นิราศรักสองนครา บทที่ 7 : ผู้ก่อเหตุ

นิราศรักสองนครา บทที่ 7 : ผู้ก่อเหตุ

โดย : ปรียนันทนา

นิราศรักสองนครา โดย ปรียนันทนา เรื่องราวของโชติ หญิงสาวชาวสยาม กับทางเลือกสองทาง ความรักของชายหญิงกับความรักหวงแหนแผ่นดินเกิด เธอจะเลือกทางใด และหากไม่สามารถเลือกได้  จะมีหนทางใดที่ใจสองดวงจะมาบรรจบพบกัน ณ จุดที่ลงตัวได้หรือไม่ นวนิยายออนไลน์ที่อ่านเอาอยากให้คุณได้อ่านพร้อมกันที่นี่ anowl.co

สายลมพัดอ่อนช่วยพาความอบอุ่นจากแสงอาทิตย์ยามสายกระจายไปทั่วร้าน หญิงสาวผู้สวมเสื้อแขนยาวสีดอกตะแบกตัดกับสไบสีเขียวกำลังยืนเลือกสินค้าอย่างเพลิดเพลิน บ่าวผู้ติดตามมาจากบ้านคุณป้าของเธอยืนอยู่ไม่ไกลกันนัก ท่าทีมั่นใจที่แสดงออกอย่างมั่นใจของหญิงสาวทว่าแฝงด้วยความเป็นกันเองยามที่หันมาชี้ชวนผู้ติดตามให้ช่วยกันเลือกซื้อทำให้อีกฝ่ายชื่นชมคุณโชติผู้เป็นหลานสาวเจ้านายของตนยิ่งนัก

“พี่บัวช่วยฉันเลือกหน่อยสิจ๊ะว่าเอาอันไหนไปฝากเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ดี”

โชติชี้ไปยังบ้านตุ๊กตาสามชั้นสองหลังซึ่งภายในแต่ละชั้นตกแต่งสวยงามด้วยของจิ๋วแต่เหมือนจริงยิ่งมองยิ่งเพลินตาเพราะแต่ละมุมในบ้านมีข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ ครบถ้วน ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นข้าวของเครื่องใช้แบบตะวันตก

“มิรู้ดอกเจ้าค่ะ อิฉันว่ามันก็น่าเอ็นดูดีทั้งสองแบบ คุณโชติจะนำไปฝากผู้ใดเจ้าคะ”

“ลูกสาวคุณพร้อม เอ้อ…” ความเคยชินทำให้เอ่ยชื่ออีกฝ่ายออกไปหากเมื่อนึกได้โชติก็เอ่ยบรรดาศักดิ์อีกฝ่ายออกมา “หลวงภูบดินทร์พิทักษ์น่ะจ้ะ มะรืนฉันจะกลับบ้าน คงได้แวะไปเยี่ยมคุณน้าจันแลไปเล่นกับแม่หนูเพ็ญสักหน่อย” หญิงสาวเอ่ยถึงภรรยาและลูกของผู้ที่เธอนับถืออย่างสนิทสนม

“คุณหนูเธอจะเล่นหรือเจ้าคะ” แม้เห็นว่าบ้านตุ๊กตาตรงหน้านั้นน่ารักหากแต่ไม่แน่ใจว่าเด็กหญิงคนนั้นจะชอบหรือไม่ด้วยเป็นของแปลกที่ไม่คุ้นตาสักนิดในความคิดของหล่อน “อายุเท่าใดกัน”

“ยังมิครบขวบดอกจ้ะ แต่ฉันว่าอีกไม่นานก็คงเล่นได้แล้ว เด็กผู้หญิงอย่างไรเสียก็ย่อมชอบสิ่งสวยงาม จริงหรือไม่จ๊ะพี่”

“เจ้าค่ะ” บัวคล้อยตามอีกฝ่ายอย่างง่ายดายด้วยชื่นชมหญิงสาวตรงหน้า

“เช่นนั้นฉันเลือก…” ไม่ทันขาดคำของโชติเสียงเอะอะหน้าร้านก็ทำให้เจ้าตัวชะงักจนต้องเหลียวหันไปมองต้นทาง ก็พบว่าผู้คนมากมายกำลังเร่งฝีเท้าไปรวมตัวกันที่ถนน โชติมิเกรงเหตุร้ายหากอยากรู้ว่าเกิดเรื่องใดมากกว่า หญิงสาวรีบผละจากบ้านตุ๊กตาตรงหน้าแล้วเดินออกไปโดยไม่ได้ใส่ใจคนในร้านสักนิด

“ว้าย มีโปลิศมาด้วยเจ้าค่ะคุณโชติ ท่าทางจะเรื่องใหญ่” น้ำเสียงตกอกตกใจของบัวดังแข่งกับเสียงชาวบ้านที่กำลังวิพากษ์วิจารณ์เหตุการณ์ตรงหน้า หากดูเหมือนหญิงสาวผู้เป็นนายจะมิได้ใส่ใจกับเสียงของหล่อนเพราะอีกฝ่ายจ้องเขม็งไปที่ชายร่างสูงผู้กำลังยืนประจันหน้ากับตำรวจหรือที่บัวเรียกว่า โปลิศ เจ้าหน้าที่มาด้วยกันสองคน ทั้งคู่มีรูปร่างหน้าตาน่าเกรงขามเพราะเป็นคนอินเดีย บนศีรษะโพกผ้า แววตาจริงจังหากก็มิอาจทำให้ผู้ร้ายเกรงขามแม้เพียงสักนิด

“ขออย่าให้เป็นเช่นที่ฉันคิดเลย” โชติรำพึงกับตนเองค่อนข้างเบาทว่าเปี่ยมไปด้วยอารมณ์ลึกซึ้งที่ผู้ฟังไม่อาจรู้ได้

“มอบตัวเสียโดยดีเถิดนายเพ้ง มีพยานเห็นเอ็งฆ่าเถ้าแก่แล้วขโมยเงินไปด้วย” ตำรวจชาวอินเดียสังกัดกองโปลิศคอนสเตเบิลเอ่ยสำเนียงแปร่งหูหากก็ฟังได้เข้าใจดี น้ำเสียงแข็งกร้าวเตรียมพร้อมเข้าจู่โจมตลอดเวลา

“ไหนเล่าคนนั้นที่ท่านกล่าวอ้าง มิเห็นมาชี้ตัวข้าด้วย” เขาเอ่ยท้าทายพลางมองไปเบื้องหลังนายตำรวจที่หามีใครปรากฏกายมาเพื่อยืนยัน และประโยคถัดมาของนายเพ้งก็ทำเอาคนที่ยืนดูเหตุการณ์พากันส่ายหน้าอย่างผิดหวัง “หากจะจับข้าท่านต้องเตรียมตัวไปบอกนายข้าเสียด้วย เพลานี้ข้ามิใช่คนที่สยามจะมาจับตัวไปลงโทษได้ดอกเพราะข้าเป็นคนของฝรั่งเศสแล้ว” ดวงตาเรียวเล็กส่องประกายเจ้าเล่ห์และเย้ยหยันอีกฝ่ายอย่างภาคภูมิใจในความฉลาดแกมโกงของตน

“เอ็งว่ากระไรนะ” ผู้พิทักษ์ความปลอดภัยของชาวบ้านเอ่ยเสียงหลงเพราะมิใช่ครั้งแรกที่เขาประสบทางหนีทีไล่เช่นนี้จากผู้ร้าย

“ข้าคงมิต้องเอ่ยซ้ำ ด้วยท่านคงรู้ดีถึงกฎหมายว่าข้ามิใช่คนสยามแล้วจึงมิอาจขึ้นศาลได้”

“ความนี้ข้าจะรายงานให้ท่านผู้บังคับกองทราบแลเร่งตรวจสอบให้แน่ชัด อย่างไรเสียเอ็งก็ทำผิดคิดร้ายผู้อื่นจนถึงกับลงมือฆ่าคน เอ็งมิอาจหนีความจริงข้อนี้ไปได้ดอก” เขาสะกดอารมณ์ที่พลุ่งพล่านให้เย็นลง การที่เห็นผู้ร้ายอยู่ตรงหน้าแต่มิอาจทำสิ่งใดได้ขัดกับการทำงานในหน้าที่หากก็มิอาจทำสิ่งใดมากไปกว่านี้ได้ ในที่สุดนายตำรวจสองนายก็ต้องเดินจากไป ส่วนชายชื่อเพ้งเดินลับหายไปอีกทางหนึ่งทิ้งความสงสัยไว้เป็นเพียงเรื่องราวที่ชาวบ้านนำพากันไปวิพากษ์ต่อว่าเรื่องจะจบลงเช่นไร

โชติยังคงตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน แม้รู้ดีเรื่องสิทธิสภาพนอกอาณาเขตหากหญิงสาวยังไม่เคยเห็นใครที่ทำผิดแล้วเปลี่ยนสังกัดเพื่อพาตัวให้พ้นผิดซึ่งหน้าเช่นนี้มาก่อน เธอยืนนิ่งจนบัวสะกิดเรียกอย่างเป็นห่วง เมื่อหันมามองหน้าบ่าวโชติจึงพบว่าแววตาของอีกฝ่ายดูหวั่นเกรงไม่แพ้กัน ความอัดอั้นตันใจของหญิงสาวสะท้อนออกมาทางดวงตาสีนิลที่เคยมีประกายสดใส หากแต่บัดนี้ราวกับมีดวงไฟฉายโชนอยู่ในดวงตาคู่งาม เมื่อเดินกลับเข้าร้านเพื่อจะจ่ายเงินค่าบ้านตุ๊กตาที่เธอตั้งใจนำไปฝากแม่เพ็ญโชติพบบุรุษชาวฝรั่งเศสผู้นั้นอีกครั้ง

เธอมิได้เอ่ยคำใดออกไป แต่ทุกความรู้สึกที่ถ่ายทอดออกมาทางแววตาก็ดูจะมากพอแล้วสำหรับความน่าอัปยศของบุคคลที่หนีความผิดตนอย่างไร้เกียรติ

 

ตกลงฉันเลือกหลังนี้ก็แล้วกัน” หญิงสาวชี้ที่บ้านสามชั้นทำจากไม้ภายนอกทาสีเขียวไข่กา หลังคาสีดำ บนหลังคามีปล่องควัน มีหน้าต่างทั้งหมดหกบาน เมื่อเปิดออกมาภายในชั้นแรกมีสองห้องคือห้องรับประทานอาหารและห้องครัวบุกระดาษสีงาช้าง ส่วนชั้นสองเป็นห้องนอนพ่อแม่ และห้องนั่งเล่นของครอบครัว ชั้นสามเป็นห้องนอนลูกสาวสองคน แต่ละชั้นประดับด้วยเครื่องเรือนจิ๋วแบบอังกฤษดูงดงามสมจริงยิ่งนัก

“ได้ขอรับ กระผมจะนำไปห่อให้” ลูกจ้างชายซึ่งเป็นคนไทยเอ่ยกับโชติอย่างคุ้นเคย หญิงสาวหยิบห่อผ้าออกมาจากชายพกแล้วเดินตรงไปยังโต๊ะคิดเงินซึ่งนายเจมส์เจ้าของร้านเพิ่งกลับเข้ามาก่อนหน้าหล่อนไม่นาน

“วันนี้มิดูของอย่างอื่นหรือคุณโชติ” น้ำเสียงเจ้าของร้านบ่งบอกชัดเจนว่าคุ้นเคยกับลูกค้ารายนี้เป็นอย่างดี

“เกิดเรื่องเมื่อครู่ฉันเลยมิมีกะจิตกะใจดูสิ่งใดเสียแล้ว” โชติตอบอย่างไม่กระตือรือร้นนัก แต่ประโยคถัดมาก็กล่าวถึงวัตถุประสงค์หลักในการมาเยือนชัดเจน “ความจริงมาวันนี้ฉันอยากสั่งชุดจานชามกระเบื้องเพิ่ม  พอดีต้นเดือนหน้าที่บ้านคุณป้าจะมีงานค่ะ”

“คุณโชติต้องการสักเท่าใดเล่าครับ”

“สักสามโหลเห็นจะพอ สำหรับเลี้ยงพระแลแขกผู้ใหญ่ ที่สั่งไปคราวก่อนก็แทบจะยังมิได้ใช้”

“สะดวกจะเลือกวันนี้เลยหรือไม่ล่ะครับ กระผมจะบอกให้เด็กไปเปิดตู้หยิบตัวอย่างมาให้ชม” เขาเอ่ยเชิญชวนอย่างเต็มใจ

โชติพยักหน้าเป็นเชิงตอบรับพลางเดินเลี่ยงไปอีกมุมเพราะเธอเห็นว่าชายหนุ่มผู้ซึ่งเมื่อครู่ยืนประจันหน้าตรงริมถนนมีทีท่ารีรอคล้ายจะเข้ามาทักทาย มิใช่ว่าหล่อนไม่รับรู้แต่โชติไม่ใคร่สนทนากับผู้ได้ชื่อว่าเป็นคนชาติเดียวกับผู้ร้ายคนเมื่อครู่

ดูเหมือนว่ามิสเตอร์เจมส์เจ้าของร้านจะสังเกตเห็นแววตากระกวนกระวายภายใต้ดวงหน้าสงบเคร่งขรึมของมิเชลเมื่อยามมองตามหญิงสยามนามว่าโชติ เขาจึงร้องเรียกชายหนุ่มเข้ามาสมทบเมื่อเด็กในร้านยกตัวอย่างเครื่องกระเบื้องออกมา

“เชิญคุณโชตินั่งตรงนี้ดีกว่าจะได้ชมสินค้าอย่างสบาย” หนุ่มใหญ่เชื้อเชิญโชติไปยังโต๊ะอีกมุมหนึ่งของร้าน “มิเชล คุณก็เข้ามารอด้านในเถิด”

มิเชลเดินเข้ามาท่าทางสงบเสงี่ยม เขาลอบมองโชติที่กำลังเลือกจานชามกระเบื้องเนื้อดีภายใต้การแนะนำของเจมส์อย่างเพลิดเพลิน  อีกฝ่ายมีท่าทีรับรู้ว่ากำลังถูกจับจ้องแต่หาสนใจไม่ ใบหน้าของหญิงสาวนิ่งเฉยหากแต่มิเชลรู้ดีว่าเธอกำลังไม่พอใจเพราะแววขุ่นเคืองเมื่อครู่ยังพาดทับบนดวงตาคู่งามอยู่

“จานลายนี้ก็สวยนะครับ” เจ้าของร้านหยิบจานกระเบื้องลวดลายดอกไม้สีหวานท่ามกลางกิ่งใบอันอ่อนช้อยสีเขียวเย็นตาให้อีกฝ่ายชม โชติรับมาถือพลางพลิกชมอย่างเบามือ “ครั้งที่แล้วคุณรับลายบลูแอนด์ไวท์ไป ครานี้กระผมแนะนำว่าลองเปลี่ยนดูบ้างไหมครับ” เจมส์หมายถึงงานกระเบื้องขาวน้ำเงินอันเป็นที่นิยมในหมู่คนเก็บเครื่องกระเบื้อง

“สีสวยดีจริง” โชติอารมณ์เริ่มเย็นลงเมื่อได้เห็นของสวยงาม หล่อนเห็นจริงดังคำพูดเจ้าของร้านแล้วหันไปทางผู้ที่ติดตามมาด้วย “พี่ว่าสวยหรือไม่จ๊ะ พี่บัว”

“เจ้าค่ะ คุณโชติเลือกแบบใด สีใด อิฉันก็ว่างามเจ้าค่ะ”

“มิได้ดอกจ้ะพี่ ฉันต้องถามพี่ก็เพราะเป็นคนสนิทของคุณป้า หากมิถูกใจท่านฉันจะได้อ้างว่าพี่บัวช่วยเลือก” หญิงสาวกระเซ้าอีกฝ่ายอย่างเป็นกันเอง

“แหม คุณก็ช่างเจรจาจริงเจ้าค่ะ” บัวส่งยิ้มจนเห็นฟันดำเป็นเงางามที่เจ้าตัวภูมิใจยิ่งนัก

“ตกลงฉันเลือกแบบนี้ก็แล้วกัน จริงดังที่คุณเจมส์แนะนำว่าครั้งก่อนฉันเลือกลายบลูแอน์ไวท์ไปแล้ว วันนี้ลองเปลี่ยนดูบ้างก็เหมาะดี ลายนี้สวย สีสันก็งามตา มองปราดแรกเหมือนงานของจีนแต่เมื่อพิศดูกลับมิเหมือนกัน”

“มิเหมือนดอก กระผมคิดว่าทั้งจีนแลยุโรปก็มีเอกลักษณ์ในงานของตนเอง”

“ฉันก็คิดเยี่ยงนั้น” หญิงสาวคล้อยตาม

เจมส์ส่งตัวอย่างให้ลูกจ้างในร้านไปจัดเตรียมก่อนจะหันไปเรียกมิเชลที่นั่งอยู่อีกมุมหนึ่งซึ่งพอดีกับที่เจ้าของร้านขายยาจีนกำลังเดินเข้ามาที่ร้านของเขา

“คุณมิเชล นั่นคุณฮกมาพอดี” เขายิ้มอย่างใจดี “พอดีคุณมิเชลจะเช่าบ้านห้องถัดไปนี่เอง” เขาบอกโชติผู้กำลังนั่งนิ่งรอสินค้าอย่างจดจ่อ ยามนี้หล่อนลืมตัวว่ากำลังขุ่นมัวเพราะได้ชมของสวยงามเจมส์จึงถือโอกาสเอ่ยแนะนำชายหนุ่มโดยหารู้ไม่ว่าทั้งคู่เคยพบกันมาก่อน

โชติพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้แต่ฝ่ายชายรีบทักทายเธอราวกับตั้งตารอมานาน

“ยินดีที่ได้พบคุณอีกครั้งนะครับ” เขาเอ่ยอย่างจริงใจ

“พวกคุณเคยพบกันมาก่อนหน้านี้หรือ” เจมส์มองหน้าทั้งสองคนสลับกันอย่างแปลกใจ

“ความบังเอิญน่ะค่ะ” โชติตอบอย่างมีมารยาทแล้วนิ่งไปเพียงอึดใจก่อนเอ่ยเสียงเรียบ “ฉันจึงได้ทราบว่าคุณคนนี้เดินทางมาพร้อมท่านกงสุลฝรั่งเศสคนใหม่”

ชายทั้งสามคนในร้านจะมีท่าทีแตกต่างกันเมื่อได้ยินเสียงน้ำเสียงนิ่งๆ ของหญิงสาว แต่คนที่รู้สึกราวกับตนทำความผิดใหญ่หลวงมากคงหนีไม่พ้นมิเชล เพราะเชื้อชาติของเขากลับกลายเป็นต้นเหตุที่ทำให้โชติไม่พอใจโดยที่เขามิได้เกี่ยวข้องกับเรื่องราวเมื่อครู่สักนิด มิเชลมองหน้าหญิงสาวราวสำนึกผิดในสิ่งที่เขาไม่ได้ก่อโดยมีชายอีกสองคนกำลังมองมาที่เขาราวกับให้กำลังใจ

“กระผมคิดว่าคุณมิเชลมากับท่านกงสุลก็จริงแต่เขามิได้มีส่วนกับเรื่องเมื่อครู่สักนิดนะครับคุณโชติ” เจมส์อธิบายอย่างสุขุมโดยมีนายฮกผู้ที่เพิ่งมาถึงกำลังทำความเข้าใจกับสถานการณ์ตรงหน้า

“ฉันก็มิได้ว่าเขามีส่วนสักนิด”

“แต่คุณกำลังคิด ใช่หรือไม่” เจ้าของร้านผู้ผ่านร้อนผ่านหนาวมามากกว่าหญิงสาวเอ่ยอย่างเข้าใจ “กระผมเองก็เป็นคนอังกฤษ เหตุใดคุณจึงมิเคืองกระผมด้วยเล่า ประเทศของเรามีสนธิสัญญากัน

ก่อนชาติอื่น แลเฉพาะเจาะจงเรื่องสิทธิสภาพนอกอาณาเขตนั้นชาติของเราทำสัญญากันก่อนชาติอื่นอีกหรือมิใช่ครับ”

“เป็นเช่นนั้น แต่ฉันเห็นว่าคนค้าขายเยี่ยงคุณเจมส์เพียงทำการค้ามิได้มีเรื่องอื่นแอบแฝง”

“กระผมก็ยังมิเห็นว่ามิเชลเขาจะมีเรื่องใดแอบแฝง หากเพียงแค่คุณโชติจะมองว่าเขาเป็นเพียงนักเขียนคนหนึ่งที่รู้จักกับกงสุลของประเทศเขาเท่านั้น” เจมส์พยายามอย่างยิ่งที่จะให้หญิงสยามตรงหน้าเข้าใจและแยกแยะบทบาทและหน้าที่ของแต่ละคน

“ฉันเข้าใจสิ่งที่คุณอธิบาย แต่คุณต้องเข้าใจพวกเราด้วยนะคะ การที่มีผู้ร้ายฆ่าคนมายืนท้าทายกฎหมายต่อหน้าโดยใช้สัญญาที่เราเสียเปรียบเพื่อให้เขาได้ทำผิดศีลธรรมเยี่ยงนี้ ฉันรับไม่ได้”

“ผมก็รับไม่ได้”

เสียงทุ้มต่ำทว่าหนักแน่นที่ดังออกมาตีแผ่ความรู้สึกเบื้องลึกในใจผู้พูดได้เป็นอย่างดี โชติสบตาอีกฝ่ายเนิ่นนาน หญิงสาวรับรู้ถึงความอึดอัดคับข้อง มิใช่สายตาของผู้ถือว่าตนมีอารยะเหนือกว่าซึ่งพร้อมข่มเหงรังแกผู้อ่อนแอ หากแต่เป็นสายตาของผู้ที่กำลังเสียใจ แม้ว่าเขามิได้เป็นผู้ก่อเหตุก็ตาม

 



Don`t copy text!