แก่นไม้หอม บทที่ 9 : หันหลังกลับ

แก่นไม้หอม บทที่ 9 : หันหลังกลับ

โดย : กิ่งฉัตร

แก่นไม้หอม นวนิยายออนไลน์ โดย กิ่งฉัตร ที่อ่านเอาอยากให้คุณได้อ่านออนไลน์ กับเรื่องราวที่จะทำให้คุณได้รู้ว่าผู้หญิงเป็นเมียและแม่ไม่ต่างจากแก่นไม้ที่แข็งแกร่ง มั่นคงและทรหดที่ยึดให้ใบได้แผ่กว้าง และหากโลกนี้เชื่อว่าผู้ชายเป็นใหญ่ แต่จริงๆ แล้วทุกสรรพสิ่งในธรรมชาติล้วนเป็นหยินที่โอบหยางทั้งสิ้น

เมื่อกลับถึงห้องเช่าซิ่วเฮียงก็เริ่มเก็บข้าวของ  โชคดีที่สมบัติส่วนตัวหล่อนจริง ๆ มีน้อยมาก  มีแค่เสื้อเก่า ๆ ไม่กี่ตัว  เสื้อใหม่ที่ดีหน่อยวาสนากวาดไปหมดนานแล้ว  ตัวหล่อนเองก็มัวแต่ตัดเสื้อตัวเล็ก ๆ ให้หาญและเสื้อใหม่ดี ๆ ให้พนม  ดังนั้นเมื่อรวมแล้วของหล่อนมีกองนิดเดียว  ส่วนของหาญเสื้อผ้าผ้าอ้อมขวดนมสบู่แป้งรวมแล้วมากกว่าของหล่อนเกือบเท่าตัว

ซิ่วเฮียงเรียงของทั้งหมดลงในถุงผ้าใบใหญ่จนแน่น  จากนั้นหล่อนก็อุ้มหาญขึ้นไปเคาะประตูเรียกน้าแก้ว

ฝ่ายหลังนอนไปได้ไม่นาน  ถูกกวนก็ทำหน้าย่นยู่  กำลังจะเอ่ยปากบ่นซิ่วเฮียงก็ยัดลูกชายให้บอกว่า

“ฝากดูหาญหน่อยนะจ๊ะ  เดี๋ยวเฮียงมา”

แก้วอ้าปากจะด่าแต่เห็นสีหน้าอีกฝ่ายแล้วได้แต่ขมวดคิ้ว  หล่อนกลับเข้าไปในห้องยังไม่ทันหย่อนก้นนั่ง  ซิ่วเฮียงก็กลับมาพร้อมจานชามหม้อไห  แถมยังข้าวสารอาหารแห้งทั้งหมดที่หล่อนมี

“เฮียงนี่มันอะไร”

ซิ่วเฮียงกลับลงไปอีกครั้ง  คราวนี้เสื่อฟูกหมอนมาครบหมด

“ฉันให้น้าแก้วจ้ะ  ให้หมดเลย  โต๊ะเก้าอี้ในห้องถ้าน้าแก้วอยากได้เดี๋ยวขนกันขึ้นมาเลย  แต่ถ้าไม่อยากได้เดี๋ยวฉันจะยกให้คนอื่นไป”

“เกิดอะไรขึ้น  แกจะไปไหนถึงได้ยกสมบัติให้คนอื่นหมดแบบนี้”

“ฉันจะกลับบ้านจ้ะ”  ซิ่วเฮียงที่เข้มแข็งมาตลอดกลับตาแดงร้อนเมื่อเอ่ยคำนี้  “ฉันจะกลับบ้านแล้ว  กลับบ้าน…”

ถ้าไม่ร้องก็ทนได้  แต่พอร้องขึ้นมาหญิงสาวก็ควบคุมตัวเองไม่ได้สะอึกสะอื้นเป็นการใหญ่  แก้วเห็นท่าไม่ดีอุ้มหาญไปนอนฟูกนอนของหล่อน  ตบก้นเด็กชายสองสามทีเป็นเชิงปลอบก่อนหันมาปลอบคนแม่  หล่อนตบหลังตบไหล่ซิ่วเฮียงเหมือนตบก้นหาญ  เอ็ดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า

“เอ็งเป็นอะไร  หยุดร้องก่อนร้องไห้เหมือนฟ้าจะถล่มแบบนี้ลูกเต้าตกใจหมด”

ครู่ใหญ่กว่าซิ่วเฮียงจะสงบและเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้แก้วฟังอย่างรวดรัด  ก่อนสรุปว่า

“ฉันมีแค่สองมือ  เอาอะไรไปไม่ได้มากเลยจะยกให้น้าแก้วทั้งหมด  ถ้าน้าไม่ใช้หรือไม่ชอบอะไรก็ยกให้คนอื่นต่อได้เลยนะจ๊ะ  และฉันอยากมาลาน้าด้วย  ขอบคุณน้าแก้วนะจ๊ะที่ช่วยฉันกับลูกมาตลอด  น้าเหมือนเป็นแม่อีกคนของฉัน  ถ้าไม่มีน้าคอยช่วยสอนคอยช่วยแนะนำ  ฉันอาจจะอยู่ไม่ได้จนถึงวันนี้”

“ไม่หรอก  เอ็งน่ะแกร่งกว่าที่เอ็งคิดนะเฮียง  เพียงแค่เอ็งมันดีเกินไป  เห็นแก่คนอื่นมากกว่าตัวเอง  อย่างเรื่องนี้ก็เหมือนกัน  เอ็งไม่ได้ผิดทำไมต้องรีบเก็บข้าวของหนี  ทำไมไม่สู้  นั่นผัวเราไม่ใช่หรือ  ปล่อยให้นังร้านทองมันคาบไปได้ไง”

“ก็ไม่อยากได้แล้วผัวคนนี้”  ซิ่วเฮียงพูดยิ้ม ๆ ทั้ง ๆ ที่ตายังแดงหน้ายังเปียก  “ถ้าคุณเขาอยากได้จริงก็เอาไปเถอะ  ฉันไม่ว่า  แต่นึกไปก็สงสารคุณพยอมเขาเหมือนกันนะจ๊ะน้าแก้ว  ท่าทางเขาตกใจมาก  หน้าซีดไปเลย  คงไม่รู้มาก่อนจริง ๆ ว่าเจ้าบ่าวเขาน่ะมีลูกมีเมียอยู่แล้ว”

“เอ็งมันก็เป็นเสียอย่างนี้  โดนแย่งผัวไปแทนที่จะโกรธเหมือนคนอื่นเขากลับไปสงสารผู้หญิงคนนั้นเสียอีก”  แก้วบ่น  เหลียวมองหาญที่เป็นเด็กดีเหลือเกิน  จับให้นอนฟูกก็นอนพยายามกลิ้งตัวชันคอไปมา  ไม่ร้องไม่กวน  น่าเอ็นดูนัก  เห็นแล้วก็อดใจหายไม่ได้

“ถ้าเอ็งตัดสินใจเด็ดขาดแล้วว่าจะกลับสุพรรณ  ฉันก็ไม่ห้ามหรอกนะ  ไม่พยายามกล่อมให้ทนด้วยเพราะผัวเอ็งแม่ผัวเอ็งมันเหลือทนจริง ๆ ทนอยู่ไปก็มีแต่ทุกข์  เอ็งทุกข์หาญมันจะโตขึ้นมาอย่างมีความสุขได้ยังไง  ที่เอ็งหลุดพ้นไปได้ก็นับว่ายังมีบุญ  มีคุณพระคุณเจ้าคุ้มครองอยู่  แต่เอ็งก็ต้องทำใจนะเฮียงเพราะเป็นแม่ม่ายมันไม่ง่าย  ยิ่งเอ็งมีลูกติด  หาเลี้ยงลูกคนเดียวยิ่งลำบาก”

“ฉันรู้จ้ะน้า  ฉันรู้  แต่ฉันจะเข้มแข็งเพื่อลูก”

“อย่าทำเพื่อลูก  เอ็งต้องเข้มแข็งเพื่อตัวเองก่อน  เอ็งยืนอยู่ได้อย่างมั่นคงลูกเอ็งถึงจะลืมตาอ้าปากได้  อาศัยแม่เป็นหลักได้  จะตัดสินใจอะไรก็ดูที่ดีที่สุดสำหรับตัวเอ็งก่อน  เอ็งดีเมื่อไหร่ลูกเอ็งถึงจะดีตามเมื่อนั้น”

ซิ่วเฮียงก้มลงกราบแก้ว  หล่อนพูดเสียงเครือว่า

“ฉันกราบลาน้าแก้วนะจ๊ะ  กราบลาแทนหาญด้วย  ฉันจะไม่ลืมคำสอนของน้าแก้วเลย”

“ไปดีนะเฮียง  เด็กดีอย่างเอ็งควรเจอคนที่ดีกว่านี้จริง ๆ  แล้วถึงสุพรรณก็ส่งข่าวมาบ้างนะ  ให้น้อง ๆ เอ็งเขียนจดหมายมาบอกหน่อยว่าเดินทางปลอดภัยสบายดีกัน  ฉันจะได้หมดห่วง”

“จ้ะ  ฉันส่งข่าวมาแน่นอนจ้ะน้าแก้ว”  ซิ่วเฮียงบอกอย่างดีใจที่แก้วยังอยากติดต่อกับหล่อนอยู่

หลังจากลาแก้วและเพื่อนห้องเช่ารายอื่น ๆ  เก็บกวาดห้องเช่าจนเหลือเพียงเสื้อผ้าและข้าวของส่วนตัวพนมแล้ว  ซิ่วเฮียงก็อุ้มลูกสะพายกระเป๋าที่หนักจนตัวเอียงเดินไปบ้านพิกุล

อันที่จริงหญิงสาวไม่อยากกลับไปเหยียบบ้านหลังนั้น  แต่พอนึกถึงสันต์ที่รักหลานหลงหลานอย่างหนักและมาลัยที่ดีกับหล่อนมาตลอด  ซิ่วเฮียงก็ไปโดยไม่ลาไม่ลง

ตอนที่หล่อนไปถึงบ้านพิกุลนั้นมาลัยกำลังตากปลาอยู่ที่ลานบ้าน  รายนั้นรีบล้างมือล้างหน้าก่อนตรงเข้ามารับหาญไปหอมซ้ายหอมขวา  ปากก็ถาม

“พี่เฮียงมาได้ไงจ๊ะ  ทำอะไรเบานิดนะ  แม่แกยังไม่ตื่น  เมื่อคืนไปไปควักพุงปลาที่แพจนเกือบเช้า”

มาลัยก็ทำงานจนเกือบเช้าเหมือนกัน  แต่หล่อนนอนได้แค่สามสี่ชั่วโมงก็ต้องลุกขึ้นมาทำงานแล้ว

“พ่ออยู่บ้านหรือเปล่าจ๊ะลัย”

“อยู่ ๆ พ่อแกเพิ่งกลับมาจากแพปลา  ได้ปลามาเยอะเลย  กะว่าจะแบ่งไปให้พี่เฮียงอยู่เชียว”

แม้จะบอกให้เบาเสียง  แต่มาลัยกลับเผลอส่งเสียงดังไปหน่อย  พิกุลที่อยู่บนชั้นสองจึงชะโงกหน้าส่งเสียงด่าลงมาว่า

“อีลัย  มึงจะยกปลากูให้ใครมึงถามกูยังหะนังลูกล้างผลาญ”

มาลัยทำคอย่น  หาญเองก็หน้าตาตื่น  แต่ไม่ได้ตกใจอะไรมากนักเพราะเคยได้ยินพิกุลยืนด่าซิ่วเฮียงอยู่หน้าห้องเช่าหลายครั้ง  เพียงแต่ส่วนใหญ่เด็กน้อยจะนอนบนฟูกในห้อง  เสียงจึงไม่ได้ดังลั่นเหมือนฟ้าผ่าแบบนี้

“ไม่ได้ยกให้ใครแม่  กะจะให้พี่เฮียงเขาเอาปลาไปทอดหรือต้มให้พี่พนมกิน”  มาลัยพยายามแก้ตัว  แต่ซิ่วเฮียงกลับพูดแทรกขึ้นว่า

“ฉันไม่เอาปลาแม่หรอกจ้ะ  ที่แวะมานี่ก็แค่ตั้งใจมาลาพ่อกับลัยเท่านั้น  เดี๋ยวฉันก็จะไปไม่อยู่ขวางหูขวางตาแม่อีกแล้ว”

“ใครจะลาไปไหนกันเรอะ”  สันต์ที่ยังพาดผ้าขาวม้าบนบ่าโผล่หน้าออกมาจากบ้าน  พอเห็นหลานชายก็ยิ้มกว้างจนตาหยี  รีบแย่งหาญจากมือลูกสาวคนโต  พูดว่า  “เออ…หลานปู่  คิดถึง  กำลังคิดจะไปหาอยู่เชียว  มามะมาให้ปู่หอมที”

เพราะมีหลานสุดรักมาดึงความสนใจไป  สันต์จึงลืมเรื่องที่ได้ยินแว่ว ๆ ไป  พิกุลที่ตึงตังลงมาจากเรือนก็มัวแต่ตั้งหน้าจะหาเรื่องจนฟังไม่ถนัดหู  เจอหน้าลูกสะใภ้ก็ถามอย่างหาเรื่องว่า

“กูบอกแล้วไงว่าไม่ต้องกลับมาเหยียบบ้านนี้  แล้วมึงมาทำไม”

“มาลาจ้ะ  ฉันจะกลับสุพรรณ  แม่จะได้สบายหูสบายตาเสียที”

สันต์กับมาลัยตกใจ  ขนาดพิกุลเองยังหาลิ้นตัวเองไม่เจอไปครู่

“พี่เฮียงจะกลับบ้านหรือ  แล้วจะกลับมหาชัยเมื่อไหร่”  มาลัยถามอย่างหวั่นใจ

“ไม่กลับแล้ว  ฉันเลยจะมาลา  ฉันไม่อยู่กับพนมแล้ว  เลิกกันแล้วจ้ะ”

“กูว่าแล้ว  พวกมึงอยู่กันไม่รอดหรอก  พนมคงทนมึงไม่ไหว  เมียไม่เห็นหัวแม่ผัว  งกเงินกับน้องผัว  เจ้ากี้เจ้าการชอบขี่คอผัวแบบนี้เลิกกันก็ดีแล้ว  กูจะจุดประทัดฉลองเลย”  พิกุลว่าท่าทางสะใจแต่เสียงไม่ได้กระเหี้ยนกระหือรือเท่าไหร่นัก  ท่าทางยังงง ๆ รู้สึกแปลก ๆ  แต่ปากไวด่าไว้ก่อนเท่านั้น

“หุบปากไปเลยนะเอ็งน่ะ”  สันต์หันมาตวาดใส่เมียอย่างน้อยครั้งมากที่จะได้ยิน  จากนั้นก็หันไปถามซิ่วเฮียงว่า  “เกิดอะไรขึ้นเฮียง  มีอะไรค่อย ๆ พูดค่อย ๆ จากันก่อนไหม  พ่อว่าเอ็งสองคนอย่าเพิ่งใจร้อน…”

“ฉันใจเย็นจ้ะพ่อ  แต่พนมคงเย็นไม่ได้เพราะเขาจะแต่งงานสิ้นเดือนนี้  ถ้าฉันกับลูกยังอยู่  พนมเขาจะอึดอัดเปล่า ๆ”

“มึงจะมาตอแหลอะไรนังเฮียง  พนมมันจะแต่งงานอะไรกัน  ทำไมกูไม่รู้”

“เดี๋ยวแต่งแล้วพนมคงจะพาคุณพยอมมาไหว้แม่เองแหละจ้ะ  ฉันดีใจกับแม่ด้วยนะจ๊ะที่จะได้สะใภ้ใหม่เป็นเจ้าของร้านทอง”

“ห่ะ  ไอ้พนมมันไปได้เจ้าของร้านทองเลยหรือวะ”  พิกุลแปลกใจแต่ก็ดีใจขึ้นมาจนความรู้สึกผิดเล็กน้อยเมื่อครู่เลือนหายไปจนหมด  เออ…ต้องให้มันได้อย่างนี้สิลูกชายกู  จะมีเมียก็ต้องมีที่มันดีหน่อย  ไม่ใช่นังเจ๊กหน้าขาวที่หอบผ้าหอบผ่อนหนีตามมา

“เจ้าของร้านทองที่ไหนจะโง่เอามันกัน”  สันต์หลุดปากก่อนนึกได้ว่าพูดอย่างนี้ก็เหมือนด่าแม่ของหลานชายในอ้อมแขนเขาเหมือนกัน

แต่ซิ่วเฮียงไม่นึกถือสาอะไร  หญิงสาวเองก็เพิ่งรู้ตัวว่าทั้งโง่ทั้งตาบอด  ทั้ง ๆ ที่เห็นแต่ไม่เคยรับรู้เลยว่าตัวตนจริง ๆ ของพนมนั้นเป็นยังไง  หล่อนตอบสันต์ไปว่า

“ร้านทองเพชรมหาชัยจ้ะพ่อ”

“ร้านนั้นพ่อรู้จักเจ้าของเขา  บ้านนั้นเขามีหลานสาวคนเดียวอายุปาเข้าไปเท่าไหร่ล่ะ  เกือบสี่สิบ

ได้มั้ง  คงไม่ใช่กระมัง…”

ซิ่วเฮียงยิ้มจืดเจื่อน

“คุณพยอมคนนี้แหละจ้ะ  พนมเขาบอกว่ารักเธอจริง ๆ”  เสียงของหล่อนติดจะเย้ยหยันเล็กน้อย  “ส่วนฉันเขารักแบบน้องสาว  ไม่ได้มั่นคงเท่ารักคุณพยอม”

“บ้าไปแล้ว  อย่างพี่พนมนะหรือจะไปรักผู้หญิงแก่  อมพระมาพูดฉันก็ไม่เชื่อ”  มาลัยที่รู้นิสัยพี่ชายดีร้องลั่น

ท่าทางดีใจของพิกุลเมื่อครู่ก็ไม่เหลือแล้ว  ปากหนาอ้าค้างแล้วหุบ  อ้าแล้วหุบ  ดูเหมือนอึ่งอ่างที่ร้องไม่ออกไม่มีผิด  แม้จะไม่รู้จักพยอมเป็นการส่วนตัวแต่จำได้ว่าตอนที่คู่หมั้นคู่หมายของหญิงสาวประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตนั้น  คนพูดถึงเรื่องนี้กันทั้งตลาด  ตัวหล่อนเองเพิ่งคลอดมาลัย  นั่งให้นมลูกอ่อนโดยมีพนมซึ่งอายุสักหกหรือเจ็ดขวบวิ่งเล่นอยู่ข้าง ๆ  ตอนนั้นพิกุลยังพูดกับสันต์อยู่เลยว่า  คนเราขนาดมีเงินมีทองมีความรู้แต่ก็ยังมีทุกข์  โชคไม่ดี  ยังสาวยังแส้แต่ต้องมาเป็นม่ายขันหมาก

แล้ว…แล้วตอนนี้ม่ายขันหมากเมื่อสิบกว่าปีก่อนจะมาแต่งกับลูกชายหล่อน…

“เชื่อเถอะลัย  พี่ชายลัยเขาพูดต่อหน้าฉันเลย  เรื่องเขาจะแต่งกันก็จริงเพราะคุณพยอมมาตัดชุดแต่งงานที่ร้านโสภา  คุณพยอมเขายังจะให้ฉันทำดอกไม้ประดับผมเจ้าสาวให้เลยนะ”

“โธ่พี่เฮียง”  มาลัยสงสารพี่สะใภ้จับใจ  แต่ซิ่วเฮียงกลับไม่มีท่าทีเสียใจแม้แต่น้อย  หล่อนหันไปไหว้สันต์บอกว่า

“เฮียงมาลาพ่อจ้ะ  ขอบคุณพ่อที่เมตตาเฮียงกับลูกมาตลอด  กำไลเงินกับพระของหาญเฮียงขอคืนให้พ่อ…”

สันต์อุ้มหลานหลบ  เสียงเขาสั่นเมื่อพยายามกล่อมว่า

“ใจเย็น ๆ ก่อนไหมเฮียง  อย่าเพิ่งด่วนตัดสินใจแบบนี้  อย่างน้อยก็เห็นแก่ลูก  หาญมันยังเด็ก  ถ้าจะเลิกรากันก็รอให้หาญมันโตกว่านี้อีกหน่อยเถอะ”

ซิ่วเฮียงฟังแล้วก็เข้าใจ  หล่อนเองก็ไม่อยากให้ลูกขาดพ่อ  แต่พ่อแบบพนม…บางทีไม่มีอาจจะดีเสียกว่า

“ไม่เลิกได้ไงจ้ะพ่อ  เมียใหม่พนมเขามายืนรออยู่แล้ว  มีฉันกับลูกอยู่เขาจะยินดีหรือเปล่าก็ไม่รู้  สู้ไปเสียไม่ให้ขวางหูขวางตากันจะดีที่สุด”

สันต์พยายามกล่อมอีกสองสามคำ  แต่หญิงสาวยืนกรานที่จะไป  สันต์หน้าเสียกอดหลานชายแน่น  มาลัยร้องไห้กระซิก ๆ  น่าแปลกใจที่สุดเห็นจะเป็นพิกุลที่นั่งแปะลงกับขอบประตู  เนิ่นนานกว่าปากคอร้ายกาจของหล่อนจะเริ่มขยับ

“พวกมึงจะอ้อนวอนกราบกรานมันทำไม  คนใจดำอย่างมันมีหรือจะสนใจพวกมึง  แล้วจะรั้งมันไว้ทำไม  นี่ถ้ามันดีจริงวิเศษจริงอย่างที่พวกมึงคร่ำครวญมีหรือลูกกูจะทิ้งมันไปมีเมียใหม่  พนมมันยอมเอาเมียแก่ดีกว่าเอามึง  ลองเอาหัวแม่ตีนมึงตรองดูแล้วกันว่ามึงมันแย่ขนาดไหน”

สันต์ถลึงตาใส่เมีย  บ่นว่า

“ไม่เคยเปิดตามองไอ้พนมจริง ๆ เลยใช่ไหมนังพิกุล  เทิดมันไว้เหนือหัวเถอะ  สักวันน้ำหนักมันจะได้หล่นมาทับคอเอ็งให้หักตาย”

ซิ่วเฮียงชินเสียแล้วกับการเข้าข้างลูกอย่างไร้เหตุผลของแม่สามี  ทุกทีหญิงสาวอดทนพยายามให้คำพูดร้าย ๆ นั้นผ่านหูไปเพราะเห็นแก่พนมเห็นแก่พ่อสันต์  นาน ๆ เหลืออดจริง ๆ ถึงจะลุกขึ้นตอบโต้เสียที  แต่ตอนนี้หล่อนไม่เห็นเหตุผลที่จะทน  หล่อนจึงยิ้มใส่ตาแม่ผัว…ที่กำลังจะเป็นอดีตแม่ผัวอย่างจงใจพร้อมตอบอย่างมั่นใจว่า

“เฮียงดีจ้ะ  มั่นใจว่าไม่เคยทำอะไรไม่ดีกับพนมแน่  เพียงแต่ดีแค่ไหนก็วิเศษสู้ทองเต็มร้านของคุณพยอมไม่ได้เท่านั้นเอง”

“หุบปากไปเลยนะมึง  ลูกกูไม่ใช่คนแบบนั้น”  พิกุลตวาดแหว  ไม่ยอมรับเช่นเคย  ลูกสามคนของหล่อน  ลูกสาวอาจจะไม่ดี  ไม่ได้ดั่งใจ  แต่ลูกชายนั้นดีทุกอย่างถูกต้องทุกอย่าง  ที่ไม่ดีก็เพราะถูกเพื่อนถูกชักจูงบ้าง  ถูกผู้หญิงมันหลอกบ้างเท่านั้น…

ซิ่วเฮียงหัวเราะก่อนบอกว่า

“เอาเถอะจ้ะ  แล้วแต่แม่จะสบายใจเลย  ฉันคงต้องขอลาตรงนี้  สิ่งใดที่ฉันล่วงเกินแม่ไว้ฉันขออโหสิกรรมด้วยแล้วกัน”

หญิงสาวยกมือไหว้ลาพิกุล  นึกถึงวันแรกที่ย่างเท้าสู่มหาชัย…เมื่อหล่อนไหว้แม่ผัวเป็นครั้งแรก  วันนั้นพิกุลมองหล่อนอย่างไม่พอใจ  บอกว่าหล่อนไม่รับไหว้จากคนแปลกหน้า  น่าตลกตรงที่สองปีผ่านไป  ซิ่วเฮียงกับพิกุลก็คงยังเหมือนคนแปลกหน้า  ไม่มีความเมตตาและเอื้ออาทรต่อกัน

เพียงแต่วันนี้พิกุลไม่พูดแดกดันอะไร  แค่เมินหน้าไปทางเหมือนไม่ยอมรับ

ซิ่วเฮียงเองก็ไม่สนใจ  หล่อนลาสันต์อย่างจริงใจกว่าลาพิกุลมาก  ฝ่ายนั้นทำท่าเหมือนถูกจ้วงแทงที่หัวใจเมื่อหญิงสาวอุ้มหาญออกไปจากอกเขา  สันต์ไม่ยอมรับพระกับกำไล  เขายัดทุกอย่างคืนให้หลานชายบอกให้ติดตัวไว้เพื่อความปลอดภัยความสุขและความเจริญ  จากนั้นก็เอ่ยเสียงสั่นกำชับให้

ซิ่วเฮียงพาลูกกลับมาเยี่ยมบ้าง

ซิ่วเฮียงไม่ตอบเพราะหล่อนไม่อยากโกหก

มาลัยเองก็ปาดน้ำตาป้อย ๆ สั่งว่า

“พี่เฮียงอย่าลืมส่งข่าวกลับมาบ้างนะ”

ซิ่วเฮียงไม่ตอบอีกเช่นเคย  แม้สันต์และมาลัยจะดีกับหล่อน  แต่หญิงสาวไม่ต้องการติดต่อกับคนทั้งคู่อีก  ไม่อยากให้ใครมาด่าได้ว่ายังอาลัยอาวรณ์ตัดพนมไม่ขาดเลยต้องเกาะติดพ่อกับน้องสาวของเขา  เมื่อตัดสินใจว่าจะจากไปแล้วหล่อนจะไม่มีวันเหลียวหลังกลับมา

ซิ่วเฮียงเรียกรถรับจ้างให้ไปส่งที่ท่าเรือ  รอไม่นานเรือเมล์แดงเข้าเทียบท่า  หญิงสาวชำระค่าโดยสารแล้วอุ้มลูกหอบข้าวของขึ้นไปชั้นสอง  เก๋งชั้นบนค่อนข้างโล่งเพราะหลายปีมานี้มีการตัดถนนหลายเส้นทาง  การคมนาคมทางบกเริ่มสะดวกกว่าทางน้ำ  คนสุพรรณเลือกเดินทางเข้ากรุงเทพฯทางรถหรือรถไฟมากกว่าเรือ  ซิ่วเฮียงจึงปูฟูกให้หาญนอนไปได้ตลอดทางโดยไม่รบกวนผู้โดยสารคนอื่น

ผู้โดยสารข้าง ๆ เป็นแม่ค้าสองคนที่มองหาญอย่างเอ็นดูก่อนหันไปคุยกันเรื่องเรือเมล์แดงกำลังจะยุติกิจการเพราะแบกรับการขาดทุนไม่ไหว  หญิงทั้งคู่ค่อนข้างเป็นกังวล  แต่ซิ่วเฮียงฟังแล้วก็ปล่อยให้มันผ่านเลยหูไป  หล่อนตัดสินใจแล้วว่าจะไม่กลับมาเหยียบมหาชัยอีก  ฉะนั้นเรือจะยังขึ้นล่องอยู่หรือไม่ไม่ใช่เรื่องที่หล่อนจะต้องสนใจ

จะว่าไปซิ่วเฮียงก็นึกประหลาดใจตัวเองเหมือนกัน  หล่อนไม่เคยนึกว่าตัดใจได้อย่างเด็ดขาดเพียงนี้  ไม่เคยคิดว่าจะหันหลังกลับได้โดยไม่ไยดี  บางทีการที่พนมไม่รักหล่อนก็อาจจะไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร  เพราะหล่อนเองก็คงไม่ได้รักเขาอย่างจริงจังเช่นกัน

เมื่อตัดใจได้ขาด  ซิ่วเฮียงก็ไม่อยากรับรู้เรื่องราวอะไรเกี่ยวกับพนมและครอบครัวของเขาอีก  หนำซ้ำหญิงสาวยังนึกอวยพรให้เขามีชีวิตคู่ใหม่ที่ดี  ปรับตัวปรับนิสัยได้  และหวังว่าพยอมคงไม่ต้องผจญกับฤทธิ์แม่ผัวอย่างพิกุลที่หล่อนเคยเจอมาก่อน



Don`t copy text!