ซ่อนรัก บทที่ 18 : ขอเวลาหนึ่งเดือน

ซ่อนรัก บทที่ 18 : ขอเวลาหนึ่งเดือน

โดย : โสภี พรรณราย

ซ่อนรัก โดย โสภี พรรณราย เมื่อความรักพังทลาย ปารีสจึงออกเดินทางด้วยหวังว่าโลกกว้างจะช่วยเยียวยาหัวใจ แต่สิ่งที่เธอคิดและตัดสินใจอาจไม่เป็นอย่างที่คาด เมื่อหนุ่มหล่อเข้มคนนี้เข้ามาในชีวิต และความหลังของหล่อนกับเขาเป็นความรักที่ต้องเก็บซ่อนเอาไว้ในส่วนลึก นวนิยายออนไลน์ที่อ่านเอาอยากให้คุณได้อ่านออนไลน์

ดุสิตพูดตรงๆ กับอาจิรานุชว่า

“นายทรัพย์คนนี้ร่วมกิจกรรมทุกครั้ง ล่ารางวัลได้ทุกครั้ง ผมก็มีสิทธิ์จะสงสัยนะครับ”

จิรานุชแค่นหัวเราะ

“คนเก่งมีความสามารถ มีพรสวรรค์ เราห้ามได้เรอะ?”

“อ๋อ…ครับ ผมก็แค่สงสัย”

“อย่ามาระแวงคนกันเองเลย” แล้วหันมาทางนิกร “แกเล็งใครไว้บ้างหรือยัง?”

“ผมคัดภาพที่น่าสนใจไว้แล้วครับ แต่ยังต้องรอต่อไป จนกว่าจะหมดวันสุดท้าย อาจมีผลงานน่าสนใจอีกจำนวนหนึ่ง”

“อานุชก็เล็งๆ ไว้เหมือนกัน ในแฟ้มภาพบนๆ น่าสนใจนะ ทำขายอาจขายดี”

“ครับ ผมจะพิจารณาดูครับ”

ดุสิตโพล่งขึ้นทันที

“งานนี้ใครตัดสินใจกันแน่ครับ อานุชหรือนายกร?”

จิรานุชยังคงใจเย็น แม้ถูกหลานชายคนโตเบรค

“แกจะคอยจับผิดอาเรอะ?” ย้อนถาม

“ใครจะกล้าครับ”

“แกพูดเหมือนอาจะแย่งผลงานของกร”

“ผมแค่อยากให้กรแสดงฝีมือครับ”

“อาก็แค่อยากสนับสนุนหลานชายคนเล็ก และช่วยให้การตัดสินยุติธรรมถูกต้อง อย่าลืมว่าเราจะนำไปทำอัญมณีในงานอัญมณีใต้ทะเลที่จะจัดอีกสองสามเดือนข้างหน้า ผลงานที่ชนะหนึ่งถึงสามต้องโดดเด่น สวยงามและที่สำคัญต้องขายได้ด้วย”

“ไว้ใจกรมันบ้างครับ ไม่งั้นมันจะไม่รู้จักโต ไม่รู้จักคิด และตัดสินอะไรด้วยตัวเองเลยครับ อานุชอย่าช่วยตัดสินแทนมัน”

“แต่ว่า…”

“งานนี้ผมขอแล้วกัน”ดุสิตไม่ให้อานุชพูด

“ครับ…ขอเลยครับ ให้กรมีอิสระในการทำงาน”

สุดท้ายจิรานุชยอมยักไหล่ และกล่าวว่า

“ได้สิ…ได้”

แต่นิกรเกรงใจอาจิรานุช จึงพูดกับพี่ชาย

“ผมว่าไม่เป็นไรหรอกครับ พี่สิต”

แต่ถูกสายตาพี่ชายมองด้วยดวงตาดุๆ ทำให้ต้องเงียบทันที และจิรานุชก็พูดขึ้น

“งั้นอาไม่รบกวนแล้ว อาจะกลับไปทำงาน” พูดจบก็เดินออกไป

“นิกรเปิดแฟ้มและมองภาพที่ส่งประกวดด้านบนๆ ที่อานุชเลือกออกมาให้แล้วพลางพูดกับพี่ชายว่า

“อานุชตาคมเสมอครับ ด้วยประสบการณ์ ภาพที่อานุชคัดไว้สวยมากครับ”

เลยถูกพี่ชายตำหนิ

“แกอย่ายอมคนให้มากเกินไป แกเท่านั้นเป็นคนตัดสินคนสุดท้าย แกมีสิทธิ์คนเดียว”

“ผมแค่เห็นว่าอานุชหวังดี อานุชทำเพื่อบริษัทเรา”

“แกต้องแยกว่ะ พี่พยายามผลักดันแก้นะโว้ย”

“เผื่อผมพลาด”

พี่ชายโบกมือ

“ยังไม่ทันไร แกก็คิดในแง่ลบ หัดคิดในแง่บวกบ้าง คนเราแค่ความคิดก็แพ้แล้ว คิดบวกไว้ก่อนจะได้เป็นพลัง แกมันมีจุดอ่อนที่ยังไม่ทันเกิด ก็คิดล่วงหน้าในแง่ร้าย หัดมั่นใจในตัวเองบ้าง สอนแกแนะนำแกเสมอ เมื่อไหร่แกจะหลุดพ้นจากกรอบเดิมๆ ของแกวะ”

“ผมขอโทษที่ทำให้พี่สิตผิดหวัง”

“แกต้องสู้ว่ะ งานนี้แกต้องรับผิดชอบให้ดีที่สุด ตัดสินอย่างยุติธรรม อย่าทำให้อานุชเอาจุดอ่อนของแกมาเล่นงานแกกลับ เพราะพี่เป็นคนเสนอให้แกรับผิดชอบงานนี้ ผิดพลาดจะเสียถึงพี่ด้วย”

“ครับ…ผมเต็มที่ จะพยายามให้สุดความสามารถครับ”

 

อีกวันที่วิศว์ได้คุยกับปารีส เขาถามทันที

“พ่อคุณเป็นอย่างไรบ้างครับ?”

“ดีขึ้นเรื่อยๆ แล้วค่ะ”

“งั้นคุณก็บินกลับไทยได้แล้วสิ”

“เอ่อ…ยังค่ะ”

อีกครั้งที่เขาไม่เข้าใจหญิงสาว

“ทำไมไม่กลับครับ”

เธอไม่ตอบ แต่พูดว่า

“ฉันมีเรื่องจะบอกคุณค่ะ”

วิศว์เลิกคิ้ว ดูจากหน้าตาเธอแล้ว แปลกไป ดูเศร้า ดูคิดหนัก ดูมีปัญหา ยังกังวลกับอาการของบิดาหรือ

“เรื่องของเรา”

เรา…คือเขากับหญิงสาว

ดูจากแววตาแล้วไม่ใช่เรื่องดีแน่นอน เขาไม่ชอบดวงตาแบบนี้เลย แต่ต้องรับฟัง

“ค่ะ…เราสองคน หลายวันมานี้ ฉันคิดเรื่องของเราตลอดว่าเราแต่งงานกันเร็วเกินไป”

แค่เริ่มต้นวิศว์ก็รู้สึกว่ากลับมาแบบเดิมๆ อีกแล้ว ปารีสลังเล อาจเพราะเธอเป็นผู้หญิง คงต้องคิดมากเป็นเรื่องธรรมดา เขามีหน้าที่ทำให้เธอมั่นใจ

“ผมเคยพูดแล้วเราต้องเรียนรู้กันไปก่อน เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ความจริงใจของผม แน่ล่ะที่ผ่านมาคุณอาจไม่รู้จักผมดีพอ เราเจอกันระยะสั้น สำหรับผมมันใช่เลย ผมมั่นใจและจะสร้างความมั่นใจให้คุณด้วยรับรองว่าผมจะไม่ทำให้คุณผิดหวัง”

“คุณฟังฉันก่อนสิคะ ฉันจะขอให้เราอย่าเพิ่งติดต่อกันชั่วคราว ขอให้เวลากับฉันสักหนึ่งเดือน หนึ่งเดือนนี้เราอย่าติดต่อกันไม่ต้องโทรเห็นหน้ากันทุกวันเหมือนเดิม”

วิศว์ชะงักงันชั่วครู่

“ตั้งเดือน?”

“แค่เดือนเดียว ตอนนี้เราก็แยกกันเกือบครึ่งเดือนแล้ว อีกเดือนเดียวค่ะ”

“แต่ว่า…”

“ไม่มีแต่ค่ะ เพราะฉันตัดสินใจแล้ว ฉันจะไม่รับโทรศัพท์ หรืออ่านไลน์อะไรคุณด้วย ฉันอยากอยู่ที่นี่อย่างสงบจริงๆ ตัวคนเดียวจริงๆ เพื่อทบทวนอะไรบางอย่าง คุณควรสนับสนุนความคิดของฉันนะคะ แยกกันแค่เดือนเดียว”

เงียบงันจากอีกฝ่าย

“ว่าไงคะ คุณวิศว์?”

หญิงสาวตัดสินใจแล้ว มีหรือเขาจะต้องพูดมาก

“ผมเคารพความคิดของคุณ”

เธอทำเหมือนโล่งอก

“ดีแล้วค่ะ”

“แต่ว่าผมขอคุณบ้าง ถ้ากลับมาเมืองไทย ส่งข่าวบอกผม ผมจะได้สบายใจ ให้รู้ว่าคุณอยู่เมืองไทยแล้วเท่านั้น แค่ส่งข้อความมาบอกก็ได้ ไม่ต้องคุย ตามที่คุณต้องการ”

ไม่รู้ว่าหญิงสาวตอบรับหรือเปล่า เพราะเบาแสนเบา แต่ได้ยินว่า

“ฉันจะไม่รีบกลับเมืองไทยหรอกค่ะ อยากอยู่กับพ่อแม่ให้นานที่สุด เท่านี้ก่อนนะคะ…สวัสดีค่ะ”

จบการสนทนา…

เท่านี้…วิศว์รู้สึกตึงๆ หนักๆ หัวใจ แต่ไม่เป็นไรหรอก มันก็คือชายหญิง มันก็คือหญิงชายคู่หนึ่งที่เพิ่มเริ่มต้นชีวิตคู่ ยังปรับตัวกันไม่ได้ ต้องใช้เวลาสักนิด เขาเป็นผู้ชายอาจจะง่าย แต่ปารีสเป็นผู้หญิงต้องยากกว่ามากนัก

 

“กลับมาแล้วครับ” เสียงของวิศว์ดังกว่าคนอื่นเสมอ เมื่อก้าวเข้าบ้านเลย เพราะมีกุญแจเข้านอกออกในอย่างคนในครอบครัว

บ้านสวน นอกเมืองแต่อยู่สุขสบายฃ

ป้าโสภากับน้านงอยู่ที่ห้องนั่งเล่นบริเวณด้านในของบ้าน ถัดจากห้องรับแขกที่อยู่ด้านหน้าสุด

ทั้งป้าทั้งน้าหน้าต่างกำลังนั่งถักโครเชต์ด้วยท่าทางสบายๆ ถักไปก็คุยกันไป

“ทำอะไรกันครับ?” วิศว์ตรงเข้าไปกอดป้าโสภา

ป้าโสภาค้อน

“เห็นอยู่ว่าทำอะไรยังถามอีก”

“นั่นสิครับ”

“ไม่มาหลายวันเลยนะ”

“แต่ผมก็มา”

“ใช่สิ เห็นบ้านเป็นที่พักชั่วคราว”

“ผมนอนคอนโดของบรม มันสะดวกกว่าครับ”

“ป้ารู้ สะดวกในการเดินทาง ป้าก็ยอมล่ะ ได้แต่รอวันหยุดยาวๆ จะได้กลับมานอนบ้านเราบ้าง” พูดอย่างเข้าใจหลานชายเสมอ

“น้อยใจหรือครับ ผมก็พยายามกลับมาทุกอาทิตย์ครับ”

“จ้ะ…จากพยายามมากเลย!” กระแทกเสียงเล็กน้อย

“ผมกลับมาขอกินข้าวเย็นครับ แล้วจะค้างหนึ่งคืน”

น้านงค์รีบวางไหมพรม แล้วพูดว่า

“งั้นน้าจะรีบไปทำอาหารเลย”

“ผมกินง่ายๆ นะครับ”

“ค่ะ…คุณวิศว์กินง่ายเสมอ”

“ก็น้านงทำอะไรง่ายๆ หรือยากๆ ก็อร่อยเสมอ”

“พูดให้คนแก่ดีใจอีกแล้ว”

“โอ้ย…น้านง ยังไม่แก่เลย แค่อายุสี่สิบกว่าเอง จะรีบแก่ไปไหน”

“จะห้าสิบแล้ว”

“ยัง…ยังครับ น้านงอ่อนกว่าป้าตังหลายปีนี่ครับ”

น้านงค์หัวเราะแล้วเดินเข้าไปในครัว วิศว์หันมามองไหมพรมในมือป้าโสภา

“ถักอะไรครับ?”

“ผ้าพันคอ”

“เมืองไทยไม่หนาวเลยนะครับ ซื้อเอาสะดวกกว่า ผมไปเมืองนอกก็ซื้อมาฝากป้าบ่อยๆ”

“ของฝากก็ส่วนของฝาก แต่ถักเองใช้เองหรือให้ใครมีค่ามากกว่าตั้งเยอะ”

วิศว์มองมือของป้าโสภาที่ถักไหมพรมอย่างคล่องแคล่ว พูดไปทำไปแทบไม่ต้องมองมือตัวเองเลย

“คิดอะไรอยู่?” ป้าถาม

“เอ้อ…ก็สวยดีครับ” เขามองเพลินเชียว มือของป้าโสภาไม่หยุดนิ่ง ถักให้ใครครับ?”

“ถักได้หลายผืนแล้ว ตอนนี้ก็ถักเอาไปทำบุญ ถวายพระ และส่วนสีสดๆ ก็เอาไปบริจาคให้คนแก่บ้านคนชราในต่างจังหวัด รู้ไหมคนต่างจังหวัดเวลาหนาว หนาวมากนะ มีประโยชน์จริงๆ”

“สาธุบุญครับ” วิศว์ยกมือไหว้

ป้าโสภาหัวเราะเบาๆ

“อยากได้บุญมากๆ ก็ต้องช่วยก็ช่วยถักด้วยสิ”

วิศว์หัวเราะบ้าง

“ผมขอบุญจากป้าโสภาดีกว่าครับ”

พูดออกไปเช่นนั้นแแต่แววตากลับคิดอะไรบางอย่าง

และ…ในค่ำคืนนั้น วิศว์ก็เฝ้าตื๊อน้านงที่นั่งถักไหมพรมอยู่ที่ห้องนอน

“สอนผมบ้างสิครับ”

“คิดยังไงจะมาหัดถักไหมพรม?”

“ผมมีเหตุผลของผมครับ”

“คงไม่หวังบุญมั้งคะ?”

“ผมมีเหตุผลครับ”

“คิดจะถักให้สาวสิท่า เมื่อก่อนไม่เห็นจะสนใจ”

“น้านงรู้เท่าทันผมอีกแล้ว”

“สาวที่ไหนล่ะ บอกมาเลย ไม่งั้นไม่สอน”

“นี่ล่ะครับที่ผมไม่กล้าให้ป้าโสภาสอน เพราะต้องถูกเค้นถามอย่างแน่นอน เลยต้องรอให้ป้าหลับแล้วมาขอให้น้านงสอนดีกว่า แล้วผมจะเอาไปถักต่อที่คอนโดของไอ้บรมมัน”

น้านงทำตาโต

“แหม…แหม…ริจะถักให้สาว น้านงก็แค่อยากรู้มาก…ก…ใครกันคะ” น้านงทำท่าอยากรู้จนตัวสั่น

“สอนผมก่อนสิครับ ถักเสร็จแล้วผมจะบอก”

“บอกก่อน…บอกก่อน”

“สอนผมเถอะครับ” ทำท่าอ้อน น้านงก็ใจอ่อน

“ก็ได้…ก็ได้…มาเริ่มต้นกัน”

ยังไม่ทันเริ่มต้นเลย ประตูห้องนอนของน้านงก็เปิดออก และป้าโสภาก้าวเข้ามา และพูดอย่างรู้ทันว่า

“สนใจจะถักไหมพรมให้สาวแล้วสิท่า”

“ป๋ายังไม่นอนหรือครับ?” วิศว์ถามเสียงอ่อยๆ

“ถ้านอนแล้วจะได้ยินที่แกคุยกับนงเรอะ?”

“คือผม…”

“แหม…แอบมาให้น้านงช่วยสอน จะถักไปให้สาว”

“ผมก็เผื่อไว้ก่อน กว่าจะถักเสร็จ จะให้ใครยังไม่ค่อยแน่ใจเลยครับ อย่าถามผมเลยนะครับ ผมตั้งใจจะถักให้เสร็จก่อน แต่สุดท้ายจะเป็นใคร อาจเป็นป้าโสภาก็ได้นะครับ หรือสาวอื่นที่ผมแน่ใจแล้วผมจะบอกครับ”

ป้าโสภาค้อน

“จ้ะ…ป้าเชื่อแกนะวิศว์ แกต้องมอบให้คนที่คู่ควรจะได้รับ”

 



Don`t copy text!