่หนีตามพนมมา  แต่คนที่ปากร้ายด่าทอเหยียดหยามเมียของลูกชายตลอดแบบนี้  นี่เรียกว่าคนดีได้หรือ  และแม่ที่ไม่ดีจะเลี้ยงลูกให้เป็น ‘คนดี’ ได้หรือ

แต่หล่อนคร้านจะตอบโต้อะไร  ทำได้เพียงก้มหน้าก้มตาเย็บดอกไม้เพื่อหาเงินมาแทนเงินที่ลูกสาวของ ‘คนดี’ ขโมยไป  เมื่อได้ดอกไม้มากพอที่จะส่งซิ่วเฮียงก็จะเอาเข้าไปส่งร้านตัดเสื้อและร้านขายผ้าที่ตลาดมหาชัย  ครั้งแรก ๆ ที่ไปส่งของหญิงสาวฝากหาญไว้กับน้าแก้ว  ทว่าจะให้ฝากบ่อย ๆ หล่อนก็เกรงใจ  สุดท้ายเลยอุ้มลูกมือหนึ่ง อีกมือถือตะกร้าใส่ดอกไม้เข้าตลาด

ตามปกติถ้าหล่อนไปคนเดียว ซิ่วเฮียงเดินไปเพราะเสียดายค่ารถ  แต่ถ้าเอาหาญมาด้วยหญิงสาวยอมนั่งรถรับจ้างเพราะไม่อยากให้ลูกตากแดดตากลมมากเกินไป

เมื่อถึงตลาดซิ่วเฮียงจะเดินวน ๆ ไปดูตามร้านทองทุกร้านของมหาชัย  ดูแล้วไม่เห็นใครหรืออะไรผิดสังเกต  หล่อนก็โล่งใจ  บอกกับตัวเองว่าพยาบาลสองคนนั่นคงต้องจำคนผิดแน่  จากนั้นหญิงสาวก็จะเอาดอกไม้ไปส่งให้เจ๊เอ็งที่ร้านขายผ้าก่อน  แล้วจึงไปส่งที่ร้านตัดเสื้อโสภา

ดอกไม้ของซิ่วเฮียงสวย  แต่ดาวเด่นที่ใคร ๆ ก็สนใจกลับเป็นหาญ  เด็กชายอายุเกือบสามเดือนแล้ว  คิ้วเข้มตาคมเหมือนพ่อแต่ผิวขาวผ่องเหมือนแม่  ตัวกลมหน้ากลม  หาญเป็นเด็กอารมณ์ดีไม่กลัวคนแปลกหน้า  พอพวกป้า ๆ เจ้าของร้านตัดเสื้อและคนงานเย็บผ้ามารุมล้อมชื่นชม  เขายิ้มแป้น  จับนอนหงายก็เล่นมือตัวเอง  กำ ๆ แบ ๆ ก่อนยัดเข้าปากตั้งใจงับอย่างตั้งอกตั้งใจ  ซิ่วเฮียงดึงมือจากปากเขาจับนอนคว่ำ  พ่อหนูน้อยก็ชันคอมองคนนั้นคนนี้หัวเราะเอิ๊กอ๊าก

น่าเอ็นดูแบบนี้อย่าว่าแต่เจ้าของร้านตัดเสื้อและช่างในร้านเลย  ลูกค้าของร้านที่แวะเข้ามาสั่งตัดเสื้อหรือรับเสื้อต่างก็อดไม่ได้ที่หยุดหยอกเย้ากับหาญ  ทุกคนออกปากว่าเด็กน้อยไม่กลัวคน  ยิ้มหน้าเป็นรับแขกน่ารักน่าเอ็นดูเป็นที่สุด  เห็นแล้วอยากอุ้มเอากลับบ้านเสียจริง ๆ

ซิ่วเฮียงหัวใจพองฟูด้วยความภาคภูมิใจ  ใครชมว่าหล่อนสวยยังไม่ดีใจเท่านี้เลย

“เฮียงมาดูนี่หน่อย”  โสภาเจ้าของร้านตัดเสื้อที่ยืนอยู่กับลูกค้าเรียก  “ดูแบบพวกนี้หน่อยว่าพอจะทำดอกไม้คล้าย ๆ กันออกมาได้ไหม”

โสภาส่งนิตยสารเล่มหนามาตรงหน้า  นิตยสารจากต่างประเทศใช้กระดาษเนื้อดีและพิมพ์สีสันสดใสกว่านิตยสารผู้หญิงของไทยมาก  เสื้อผ้าที่นางแบบสวมก็สวยแปลกตากว่า  มีทั้งกระโปรงชุดแบบสวย ๆ  ชุดกางเกงสีสันสดใส  รวมถึงชุดแต่งงานแบบต่าง ๆ ที่เจ้าของร้านชี้ให้ซิ่วเฮียงดู

“คุณเขาตัดชุดแต่งงานแบบนี้  แต่ดอกไม้แต่งผมอยากเปลี่ยนกุหลาบเป็นดอกพะยอม  เฮียงรู้จักดอกพะยอมไหม”

“รู้จักจ้ะ  เคยเห็นในวัดที่สุพรรณ  ดอกสวยทั้งสวยทั้งหอม”

“พอจะทำให้คุณเขาสักช่อไหวไหม  จะใช้วันที่ยี่สิบแปดเดือนนี้”  โสภาถามไถ่

“น่าจะได้อยู่จ้ะ  เดี๋ยวฉันลองทำดูก่อนแล้วจะเอามาให้ดูนะจ๊ะ  ขอเวลาสักสองสามวัน”

“ดีจริง” ว่าที่เจ้าสาวยิ้มแย้มพอใจ  หล่อนเป็นหญิงสาววัยสามสิบที่จวนใกล้ถึงสี่สิบ  ผ่านเลยวัยแรกแย้มมานานแล้ว  แต่ด้วยความที่ดูแลตัวเองอย่างดี  กินดีอยู่ดีแถมยังมีเชื้อสายจีนทำให้ผิวหน้าผิวตัวขาวผ่องเหมือนหยก  เสื้อผ้าที่สวมก็ดูทันสมัย  ผมก็ตัดเข้าทรงอย่างดี  แถมสวมเครื่องประดับทั้งแหวนกำไลข้อมือและตุ้มหู  เวลายิ้มก็ทำให้รู้สึกชวนมองงามตาไปหมด

อีกอย่างลูกค้าตัดเสื้อรายนี้เข้ามาในร้านก็ชมหาญว่าน่ารัก  ยิ้มหน้าเป็น  ซิ่วเฮียงจึงรู้สึกดีกับหญิงสาวมาก  ฝ่ายนั้นเองก็คงนึกถูกชะตากับหญิงสาวเหมือนกันจึงบอกว่า

“ฝากช่างเร่งทำให้หน่อยนะจ๊ะ  ถ้าสวยถูกใจและเสร็จได้ทันเวลาฉันมีรางวัลพิเศษให้”

“คุณพยอมไม่ต้องห่วงนะคะ  เฮียงฝีมือดี  ไม่เหลวไหลด้วยถ้ารับปากว่าทำให้ได้ก็ทำได้แน่นอน”

ซิ่วเฮียงยิ้มอย่างเข้าใจ  เจ้าสาวชื่อพยอมนี่เองถึงได้อยากได้ดอกพะยอมติดผมแทนกุหลาบ

พยอมหันมาเห็นช่างเย็บดอกไม้มองมายิ้ม ๆ  หล่อนก็อดออกตัวไม่ได้ว่า

“ขอโทษที่ทำให้ช่างยุ่งยากนะ  ฉันเองก็ชอบกุหลาบไม่ได้รังเกียจอะไร  แต่พนมคู่หมั้นฉันเขาไม่ชอบกุหลาบ  ไม่อยากให้ใช้  เขาอยากให้ใช้เครื่องประดับของที่ร้านมากกว่า  แต่ฉันว่ามันไม่ค่อยเข้ากับชุด  เลยแอบมาสั่งดอกพะยอมแทน”

“ชุดไทยสีชมพูตอนเช้าใช้เครื่องประดับทองได้ค่ะ  แต่ชุดขาวแบบฝรั่งกลางคืนนี่เห็นจะไม่เข้ากันเท่าไหร่”  โสภาออกความเห็น

“นั่นสิ  แต่ผู้ชายน่ะพูดไปก็ไม่เข้าใจของแบบนี้  แต่จะค้านเลยก็กลัวเขาจะน้อยใจ  เลยต้องเจอกันคนละครึ่งทาง”  พยอมตอบรับด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม  ความสุขของผู้ที่จะเป็นเจ้าสาวเอ่อล้นออกมาทั้งจากสีหน้าและแววตา

เจ้าของร้านตัดเสื้อพูดจายกยอว่าที่เจ้าสาวอีกสองสามประโยค  วางมัดจำนัดหมายมาลองเสื้อเรียบร้อยพยอมก็ออกจากร้านไปโดยไม่ลืมแวะลาหาญที่ยังคงมองคนนั้นคนนี้อย่างอารมณ์ดี

ส่งลูกค้าแล้วโสภาก็กลับเข้าร้านมาเพื่อถามซิ่วเฮียงว่า

“ดอกพะยอมทำได้แน่นะเฮียง  พี่ดูแล้วมันยากไม่น้อยเลยนะ  แต่ลูกค้าเขาอยากจริง ๆ เงินถึงด้วย  จะบอกปัดไปก็กระไรอยู่  แล้วนี่เฮียงจะต้องใช้ผ้าอะไรพิเศษหรือเปล่า  ลองดูในร้านก่อนก็ได้ว่ามีผืนไหนพอเอาไปตัดทำดอกไม้ได้  เอ๊ะ…เฮียงเป็นอะไรหรือเปล่าหน้าซีดเชียว”

“ไม่เป็นไรจ้ะ  แค่มึน ๆ นิดหน่อย  เดี๋ยวก็หาย”  ซิ่วเฮียงบอกเสียงเบา

“มา ๆ นั่งก่อน  กินน้ำสักแก้วเผื่อจะดีขึ้น” จากนั้นก็หันไปสั่งช่างในร้านว่า  “ใจเอาน้ำมาแก้วนึงแล้วหายาดมมาให้เฮียงด้วย”

หญิงสาวยิ้มแหย  รีบบอก

“ฉันไม่เป็นไรแล้วจ้ะ  อย่าวุ่นวายเลย  ลงนั่งก็ดีขึ้นแล้ว  ว่าแต่คุณพยอมนี่เธอเป็นเจ้าของร้านทองหรือจ๊ะ  เห็นเธอแต่งตัวดีทองเต็มตัวราศีจับจริง ๆ”

“ใช่  แต่ไม่ถึงกับเจ้าของร้านหรอกนะ  เป็นหลานสาวเจ้าของร้าน  แต่ดูแลทุกอย่างเหมือนเจ้าของร้านจริง ๆ นั่นแหละ”

“แล้ว…เจ้าบ่าวของคุณพยอม  พี่โสรู้จักเขาไหมจ๊ะ”

“ไม่รู้จักหรอก  ไม่เคยเห็นหน้า  ชุดแต่งงานเขาก็ตัดกับร้านสูทผู้ชาย  พี่เลยรู้แต่ว่าชื่อพนม”  โสภามองไปทางหน้าร้านจนมั่นใจว่าไม่มีใครแล้วจึงลดเสียงลงจนเหมือนกระซิบ  “เขาว่ากันว่าฐานะสู้คุณพยอมไม่ได้หรอกนะ  เป็นแค่เด็กทำงานในร้านนั่นแหละ  แต่หน้าตาดี  แถมผู้ชายยังอายุน้อยกว่าสิบสี่สิบห้าปีได้มั้ง  แต่นะ…ไม่ใช่เรื่องของเราพูดไปก็ไม่ดี  บางทีเขาอาจจะรักกันจริง ๆ ก็ได้”

ซิ่วเฮียงไม่รู้ว่าตัวเองอุ้มลูกเดินออกมาจากร้านตัดเสื้อได้อย่างไร  หญิงสาวเดินไปเรื่อยเปื่อยแต่ไม่รู้เลยว่าเดินผ่านร้านค้าใดมาบ้าง  รู้ตัวอีกครั้งก็อยู่ที่ท่าเรือข้ามฟากแล้ว  พยายามชะเง้อคอมองหาพนมหรือเพื่อนของเขาที่เคยเห็นหน้าค่าตา  แต่ไม่มีใบหน้าไหนที่รู้จักเลย  สุดท้ายซิ่วเฮียงจึงตัดสินใจเข้าไปหาคนที่ดูแลท่าที่อายุน่าจะรุ่นราวคราวเดียวกับสันต์  หล่อนยกมือไหว้พร้อมถามหาพนม

ฝ่ายนั้นมองตอบกลับมาด้วยสายตาประหลาดก่อนถาม

“เมียไอ้พนมมันหรือ”  เขามองหาญด้วยสายตาอ่อนโยนขึ้นเล็กน้อย  เห็นได้ชัดว่าเป็นคนรักเด็ก

“จ้ะ  พอดีฉันมาธุระแถวนี้เลยแวะมาหาพนม”

“ไอ้พนมมันไม่ได้ขับเรือนานแล้ว  เลิกทำไปเกือบครึ่งปีได้แล้วมั้ง  เห็นว่า…มันไปช่วยเพื่อนขายของในตลาดตั้งนานแล้ว”

“อ้อ…”  ซิ่วเฮียงยิ้มแห้ง  พยายามรักษาหน้าตัวเองด้วยการเอ่ยว่า  “พนมอาจจะบอกฉันแล้วแต่ฉันลืมไป  ขอบใจลุงมากนะจ๊ะ”

หล่อนเอ่ยลา  อุ้มหาญที่เริ่มโยเยเพราะเหนื่อยและร้อนเดินออกจากท่าเรือไปด้วยท่าทางเหมือนคนแก่  ไม่ต้องหันกลับไปก็เดาได้ว่าคนดูแลท่าคงมองตามหลังมาด้วยสายตาเวทนา

ซิ่วเฮียงเรียกรถลากกลับห้องเช่า  ระหว่างที่นั่งอยู่ในรถหล่อนปลอบลูกชายด้วยเสียงอ่อนโยนและเยือกเย็น  ตรงกันข้ามกับคำถามว้าวุ่นในใจ  ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่หล่อนไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับพนมเลย  ไม่รู้ว่าเขาไม่ขับเรือข้ามฟากแล้ว  ไม่รู้ว่าหกเดือนที่ผ่านมาเขาไปทำงานที่ไหนกับใคร

บางทีตลอดเวลาหล่อนอาจจะไม่รู้จักพนมเลยจริง ๆ ก็ได้

กลับถึงห้องเช่า  ซิ่วเฮียงไม่มีเวลาคิดอะไรมากเพราะต้องให้นมและดูแลอาบน้ำลูก  ระหว่างที่หาญหลับสนิทด้วยความเหนื่อยอ่อน  หญิงสาวก็ทำความสะอาดห้องพัก  เพื่อนห้องข้าง ๆ แบ่งหัวกับไข่ปลาริวกิวมาให้  หล่อนเลยแกงส้มหม้อใหญ่แล้วตักแกงชามใหญ่ส่งให้เจ้าของหัวปลา  แกงส้มนี้พิกุลเป็นคนสอนให้นังสะใภ้เจ๊กแกงตามสูตรของคนสมุทรสาคร  แกงรสเผ็ดร้อนเปรี้ยวนำแค่ได้กลิ่นก็ชวนน้ำลายสอ  แต่หญิงสาวแกงเสร็จก็ตั้งวางไว้เพราะไม่รู้สึกอยากอาหาร  ไม่หิว  ไม่รู้สึกร้อน  ไม่รู้สึกหนาว  ทุกอย่างเหมือนชาไปหมด  เดินเหินหยิบจับอะไรล้วนเป็นเพราะความเคยชินมากกว่าสมองสั่งการ

เมื่อไม่มีอะไรให้ทำแล้ว  ซิ่วเฮียงก็รื้อผ้าที่โสภาให้มาลองตัดทำดอกพะยอม  พยอมเองก็รอบคอบพอที่จะหาภาพเขียนดอกไม้มาให้ดูเป็นตัวอย่างคร่าว ๆ ด้วย  หญิงสาวจึงลงมือตัดผ้าในแบบต่าง ๆ กัน  ความยากของทำดอกไม้เล็ก ๆ เหล่านี้คือกลีบดอกที่ม้วนขึ้น  ถ้าไม่ใช้การลงแป้งก็ต้องรีดกลีบ  แต่ดอกมีขนาดเล็ก  ยากจะใช้เตารีดใส่ถ่านที่ค่อนข้างเทอะทะกดทับ  ดูทรงแล้วใช้ผ้าบางแป้งเปียกป้ายแล้วม้วนน่าจะดีที่สุด

“เฮียงทำอะไรอยู่มืด ๆ”  พนมทักขึ้นเมื่อกลับถึงห้องเช่า

ซิ่วเฮียงเงยหน้าขึ้นจากผ้าที่ตัดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยถึงได้รู้ว่าข้างนอกมืดแล้ว

“มีคนมาจ้างทำดอกไม้พิเศษน่ะ  งานเร่งเขาจะใช้วันแต่งงาน”

ชายหนุ่มทำเสียงรับรู้ก่อนเดินไปที่โต๊ะเล็ก  เห็นแกงส้มหัวปลาก็ยิ้มถูกใจแต่พอแตะดูหม้อที่ตั้งไว้เย็นชืดเขาก็บ่น

“ทำไมแกงมันเย็นนัก”

“เดี๋ยวเฮียงอุ่นให้  เอาไข่เจียวด้วยไหม”  หญิงสาววางงานในมือ  ลุกขึ้นเตรียมทำทุกอย่างให้พนมอย่างที่เคยทำ  เพียงแค่วันนี้การเคลื่อนไหวไม่ได้รวดเร็วเพราะกลัวว่าเขาจะต้องหิ้วท้องรอเหมือนแต่ก่อน

“ไข่เจียวก็ดี  แต่เอาฟองเดียวพอนะ  วันนี้กินอะไรกับเพื่อนที่ตลาดมาแล้ว  แต่เห็นแกงหัวปลาของเฮียงเลยอยากกิน”

ซิ่วเฮียงชะโงกหน้าดูลูกชายที่นอนฟูกครอบด้วยมุ้งเล็ก  พอเห็นว่ายังหลับสนิทหล่อนก็วางใจเอาแกงไปอุ่นกับเจียวไข่เพิ่ม  พอวางจานกับข้าวร้อน ๆ ลงบนโต๊ะ  พนมที่นั่งฟังวิทยุโดยเปิดเพลงเบา ๆ ไม่ให้กวนการนอนของลูกชายมองนิดหนึ่งแล้วถามว่า

“ทำไมเจียวไข่มาซะเยอะ”

“เฮียงยังไม่ได้กินข้าว”  หญิงสาวบอกอย่างไร้อารมณ์  ทำไมหล่อนไม่เคยสังเกตเลยว่าพนมนั้นไม่เคยใส่ใจหล่อนเลย  ก้าวเข้าบ้านมาเขาไม่ถามไถ่ว่ากินอะไรหรือยัง  เหนื่อยไหม  ลูกกวนไหม

พนมนั้นให้ความสำคัญอยู่เพียงตัวเขา  ความสะดวกสบายของเขา

ส่วนหล่อนไม่เคยเห็นความสำคัญของตัวเอง

“อ้อ”  ชายหนุ่มทำเสียงเหมือนรับรู้ก่อนรับจานข้าวมาเริ่มกิน

ซิ่วเฮียงนั่งตรงข้ามเขา  ท้องร้องแต่ใจหนักหน่วงจนข้าวฝืดคอยากจะกลืน  สุดท้ายก็วางช้อนมองคนที่ไม่หิวตักข้าวเข้าปากกลืนหาย ๆ

ผู้ชายที่นั่งตรงข้ามหล่อนนี้ทั้งคุ้นเคยและแปลกหน้า

รูปร่างหน้าตาของเขายังเป็นพนมที่หล่อนตามเขามาจากสุพรรณ  แต่ลักษณะของชายหนุ่มเหมือนภูมิฐานขึ้น  ผิวขาวขึ้น  ผิวหน้าเนียนละเอียดขึ้นไม่เหมือนกับคนที่ทำงานหนักกลางแดด  เขาสวมเสื้อผ้าชุดใหม่ที่ซิ่วเฮียงตัดให้  รองเท้าหนังคู่ใหม่ที่หล่อนไม่เคยเห็นมาก่อนวางอยู่ข้างประตู  ยังมีเครื่องประดับที่ข้อมือ…

“พนมซื้อนาฬิกาหรือจ๊ะ”

ชายหนุ่มชะงักไปเล็กน้อยก่อนตอบอย่างไม่ค่อยใส่ใจเท่าไหร่ว่า

“เพื่อนให้ยืมมาใส่เล่นน่ะ”

“เพื่อนคนไหนใจดีขนาดให้ยืมของแพง ๆ มาใส่แบบนี้กัน  คนที่เฮียงรู้จักหรือเปล่าจ๊ะ”

“เฮียงไม่รู้จักหรอก  คนขับเรือด้วยกัน  อีกอย่างเรือนนี้มันของปลอม  ใส่ให้ดูดีเท่านั้นแหละ  ไม่ใช่ของมีราคาอะไร”

บนโต๊ะเงียบไปครู่ก่อนซิ่วเฮียงจะถามขึ้นมาลอย ๆ ว่า

“พนม  ช่วงที่เฮียงท้องพนมมีผู้หญิงอื่นหรือเปล่า”

พนมกระแทกช้อนลงบนจานข้าวเสียงดังเปรื่องใหญ่  ซิ่วเฮียงสะดุ้งรีบหันไปมองลูกชาย  พอเห็นว่าเสียงดังไม่ได้ปลุกหาญตื่น  หล่อนก็หันกลับมาดุว่า

“เบาหน่อยสิพนม  เดี๋ยวลูกตื่น”

“เบาได้ไง  เฮียงพูดแบบนี้กับฉันไม่ให้เกียรติกันเลยนี่นา”

“เฮียงแค่ถามเฉย ๆ”

“ถามแบบนี้มันดูถูกกันชัด ๆ  เฮียงเห็นฉันเป็นคนยังไงกัน”

ซิ่วเฮียงไม่ตอบ  พนมเลยฮึดฮัดบ่นว่าไม่พอใจอยู่พักใหญ่ก่อนบอกว่าจะไปค้างบ้านแม่แล้วผลุนผลันจากไป

ซิ่วเฮียงเก็บจานชามไปล้าง  อาศัยช่วงที่หาญยังคงหลับสนิทรีบอาบน้ำจากนั้นก็เข้าห้องลงกลอน  กางมุ้งอุ้มลูกเข้าไปนอนด้วยกันในมุ้งใหญ่  ลูกตื่นหญิงสาวก็ให้นมเปลี่ยนผ้าอ้อมตบก้นให้เขาหลับ  ตัวหล่อนเองตอนแรกนึกว่าเมื่อล้มตัวลงนอนไม่ได้ทำอะไรให้ไม่ต้องคิด  หล่อนคงนอนไม่หลับแน่ ๆ แต่เอาเข้าจริง ๆ แล้ว  แค่หัวถึงหมอนครู่เดียวซิ่วเฮียงก็หลับไปด้วยความเหนื่อยอ่อน น้ำตาสักหยดก็ไม่มี

 

วันรุ่งขึ้นซิ่วเฮียงเร่งมือทำดอกพะยอมออกมาสองสามดอกเพื่อเป็นตัวอย่าง  จากนั้นก็อุ้มหาญนั่งสามล้อถีบเข้าไปที่ตลาด

คราวนี้ไม่ต้องเสียเวลาวนเวียนไปตามร้านทองต่าง ๆ  หญิงสาวให้รถจอดข้าง ๆ ร้านทองของพยอมได้เลย  ก้าวลงจากรถมองผ่านกระจกใสเข้าไปในร้าน  ร้านทองเพชรมหาชัยไม่มีลูกค้า  มีเพียงพนักงานขายคนหนึ่งที่ง่วนจัดของอยู่กับพนมที่นั่งสบาย ๆ บนเก้าอี้กลมสูงหน้าตู้ทอง  ในมือชายหนุ่มมีนิตยสารฉบับหนึ่งเปิดพลิกไปมาอย่างไม่ตั้งใจนัก

ระหว่างนั้นเองพยอมก็ถือแก้วน้ำหวานที่เย็นจนไอจับมาส่งให้  หญิงสาวหน้าตาเบิกบานพูดอะไรสองสามคำ  พนมยิ้มตอบพร้อมเอ่ยขอบคุณ  สายตาของเขาอ่อนโยน  มองอีกฝ่ายราวกับจะกลืนกินอีกฝ่ายลงท้องไปด้วยความรักใคร่

ซิ่วเฮียงรู้สึกเหมือนดูหนังเรื่องเก่า  พระเอกคนเดิม  การแสดงเดิม ๆ  สายตาแบบเดิม  เพียงแต่ตัวละครหญิงไม่ใช่คนเดิมเท่านั้น

หนังเรื่องนี้น่าจะเป็นเรื่องรัก  แต่ทำไมหญิงสาวกลับรู้สึกเหมือนดูเรื่องตลกอยู่  ตลกที่ผู้หญิงโง่คนหนึ่งงมงายนึกว่าเขารักสุดใจ  ยอมอดทนใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก  ทนกับเสียงด่าทอกระแทกกระทั้นของพิกุล  ยอมกล้ำกลืนกับความเห็นแก่ตัวของวาสนาก็เพราะนึกว่าเขารัก

โชคดี…ที่ต่อไปหล่อนไม่ต้องทนอีกแล้ว

หญิงสาวก้าวเข้าไปในร้าน

พยอมที่ชินกับการค้าขายและรับรองลูกค้าเป็นคนหันมาเห็นซิ่วเฮียงก่อน  หญิงสาวยิ้มกว้างทัก

“ช่างเอาตัวอย่างดอกไม้มาให้ดูใช่ไหมจ้ะ  เร็วดีจริง ๆ  มา ๆ ทางนี้เลย”

ซิ่วเฮียงอุ้มลูกตรงไปหาคนทั้งคู่  พนมตะลึงหน้าเปลี่ยนสีดวงตากลอกไปมาด้วยความวุ่นวายใจ แม้อากาศจะไม่ร้อนแต่เหงื่อเริ่มซึมออกมาทางหน้าผาก

“พนมจ้ะ  ช่างเขาเอาตัวอย่างดอกไม้แต่งผมงานตอนค่ำมาให้ดู  พนมบอกว่าไม่ชอบกุหลาบ  ฉันเลยจ้างเขาทำเป็นดอกพะยอมที่พนมชอบ  พนมช่วยฉันดูหน่อยแล้วกันว่าถูกใจไหม”

ชายหนุ่มหน้าซีดแล้วเปลี่ยนเป็นแดง  กระอักกระอ่วนพูดอะไรไม่ออก

ซิ่วเฮียงขยับลูกชายในอ้อมแขนเบา ๆ ขณะที่มองพ่อของลูกด้วยสายตาเย็นชา  หล่อนทำท่าสงสัยยิ้มน้อย ๆ ก่อนเอ่ยว่า

“เฮียงไม่เคยรู้เลยนะว่าพนมไม่ชอบกุหลาบ  คงไม่ใช่เพราะเห็นเฮียงเย็บกุหลาบทุกวันพนมเลยเบื่อหรอกนะ”

พยอมมองคนทั้งคู่ตรงหน้า  เห็นท่าเอาเรื่องแกมเย้ยหยันของซิ่วเฮียงและกิริยาแตกตื่นของพนมก็รู้สึกไม่ดีขึ้นมาทันที  สัญญาณเตือนบางอย่างดังขึ้นในสมอง  พ่อแม่และญาติพี่น้องของหล่อนไม่ชอบพนม  ทั้งหมดเชื่อว่าพนมนั้นเป็นแค่หนูผอมโซที่หวังตกถังข้าวสาร  แต่หญิงสาวมั่นใจในตัวพนมและมั่นใจในตัวเองมาก  รั้นจะรักจะแต่งกับผู้ชายคนนี้  พ่อแม่พี่น้องเห็นว่าอายุหล่อนไม่น้อยแล้ว  สงสารหล่อนด้วยที่เป็นหม้ายขันหมากมารอบหนึ่งจึงทำใจหลับตาข้างลืมตาข้างยอมตามใจหล่อน

พยอมอยากจัดงานแต่งก็จัดให้  แต่ขอให้ฝ่ายชายแต่งเข้าบ้านจะได้ควบคุมดูแลได้  หญิงสาวเห็นด้วย  พนมเองก็ไม่ขัด

และเพราะเขาไม่ขัดอะไรเลยนี่แหละที่ทำให้พยอมยิ่งมั่นใจในรักครั้งใหม่

หล่อนเชื่อว่าพนมรักหล่อน

พนมบอกว่าอยากจะแต่งงานกับหล่อนเพื่อประกาศให้ทุกคนรู้ว่าเขารักจริง  ติดแต่ว่าเขาไม่ร่ำไม่รวย  แม่ก็ไม่ค่อยสบาย  พยอมเห็นใจเขาเลยแอบเอาเงินส่วนตัวให้เขา  ให้เขาออกค่าใช้จ่ายเรื่องงานแต่งบ้าง  ญาติทางฝั่งหล่อนจะได้ไม่ดูแคลนเขาจนเกินไปนัก

ส่วนเรื่องครอบครัวเขา  พนมบอกว่าแม่เขาโกรธที่เขาตัดสินใจทำเหมือนแต่งเข้าบ้านฝ่ายหญิง  เลยยังไม่พร้อมจะให้หญิงสาวไปไหว้  แต่แม่กับพ่อเขาจะมาร่วมงานแต่งของทั้งคู่แน่นอน  พยอมเองก็มีปมเรื่องอายุทำให้หวั่นเกรงเรื่องการไปพบปะญาติผู้ใหญ่ฝ่ายชายอยู่แล้ว  พอพนมบอกแบบนี้ก็เชื่อและโล่งใจไปพร้อม ๆกัน

ย้อนนึกถึงตรงนี้  พยอมเพิ่งคิดได้ว่าหล่อนนั้นแทบจะไม่รู้เรื่องราวครอบครัวของพนมเลย  รู้แค่ว่าพ่อกับแม่เขายังอยู่  เขามีน้องสาวสองคน…

แม้ช่างเย็บดอกไม้จะแตกต่างกับพนมทั้งรูปร่างหน้าตา  แต่พยอมก็ยังคงพยายามคิดในทางที่ดีไว้ก่อนว่า

“อ้าว  พนมรู้จักกับช่างเฮียงด้วยหรือ  เฮียงคงเป็นน้องสาวพนมสินะ”

“เมียจ้ะไม่ใช่น้อง  พนมนี่ผัวฉันเองจ้ะ  พ่อของลูกฉัน”  ซิ่วเฮียงบอกด้วยความสะใจ  ทว่าเพียงวินาทีถัดมาความสะใจสมใจก็เปลี่ยนเป็นสงสาร  ท่าทางของพยอมไม่ดีเลย  หล่อนผงะไปอย่างเห็นได้ชัดหน้าซีดเผือด  ดูแย่กว่าผู้หญิงที่ถูกผัวนอกใจอย่างซิ่วเฮียงมาก  ท่าทางของฝ่ายนั้นคล้ายคนที่ถูกใครชกอย่างแรงเข้าที่อกโดยไม่ทันตั้งตัว  มีทั้งเจ็บปวด  ผิดหวัง  ขมขื่น

พยอมคล้ายคนที่ยืนอยู่บนยอดเขา  กำลังชื่นชมความงามของภาพที่เห็นตรงหน้าอย่างมีความสุข  มั่นใจว่าสรวงสรรค์ตรงหน้าถูกสร้างสรรค์ขึ้นมาเพื่อหล่อน  แต่ไม่ทันตั้งตัวภูเขาก็ถล่มลงมาต่อหน้า  ภาพงดงามที่เห็นเป็นแค่ฉากลวง ๆ ที่ผู้ชายคนหนึ่งสร้างขึ้นเท่านั้น

หญิงสาวเซเหมือนยืนไม่อยู่  พนมรีบเข้ามาหวังจะช่วยประคองแต่พยอมที่หน้าตาบิดเบี้ยวปัดมือเขาออกอย่างแรง

ในชีวิต…ซิ่วเฮียงจำได้หลายสิ่งและลืมไปหลายสิ่ง  แต่สิ่งหนึ่งที่หญิงสาวไม่เคยลืมเลยคือสีหน้าและแววตาที่เจ็บปวดสุดแสนของพยอมในวันนี้

“คุณพยอม  ผมอธิบายได้”  พนมที่เพิ่งรู้ตัวรีบละล่ำละลักบอก

“จะบอกอะไร  บอกว่าช่างเฮียงกับลูกไม่ใช่ลูกเมียเธอหรือ”  พยอมย้อนถามเสียงขมขื่น  หญิงสาวเคยเสียคนรักมาแล้วครั้งหนึ่ง  ตอนนั้นเจ็บปวดแทบขาดใจ  แต่รักครั้งนี้นอกจากความเจ็บปวดคือความอับอายและความโกรธ

โชคดีที่วันนี้ร้านไม่มีลูกค้า พนักงานคนเดียวที่ทำงานอยู่หน้าร้านก็เป็นเด็กดีที่สนิทสนมกับหล่อน  ไม่งั้นหล่อนคงอายแทบแทรกแผ่นดินหนี

“เฮียงเป็นเมียผม  แต่ไม่เหมือนที่คุณพยอมเป็น…”

พยอมหน้าซีดก่อนแดงก่ำ  แต่พนมนั้นลนลานจนไม่ทันสังเกตสังกาอะไรในตัว ‘เมีย’ ของเขา  ยังคงพยายามกู้สถานการณ์อย่างโง่เขลาด้วยการอธิบายว่า

“ผมรักเฮียงเหมือนน้องสาว  เรื่องของเราเป็นความผิดพลาด  ผมไม่ได้ตั้งใจจะให้เกิด  ได้แต่เลยตามเลยไป  แต่กับคุณผมรักคุณจากใจจริง  คุณพยอมคุณคือยอดดวงใจของผม  ได้โปรดให้อภัยพนมคนนี้ด้วยเถอะนะครับ”

ชายหนุ่มตีหน้าเจ็บปวด  ออดอ้อนเสียงหวาน  พนมเรียนรู้ที่จะใช้หน้าตาและลมปากที่หวานรื่นของตนกับผู้หญิงมาตลอด  และก็ประสบความสำเร็จทุกครั้ง พิกุลที่ว่าปากร้ายใจดำหนักหนาไม่เคยต้านทานลูกชายคนนี้สักครั้ง

กับซิ่วเฮียงหรือสาว ๆ คนอื่น ๆ ที่เขาเคยคบหามาก่อนก็อ่อนละลายกับคำหวานของเขา  ไม่เคยมีใครต้านทานได้

แต่พนมลืมไปสองประการว่า  พิกุลเป็นแม่ที่ลำเอียงรักลูกมาก  ดังนั้นไม่ว่าเขาจะทำอะไรผิดต่อให้ไม่ต้องออดอ้อนประจบ  คนเป็นแม่ก็พร้อมให้อภัยและปกป้องโดยไม่คำนึงถึงความถูกผิด

ส่วนผู้หญิงคนอื่น ๆ ที่ติดในบ่วงเสน่ห์เขาล้วนเป็นสาวน้อยที่ยังอ่อนต่อโลกทั้งสิ้น  ซิ่วเฮียงที่หนีตามเขามาตอนอายุสิบหกแทบไม่รู้จักโลกภายนอกเลย  ดังนั้นคำหวานและการเอาอกเอาใจจึงลวงให้สาวน้อยหลงตามมาโดยง่าย

แต่พยอมนั้นไม่ใช่แม่และไม่ใช่สาวน้อยไร้เดียงสา  แม้จะพลาดเพราะความเหงาและความปรารถนาของสาวโสดที่อยากมีใครสักคนอยู่ข้าง ๆ อย่างสุดหัวใจ  พลาดเพราะหญิงสาวโหยหาความรักและการมีชีวิตคู่จนทำให้หูหนวกตาบอด  แต่พอซิ่วเฮียงทำให้ตาสว่าง  พยอมก็ได้สติ  แม้ยังรักยังอาวรณ์แต่ความโกรธแค้นความเจ็บใจและเสียหน้ามีมากกว่า  ดังนั้นหญิงสาวจึงร้องฮึออกมาอย่างเจ็บแค้น

ส่วนซิ่วเฮียงที่ควรจะเจ็บปวดแทบแดดิ้นกับคำพูดของพนมกลับนิ่งไม่เอ่ยอะไรสักคำ  หญิงสาวแค่กอดลูกชายให้แน่นขึ้นก่อนหมุนตัวเดินคอแข็งหลังตรงออกจากร้านไปโดยไม่เหลียวหลัง

พนมเหลือบมองนิดหนึ่ง  กระวนกระวายเล็กน้อย  แต่ชั่งน้ำหนักในใจแล้ว  เงินทองความเอาใจใส่ความสุขสบายที่พยอมมอบให้เขาสำคัญกว่าอะไรทั้งนั้น  ส่วนเฮียงก็คงเหมือนกับแม่ของเขานั่นแหละ  เดี๋ยวกลับไปขอโทษกลับไปอธิบายความผิดพลาดและความจำเป็นของเขา  กลับไป…สัญญาเป็นมั่นเหมาะว่าต่อให้แต่งงานกับพยอมแล้วเขาก็จะไม่ทิ้งซิ่วเฮียง  เงินทองที่เขาได้รับจากพยอมเขาก็จะแบ่งปันให้หล่อนและลูกใช้ไม่ขาดมือ  ออดอ้อนเอาใจให้มากหน่อย  ซิ่วเฮียงที่รักเขามากอาจจะยังโกรธแต่สุดท้ายก็คงใจอ่อน  ยอมตามใจเขาเหมือนทุกครั้ง

ชายหนุ่มเชื่อมั่นใจในเสน่ห์ของตัวเอง  เชื่อมั่นว่าเพราะมีหาญ ซิ่วเฮียงคงไม่กล้าโวยวายแตกหักกับเขา  ดังนั้นพนมจึงเลือกที่จะอยู่แก้ไขปัญหากับพยอมก่อน

เขาไม่รู้เลยว่า  เมื่อซิ่วเฮียงก้าวออกจากร้าน  หญิงสาวตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะก้าวออกจากชีวิตของพนมและครอบครัวของเขาตลอดกาล

 



Don`t copy text!